รถด่วนกรุงเทพฯ-ไปร แล่นเข้าชานสถานีหลังสวน เวลา ๒๒.๓๐ นาฬิกา นุชยืนอยู่หน้าห้องชั้นที่หนึ่ง สีหน้าของหล่อนระบายอยู่ด้วยความทึ่ง หล่อนกำลังประหลาดใจที่ได้เห็นสถานีนั้นช่างมีความสว่างน้อยเสียนี่กระไร ไม่มีไฟฟ้า มีแต่โคมดวงเดียวแขวนอยู่ จะมองไปที่ใดก็เห็นแต่ความขมุกขมัว แทบจะเห็นไม่ได้ว่าสัณฐานของสถานีนั้นเป็นอย่างไร แต่นุชไม่มีเวลานึกถึงสภาพเหล่านั้นได้นาน หล่อนได้ยินเสียงคุณหญิงสั่งให้คนใช้ชายหญิง รีบขนของออกจากห้อง พอดีกับรถจักรแล่นเลยหน้าสถานีไปเล็กน้อย พาเอารถคันที่หล่อนยืนอยู่ไปหยุดตรงชานชาลา นาทีหนึ่งต่อมานุชก็ลงมายืนอยู่เบื้องล่าง

คนหมู่หนึ่งเป็นชายทั้ง ๓ เดินเข้ามาใกล้และมองดูหล่อนอย่างไม่แน่ใจ แล้วก็มองไปที่บันไดรถ พอเห็นคุณหญิงสวงกับอัมพร ชายที่มีอาวุโสกว่าเพื่อน ก็หันไปบอกกับคนหนุ่มอีก ๒ คนเบาๆ ว่า “ใช่แล้ว” แล้วเขาทั้ง ๓ ก็โค้งตัวลงคำนับอย่างต่ำพร้อมกัน

คุณหญิงรัตนวาทีก้าวลงจากรถ มีกิริยาดังหนึ่งนางพญา เดินเข้าใกล้ชายผู้มีอายุแล้วถามว่า

“คุณหลวงบำรุงประชาราษฎร์ใช่ไหม?”

ชายผู้นั้นประนมมือไหวคุณหญิงเป็นการแสดงความเคารพครั้งที่ ๒ แล้วตอบคล้ายคนเป็นอ่าง

“ผมเองขอรับ”

“ฉันเกือบจำไม่ได้ สบายดีหรือคุณหลวง?”

“ประทานสบายดี”

คุณหญิงหันไปทางบุตรีพลางว่า

“นี่ไงล่ะ หลานคนเล็ก”

นุชสังเกตเห็นว่า อัมพรได้ไหวชายผู้นั้นแต่ต้น เมื่อเขาหันมามองดูหล่อนอย่างเอาใจใส่ หล่อนจึงไหว้บ้าง ส่วนในใจนึกถึงภาพของพระยารัตนวาทีผู้เป็นบิดา นำมาเปรียบเทียบกับชายนี้ ทั้งรูปร่างท่าทางและกิริยา ช่างไกลกันราวกับฟ้ากับดิน น่าพิศวงเสียนี่กระไร

“เชิญพระเดชพระคุณไปพักที่บ้าน ของให้เขาขนตามไปทีหลังก็ได้” คุณหลวงกล่าวแล้วเหลียวหาชายหนุ่มอีก ๒ คน เห็นเขากำลังสาละวนขนของอยู่ ก็ตะโกนออกไปว่า “เฉลียว…..เฉลียว! มานี่เถอะ ของให้เจ้าชัดเขาดูก็ได้ อ้อ! เจ้าชัด มานี่ก่อน มากราบคุณหญิงท่านเสียก่อน”

ชายหนุ่มทั้ง ๒ รีบวางกระเป๋าลงไว้ แล้ววิ่งมาหาเสียงที่เรียกตน

“กราบคุณหญิงท่านเสีย” ผู้เฒ่าสั่ง “นี่หลวงประกอบธุรการ บุตรกระผม นี่เจ้าชัด บุตรของน้อง”

คุณหญิงพยักหน้าน้อยๆ แล้วถามว่า

“ทำอะไรอยู่ที่นี่?”

“ประทานเขาเป็นนายอำเภอขอรับ เจ้าชัดเขาก็เป็นธรรมการอำเภอ”

“อ้อ, ดี, พี่น้องทำงานอยู่ด้วยกัน ก็แล้วคุณหลวงเลื่อนขึ้นเป็นอะไร?”

“ประทานกระผมถูกปลดแล้ว ครบเกษียณอายุ ตั้งแต่ปีกลาย”

“อ้อ, แล้วเลยมาอยู่รวมกันพ่อลูก ดีจริง” พูดพลางคุณหญิงออกเดิน หลวงประกอบ ฯ สาวเท้าออกหน้าไปก่อน นุชเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาสวมถุงเท้าสักหลาดสีโศกอ่อน รองเท้ายางสีขาวและนุ่งผ้าม่วงในขณะนี้เอง เนื่องจากดูเหมือนเขาจะเดินไม่ได้เร็วทันใจ เพราะผ้านุ่งกระตุก และเขาต้องกุมชายกระเบนซึ่งบัดไปปัดมาแน่นอยู่ ลับตัวไปทางที่พักคนโดยสารเพียงอึดใจเดียวก็กลับมาพร้อมด้วยโคมตาวัวจุดเสร็จใบหนึ่ง ถือโคมนั้นนำหน้าพาแขกของเขาออกจากสถานี

รถที่มารับเป็นรถ ๒ แถว ขนาดใหญ่พอบรรจุคนได้สัก ๒๐ คน เก่าคร่ำคร่าแต่ทว่ายังแข็งแรงดี หลวงประกอบฯนำคุณหญิงมาทางท้ายรถ ซึ่งเป็นทางขึ้น แต่คุณหญิงจะก้าวขึ้นหาได้ไม่เพราะพื้นรถอยู่สูงกว่าระดับพื้นดินมาก

“ชั่วจริง! เจ้าแสงดันเอารถคันกะไดหักมาได้อีกคันหนึ่งไม่เอามา” หลวงบำรุงฯ พูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง “เจ้าเฉลียวไปหาอะไรมารองเร็ว”

หลวงประกอบฯ บ่นอะไรอุบอิบในลำคอ เหลียวหน้าเหลียวหลังมองเห็นลังไม้ฉำฉาใบหนึ่ง วางอยู่ในลานสถานี ยังไม่แน่ใจว่าจะไปหยิบได้ เพราะเป็นห่วงโคมที่ถืออยู่ ใกล้กับที่รถจอดมีรถลากจอดอยู่ ๒ คัน จีนเจ้าของรถยกคานรถไว้คอยมองดูคนที่จะออกจากสถานี หลวงประกอบ ฯ ก็ตะโกนออกไปว่า

“เฮ้ยเจ๊ก! เอาลงมาที ลังอยู่นั่นเห็นไหม วางรถเสียก่อน-บอกว่าให้วางรถเสียก่อน”

จีน ๒ คนอ้าปากมองดูผู้พูดโดยไม่เข้าใจว่ากระไร ก็พอดีชายคนหนึ่ง แบกกระเป๋าใหญ่ของอัมพรออกมา หลวงประกอบ ฯ ก็ตะโกนออกไปอีก

“แฮะ, ตาบุด! ผู้ใหญ่บุด วางกระเป๋าเสียก่อน ยกลังมานี่ ลังอยู่นั่นเห็นไหม บอกว่าให้วางกระเป๋าเสีย”

ฝ่ายจีนเจ้าของรถคันหนึ่ง จะเข้าใจว่านายอำเภอประสงค์อะไรก็ตาม แต่ตนเองประสงค์จะหาผู้จ้างรถของตนอยู่ จึงรีบวางรถของตนเสียตรงเข้าไปคว้ากระเป๋าที่มือผู้ใหญ่บุด เมื่อไม่ยอมให้ก็ยื้อแย่งดึงกระเป๋าพลางตะเบ็งเสียงพูดว่า

“อานายอำเภออีให้อั๊วอาวไป”

“ไอ้บ้า!” หลวงบำรุงฯ ตะโกน “บอกว่าให้ยกลังไม่ยก ทะเล้นไปยกกระเป๋า” พูดแล้วก็เดินไป ยังของที่ต้องการ และยกมาด้วยตนเอง

ในระหว่างที่บุคคล ๔ คน กำลังตื่นเต้นกันอยู่ นุชได้ใช้กำลังแขนของหล่อน โหนตัวขึ้นไปอยู่บนรถเรียบร้อยแล้ว และอาศัยแสงโคมที่หน้ารถ ยังได้สังเกตเห็นว่าผู้ใหญ่บุดนั้นนุ่งผ้าสีแดงแก่ เปิดขึ้นไปอยู่เหนือเข่าเป็นอันมาก และที่หน้าอกเสื้อนอกซึ่งคงจะเคยเป็นสีขาวแต่บัดนี้เป็นสีหม่นนั้นมีวัตถุ ทำด้วยโลหะสีขาว เป็นรูปสัตว์ชนิดหนึ่งติดอยู่ด้วย

จากสถานีรถแล่นไปตามทางอันมืด และเงียบสงัดปราศจากผู้คน คืนนั้นเป็นคืนข้างแรมอาศัยแต่แสงดาวส่อง เห็นหลังคาเรือนดำตะคุ่มอยู่ในหมู่ไม้ จะแลไปทางไหนก็ดูมืดทึบไปหมด ประดุจเดินทางอยู่กลางดง แต่เป็นเช่นนั้นอยู่ประมาณ ๑๕ นาที จึงมาถึงที่สว่าง

รถหยุดตรงหน้าประตูบ้าน เสียงสุนัขเห่าเกรียวใหญ่ มองจากถนนเข้าไปในรั้วบ้าน เห็นเด็กรุ่นหนุ่มคนหนึ่ง ถือตะเกียงลานเดินตรงมา หลวงบำรุงฯ จัดการให้คุณหญิงลงจากรถ แล้วก็ออกเดินนำตามเด็กนั้นเข้าไปภายใน

เดินมาตามลานหญ้า ภายใต้เงาไม้อันหนาแน่นสลับซับซ้อนกันอยู่พักหนึ่ง จึงถึงที่หมายคือตึกแบบเก่าสมัยรัชกาลที่ ๕ หลังย่อมๆ หลังหนึ่ง

“เชิญพระเดชพระคุณเข้าไปข้างใน” หลวงบำรุง ฯ กล่าวเมื่อคุณหญิงหยุดยืนบนบันไดขั้นที่ ๑ ใน ๓ ขั้น ที่คั่นอยู่ระหว่างพื้นตึกกับพื้นดิน ที่ตรงนั้นเป็นส่วนหน้าที่สุดของตึก และควรจะเรียกได้ว่าหน้ามุข มีโคมสังกะสีขนาดเขื่องใบหนึ่งแขวนอยู่ ในเข้าไปอีกเป็นห้องกว้างพื้นราดซีเมนต์มียกพื้น สำหรับนั่งอีกชั้นหนึ่งสูงจากพื้นประมาณศอกเศษ โคมที่แขวนอยู่กลางห้องนั้น เป็นโคมชนิดใหญ่ อย่างที่เรียกกันว่าโคมบิลเลียด ตามขนาดแห่งตะเกียงและหลอด น่าจะให้ความสว่างประมาณเท่าไฟฟ้า ๓๐ แรงเทียนเป็นอย่างน้อย แต่โดยที่หลอดนั้นดำด้วยเขม่าประกอบทั้งหยากเยื่อพาดพันอยู่ดังตาข่าย จึงมีแสงสว่างมองพอเห็นหน้ากันได้เท่านั้นเอง

เมื่อคุณหญิงย่างเท้าเข้าไปภายใน ผู้ที่อยู่ในนั้นพากันขยับเขยื้อนเพื่อต้อนรับ เขาทั้งหมดเป็นหญิงชั้นผู้ใหญ่ ๒ คน เป็นหญิงสาวอายุไล่เลี่ยกัน ๓ คน และเป็นเด็กชายขนาดโต ๒ คน

“แม่ชม นี่ยังไงล่ะคุณหญิง” หลวงบำรุง ฯ บอกภรรยา “แน่ เด็กๆ กราบท่านเสียซี”

อัมพรคลานเข้าไปใกล้นางชม ไหว้พลางถามว่า

“จำหลานได้ไหมจ๊ะ?”

สุภาพสตรีผู้นั้นนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วกลับย้อนถามว่า

“แม่อัมพรหรือนี่”

“ใช่ซี เห็นไหม โตขึ้นจนผิดหูผิดตา” หลวงบำรุง ฯ ตอบแทน

“อพิโธ่! แม่คู้น อาจำไม่ได้จริงๆ ไหนให้อาดูหน้าหน่อยซี” พูดพลางนางชมขยับผ้าห่มเป็นอาการแสดงความตื่นเต้น

อัมพรยิ้มน้อยๆ เอียงหน้าเข้าไปจนใกล้นางชม กระซิบถ้อยคำอย่างใดอย่างหนึ่งที่หู

สีหน้านางชมเปลี่ยนไปเล็กน้อย หันหน้าไปทางเบื้องขวาของตน ชี้ให้หลานสาวดูประตูห้องๆ หนึ่ง

“ไม่สบายมากหรือ” คุณหญิงถามขึ้น “เดินได้ไหม?”

“เดินได้ค่ะ” นางชมตอบ “แต่...” ลดเสียงให้เบาลง “แต่ไม่กล้าออกมา”

พูดไม่ทันขาดคำ ประตูห้องนั้นก็เปิดออก ร่างมนุษย์ปรากฏอยู่ระหว่างบานประตู มือเท้าฝาผนังยันตัว มือซ้ายรวบแพรเพลาะที่คลุมไหล่ ก้าวเท้าออกมาเบื้องหน้า ๒-๓ ก้าว แล้วก็หยุดนิ่ง

“อ้าว! ออกมานั้นแล้วไง!” หลวงบำรุงฯ พูดด้วยความดังตามเคย คุณหญิงสะดุ้งเล็กน้อย หันไปมองดูผู้มาใหม่อย่างตรงหน้า และด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง นุชเห็นท่านประณมมือไหว้อย่างแช่มช้า

แต่ดูเหมือนบุคคลผู้นั้น จะมิได้เห็นท่านเสียเลย สายตาของเขามองตรงไปที่อัมพร ได้เห็นหญิงสาวผู้นั้นก้มลงกราบแล้วเขาก็มองข้ามศีรษะไปหล่อนจับอยู่ที่ร่างของนุช

ในขณะนั้น หญิงสาวรู้สึกว่าเห็นร่างของชายผู้นั้นสั่นดังหนึ่งจะล้มลง เขาปล่อยมือซ้ายจากแพรเพลาะขึ้นลูบหน้า แล้วก็หันหลังช้าๆ กลับเข้าประตูไป

โดยมิได้รั้งรอ อัมพรลงจากยกพื้นตามเขาเข้าไปในห้องทันที

“ประเดี๋ยวก็เป็นลมอีกหรอก” หลวงบำรุงฯ เอ่ยขึ้น “แม่เฉลาเอายาหอมเข้าไปให้ที่”

หญิงสาวคนหนึ่งลุกขึ้นโดยเร็ว ในขณะที่คุณหญิงถามอย่างตรึกตรอง

“นี่เป็นลมบ่อยๆ ด้วยหรือ?” และโดยมิได้รอฟังคำตอบ “ฉันจะเข้าไปหาสักหน่อย คุณหลวงช่วยพาหลานเล็กนี่ไปห้องพักทีเถิด”

พอคุณหญิงพูดขาดคำ หญิงสาวคนหนึ่งก็ลุกขึ้น นางชมยิ้มอย่างใจดี แล้วบอกกับนุชว่า

“ตามแม่ฉลวยเขาขึ้นไปซีจ๊ะ”

นุชมองดูมารดาแวบหนึ่ง แล้วก็ขึ้นบันไดไปกับผู้นำอย่างไม่สู้จะเต็มใจ

ห้องที่หล่อนมาถึง มีตะเกียงลานจุดอยู่แล้วแม่ฉลวยไขตะเกียงให้สว่างขึ้น ยืนอยู่จนนุชเดินไปถึงกลางห้องแล้วก็กลับออกไป

เหลืออยู่คนเดียว นุชเหลียวมองดูรอบตัวทั้งห้องนั้นไม่มีเครื่องประดับประดาอันใด นอกจากเตียงไม้ ๑ เตียง เตียงผ้าใบ ๑ เตียง ทั้ง ๒ เตียงมีที่นอนหมอนมุ้งพร้อม นุชขมวดคิ้วด้วยความยุ่งยากใจ หน้าต่างด้านหน้าตึกเปิดอยู่ทั้ง ๒ บาน หล่อนจึงเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปภายนอก เบื้องสูงท้องฟ้าสีน้ำเงินหม่น ดวงดาวดวงนิดๆ ส่องแสงเพียงยิบๆ ลมบนกำลังแรง พัดพาเอาก้อนเมฆมาบดบังแสงจันทร์ เมื่อมองดูเบื้องล่างจึงมองเห็นต้นไม้ใหญ่ทมึนดูน่ากลัว จักจั่นเรไรส่งเสียงเซ็งแซ่ นกเค้าแมวบินผ่านหลังคาตึกเสียงร้อง ‘แช้ก!’ ท่ามกลางความสงัดควังเวง นุชรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัว “พี่ไปแล้วไม่กลับมาอีก!” นี่เป็นคำพูดของอัมพร-ไม่กลับ! ไม่กลับจากที่นี่! ที่อันป่าเถื่อน จะแลไปที่ใดก็พบแต่ความมืดเปลี่ยวและเยือกเย็น เห็นปานนี้นุชยกมือขึ้นกอดอก ตัวสั่นด้วยความหนาวแล่นเข้าหัวใจ

รุ่งเช้านุชตื่นแล้ว แต่ยังคงเสียดายความสบายในที่นอน หล่อนพลิกตัว เปลี่ยนท่าคิดจะนอนต่อไปอีกสักหน่อย พอสายตาเหลือบเห็นมุ้งสีน้ำตาลทำให้เกิดความฉงนสนใจ มองดูที่นอน หมอน ผ้าห่ม ก็เห็นความแตกต่างกับที่ตนเคยใช้เป็นอันมาก ความจำในเรื่องเมื่อตอนกลางคืนก็ผุดขึ้นในสมอง นุชยกตัวขึ้นนั่งเหยียดเท้า ปัดผ้าห่มทิ้งเสียทันที แล้วเปิดมุ้งออกมายืนอยู่หน้าเตียง

ห้องที่หล่อนยืนอยู่คือห้องที่แม่สาวเจ้าของบ้านได้ นำหล่อนขึ้นมาเมื่อคืนนี้นั่นเอง คงเป็นห้องที่ปราศจากเครื่องตกแต่งใดๆ และยิ่งดูเก่าคร่ำคร่า ไม่น่าอาศัยเสียยิ่งกว่าเมื่อตอนกลางคืน เพราะว่าความสว่างแห่งแสงอาทิตย์ได้กระจายอยู่ทั่วทุกซอกทุกมุมห้อง ทำให้เห็นรอยน้ำที่รั่วไหลออกจากหลังคาเป็นทางยาว อีกทั้งรอยปูนที่ฝาผนังกระเทาะออกจนเห็นอิฐสีแดงออก ระกะไปเป็นธรรมดาของนุชเมื่อตื่นตอนใหม่ในเวลาเช้า หล่อนไม่ปล่อยให้ความขุ่นมัวใดๆ มารบกวนสมอง ดังนั้นหล่อนจึงละจากการพิจารณาสถานที่ และนึกถึงการชำระล้างร่างกายก่อนอย่างอื่น อย่างน้อยๆ หล่อนต้องการล้างหน้า แต่หล่อนก็ยังคงยืนงงอยู่ในที่เดิม เพราะไม่แจ้งว่าห้องน้ำอยู่แห่งใด มองไปที่มุมห้อง….อ้อ! มีขันลงหินวางเคียงอยู่กับคนโท เข้าไปใกล้ก็เห็นว่ามีน้ำบรรจุเต็มอยู่ แต่น้ำเท่าในขันจะเพียงพออะไร ถ้าจะใช้น้ำในคนโทด้วย จะเทน้ำที่ใช้แล้วไว้ที่ไหน กำลังนึกฉิวมารดากับพี่สาว ตื่นขึ้นก่อนแล้วไม่ปลุกด้วย ปล่อยให้หล่อนอยู่คนเดียว ก็พอได้ยินเสียงฝีเท้าคนขึ้นบันไดมา นุชรีบหันไปดู จึงได้เห็นหน้าของหญิงมัคคุเทศก์ในตอนกลางคืน เจ้าหล่อนผู้นั้นยิ้มกับอาคันตุกะอย่างเปิดเผย จนเห็นฟันสีแดงเข้มในปากได้ถนัด

“นี่ฉันจะล้างหน้าได้ที่ไหนจ๊ะ?” นุชถามด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ

“ที่หน้าต่างค่ะ” เจ้าหล่อนตอบ

“ที่หน้าต่าง” นุชทวนคำอย่างสนเท่ห์

“น้ำในขันอย่างไรคะ” หล่อนบอกอีก โดยเข้าใจความสนเท่ห์ของคู่สนทนาผิดไป

นุชขมวดคิ้ว เดินไปชะโงกดูตามหน้าต่างทุกหน้าต่าง แล้วหันกลับมาถามว่า

“ล้างอย่างไรกัน?”

“ก็ล้างลงไปที่หน้าต่างซีคะ”

“รู้แล้ว รู้แล้ว!” นุชกล่าวค่อนข้างห้วน “หน้าต่างไหน?”

“หน้าต่างไหนก็ได้”

“แล้วน้ำมิไปราดหัวคนเข้าหรือ?”

เจ้าหล่อนหัวเราะอีก

“ไม่ราดหรอกค่ะ”

“ไม่ราดยังไง ก็นั่นมันทางเดินทั้งนั้น” พูดแล้วนุชกลับชะโงกไปที่หน้าต่าง

“ไม่มีใครเดินหรอกค่ะ” เจ้าหล่อนยืนยัน

“ไม่มีคนเดินก็ฝาตึกไม่ต่างหมดหรือ?”

หญิงสาวผู้นั้นหัวเราะมากขึ้นกว่าเดิม จนนุชอยากจะแสร้งหัวเราะด้วย แต่หล่อนมิได้หัวเราะเป็นแต่เพียงยกไหล่แล้วเดินไปที่ขันน้ำวางอยู่ เมื่อหันกลับมาอีกที ก็เห็นคู่สนทนาออกประตูไปแล้ว

ล้างหน้าและแต่งตัวเสร็จ นุชออกจากห้องลงไปยังห้องกลาง

บนยกพื้นที่เดียวกับหล่อนได้นั่งเมื่อตอนกลางคืน อัมพรนั่งอยู่กับสาวสองพี่น้องและเด็กผู้ชายอีก ๒ คน กิริยาท่าทางของอัมพรทำให้นุชประหลาดใจ เพราะหล่อนกำลังพูดและหัวเราะอย่างแจ่มใสประดุจคุยกับเพื่อนที่ถูกคอกันอย่างยิ่ง เมื่อเห็นนุชหล่อนก็พยักหน้าเรียก พลางยิ้มอย่างร่าเริง

“มานั่งที่นี่แนะนุช พี่น้องเราทั้งนั้น”

นุชยืนนิ่งอยู่เชิงบันได กล่าวถามว่า

“คุณแม่อยู่ไหน?”

“อยู่กับ…..เอ้อ..........อยู่ในห้องนั้น” อัมพรตอบและชี้มือไปทางเบื้องขวา

นุชมองตามมือขมวดคิ้ว

“มานั่งที่นี่เถอะน่านุช” อัมพรพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงร่าเริงเช่นเดิม “มารู้จักกับพี่น้องของเราเสียก่อน แล้วแกจะได้ทำกับข้าวให้เรากินอร่อยๆ”

หญิงสาวคนหนึ่งประณมมือไหว้นุชอย่างนอบน้อม พร้อมกับยิ้มอย่างแจ่มใส บุคคลอีก ๓ คน ที่นั่งอยู่ด้วยจึงทำตามหล่อนพร้อมกัน

สีหน้าอันชื่นบาน รวมกับแววตาแสดงความสนใจและหวังดีของเขาทั้ง ๔ ทำให้ความหงุดหงิดในใจนุชเสื่อมคลายลงได้บ้าง หล่อนเดินเข้ามาใกล้ที่อัมพรนั่งอยู่ และถามพลางชี้ไปที่หญิงสาวคนหนึ่ง

“แม่คนนี้ชื่ออะไรจ๊ะ?”

“ชื่อเฉลา เป็นลูกผู้หญิงคนโตของคุณอา” อัมพรตอบแทน “นี่คนที่ ๒ ชื่อฉลวย”

นุชมองผู้ถูกกล่าวนามทั้งคู่อย่างเอาใจใส่ จึงเห็นว่าเค้าหน้าของหล่อนทั้ง ๒ นั้น เหมือนกันมาก และแต่งตัวก็เป็นแบบเดียวกัน กล่าวคือ นุ่งผ้าลายกลางเก่ากลางใหม่ สวมเสื้อชั้นในคอลูกไม้ถัก ไม่สวมเสื้อชั้นนอก สวมสร้อยคอทองคำสายใหญ่ถนัดคนละสาย สร้อยข้อมือคนละหลายเส้นซ้อนเท่ากัน กับทั้งใส่ตุ้มหูดอกมะเขือเพชรซีกคนละคู่เหมือนกันอีกด้วย

“พ่อ ๒ คนนี้ชื่อ ฉลองกับชะลอ” อัมพรบรรยายสืบไป “คุณหลวงประกอบ ฯ ชื่อตัวชื่อเฉลียว ตัว ฉ. ทั้งนั้นเห็นไหม เพราะคุณอาชื่อฉัตร”

“ชะลอน่ะตัว ฉ. ด้วยหรือ?” นุชขัดขึ้น

“จริงนะ” อัมพรรับพลางหัวเราะ “ใครเป็นคนตั้งชื่อแก ตาชะลอ?”

“แม่ครับ”

“มิน่าล่ะ” อัมพรว่าและหัวเราะอย่างขบขันยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะหล่อนนึกถึงในสมัยที่หล่อนยังเยาว์ และอยู่กับพระยารัตนวาทีกับคุณหญิงที่เกาะสิงคโปร์ พี่เลี้ยงของหล่อนได้เคยสอนให้หล่อนอ่าน ช –ะว่า ฉะ กับ ค –ะ ว่า ขะ รวมความก็คือแกสอนให้หล่อนอ่านอักษรต่ำทุกๆ ตัว อย่างอักษรสูงนั่นเอง

“คุณพี่หิวข้าวหรือยังคะ?” แม่เฉลาถามนุชเบาๆ อย่างขลาดพร้อมกับยิ้มอย่างกะดาก ผู้ถูกถามจึงสังเกตเห็นในบัดนั้นว่า ฟันของหล่อนก็เป็นสีแดงเข้มใกล้จะดำเช่นเดียวกับน้องสาวที่ได้ยิ้มให้หล่อนดูเมื่อครู่ก่อนเหมือนกัน

“แน่ะ น้องเขาถามว่าเราหิวข้าวหรือยัง” อัมพรว่าเมื่อเห็นนุชมองดูผู้พูดเฉยอยู่

“ยังจ้ะ ขอบใจ” นุชตอบ “อัมพรล่ะ?”

“พี่กินกับน้องๆ แกแล้ว” เป็นคำตอบ

“แหม ยังงั้นก็ตื่นนานแล้วน่ะซี แล้วไม่ยักปลุกกันด้วย!” นุชพ้อ

“พี่จะปลุกแล้ว แต่คุณแม่บอกว่าปล่อยให้นุชนอนตามสบาย”

“แล้วคุณแม่รับประทานอาหารแล้วหรือยัง?”

“ยัง ท่านคอยนุช”

หญิงสาวพยักหน้า หันไปมองประตูห้อง พลางนึกถึงบุรุษห่มแพรดำที่หล่อนเห็นเมื่อตอนกลางคืน จนบัดนี้หล่อนยังไม่ทราบว่าเขาผู้นั้นเป็นใคร คุณหญิงสวงผู้แสดงกิริยาต่อหลวงบำรุง ฯ อย่างแสนที่จะวางภูมิ ได้เคารพชายผู้นั้นก่อนด้วยกิริยาอันดี …... อัมพรได้ก้มกราบเขาอย่างนอบน้อม เสียยิ่งกว่าที่เคยกราบเจ้าคุณและคุณหญิงผู้เป็นบิดามารดา….ชายผู้นั้น เมื่อมองดูนุชมีอาการวิปริตผิดจากเมื่อมองดูผู้อื่น …….. นุชแน่ใจทีเดียวว่า เพราะเขาได้เห็นหล่อนนั่นเอง จึงเกิดมีอาการตัวสั่น ดังที่ใครๆ พากันเข้าใจว่าจะเป็นลม …….. ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเหตุใด

นอกจากนั้นยังมีปัญหาข้ออื่นอีกที่ทำให้นุชฉงนสนเท่ห์ยิ่งนัก คือกิริยาของอัมพร ดูหล่อนสนิทสนมกับญาติหน้าใหม่นี้เป็นอันมาก ดังหนึ่งคุ้นเคยกันมาแต่อายุยังน้อย อีกทั้งนางชมผู้เป็นภรรยาหลวงบำรุง ฯ ยังได้กล่าวว่าอัมพรโตขึ้นจนผิดตา! ส่วนนุชเองมิได้เคยได้ยินมารดาหรือพี่สาวกล่าวขวัญถึงญาติเหล่านี้เสียเลย ถ้าจะสันนิษฐานตามความข้างหลังนี้ ก็น่าจะคิดว่าคุณหญิงรัตนวาที เพิ่งได้มีการติดต่อกับญาติของสามี เมื่อมาถึงกรุงเทพ ฯ คราวนี้เป็นคราวแรก ข้างฝ่ายอัมพรสิ ก่อนที่จะออกจากบ้านได้ลั่นวาจาเป็นคำขาดว่า จะไม่กลับไปอยู่กับมารดาอีกต่อไป นุชรู้สึกว่าเรื่องราวไขว้เขวกันอย่างไรอยู่จนหล่อนมิอาจเข้าใจได้ ยิ่งคิดยิ่งมืดแปดด้าน ความมืดนั้นเองกลับทำให้หล่อนพื้นเสียขึ้นอีก เมื่อจ้องดูบานประตูนานเข้าโดยประตูมิได้เปิดออก หล่อนก็ถอนใจพลางบ่นว่า

“คุณแม่เข้าไปอยู่ในนั้นทำไมนะ เมื่อไรจะออกมาเสียทีก็ไม่รู้!”

อัมพรมองดูน้องสาวด้วยสีหน้าขรึมอยู่อึดใจหนึ่ง จึงกลับยิ้มอย่างใจเย็นพลางว่า

“นุชถ้าจะหิวแล้ว พี่จะเข้าไปตามคุณแม่ให้” พูดแล้วหล่อนก็ลุกขึ้นเดินไปที่ประตู

“นุชเข้าไปด้วยไม่ได้หรือ?” หญิงสาวถามพลางดึงชายเสื้ออัมพรไว้ “ใครอยู่ในนั้น?” น้ำเสียงของหล่อนเบาลงเกือบเป็นกระซิบ โดยที่หล่อนมิได้ตั้งใจ

อัมพรยืนนิ่งอยู่กับที่ สายตาจับหน้านุชเต็มไปด้วยแววตาแห่งความปรานี ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตอบว่า “ให้พี่เข้าไปก่อนดีกว่า” พูดขาดคำหล่อนผลักประตูนำตัวเข้าไปภายใน แล้วประตูกลับปิดตามเดิม

นุชมองตามพี่สาวอย่างน้อยใจ ในที่สุดหล่อนยกไหล่ หันไปนั่งหน้าบึ้งอยู่บนขั้นบันไดโดยมิได้เอาใจใส่กับญาติที่มองดูหล่อนอย่างตื่นๆ ไปตามกัน

นั่งอยู่เพียงครู่เดียวประตูห้องเล็กก็เปิดออกอีก อัมพรมีสีหน้าแสดงความตื่นเต้น กวักมือเรียกน้องสาวอย่างร้อนรน นุชสะบัดหน้าอย่างงอน แต่แล้วก็ลุกขึ้นจากที่ตามหลังอัมพรเข้าไป

ภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตานุช คือร่างของชายชราผู้หนึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนเก้าอี้หวาย ชายผู้นี้ผงกศีรษะขึ้นในทันทีที่เห็นนุช แล้วก็กลับทิ้งศีรษะลงบนหมอนตามเดิม หญิงสาวกำลังจะเดินเข้าไปหามารดาผู้ซึ่งนั่งอยู่บนยกพื้นใกล้กับเก้าอี้ แต่คุณหญิงชี้มือไปทางผู้นอนอยู่พร้อมกับพูดว่า

“ไปกราบคุณลุงเสียลูก กราบให้ถึงตัวทีเดียว”

นุชมีอาการลังเลอยู่วาระหนึ่ง ประหลาด! หล่อนให้รู้สึกหวาดไปว่า เมื่อหล่อนเข้าไปใกล้ชายผู้นั้นแล้ว จะมีอำนาจอันใดอันหนึ่งเหนี่ยวรั้งหล่อนไว้มิให้ออกห่างจากเขาได้ อย่างไรก็ตามเท้าได้พาหล่อนเข้าไปจนใกล้เก้าอี้ยาว และหล่อนได้คุกเข่าข้างหนึ่ง ก้มศีรษะกราบลงติดกับตัวชายผู้นั้น เมื่อเงยหน้าขึ้น เห็นมืออันผอมแห้งขวักไขว่อยู่เหนือศีรษะของหล่อน ทำให้นึกว่าเขากำลังจะลูบศีรษะหล่อนหรืออย่างไร แล้วหล่อนก็ลุกขึ้นมานั่งอยู่กับคุณหญิง

ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นพากันนิ่งเงียบ นุชมีความปรารถนาที่จะพิศดูหน้าชายชราให้เห็นชัด แต่หล่อนไม่กล้ามองไปทางนั้น เพราะรู้สึกอยู่ว่าตัวหล่อนเองกำลังถูกมองอย่างจริงจัง ถ้าหากนุชกล้าพอที่จะประสานตากับชายชรา หล่อนจะได้พบความรักอันดูดดื่มรวมอยู่กับความสงสารอย่างสุดซึ้งในสายตานั้น อีกทั้งจะได้เห็นว่าหยาดน้ำตาได้แล่นขึ้นมาคลอตาของชายชราทีละน้อยๆ จนเต็มเปี่ยมด้วย

ในที่สุด คุณหญิงเป็นผู้ทำลายความเงียบขึ้นก่อน

“หิวหรือยังลูก?” ท่านถามอย่างอ่อนโยน

“ยังค่ะ” นุชตอบเบาๆ

“ยังก็นั่งคุยกันก่อน เล่าอะไรๆ ให้คุณลุงท่านฟังบ้าง”

คุณลุง! นุชนึกในใจ เหลือบมองดูชายชราแล้วหันไปมองดูคุณหญิง เห็นสีหน้าของท่านผ่องใสอยู่เป็นปกติ จึงเกิดความกล้าหันกลับไปแลดูชายชราเต็มตา แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“คุณลุงจะให้นุชเล่าเรื่องอะไรคะ?”

ชายชราหรี่ตาลง นิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงย้อนถาม

“หนูเล่าอะไรได้บ้างล่ะ”

หนู! สรรพนามชนิดนั้นชนิดนี้มิได้เคยถูกเรียกมาก่อน เมื่อได้ถูกเรียกเป็นครั้งแรก โดยริมฝีปากของชายแปลกหน้าผู้มีอาวุโส นั่งคุกเพราะหูพอใช้ นุชยิ้มน้อยๆ ดวงตาเป็นประกายแจ่มใส ขณะที่หล่อนตอบว่า

“เยอะแยะค่ะ แต่ต้องถามนุชถึงจะได้ ถ้ามิฉะนั้นนุชขึ้นต้นไม่ถูก”

การยิ้มของมนุษย์ทั่วไป - และหญิงสาวรุ่นกำดัดโดยเฉพาะ - เป็นสิ่งที่พึงตาแก่ผู้เห็น แต่หญิง สาวโดยมากมิได้รู้ค่าของการยิ้มว่ายังประโยชน์แก่ตนเพียงไร ความเขลาในข้อนี้ทำให้สตรีโดยมาก ทอดทิ้งความงามซึ่งธรรมชาติได้มอบให้แก่ตนเสียบ่อยๆ ในขณะริมฝีปากอันแดงเรื่อของนุชเผยอขึ้นจากกัน และความสดชื่นระบายไปทั่ววงหน้านั้นเปรียบประดุจแสงอรุณฉายเข้ามาในห้องอันทึบ และขมุกขมัวของชายชรา สีหน้าอันเหี่ยวแห้งแห่งเจ้าของห้องเบิกบานขึ้น น้ำเสียงที่พูดก็มีกังวานชัดเจนขึ้นกว่าเดิม

“เมืองหลังสวนเป็นอย่างไร?”

“โอ๊ย เต็มที!” นุชตอบตามตรงๆ “มี-!” หล่อนลากเสียง “มีแต่ต้นไม้ๆๆ เป็นป่าไม่ใช่หรือ คะ ทำไมถึงเรียกว่าเมือง?”

“ป่าที่ไหน?” ชายชราค้านและยิ้มน้อยๆ “ต้นไม้ที่เห็นเป็นไม้ผลทั้งนั้น เป็นสินค้าของเมืองนี้”

“ต้นอะไรบ้างคะ?” นุชถาม เอียงคอน้อยๆ แสดงความทึ่ง

“เงาะ มังคุด มะพร้าว ทุเรียน ลางสาด ลางสาดเป็นดีที่สุด ทุเรียนเต็มที หนูรับประทานทุเรียนเป็นไหมล่ะ?”

“เหม็น!” พูดพร้อมกับทำหน้าย่น “นะคะคุณแม่”

คุณหญิงยิ้มรับแล้วหันไปทางชายชรา

“รับประทานไม่เป็นเหมือนดิฉัน เจ้าคุณเคยให้แกรับประทานตั้งแต่ยังเล็กๆ แกคายทั้งหมด”

ผู้ฟังมิได้ตอบว่ากระไร ทอดสายตามองดูฝาห้องอย่างใจลอย สีหน้าซึ่งสดชื่นขึ้นในครู่หนึ่งกลับเหี่ยวแห้งลงตามเดิม ริมฝีปากอันซีดเบ้ออกคล้ายกับคนใกล้จะร้องไห้ นุชเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ หล่อนจึงเอ่ยขึ้นว่า

“ไปรับประทานอะไรกันหรือยังล่ะคะ คุณแม่ นุชหิวแล้ว”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ