๑๑

๑๕ วันผ่านไป....

เวลาประมาณ ๑๐.๔๐ นาฬิกา หญิงสาวคนหนึ่งนั่งห้อยเท้าอยู่บนบันไดหน้าตึก อาการที่หล่อนกอดเข่าและซบหน้าอยู่กับแขนโดยมิได้กระดุกกระดิกหลายนาทีนั้น บอกชัดว่าหล่อนปราศจากความสุข และมีความเบื่อหน่ายต่อชีวิตเป็นอย่างยิ่ง

เสียงสุนัขเห่าเกรียวใหญ่ แสดงว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน แต่หญิงสาวผู้นั้นมิได้ปรารถนาที่จะขยับเขยื้อน มิใยใครจะไป ใครจะมา จะเกี่ยวข้องกับหล่อนก็หาไม่ เจ้าหล่อนผู้นั้นไม่มีจิตใจที่จะใยดีต่อใครทั้งนั้นในเมืองหลังสวนนี้……...เสียงสุนัขดังใกล้ขึ้นทุกที เจ้าสัตว์เหล่านั้น คงจะล้อมหน้าล้อมหลังคนแปลกหน้า เข้ามาใกล้กับที่หล่อนนั่งอยู่ ความหนวกหูทำให้หล่อนรำคาญจนแสดงกิริยาอึดอัด และเงยหน้าขึ้น ในทันทีนั้นเองหล่อนสะดุ้งสุดตัวผุดลุกขึ้นยืน กางแขนออกวิ่งตรงไปข้างหน้า พร้อมกับอุทานว่า “น้าพงศ์!” ครั้นใกล้จะถึงตัวเขา หล่อนกลับชะงัก ผิวหน้าเปลี่ยนจากแดงเป็นขาว หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่

แต่ชายหนุ่มหาได้ทำตามอย่างหล่อนไม่ เขาสาวเท้าเข้ามาตรงหน้าหล่อน ทิ้งกระเป๋าเดินทางไว้ข้างตัว แล้วก็สวมกอดร่างของหล่อนไว้ในวงแขน

“น้าพงศ์! น้าพงศ์!” หญิงสาวพึมพำด้วยเสียงอันสั่นเครือ “นี่นุชฝันไปหรือ? หรือว่าน้ามาจริงๆ?”

ชายหนุ่มยังไม่ตอบ เขากอดหล่อนประทับไว้กับตัว จับศีรษะที่พิงอยู่ตรงทรวงอก มีอาการเต็มไปด้วยความรักความสงสารอย่างสุดซึ้ง แล้วจึงเชยคางหล่อนให้เงยหน้าขึ้นพลางพูดว่า

“น้ายังคงเป็นน้าพงศ์ของนุชอยู่เสมอ ไม่ว่านุชจะเป็นใคร เงยหน้าขึ้นให้น้าดูหน่อย โอ! หน้าซีดออกอย่างนี้ เจ็บไข้เป็นอะไรไปด้วยหรือ?”

“เจ็บในใจ” นุชตอบเสียงกระเส่า เงยหน้าอันอาบด้วยน้ำตาขึ้นมองดูเขา ในขณะที่มือทั้งสองของหล่อนลูบคลำบ่าของเขาอยู่ไปมา “นุชกลุ้มใจเหลือกำลัง เป็นทุกข์มาก...เอ้อ นี่น้าพงศ์มาทำไม?”

“ช่างถามได้ว่ามาทำไม” ชายหนุ่มพูดอย่างอ่อนโยน “ก็มาหานุชน่ะซี”

“มาจากกรุงเทพฯ มาหานุชถึงที่นี่ช่างดีเหลือใจ! ได้รับจดหมายของนุชแล้วหรือ?”

“เพิ่งได้เมื่อวานนี้เอง น้ามีธุระต้องมาอยู่ที่ชุมพรได้ ๑๒ วันเข้าวันนี้ จดหมายของนุชไปกรุงเทพฯ ก่อน แล้วจึงย้อนมาถึงน้าทำให้เสียเวลาไป ถ้าน้าอยู่ในกรุงเทพ ฯ คงจะได้มาหานุชก่อนหน้านี้หลายวันแล้ว”

“แหม! ใจดีถึงเพียงนั้น นุชไม่นึกเลยส่งจดหมายไปก็ไม่นึกว่าจะได้รับตอบ เพราะว่า...........เพราะอะไรก็ไม่รู้………..แต่ในที่สุด น้าพงศ์ก็คงเป็นน้าพงศ์ของนุชน่ะเองนะคะ นี่น้าพงศ์จะมาอยู่สักกี่วัน?”

“พรุ่งนี้น้ามีธุระจำเป็นที่จะต้องไปสุราษฎร์…. อย่าเพ่อตกใจ...ไปแล้วน้าจะกลับมาอีก และจะอาศัยพักอยู่กับนุชจนกว่า....เอ้อ....จนกว่านุชจะเบื่อ”

“เบื่อ!” นุชทวนคำ และค้อนน้อยๆ “พูดอะไร! นุชไม่เคยเบื่อน้าพงศ์เลย เรามีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยไปเสมอ”

ชายหนุ่มยิ้มอย่างแช่มชื่น เช็ดน้ำตาให้หล่อนด้วยผ้าเช็ดหน้าของเขาเอง นุชยิ้มอย่างอ่อนหวานแสดงความขอบคุณ แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“ดูซี นุชปล่อยให้น้ายืนอยู่ได้ ลืมไป ความที่ดีใจไม่นึกเลยว่าจะได้พบกันอีก เข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ ร้อนออกจะตายไป” พูดแล้วหล่อนก็หยิบหมวกจากศีรษะเขา จับแขนเขาไขว้กับแขนของหล่อน พงษ์หิ้วกระเป๋าเดินทางด้วยมืออีกข้างหนึ่ง แล้วทั้งสองพากันเข้าไปข้างในตึก

“น้าตั้งใจมาเยี่ยมบิดาของนุชด้วย” พงศ์บอกเมื่อหญิงสาวชี้ที่ให้เขานั่ง “พาน้าไปรู้จักกับท่านเสียก่อนดีกว่า คนที่นี่จะได้รู้ว่าน้าไม่ใช่คนอื่น ดูซี เขาพากันมาแอบดูเรา” พูดพลางพงศ์ชี้ให้นุชดูคน ๒ คนที่แอบอยู่หลังบันได

เนื่องจากที่พงศ์พูดด้วยเสียงอันดังเป็นปกติ เพราะเขาตั้งใจจะให้ผู้ที่แอบอยู่ได้ยินด้วย คนทั้งสองรู้สึกตัวออกกระดากก็เลยหลบหน้าหายไป ทั้งเขาและนุชต่างพากันหัวเราะ ชายหนุ่มฉวยหมวกจากมือนุชพัดให้ตัวเอง พร้อมกับพัดให้หล่อนด้วย พลางถามเสียงค่อนข้างเบาว่า

“เราหาที่นั่งให้ดีกว่านี้ได้ไหม จะได้คุยกันสะดวก น้าอยากฟังเรื่องของนุช มาอย่างไรไปอย่างไรจึงได้เกิดรู้ความจริงขึ้น”

สีหน้าของนุชสลดลงเล็กน้อย ในขณะที่หล่อนตอบว่า

“ได้ซี นุชจะเล่าให้ฟังทั้งหมด แต่ว่าน้าไม่รับประทานอะไรบ้างหรือ ข้าวหรือขนมหรือน้ำ รับประทานเสียก่อนจึงค่อยพูดธุระกัน”

“อย่าเลย ขอบใจ” พงศ์ตอบโดยเร็ว “รับประทานมาแล้วในรถไฟ เวลานี้ไม่หิวและไม่กระหายอะไรทั้งนั้น”

หล่อนยิ้มอย่างหวาน และยื่นมือให้เขาทั้งสองข้าง พลางว่า

“ยังงั้นก็ตามนุชมาซี จะได้รู้เรื่องละเอียดเดี๋ยวนี้”

หล่อนนำเขาผ่านตึกไปสู่สวน แวะหยิบเสื่อที่ตากอยู่กลางแดด เขากับหล่อนช่วยกันถือคนละข้าง หล่อนนำเขาไปยังที่เคยสำราญของหล่อน ปูเสื่อเรียบร้อยแล้วก็นั่งลงด้วยกัน

ทั้งสองสนทนากันอย่างยืดยาว นุชเล่าเรื่องของหล่อนโดยละเอียด เริ่มแต่เหตุที่ทำให้อัมพรบอกความจริงแก่หล่อน ตลอดจนความรู้สึกของหล่อนเอง ซึ่งเต็มไปด้วยการต่อสู้ระหว่างความอาย ความรังเกียจ และความรู้คุณในตอนต้น ความอิ่มเอิบของบุคคลที่ได้เสียสละสิ่งที่ตนรักเพื่อประโยชน์แก่คนๆ หนึ่ง คือบิดาของหล่อนเองในตอนกลาง และความเสียดายในสิ่งที่ตนได้สละแล้ว คือความบันเทิงทั้งมวลในกรุงเทพ ฯ ในที่สุด เมื่อจบแล้วหล่อนจึงกล่าวกับเขาว่า

“เมื่อเรื่องมันเป็นเช่นนี้ ช่วยบอกนุชหน่อยว่านุชควรทำอย่างไร พ่อของนุชรักนุชอย่างน่าสงสาร ท่านว่านุชเหมือนแม่ราวกับคนเดียวกัน เพราะอย่างนั้นท่านจึงรักมาก รักจนนุชห่างท่านไม่ได้ หายไปประเดี๋ยวก็ถาม ส่วนเมืองนี้ก็แสนที่จะเหงา หาเพื่อนไม่ได้เลย ข้างคุณแม่ก็มีแผลอยู่ในใจนุช และนุชก็นึกอายใครๆ ที่เขาเคยรู้จักนุชมาก่อน เลยไม่รู้จะทำอย่างไร จะอยู่กับพ่อที่นี่ดี หรือจะกลับไปอยู่กับคุณแม่ตีหน้าหลอกคนเขาเรื่อยไปดี การที่ตัดสินใจไม่ตกลงนี่แหละทำให้นุชกลุ้มใจนัก ช่วยตัดสินใจให้นุชที น้าพงศ์ว่าอย่างไร นุชจะทำอย่างไร”

พงศ์นิ่งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า

“นุชเขียนจดหมายเล่าเรื่องนี้ ถึงเจ้าคุณรัตนวาทีแล้วหรือยัง!”

“ยังค่ะ ไม่รู้จะเขียนว่ากระไรดี แต่นุชเชื่อว่าคุณแม่คงเขียนแล้ว”

พงศ์นั่งตรึกตรองอีกวาระหนึ่ง ในที่สุดจึงว่า

“เอาเถอะ เวลานี้อย่าเพิ่งนึกอะไรเลย ทำใจสบายไว้ก่อน เมื่อน้ากลับจากสุราษฎร์จะบอกให้ว่านุชควรทำอย่างไร”

ต่อจากนั้น นุชได้พาพงศ์ไปหาบิดาตามที่เราต้องการ ชายหนุ่มแสดงความเคารพต่อนายอาจเป็นอันดี ทำให้ชายชราคลายจากความประหม่า ซึ่งปรากฏอยู่ในกิริยาเมื่อแรกที่นุชพาพงศ์เข้าไปถึง และทำให้อัมพรกับนุชรู้สึกขอบคุณเขาเป็นอย่างยิ่ง ทนายความผู้มีชื่อได้ใช้ความสามารถในทางพูดชักจูงชายชราให้สนทนาโต้ตอบกับเขาได้อย่างคล่องแคล่ว และได้ทำให้สีหน้าชายชราแช่มชื่นขึ้น เพราะความเพลิดเพลินในการสนทนานั้นด้วย

พงศ์โดยสารรถไปสุราษฎร์ธานีในวันรุ่งขึ้น และกลับมาใน ๔ วัน นุชไปรับเขาถึงที่สถานีพาตัวเขากลับมาบ้านด้วยดวงใจเปี่ยมด้วยความยินดี หล่อนกับเขาไปเที่ยวด้วยกันพร้อมทั้งอัมพร และหลวงประกอบ ฯ ผู้นำ นุชลืมความกลุ้มกลับชื่นบานเกือบเท่าเก่า และเห็นเมืองหลังสวนครึกครื้นขึ้นเป็นอันมาก สถานที่ใดที่เคยเห็น หล่อนมิได้เว้นที่จะแนะนำให้หลวงประกอบฯ พาเขาไปดู และพงศ์ก็มิได้เว้นที่จะแสดงความเอาใจใส่ในภูมิประเทศทุกส่วนที่นุชชี้ให้ชม เที่ยวทั้งทางรถทางเรือ ๓ วันแล้วก็ยุติ ต่อจากนั้นเปลี่ยนเป็นทางเดิน ถึงตอนนี้นุชก็เกิดความรู้สึกเห็นความจริงอีกข้อหนึ่ง คือเห็นว่าเมืองนี้มีคุณสมบัติสมชื่อดาษดื่นไปด้วยไม้ผล นี่ก็มังคุดต้นสูงตระหง่าน ผลดกสีแดงเข้ม นั่นก็ลางสาดช่อเขียวไปทั้งต้น โน่นก็เงาะพวงสีแดงห้อยระย้าดังจะท้าให้หักมาชิม ไปๆ ประเดี๋ยวก็พบสวนออกร่มรื่นไปทั้งนั้น นุชกับพงศ์ไป ด้วยกันแต่เพียงสองคน และได้รับความสุขสำราญบานใจยิ่งกว่าไปกับคนหมู่มาก มีคำกล่าวไว้ในภาษาพม่าว่า ป๊วยก็องป๊วยม็องอ้ำคึ้ด ป๊วยล่อป๊วยล่ออ้ำคึ้ดปวย ส็องก้อกุมกัน ความว่าจะดูการมหรสพที่วิเศษปานใด อันความเพลิดเพลินจะเสมอด้วยอยู่สองต่อสองกับคนรักเป็นไม่มี!

บ่ายวันหนึ่งเขาทั้งสองพากันไปเดินเที่ยว ในเขตศาลาว่าการรัฐบาล ลัดเลาะไปตามบริเวณสวน ที่นั่นเป็นที่โล่งเตียน มีลานหญ้าโล่งสะอาดเดินไปถึงใต้ต้นมะม่วงใหญ่ต้นหนึ่ง พงศ์ก็ทรุดตัวลงนั่งแล้วพูดว่า

“เหนื่อยแล้วหยุดพักนั่งสักประเดี๋ยวเถิด”

นุชมองดูเขาพลางหัวเราะ

“อะไร อ่อนแอจริง ผู้หญิงก็ไม่ได้” หล่อนว่า

เขาเหนี่ยวข้อมือหล่อนให้นั่งลง โดยมิได้โต้ตอบ ครั้นหล่อนนั่งลงแล้วเขายังคงกุมมือหล่อนไว้ ลูบคลำอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า

“น้าเตรียมคำตอบในเรื่องการตัดสินใจของนุชไว้แล้ว อยากจะฟังเรื่องหรือยัง?”

สีหน้านุชเผือดลงทันที มองดูเขาด้วยสายตาแสดงความร้อนใจแล้วพูดว่า

“อย่าเพ่อตอบเลยค่ะ เก็บไว้ตอนเมื่อเวลาน้าจะขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพฯ ดีกว่า เวลานี้ขอให้เรานึกถึงแต่ความสุขที่อยู่เฉพาะหน้าก่อนเถอะ”

เขาบีบมือหล่อนแน่นเข้า ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วตอบว่า

“นุชยังไม่เข้าใจดี น่าเชื่อว่าคำตอบของน้าจะทำให้นุชเป็นสุข ถ้าหากนุชรักน้าเหมือนอย่างน้ารักนุช.. หมายความว่า ถ้ารักน้าพอที่จะเชื่อฟังคำน้า”

หล่อนมองดูเขาอย่างสนเท่ห์ แล้วพูดแกมหัวเราะ

“ฟังยากจริง แต่ว่านุชดูเหมือนจะเข้าใจเล็กน้อย พูดต่อไปอีกหน่อยซิคะ”

พงศ์ก้มหน้ามองดูมือน้อยๆที่อยู่ในมือของตนแล้ว พูดทั้งที่อยู่ในอิริยาบถเดิม

“สงสัยว่า นุชรักน้าเหมือนน้ารักนุชไหมหนอ?”

“เหมือน” หญิงสาวรับอย่างหนักแน่น “ทำไมจะไม่เหมือน น้าพงศ์รักนุชเท่าไร นุชก็รักน้าพงศ์เท่านั้น จะมากกว่าเสียด้วยซ้ำละกระมัง?”

“ไม่ใช่” พงศ์ค้าน เงยหน้าขึ้นมองดูหน้าหล่อน “เหมือน กับ เท่า ไม่ใช่คำเดียวกัน นุชไม่เข้าใจหรือ”

“ไม่เข้าใจจนนิดเดียว” หญิงสาวตอบและหัวเราะอย่างขบขัน “รักเหมือนหรือไม่เหมือนเป็นอย่างไร?”

“จะต้องให้น้าอธิบายด้วยหรือ?” พงศ์กล่าวอย่างวิงวอน มองดูหน้าหล่อนไม่เต็มตาชะงักอยู่วาระหนึ่งแล้วจึงพูดต่อไป “ฟังให้ดีนะ ความรักระหว่างเราทั้งสองเวลานี้กับแต่ก่อนต่างกัน นุชคงรักน้าอย่างที่เคยรักน้าพงศ์ แต่น้ารักนุชเป็นอย่างอื่น เข้าใจไหม?”

สีหน้านุชแดงเรื่อขึ้น คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากัน หล่อนเริ่มเข้าใจความได้รางๆ แต่ยังคงมองดูเขาอย่างสงสัย พงศ์เห็นดังนั้นก็เขยิบเข้าใกล้หล่อนอีกจนแขนต่อแขนชิดกัน และริมฝีปากของเขาแนบกับหูหล่อน ด้วยน้ำเสียงแสดงความตื่นเต้นและร้อนใจ เขากระซิบต่อไปว่า

“ยังไม่เข้าใจอีกหรือนี่ จะต้องให้พูดตรงๆ แต่ก่อนน้าเคยรักนุชเหมือนหลานของน้าแท้ๆ เดี๋ยวนี้นุชไม่ใช่หลานของน้า แต่น้ากลับรักนุชมากกว่าเดิมเป็นหลายเท่า นุชจะแต่งงานกับน้าได้ใหม?”

แต่งงาน! เอ! แต่งงานกับน้าพงศ์! ฟังดูแปลกประหลาดเสียนี่กระไร นุชถอยห่างจากเขาและมองดูเขาอย่างตกตะลึง สีหน้าพงศ์เผือดลงทันที ถอยห่างจากหล่อนเช่นเดียวกัน และจ้องดูหล่อนนิ่งอยู่ นุชลุกขึ้นยืน ยิ้มอย่างประหม่าพูดว่า

“กลับบ้านกันเสียทีเถอะ ประเดี๋ยวอัมพรจะคอยรับประทานน้ำชา” พูดแล้วหล่อนก็ออกเดิน

ตกกลางคืน พระจันทร์แจ่ม ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินอ่อน ดารดาษด้วยดวงดาว ดาวพระศุกร์สุกยิ่งกว่าดาวทั้งหลาย รัศมีสีสว่างเป็นประกายดังจะหยดจากฟากฟ้า นุชแอบยืนเยี่ยมหน้าอยู่ที่ช่องหน้าต่างพินิจดูความงามแห่งธรรมชาติ พลางใช้สมองตรึกตรองถึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในตอนเย็น ทันใดนั้นดวงจิตก็ประวัติถึงความหลังในระยะ ๙ ปีที่แล้วมา

ในเวลานั้นนุชเข้าใจว่าตัวเองอายุเพียง ๑๐ ปีเศษ หล่อนได้พบกับพงศ์เป็นครั้งแรกในคราวที่เขามาเยี่ยมคำนับเจ้าคุณรัตนวาที และพี่สาวของเขาเอง ผู้ซึ่งได้เดินทางมาถึงกรุงลอนดอน ในนามของราชทูตสยามไม่กี่วัน เมื่อหล่อนถูกคุณหญิงเรียกตัวให้มาหา ‘น้า’ นุชได้ส่งมือให้เขาพร้อมกับย่อเข่าลงเล็กน้อย แต่เขามิได้คำนับตอบหล่อน กลับดึงตัวเข้าไปกอดไว้ ตบศีรษะด้วยมือค่อนข้างหนัก พร้อมกับพูดว่า

“นี่หรืออายุ ๑๑ ขวบ รูปร่างใหญ่โตราวกับเด็ก ๑๒-๑๓”

นุชเพิ่งนึกได้ในเวลานี้เองว่าพงศ์ช่างคาดอายุตามสีหน้าและรูปร่างแม่นยำนี่กระไร พงศ์ถึงอังกฤษเมื่ออายุได้ ๑๒ ปี บัดนี้อายุเขาได้ ๒๓ แล้ว มีนิสัยรักเรียนมาแต่เด็ก แต่ก็ยังมีอัธยาศัยสนุกช่างเล่น จนเป็นเพื่อนกับหลานหญิงอายุ ๑๐ ขวบได้เป็นอย่างดี พงศ์ตามใจนุชทุกสิ่งทุกอย่าง ช่างพาเที่ยวและช่างหาของกำนัลเล็กๆน้อยๆเป็นต้นว่าตุ๊กตา ลูกกวาด โชโคแล็ต และผ้าเช็ดหน้างามๆ มาให้หล่อนเสมอ ทุกคราวที่นุชได้ของถูกใจ หล่อนมักจะยื่นมือให้เขาพร้อมกับพูด “You are so nice uncle, you may kiss my hand” แต่ทุกคราวพงศ์ฉวยมือหล่อนไป ทำท่าเหมือนจะกัดแล้วก็จูบหล่อนที่แก้ม หรือที่หน้าผากแทนจูบมือ ๒-๓ ปีต่อมาเขาสอบไล่วิชากฎหมายได้เป็น Baristor at Law เขาจึงออกประเทศอังกฤษ ไปประเทศฝรั่งเศส เพื่อศึกษาวิชาประเภทเดียวกัน

อยู่ในประเทศฝรั่งเศส ๓ ปี การศึกษาถึงที่สุดได้รับผลสมหวังบริบูรณ์ พงศ์กลับมาเยี่ยมกรุงลอนดอนอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้อยู่เพียงเดือนเดียว แต่ก็เป็นเวลาพอที่จะให้เขาได้รู้เรื่องความรัก ระหว่างหลวงไพรัชฯกับนุชดังได้กล่าวมาแล้ว

ภาพแห่งการพบปะในคราวหลัง คือระหว่าง ๒-๓ ปีที่แล้วมา ปรากฏขึ้นในความทรงจำของนุช ประดุจภาพยนตร์ปรากฏอยู่ในจอ ความเอื้อเฟื้อรักใคร่ และเอาใจเมื่อนุชยังเด็ก พงศ์เคยทำอย่างไรเมื่อหล่อนเป็นสาวเขาก็คงทำอย่างนั้น ผิดอยู่เพียงแต่ว่า เขาไม่อาจดึงมือหล่อนเข้าไปจูบแก้มในเวลาที่หล่อนส่งมือให้เขาเท่านั้น ส่วนภายในหัวใจของเขาจะได้มีความคิดผิดแผกไปหรืออย่างไร นุชไม่เคยนึกสงสัย ครั้นมาได้ยินคำพูดของเขาเมื่อตอนเย็น จึงทำให้รู้สึกแปลกพิกล ในระหว่างที่เดินกลับมาด้วยกัน พงศ์มิได้พูดอะไรอีกจนคำเดียว และนุชเองก็หมดปัญญาที่จะชักชวนให้เขาพูด ต่อเมื่อเข้าเขตประตูบ้าน พงศ์ได้จับมือไปจรดกับริมฝีปาก เป็นกิริยาที่จับใจนุชจนหล่อนมิได้ขัดขืน แล้วเขาได้พูดกับหล่อนว่า

“ถ้าคำพูดของน้าไม่ถูกหูนุช นุชกรุณาน้าไม่ได้ น้าก็ขอโทษและจะลานุชกลับกรุงเทพฯ พรุ่งนี้”

เมื่อนึกถึงคำพูด ๒-๓ คำนั้น นุชก็อ่านใจตนเองออกในทันใด เพราะในวาระแรกที่หล่อนได้ยินว่าเขาจะลากลับ ก็รู้สึกหวิววาบดังหนึ่งใครมาควักล้วงเอาดวงใจไปเสียจากตัว ความรู้สึกชนิดนี้จะเกิดจากเหตุใดนอกไปจากความรัก ปราศจากพงศ์เสียแล้ว เมืองหลังสวนก็จะเปรียบได้กับเมืองนรก เป็นเคราะห์ดีที่นุชมีโอกาสเลือก และเมื่อเลือกได้แล้ว หล่อนจะไม่ยอมให้เขาจากไปด้วยความไม่พอใจเป็นอันขาด “น้าพงศ์! น้าพงศ์! คนดีของนุช ช่างใจน้อยนี่กระไร!”

กำลังคิดเพลิน หูแว่วได้ยินเสียงฝีเท้าเหยียบย่ำใบไม้ดังสวบสาบอยู่เบื้องล่าง มองลงไปเห็นชายหนุ่มสวมกางเกงและเสื้อสีขาวเดินอยู่ในเงาไม้ ลักษณะยิ้มอย่างอ่อนโยนปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากนุช หันกลับเข้าไปในห้องตรงไปที่บ้าเครื่องแป้ง ส่องกระจกดูเงาของตนเอง ครั้นเห็นหน้ายังคงนวลและผมก็เรียบร้อยเป็นที่พอใจแล้ว หล่อนก็หรี่ตะเกียงลงเล็กน้อย แล้วลงบันไดไปข้างล่าง

พงศ์ยืนสูบบุหรี่อยู่ระหว่างเงาไม้ใหญ่ เมื่อแลเห็นนุช เขาก็เดินมาต้อนรับ และพูดว่า

“นึกว่านอนหลับเสียแล้วละ หายไปอยู่ไหนไปทำอะไรมา?”

นุชมิได้ตอบคำถาม กลับย้อนถามว่า

“ไปเดินเล่นที่หน้าบ้านกันไหมละคะ เดือนหงายเย็นสบายอย่างนี้น่าเดินเล่นในที่โล่ง”

“นุชอยากไปหรือ?” พงศ์ถามเรียบๆ

“อยากไปค่ะ มีเวลาเหลืออีกคืนเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้น้าพงศ์จะกลับกรุงเทพฯ เสียแล้ว” พูดพลางนุชออกเดิน

“ไม่ใช่กลับกรุงเทพฯ” พงศ์ค้านเสียงเดิม “ขี้เกียจขึ้นรถไปเวลา ๘ ทุ่ม โกลาหลนัก จะไปพักชุมพรเสียคืนหนึ่งก่อน”

นุชไม่พูดว่ากระไร ทั้งสองเดินเคียงกันมาเงียบๆ ตามทางเดินปนทราย สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ทั้งใหญ่น้อย พงศ์กับนุชมิได้ตั้งใจจะไปไกลบ้านนัก พากันเดินกลับไปกลับมาอยู่ในทางยาวใกล้ๆ นั้นเอง

๓ นาทีต่อมา พงศ์จึงเอ่ยขึ้นว่า

“นุชจะไล่ให้น้ากลับพรุ่งนี้จริงๆ หรือ?”

“นั่นแน่!” นุชร้องแกมหัวเราะ “นุชไล่เมื่อไหร่ ก็น้าพงศ์บอกกับนุชว่าจะกลับเองต่างหาก”

“น้าบอกว่าแล้วแต่นุช ให้นุชเป็นคนเลือกยังไงล่ะ”

นุชไม่ตอบ ทั้งสองฝ่ายก็นิ่งเงียบกันไปอีก ภายหลังนุชเงยหน้าขึ้นดูท้องฟ้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า

“นั่นดาวอะไรคะ ง้ามงาม ดวงโตทีเดียว!”

พงศ์แหงนหน้าขึ้นดูตามมือหล่อนชี้ แล้วตอบว่า

“ดาวพฤหัส”

“แหม! แลดูอยู่ชิดกับพระจันทร์เทียวนะคะ”

“ดูใกล้มาก แต่ก็ยังห่างกันนักหนา ไม่มีโอกาสจะได้ชิดพระจันทร์ยิ่งกว่านั้น” เว้นระยะหายใจแล้วจึงพูดต่อไป “เปรียบเหมือนนุชกับตัวน้านี้”

นุชหัวเราะเบาๆแล้วเปลี่ยนเสียงพูดอย่างเป็นงานเป็นการ

“เมื่อน้าพงศ์พูดกับนุชเมื่อเช้านี้ ได้นึกถึงพ่อของนุชบ้างหรือเปล่า?”

“นึก” ชายหนุ่มตอบและมองดูหล่อนอย่างสงสัย “นึกถึงเสมอ ทำไม?”

“แล้วนึกหรือเปล่าว่า ถ้าน้าพงศ์แต่งงานกับนุช เพื่อนฝูงของน้าพงศ์เขาจะว่าอย่างไร เขามิจะพากัน ดูถูกน้าพงศ์แย่หรือคะ?”

“มิใยใครจะดูถูก!” พงศ์พูดอย่างแน่นแฟ้น “น้าไม่เอาใจใส่กับใครทั้งนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่ตัวนุชคนเดียว”

“แล้วก็น้าเองไม่รังเกียจที่จะเป็นลูกเขยของ...ของนายอาจหรือคะ?”

“พูดอะไรอย่างนั้น” พงศ์กล่าวเสียงค่อนข้างดัง แล้วเขาจับมือหล่อนให้หยุดเดิน มองดูหล่อนตรงหน้า พูดด้วยเสียงมีกังวานหนักแน่น

“น้าจะบอกอะไรให้ฟัง ตามหลักของคริสตศาสนา สอนให้มนุษย์รักเพื่อนมนุษย์เท่ากับตนเอง พระพุทธศาสนาของเรา สอนให้มนุษย์มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์เสมอด้วยมารดาเมตตาต่อบุตร เพราะฉะนั้นจะเป็นใครก็ตาม แม้จะได้ทำความผิดอย่างแสนสาหัส เราจำเป็นต้องมีเมตตาต่อเมื่อมีเมตตาแล้ว ก็ย่อมต้องให้อภัยและไม่ดูหมิ่น ความผิดของนายอาจมิใช่ผิดด้วยใจเจตนา เป็นความผิดที่เกิดจากความเดือดร้อนฉุนเฉียวชั่วแล่น นอกจากนั้น เมื่อได้ทำผิดแล้วก็เสียใจ และคิดป้องกันปรารถนามิให้ถูกต้องมีมลทินติดตัว ถึงกับสละทรัพย์มรดกและลูกของตัวเองให้กับคนอื่น ข้อนี้เราต้องไม่ลืม และต้องนึกว่านายอาจเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติจึงสรรเสริญข้อหนึ่ง คือไม่มีความเห็นแก่ตัวเสียเลยทีเดียว”

พงศ์หยุดพูด นุชจ้องดูเขาด้วยสายตาเต็มตื้นไปด้วยความกตัญญู ชายหนุ่มค่อยๆ เอื้อมมือไปจับมือ หล่อนทั้งสองข้างยกขึ้นจุมพิต แล้วประทับไว้กับอกพลางพูดต่อไป

“นุชของน้า ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะขัดขวางมิให้น้ารักนุชได้ น้าไม่พะวงถึงใครทั้งนั้นในโลกนี้ขอแต่ให้นุชรักน้าบ้างเป็นพอ”

นุชเอนศีรษะลงชิดกับตัวเขา เป็นคำตอบที่แจ่มแจ้งชัดเจนยิ่งกว่าคำใดๆ พงศ์ค่อยๆ จับหน้าหล่อนให้เงยขึ้น ครั้นแล้วในท่ามกลางแสงสว่างแห่งดวงจันทร์ เขาได้จุมพิตหล่อนเป็นครั้งที่หนึ่ง โดยสิทธิและฐานะแห่งคู่รัก ที่ได้เคยสนิทสนมและไว้วางใจต่อกันมาตั้งแต่อายุยังน้อย

เมื่อหนุ่มสาวทั้งสองกลับถึงบ้าน ได้ความว่านายอาจนอนแล้ว และอัมพรอยู่ในห้องชั้นบน นุชจึงทิ้งพงศ์ไว้แต่คนเดียวก่อน รีบตรงขึ้นไปหาอัมพร เพื่อแจ้งข่าวใหม่ให้ทราบเรื่องตลอด “ความรักของน้าพงศ์เริ่มเปลี่ยนรูปตั้งแต่เมื่อแรกรู้ว่านุชไม่ใช่หลานของเธอแท้ๆ เพราะฉะนั้น กิริยาของเธอที่แสดงต่อนุชในตอนหลังจึงดูไม่สนิทสนมเหมือนแรกๆ แต่เธอก็คงไม่กล้าให้นุชรู้ระแคะระคายในความรักของเธอ เพราะเหตุว่าในฐานะที่เป็นน้าเธอ ไม่ควรรักหลานให้เป็นอย่างอื่น”

“เอ! อัมพรเคยสังเกตเห็นหรือ?” นุชถามและยิ้มอย่างยินดี

“เห็นซี พี่นึกสงสัยอยู่แล้วว่า วันไหนที่รู้ว่านุชไม่ใช่หลานของเธอ วันนั้นเธอคงจะให้นุชแต่งงานด้วยทันที ดีแล้วน้องรัก พี่ยินดีด้วย คุณพ่อกับพี่จะได้หมดห่วง”

ในขณะที่อัมพรพูดมีน้ำตาคลอตา ถึงกระนั้นหล่อนก็ยิ้มอยู่ตลอดเวลา เมื่อหล่อนกล่าวประโยคสุดท้ายจบลง นุชก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเศร้า

“นุชซี กลับเป็นห่วงพ่อกับอัมพร”

“โอ๊ย ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว” อัมพรพูดโดยเร็ว พร้อมกันนั้นหล่อนเดินหน้าไปเสียทางหนึ่ง “พี่ไม่มีความอาลัยตายอยากกับชีวิตที่แล้วมาแม้แต่น้อย เคยแต่ภาวนาว่าเมื่อไร อะไรๆต่างๆที่แล้วแต่เป็นของลวงจะถึงที่สุดกันสักที และพี่เตรียมอยู่เสมอที่จะผจญกับทุกทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจจะมาในเบื้องหน้า มนุษย์เราจะเลือกวิถีชีวิตของตนเองไม่ได้ ต้องแล้วแต่บุญกรรมจะบันดาลให้เป็นไป เป็นหน้าที่ของพี่จะต้องอยู่กับคุณพ่อ ในเมืองหลังสวนนี้พี่ก็เต็มใจอยู่ ขอแต่ให้นุชมาเยี่ยมคุณพ่อบ้างเท่านั้น”

“นุชจะมาบ่อยที่สุดที่จะบ่อยได้” นุชรับอย่างมั่นคง “น้าพงศ์คงจะไม่ขัดใจนุชเลย เธอรักนุชมากแล้ว อัมพรต้องไปอยู่กับเราที่กรุงเทพ ฯ บ้างบางคราว”

อัมพรพยักหน้า หล่อนไม่สามารถจะกล่าวถ้อยคำใดให้ผ่านพ้นลำคอออกมาได้จึงโอบร่างของน้องสาวมากอดไว้แน่น แล้วทั้งสองก็พากันลงไปแสดงความยินดีต่อพงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ