วันต่อมา นุชได้รับความฉงนใจยิ่งขึ้น พงศ์ผู้เป็นทั้งน้า และเป็นทั้งเพื่อนของนุชได้หายหน้าไป ไม่เยี่ยมกรายมายังบ้านพี่สาวอีกเลย นุชนำข้อสงสัยไปปรารภกับมารดาคุณหญิงก็ทำหน้าขรึมและพูดสั้นๆ ว่า “ไม่รู้เขารึบางทีเขาจะมีธุระยุ่งมากกระมัง” เมื่อได้รับคำตอบดังนั้นแล้ว นุชก็ตกลงใจเขียนจดหมายไปถึงเขาถามข่าว และขอให้เขาปลีกตัวมาเยี่ยมหล่อนบ้าง “นุชกลุ้มใจจริงๆ” หล่อนเขียน “จะหาใครปรับทุกข์ด้วยก็มิได้ พูดกับอัมพรก็ไม่เข้าใจกัน อัมพรมีคำพูดลับลม นุชไม่รู้เรื่องเขาพูดอะไร สอนอยู่แต่ว่าไม่ให้รักใคร ไม่ให้ไว้ใจใครตลอดจนคนที่อยู่ด้วยกันทุกวัน แปลกจริง คนเราจะให้อยู่ในโลกโดยไม่รักใคร ไม่ไว้ใจใครบ้างอย่างไรได้ อย่างนั้นนุชจะแขวนคอตายเสียดีกว่า นุชคิดถึงน้าเหลือเกิน” ส่งจดหมายไปแล้วอาทิตย์กว่าจึงได้รับตอบ แต่ก็เป็นเพียงจดหมายสั้นๆ ปราศจากข้อความสำหรับประโลมใจ ผู้รับเต็มไปด้วยดินฟ้าอากาศ ห่างเหิน และไม่มีลักษณะของพงศ์เจือปนอยู่แม้แต่น้อย ครั้ง ๑ ก็แล้ว ครั้ง ๒ ก็แล้ว ครั้ง ๓ ก็แล้ว ไม่ดีขึ้น ดูเหมือนพงศ์จะตั้งใจให้สำนวนจดหมายของเขาชาเย็น เพื่อตีห่างจากนุชเป็นลำดับ จนในที่สุดนุชก็สิ้นความพยายาม

ในระหว่างนั้นคุณหญิงสวงได้เปิดประตูบ้านของท่านรับรองญาติและมิตรสหายทั้งเก่า และใหม่มิได้เว้นแต่ละวัน คุณหญิงเป็นผู้มีนิสัยและมรรยาทเหมาะแก่การเข้าสมาคมทุกอิริยาบถ ท่าทีเป็นสง่าน่านับถือกิริยาดี สีหน้ายิ้มแย้ม พูดเพราะ อีกทั้งรู้จักฟังเมื่ออยู่ในหมู่คนที่ฝักใฝ่สมัยใหม่ เข้าในหมู่ผู้ที่เคร่งครัดในขนบธรรมเนียมโบราณ คุณหญิงก็เป็นคนโบราณ เข้ากับชาวต่างประเทศ คุณหญิงก็กลับเป็นคุณหญิงทูต ประจำพระราชสำนักเซนต์เยมส์ได้อีก เมื่อมีแขกหน้าใหม่เข้ามาในบ้าน คุณหญิงคงเรียกบุตรีทั้ง ๒ ให้ออกมารู้จักด้วยเป็นนิตย์ อัมพรมักจะย่างเท้าเข้าในห้องรับแขกด้วยสีหน้าอันปั้นปึ่งและท่าทางอันไว้ตัว ประดุจจะทำให้แขกเหล่านั้นเห็นเป็นสัญญาณ บอกกล่าวว่า “ฉันไม่ต้องการสมาคมกับท่าน อย่าเข้ามาเฉียดฉันนะ” ส่วนนุชนั้นเนื่องจากเรื่องของนายสุนทรยังฝังแน่นอยู่ในใจ ทำให้หล่อนมองดูชายหนุ่มทุกคนด้วยความระแวง แต่นุชมิใช่หญิงที่จะฝืนนิสัยตัวเองได้นาน นิสัยของหล่อนเป็นคนตรง ชอบสนุก แจ่มใสร่าเริงอยู่เป็นนิตย์ ดังนั้น ในคราวที่ได้ฟังคำสนทนาอันสนุกสนาน หล่อนก็มักจะลืมความตั้งใจ ที่จะวางตัวห่างเหินกับคนทุกคนที่หล่อนได้พบดังเช่นอัมพร กลับปล่อยตัวให้เพลิดเพลินไปกับเขาด้วย คัดค้านคำพูดของเขาหรือส่งเสริม และหัวเราะอย่างเปิดเผยเมื่อหล่อนรู้สึกสนุก อันลักษณะของนุชนั้น ดูเหมือนธรรมชาติจะได้สร้างสรรค์มาสำหรับความสดชื่นให้แก่โลก ผู้ใดได้พบปะสนทนาด้วยเพียงครั้งสองครั้ง ที่จะไม่ติดใจในความน่ารักของหล่อนนั้นน้อยนัก เว้นเสียแต่ท่านผู้เฒ่าโดยมากพากันเห็นว่ากิริยาของหล่อนโลดโผนเกินไป ไม่นุ่มนวลเหมือนธิดาและหลานของท่าน บางทีถึงกับได้นำไปตำหนิลับหลังว่าหล่อนมีนิสัย ‘กล้าผู้ชาย’ ทั้งนี้ ก็เพราะมรรยาทอันติดจะเป็นฝรั่งมากกว่าไทยนั่นเองเป็นเหตุ และท่านเหล่านั้นมิได้นึกถึงว่านุชได้รับการศึกษา และอบรมอยู่กับสตรีชาวยุโรปตลอดอายุของหล่อน ทั้งเป็นสตรีชาวยุโรปในสมัยศตวรรรษที่ ๒๐ ของคริสตกาลเสียด้วย

วันหนึ่ง คุณหญิงออกจากบ้านไปซื้อของแต่เวลาสาย บุรุษไปรษณีย์นำจดหมายสลักหลังถึงท่านมาส่งที่บ้านฉบับหนึ่ง นุชเป็นผู้รับเองแล้วตรงไปยังห้องคุณหญิง พอพบกับอัมพรที่ตรงประตูห้อง นุชจึงส่งจดหมายให้พี่สาว อัมพรชำเลืองดูอย่างไม่สู้เอาใจใส่ แต่พอเห็นลายมือที่หลังซองสีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไปทันที นุชมิได้สังเกตกิริยาของผู้รับ ส่งจดหมายให้แล้ว หล่อนก็ไปทำธุระของหล่อนต่อไป ส่วนอัมพรเดินกลับเข้าในห้อง ไปยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ เพ่งดูจดหมายประดุจเพ่งดูสิ่งที่แสนรัก พิศดูลายมือแล้วก็ดูดวงตาไปรษณีย์ ทันใดนั้นสีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไปอีก ยกซองขึ้นชิดกับดวงตา เพื่อให้แน่ใจว่าตาดูไม่ผิด ครั้นแล้วดูเหมือนหล่อนเกือบจะยิ้มด้วยความตื่นเต้น และพิศวงมองดูตรงรอยผนึก พลางลูบคลำไปมาประดุจจะต่อสู้กับความใคร่ในการที่จะเปิดออกอ่านเสียก่อนผู้รับ เป็นครู่ใหญ่หล่อนจึงวางจดหมายลงไว้บนโต๊ะ ด้วยอาการบรรจงของผู้ที่วางวัตถุอันพึงถนอมฉะนั้น

เมื่อคุณหญิงกลับมาถึงบ้าน นุชรีบลงไปต้อนรับตามเคย แต่อัมพรได้ลงไปถึงก่อนหล่อนแล้ว ซึ่งเป็นการผิดปกติอยู่บ้าง พอพบหน้าคุณหญิงอัมพรก็รายงานว่า

“มีจดหมายถึงคุณแม่ฉบับหนึ่งค่ะ”

ในขณะที่พูด สายตาของหล่อนจับดูคุณหญิงอย่างมีความหมายซึ่งท่านคงจะเข้าใจ จึงหันไปสั่งนุชว่า

“เอาเนยสดกับลูกไม้กระปองไปให้เขาแช่น้ำแข็งเสียไป๊ ประเดี๋ยวแม่จะลงมารับประทานข้าว”

สั่งแล้วท่านก็ขึ้นบันไดไปชั้นบน อัมพรตามขึ้นไปติดๆ กัน

เกือบครึ่งชั่วโมงภายหลัง คุณหญิงจึงลงมาที่ห้องรับประทานอาหาร นุชคอยอยู่ในนั้นก่อนแล้ว เมื่อไม่เห็นพี่สาวหล่อนจึงถามว่า

“อัมพรล่ะคะ?”

“อัมพรไม่รับประทาน บอกว่าท้องไม่ค่อยดี”

คุณหญิงตอบพลางนั่งลง

“ควรจะไปให้หมอตรวจเสียสักที” นุชกล่าว พลางนั่งลงตรงหน้าคุณหญิง “ประเดี๋ยวหัวประเดี๋ยวท้อง ยุ่งพิลึก”

คุณหญิงไม่ตอบว่าอะไร สีหน้าของหล่อนค่อนข้างขรึม ไม่แสดงว่าท่านอยากพูด นุชจึงไม่รบกวนต่อไป เมื่อได้บริโภคอาหารอยู่ด้วยกันเป็นครู่ใหญ่ ท่านจึงเอ่ยขึ้นว่า

“นุชต้องจัดแจงเตรียมกระเป๋าเดินทาง อีก ๓ วันเราจะไปหัวเมือง”

“โอ! ดีจริง” นุชร้องด้วยความลิงโลด “ไปไหนคะ?”

“ไปหลังสวน”

“หลังสวน อยู่ที่ไหนคะ?”

“อยู่ในมณฑลนครศรีธรรมราช”

สีหน้าของนุชไม่แสดงว่าฉลาดขึ้นกว่าเดิมแม้แต่น้อย แต่จะยืนคำถามเดิมอยู่อีกก็รำคาญใจตัวเองในการพูดซ้ำ หล่อนจึงเดาขึ้นว่า

“อยู่ทางเหนือหรือคะ?”

คุณหญิงหัวเราะ “ไม่รู้ละก้ออย่าเดาหน่อยเลย” ท่านว่า “ศรีธรรมราชอยู่ทางใต้ ทางเดียวกับที่เรามาจากปีนัง”

“เราเตรียมของสำหรับกี่วันคะ?”

“เอาไปพอใช้สัก ๒ อาทิตย์ก็พอ ขัดข้องอย่างไรจึงค่อยจัดการใหม่”

“เมืองนั้นสนุกไหมคะ?” นุชถามต่อไปด้วยน้ำเสียงแสดงความตื่นเต้น

“ไม่รู้เลย แม่ก็ยังไม่เคยเห็น”

“อ้าว, นุชนึกว่าคุณแม่เคยไปแล้ว นี่คุณแม่จะไปเที่ยวหรือคะ หรือไปธุระ”

“ทั้ง ๒ อย่าง แม่จะพานุชไปเยี่ยมญาติ”

“โอ! เขาเป็นอะไรกับนุชคะ?”

คุณหญิงอึ้งไปอึดใจหนึ่ง ในที่สุดจึงตอบว่า

“เป็นลุง”

“พี่ของคุณแม่?”

“อิ๊, ไม่ใช่” คุณหญิงขัดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่นุชจะพูดจบประโยค

“อ้อ, เป็นพี่ของคุณพ่อ” หญิงสาวพูดต่อ รู้สึกประหลาดใจในน้ำเสียงของคุณหญิงเล็กน้อย “ทำไมเราไม่รอให้คุณพอกลับมาเสียก่อนละคะ จะได้ไปพร้อมกัน”

“รอไม่ได้ เขากำลังป่วยอยู่ เราต้องรีบไปเยี่ยม” เป็นคำห้วนๆ

หญิงสาวทำหน้าเศร้า

“โถ! น่าสงสาร ป่วยมากเชียวหรือคะ เป็นโรคอะไร?”

“ก็ไม่มากนักหรอก แต่ว่ารีบไปเสียดีกว่า” พูดแล้วคุณหญิงก็ก้มหน้าลงทำธุระกับอาหาร มีความปรารถนาจะหยุดพูดเสียที แต่บุตรีของท่านยังถามต่อไปอีก

“เขาเป็นใคร...เอ้อ...เรียกว่าอะไรคะ?”

คุณหญิงทิ้งช้อนส้อมลงในจาน “ช่างซักเสียจริงๆ จนไม่มีเวลาเคี้ยวข้าว” ท่านพูดอย่างเบื่อหน่าย ครั้นแล้วกลับนึกได้ว่า ยังไม่มีเหตุผลสมควรที่จะแสดงความฉุนเฉียวเช่นนั้น จึงเสยิ้มและพูดต่อไป “เอาไว้ไปพบกับตัวเขาก่อนเถอะ จะรู้ว่าเขาเป็นใคร”

วันก่อนวันเดินทาง นุชตระเตรียมเครื่องใช้ลงกระเป๋าพร้อมแล้ว จึงเลือกหาเสื้อชั้นนอกที่จะใส่วันขึ้นรถไฟ เสื้อตัวที่ต้องการหายไปไม่อยู่ยังที่ หาเท่าไรก็ไม่พบ นึกเฉลียวใจว่าบางที่คนใช้จะจำผิด จึงเก็บไปไว้ในห้องอัมพร เปิดตู้และกระเป๋าทิ้งไว้พลาง นุชรีบไปยังห้องพี่สาว พบเจ้าของกำลังทำธุระอย่างหนึ่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง นุชตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าลูกกุญแจ ติดอยู่ที่ช่อง หล่อนก็ไขออก พอตู้เปิดหล่อนอุทานด้วยความพิศวง ภายในตู้นั้นว่างเปล่า วัตถุสิ่งใดไม่มีเหลืออยู่ ไม่มีเหลือแม้แต่กระดาษแผ่นเดียว

“ต๊าย..ตาย!” นุชกล่าวแกมหัวเราะแล้วมองดูกระเป๋าใหญ่ที่วางอยู่ข้างตู้ “อัมพรเอาของไปหมดตู้เทียวหรือ? คุณแม่ให้นุชเตรียมไปสำหรับ ๒ อาทิตย์เท่านั้น”

เจ้าของห้องผู้กำลังทำธุระเพลินอยู่ เหลียวมามองดูทันใด เมื่อแลเห็นตู้เปิดอยู่ แววตาของหล่อนแสดงความตกใจเล็กน้อย แต่เป็นอยู่เพียงอึดใจเดียวก็หัวเราะห้วนๆ และพูดว่า

“ไม่แต่หมดตู้ ต้องเรียกว่าหมดห้อง พี่ไปแล้วจะไม่กลับมาอีก”

ในขณะที่พูด สีหน้าและแววตาของอัมพรดูเคร่งเครียด เมื่อเห็นน้องมองดูอย่างไม่เข้าใจ จึงละจากที่เดิมเดินเข้าไปใกล้ ก่อนที่หล่อนจะพูดอะไรต่อไป นุชก็ถามขึ้นว่า

“หมายความว่ากระไร?”

“หมายความอย่างที่พูด” อัมพรตอบอย่างดุดัน “เราจะไปอยู่บ้านของเรา และจะไม่กลับมาที่นี่อีก”

“เรา! เห็นจะไม่หมายถึงนุชด้วย คุณแม่เตรียมของสำหรับอยู่นานเท่ากับนุช ถ้าเราอยู่เสียที่โน่น คุณแม่กลับมาจะอยู่กับใคร?”

“คุณแม่! ฮะๆ เป็นห่วงคุณแม่!” ลดเสียงให้ลงกว่าเดิม “คุณแม่นับวันนับจะไม่ต้องการเรา”

“ทำไม?” นุชถามขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “พูดบ้าๆ ไม่เห็นรู้เรื่อง”

อัมพรยืนตัวตรง มองดูน้องอย่างเคืองแกมสมเพช นิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงถามว่า

“จะต้องการอะไรที่ในตู้ฉัน”

“เสื้อ” นุชตอบห้วนๆ “เสื้อสีนวลของนุชหายไป”

“อยู่บนเตียงนั่นแน่ะ” อัมพรบอกแล้วกลับไปที่โต๊ะเครื่องแป้งตามเดิม

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ