๑๐

เนื่องจากที่เส้นประสาทได้รับความกระทบกระเทือนเกินสมควร รุ่งเช้าในวันต่อมา นุชก็มีอาการปวดศีรษะและครั่นตัวและเป็นไข้ในตอนสาย

เมื่อคุณหญิงได้ทราบอาการของนุชจากอัมพร ในขณะที่ท่านกำลังนั่งสนทนาอยู่กับนางบำรุง ท่านก็รีบลุกจากที่ พร้อมกับเรียกหาปรอททันที ครั้นได้แล้วก็ถือปรอทนั้นเข้าไปในห้องพัก คือห้องที่นุชนอนอยู่

นั่งลงบนเตียงข้างตัวนุช ยกมือขึ้นแตะหน้าผากหล่อน หลังจากนั้นก็หยิบปรอทใส่ให้ในปาก

“๑๐๐.๒!” ท่านบอกกับคนไข้ ๒ นาทีต่อมา พร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน “กำหนดกลับกรุงเทพฯ เป็นอันล้ม”

นุชมองดูท่านด้วยดวงตาอันแดงและเต็มไปด้วยน้ำตา แล้วก็หลับตาลงเสียโดยมิได้พูดว่ากระไร

คุณหญิงใช้มือแตะบนขมับนุชแต่เบาๆ แล้ว ย้ายไปจับตามแขนและต้นคอ แล้วจึงหันมาทางอัมพร พลางพูดว่า

“ตัวก็ไม่ร้อนจัด แต่ขมับเต้นแรง” หันกลับมามองดูนุช “ปวดหัวมากหรือลูก?”

นุชพยักหน้านิดหนึ่งโดยไม่ลืมตา คุณหญิงลูบศีรษะหล่อนเบาๆ ๒-๓ ครั้ง แล้วก็ลุกขึ้นไปนั่งอยู่บนพื้นห้อง ห่างจากเตียงไปเล็กน้อยพลาง พยักหน้าเรียกอัมพรเข้าไปหา

“ทำไมถึงจะรู้ว่าเป็นไข้อะไร!” ท่านปรารภด้วยน้ำเสียงแสดงความวิตกจากใจจริง “แกเป็นหวัดหรือเปล่า?.............. หมอในเมืองนี้ไว้ใจได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้”

ในดวงตาของอัมพรมีความวิตกฉายอยู่แต่เพียงเล็กน้อย ดูเหมือนหล่อนกำลังมีความรู้สึกลำบากใจกับความมุทะลุปนกันอยู่ เมื่อคุณหญิงพูดจบลง หล่อนใช้เวลาตัดสินใจอยู่ ๓๐ วินาที แล้วก็พูดขึ้นอย่างเร็ว แต่ทว่าด้วยเสียงอันแผ่วเบา

“ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ เป็นไข้ตกใจเท่านั้นเอง ดิฉันเล่าเรื่องคุณ พ……...เรื่องเก่าให้แกฟังเมื่อวานนี้”

คุณหญิงสะดุ้ง มองดูหล่อนด้วยสาตาแสดงความไม่พอใจและประหลาดใจระคนกัน อัมพรจึงพูดออกไป เป็นเชิงออกตัว

“ดิฉันได้เรียนคุณแม่ไว้ก่อน”

คุณหญิงเมินหน้าไปเสียทางหนึ่ง แล้วลุกจากที่นั่งไปยืนพิงหน้าต่างมองดูภาพเบื้องหน้า พลางใช้ความคิดอย่างตรึกตรอง

จริงดังอัมพรพูด หล่อนได้บอกแก่ท่านแล้ว ตั้งแต่ ๓ วันแรกที่มาถึงจังหวัดหลังสวน แต่คุณหญิงยังมิได้คัดค้านหรืออนุญาตลงไปทีเดียว เป็นแต่เพียงตอบว่า ท่านเป็นผู้รับสัญญามิใช่เป็นผู้เจ้าของเรื่อง การที่อัมพรจะบอกความจริงแก่นุชหรือไม่ ต้องแล้วแต่เจ้าของเรื่อง คือนายอาจจะตัดสินอัมพรมิได้โต้แย้ง และในเวลาเดียวกันนั้น นุชได้เข้ามาร่วมวงสนทนา ความตั้งใจของคุณหญิงที่จะถามถึงเหตุที่ทำให้อัมพรปรารถนาจะบอกความจริงแก่นุชนักก็เลยล้ม ต่อมาอีก ๒-๓ วัน อัมพรได้บอกกับท่านต่อหน้านายอาจว่า หล่อนมีความประสงค์ที่จะอยู่ในเมืองหลังสวนนี้ต่อไป อ้างเหตุว่าบิดาชราแล้ว อีกทั้งมีโรคภัยประจำสังขาร นายอาจมิได้ส่งเสริมหรือคัดค้าน แต่คุณหญิงคิดว่าเป็นการสมควร--หรือเกือบจำเป็น-ที่ท่านจะคัดค้านมิได้ทีเดียว ต่อจากนั้น ปัญหาที่ว่า นุชควรจะได้รับรู้ความจริงหรือไม่ก็กลายเป็นความจำเป็นขึ้น อัมพรสมัครจะอยู่กับบิดา ถ้าจะอยู่เพียงครั้งคราวก็ไม่แปลก แต่เมื่อหล่อนตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะอยู่ตลอดไป นุชคงจะประหลาดใจ หล่อนคงจะถามจะซักจนกว่าจะได้เรื่องที่ควรเชื่อ บางทีคุณหญิงจะต้องเป็นผู้บอกความ จริงแก่หล่อนเองดังนั้นให้อัมพรเป็นผู้บอกเสียก่อน ก็เป็นการแบ่งเบาภาระจากคุณหญิงดีอยู่

ครั้นถึงเวลานี้ เวลาที่ได้ฟังจากปากอัมพรว่า นุชได้ทราบความจริงตลอดเรื่องแล้ว ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาแต่ก่อนก็เกิดขึ้นแก่คุณหญิง แรกทีเดียวท่านก็รู้สึกใจหายคล้ายกับมีผู้มาชิงของรักที่ใช้ชิดอยู่เป็นนิจไปเสียจากตัว ให้เกิดความเสียดายน้อยใจและขัดเคือง ความคิดของคุณหญิงวนเวียนอยู่ในความรู้สึกเหล่านี้เป็นเวลานานแล้วก็เกิดความมานะ หักห้ามความเสียดาย เป็นความมานะของบุคคลผู้มีอุปนิสัยงอนและถือตัวเกินที่จะอาลัยในบุคคลที่ตนสงสัยว่าหมดอาลัยในตน “ตัวเราเปรียบเหมือนลูกจ้างรับจ้างเลี้ยงเด็กไว้ เมื่อโตขึ้นแล้ว เขาจะสมัครไปทางพ่อที่ได้ให้ความเกิดแต่อย่างเดียว หรือจะสมัครมาทางเราที่ได้ให้ทุกอย่าง นอกจากความเกิดก็ตามใจเขา เราหาได้ปรารถนาทุกข์ร้อนไม่” นี่คือความรำพึงของคุณหญิง

อย่างไรก็ตาม คุณหญิงก็คงให้ความห่วงใยในตัวนุชไม่น้อยกว่าที่เคยมา วันนั้นทั้งวันท่านได้เฝ้าอยู่กับหลอน เว้นแต่เวลารับประทานอาหารจึงออกจากห้องไป ส่วนนุชคงนอนหลับตานิ่งไม่พูดจา มิใยที่คนทั้งบ้านจะยกขบวนขึ้นมาเยี่ยมถามอาการ ยิ่งได้ยินเสียงคน เดาได้ว่ามีผู้อยู่ในห้องมากหน้าหลายตา หลอนยิ่งอึดอัดและรำคาญ ทำความปวดศีรษะให้รุนแรงขึ้นอีก จนถึงเวลากลางคืน เมื่อทุกคนพากันหลับ ภายในบ้านเงียบสงัดมีความรู้สึกว่าตัวเป็นอิสระอยู่แต่ผู้เดียว ไม่มีใครมารบกวน นุชจึงรู้สึกค่อยหายใจสะดวก หล่อนได้สะบัดผ้าที่คุณหญิงได้คลุมตัวหลอนไว้อย่างมิดชิด เมื่อก่อนที่ท่านจะเข้านอนออกเสียเหยียดแขนขาตามสบาย และเริ่มใช้ความคิดถึงฐานะของตัวต่อไป

วันรุ่งขึ้น ความร้อนในตัวนุชลงถึงขีดปกติ แต่ดวงหน้าของหล่อนยังขาวซีด อีกทั้งขอบตาก็เขียวคล้ำ คุณหญิงคงทำหน้าที่พยาบาลที่ดี เฝ้าอยู่กับหล่อนตลอดเวลา ครั้นถึงเวลาบ่ายท่านต้องลงไป รับประทานอาหารพร้อมกับอัมพรและคนอื่นๆ พี่สาวของนุชรับประทานเสร็จก่อนคุณหญิงก็ได้รับคำสั่งให้ขึ้นไปอยู่กับน้อง เมื่ออัมพรเข้าไปถึงในห้องเห็นนุชนอนตะแคงหันหน้าเข้าฝา อัมพรเข้าไปยืนอยู่ข้างตัว ใจคิดว่าน้องคงกำลังหลับก้มหน้าลงจะดูให้แน่ ก็พอดีนุชพลิกตัวหันหน้ามาทางหล่อน

“โอ! นุชร้องไห้อีกแล้ว!” อัมพรกล่าวอย่างตกใจเมื่อเห็นน้องมีหน้าตาอันอาบด้วยน้ำตา “หักใจเสียบ้างซีน้อง ปล่อยตัวอย่างนี้ประเดี๋ยวก็จะเจ็บมากไปเท่านั้น”

“มานี่แน่ะ เข้ามาใกล้ๆ” นุชพูดด้วยเสียงอันแหบเครือ ครั้นอัมพรก้มตัวลงใกล้เตียง หล่อนก็ ยกแขนขึ้นโอบคออัมพรไว้พลางพูดว่า

“บอก..บอก...พ่อของเรานะ ว่านุชขอโทษมากๆ ที่นุชนึกอะไรไม่ดีหลายอย่างบอกกับ….เขา... กับท่านว่านุชรู้เรื่องตลอดแล้ว นุชเห็นใจทุกอย่าง นุชสงสารท่านมากและ……...และนุชเต็มใจเป็นลูกของท่าน”

อัมพรรู้สึกตื้นตันในลำคอ ต้องนิ่งสะกดใจอยู่เป็นครู่ จึงพูดออกได้

“พี่จะบอกให้ท่านทราบตามที่นุชว่านี้ นุชอย่าร้องไห้อีกซี นอนเสีย นอนนิ่งๆ อย่างคิดอะไรต่อไป ประเดี๋ยวไข้น้อยจะกลายเป็นไข้มาก คุณพ่อจะยุ่งใหญ่ แต่เท่านี้ก็ยังพออยู่แล้ว ท่านอยากจะขึ้นมาดูนุช แต่ขึ้นบันไดไม่ไหว”

“จุ๊ย์ๆ อย่า!” นุชห้ามโดยเร็ว “อย่าเพ่อก่อน นุชยังไม่อยาก...เอ้อ...นุชอยากอยู่คนเดียว อัมพรก็ไปเสียก่อนเถอะไป” พูดแล้วหล่อนก็คลายแขนออก

ในวันที่ ๓ นุชรู้สึกตัวดีว่าร่างกายยังโผเผและจิตใจก็ยังอ่อนแอ แต่หล่อนเกิดมีความปรารถนาอันประหลาด คือ ปรารถนาจะให้คุณหญิงกลับกรุงเทพฯ เสียโดยรถด่วนที่จะผ่านหลังสวนในคืนวันรุ่งขึ้น เพื่อหล่อนจะได้อยู่ตามลำพังและคิดถึงการภายหน้าว่าจะทำอย่างไรต่อไปได้สะดวก ดังนั้นหล่อนจึงแกล้งฝืนใจ ทำหน้าชื่นลงไปรับประทานอาหารในห้องชั้นล่างตามเคย โดยมิได้ฟังเสียงคัดค้านของคุณหญิงและของอัมพร

ความปรารถนาของนุชเป็นรูปใกล้กับความสมประสงค์ ตอนค่ำเมื่อนุชจะเข้านอน คุณหญิงกล่าวกับหล่อนว่า

“พรุ่งนี้ ถ้านุชไม่กลับเป็นไข้อีก แม่จะกลับกรุงเทพ ฯ เสียที ธุระต่างๆ ยังค้างอยู่ทั้งนั้น”

คำกล่าวนี้ กล่าวโดยความตั้งใจจริงครึ่งหนึ่ง และเพื่อลองใจครึ่งหนึ่ง นุชไม่ตอบ แต่หล่อนนึกในใจว่า

“แน่นอน นุชจะไม่กลับเป็นไข้อีกในวันพรุ่งนี้” และการก็เป็นจริงตามใจหล่อนนึกด้วย

เวลา ๑ นาฬิกาเศษ ใกล้เวลาที่คุณหญิงจะต้องไปรอรถไฟที่สถานี คนในบ้านพากันวิ่งวุ่นอยู่ออกไขว่ การมาและการกลับของชาวกรุงเทพฯ ดูเป็นงานสำคัญสำหรับชาวบ้านนี้มาก ทั้งนี้เพราะชาวหลังสวนดำเนินชีวิตอย่างสงบ และเงียบเหงาเกินไป จะหาสิ่งใดที่เป็นเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงสำหรับเปลี่ยนอารมณ์บ้างก็น้อยนัก เขาเหล่านั้นที่คอยส่งคุณหญิงตั้งแต่หัวค่ำ จนดึกก็มี ที่นอนหลับแล้วก็กลับตื่นขึ้นก็มี ลูกเล็กๆ นั่งตาแดงอยู่บนตักแม่ แม่นั่งตาแดงดูสามีขนของ ของส่วนตัวของคุณหญิงก็ไม่มีอะไรมาก แต่ของกำนัลคือผลไม้เป็นชะลอมๆ นอกจากนั้นยังมีทุเรียนกวนอีกสองปีบ ทำให้เป็นภาระใหญ่ขึ้นถนัด

ตามทางที่ควร ในเวลานั้นนุชควรจะนอนหลับอยู่บนเตียงดังที่ใครๆ พากันคาดคะเน แต่นุชหาได้หลับไป หล่อนนอนพลิกกลับไปกลับมาอยู่ในที่นอน โดยไม่รู้สึกง่วงจนนิดเดียว นาฬิกาข้อมือเรือนทองขาววางอยู่ข้างหมอน นุชเฝ้าแต่เวียนดูเวลามิได้หยุดหย่อน

จวนถึงกำหนดที่คุณหญิงจะออกจากบ้าน นุชยิ่งรู้สึกว่าหัวใจของหล่อนเต้นถี่ยิ่งขึ้น และหดหู่เหี่ยวแห้งดังหนึ่งมีผู้มาบีบคั้นเอาน้ำที่หล่อเลี้ยงไปเสียสิ้น เงี่ยหูคอยฟังเสียงเครื่องยนต์ว่ารถจะออกเดินเมื่อไร เสียงคนที่อยู่เบื้องล่างพูดกันจ้อกแจ้กจนไม่ได้ศัพท์ ในที่สุดทนความอึดอัดไม่ได้ นุชก็ต้องออกมานอกมุ้ง

พอเท้าของหล่อนเหยียบกระดาน ก็พอคุณหญิงเข้าประตูมา ความสว่างในห้องมีอยู่อย่างสลัว ทั้งสองไม่อาจเห็นหน้ากันได้ถนัด คุณหญิงกางแขนออก นุชก็วิ่งเข้าไปถึงตัวท่าน ท่านจูบแก้มหล่อนทั้งสองข้าง แล้วพูดว่า

“แม่จะไปเดี๋ยวนี้ นุชอยากกลับบ้านเมื่อไรก็บอกกับหลวงบำรุง ฯ แม่พูดกับหลวงประกอบ ฯ เขาไว้แล้ว ให้เขาเป็นผู้พานุชไปส่ง”

พูดแล้วท่านก็ละจากหล่อน ออกจากห้องไป นาที ๑ ต่อมา นุชได้ยินเขาสตาร์ทรถ เสียงรถแล่นห่างจากบ้าน หล่อนรีบกลับเข้าเตียง ซบหน้าลงสะอื้นฮักๆ อยู่กับหมอน....

เมื่อนุชตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น หล่อนตื่นขึ้นอย่างอ่อนเพลียและเหี่ยวแห้งในใจ ให้รู้สึกเหมือนกับว่าโลกที่หล่อนอาศัยอยู่มืดคลุ้มไปด้วยหมอก และควันความรู้สึกสำนึกถึงว่าตนเป็นบุตรของนายอาจผู้เคยต้องโทษ แทนที่จะเป็นบุตรีของพระยารัตนวาที ผู้มีชื่อเสียงและเกียรติยศเป็นที่นับถือของคนทั้งหลาย เป็นประดุจยาพิษที่ประกอบขึ้นด้วยกรดชนิดร้ายแรง เผาผลาญหัวใจหล่อนให้เร่าร้อนยิ่งกว่าเพลิงเผา เมื่อวันก่อน ความเวทนาในชายชราผู้อาภัพได้ทำให้หล่อนกล่าววาจาอันน่าจับใจฝากอัมพรไปให้แก่ชายผู้นั้น แต่มาบัดนี้ความเวทนาเสื่อมคลายลง คงเหลือแต่ความคิดถึงตัว เกิดความขัดแค้นน้อยใจในความเกิดของตัวเอง ความกลุ้มทำให้หล่อนเบื่อหน้ามนุษย์ ไม่อยากพบอยากเห็นใครทั้งสิ้น จึงได้เก็บตัวของหล่อนอยู่แต่ในห้อง ในขณะที่ชายชราผู้เป็นบิดาเฝ้านับเวลานาทีที่จะได้ปราศรัยกับบุตรีอยู่ทุกขณะ ส่วนอัมพรเป็นคนกลาง เข้าใจความคิดของทั้งสองฝ่าย แต่โดยที่หล่อนเป็นห่วงทั้งบิดาและน้องสาว เกรงไปว่าถ้านุชแสดงกิริยากระด้างกระเดื่องหรือตะขิดตะขวงต่อหน้านายอาจ นายอาจก็จะช้ำใจ ดังนั้นอัมพรก็ไม่กล้าเตือนน้อง

อันธรรมดาสามัญชน เมื่อมองเห็นสภาพความไม่พึงพอใจอยู่เฉพาะหน้า รู้ชัดว่าตนจำต้องเสพสภาพนั้นโดยไม่มีทางรอด จริงอยู่ ย่อมจะกระสับกระส่ายดิ้นรนด้วยความเกลียดกลัว ถึงกระนั้นจะเป็นอยู่ชั่วครู่ยาม แล้วความดิ้นรนก็จะเหือดหาย เมื่อได้สติว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น จะก้มหน้ากัดฟันตรงเข้าผจญกับความไม่พึงพอใจด้วยดวงจิต ที่เตรียมพร้อมเพื่อความอดทน แต่ถ้าแม้ว่ายังมองเห็นช่องทางแม้แต่น้อย คิดว่าจะหลีกเลี่ยงไปได้ หัวคิดและจิตใจมัวพะวงอยู่กับทางรอดก็เกิดความรวนเร เพิ่มความกระสับกระส่าย ดิ้นรนเป็นทวีคูณฉันใด นุชรู้ตัวว่าหล่อนเป็นบุตรของนายอาจ นั่นคือความไม่พึงพอใจ แต่หล่อนอาจทำไม่รู้ไม่ชี้เสียได้ นั่นคือทางรอด โดยหน้าที่หล่อนควรจะหันหน้าเข้าสู้ความจริง ตัดใจสละความเฟื่องฟูหรูหรามาอยู่กับบิดา ความเคยชินต่อชีวิตที่แล้วมาเป็นปรปักษ์ต่อหน้าที่ นุชก็มีความลังเลดิ้นรนกระสับกระส่ายอยู่ฉันนั้น

นุชได้เติบโตขึ้นในกรุงลอนดอน มหานครอันเจริญถึงขีด ได้ร้องเสพอยู่กับความเจริญหรูหรา จะย่างเท้าไปที่ใดก็พบแต่สิ่งงดงามเจริญตาเจริญใจ สมาคมที่นุชได้ผ่านมาแล้ว ล้วนเป็นสมาคมของบุคคลมีหน้ามีตา ถึงพร้อมด้วยยศด้วยทรัพย์ ด้วยการศึกษาอันบริบูรณ์ ย้ายจากกรุงลอนดอนมาอยู่กรุงเทพฯ ความงามและความรุ่งเรืองระหว่างพระนครทั้งสองก็แตกต่างกันอยู่ไม่น้อย แต่นุชก็ยังได้สมาคมกับบุคคลที่มีการศึกษาและความเข้าใจในโลกเสมอกับหล่อน อนึ่งเล่า พื้นแผ่นดินส่วนใดในโลก ถึงจะงดงามวิเศษปานใด จะมีค่าสำหรับใจเสมอด้วยพื้นแผ่นดิน อันเป็นส่วนของชาติแห่งตนเป็นไม่มี เมืองหลังสวนนี้แตกต่างกับพระนครมากมายนัก บุคคลที่นุชจะได้พบปะสนทนา ถึงจะมีนิสัยและน้ำใจดีอยู่ตามธรรมชาติ แต่เขาเหล่านั้นมีการศึกษาและความเข้าใจในชีวิตแตกต่างกับนุชประดุจจังหวัดพระนครนั้นเทียว เช่นนี้แล้วจะมิให้นุชเกลียดชังฐานะที่แท้จริง อันเป็นเหตุให้หล่อนอับอายขายหน้าแก่เพื่อนฝูง อีกทั้งจะทำให้หล่อนต้องละทิ้งความสุขสมบูรณ์และความบันเทิงที่หล่อนได้เคยผ่านมาแล้วกระไรได้ โดยประการฉะนี้ นุชจึงได้ปล่อยให้จิตใจของหล่อนกระสับกระส่าย อยู่ในความลังเลถึง ๑๒ ชั่วโมงเต็ม

เมื่อความกตัญญรู้หน้าที่ได้ชัยชนะต่อความใฝ่ใจ ในสิ่งที่หล่อนเรียกว่าความสุขนั้น เป็นเวลาจวนค่ำ นุชผลุนผลันออกจากห้องลงไปอาบน้ำแล้วหล่อนแต่งตัวอย่างเร่งร้อน พอเสร็จก็ตรงไปห้องชายชราทันที

ภาพแห่งนายอาจกับนุช เมื่อได้เผชิญหน้ากันอย่างบิดากับบุตรนั้น ทำให้อัมพรน้ำตาตกด้วยความตื้นตันใจ นายอาจนอนอยู่บนเก้าอี้ยาวตามเคย นุชเปิดประตูเข้ามาในห้อง นายอาจหันไปมองดูโดยมิได้ตั้งใจ ครั้นเห็นว่าเป็นใครแล้วก็สะดุ้งโดยแรง หญิงสาวเดินตัวตรงเข้ามาถึงชายชรา กราบลงด้วยท่าที่หล่อนเคยกราบในคราวแรกพบ แต่ด้วยดวงใจที่แสนจะแตกต่างกัน นายอาจยกแขนอันสั่นเทาขึ้นลูบหลังหล่อน จากสีหน้าอันเผือดและตาที่กระพริบขึ้นลงถี่อยู่ อัมพรคะเนได้ว่านายอาจกำลังตื่นเต้นเพียงไร เมื่อนุชเงยหน้าขึ้นเห็นหน้าบิดา ก็เกิดความสงสารจับใจ ด้วยกิริยาละมุนละม่อมอ่อนโยน ซึ่งเป็นกิริยาที่นุชทำได้ทุกเมื่อในคราวต้องการ หล่อนโอบกอดร่างเหี่ยวแห้งของบิดาไว้พร้อมกับซบศีรษะลงบนทรวงอก ทั้งพ่อลูกก็ร้องไห้ด้วยความรัก ความสงสาร และความปรานีต่อกัน

๒ ชั่วโมงต่อมา นุชกลับเข้าในห้อง มีสีหน้าเศร้าและขรึม ริมฝีปากเผยอยมอย่างโศกสลด หล่อนลงมือเขียนจดหมายฉบับหนึ่งอย่างรวดเร็วตามลักษณะบุคคลที่มีความคิดท่วมล้นอยู่ในสมอง ปรารถนาที่จะบรรยายถ่ายเทออกเสียบ้าง จดหมายของนุชมีความดังต่อไปนี้

บ้านหลวงบำรุงประชาราษฎ์ หลังสวน

วันที่ เดือน พ.ศ. ๒๔๗๓

น้าพงศ์ที่รัก

เป็นอะไรไปถึงไม่มาหานุชเมื่อนุชอยู่กรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้นุชอยู่หลังสวน เราจะไม่ได้พบกัน น้าพงศ์จะไปทางของน้า นุชจะไปทางของนุช น้าพงศ์รู้เรื่องดีทำไมไม่บอกนุชบ้าง เดี๋ยวนี้นุชรู้แล้ว ขอบใจน้าพงศ์ รู้แล้วยังอุตส่าห์รักนุช แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ได้พบกันอีกเลย....โอ! น้าพงศ์ของนุช ชีวิตของนุชต่อไปจะมืดมาก ไม่มีใครเลยในหลังสวนนี้ นุชแสนที่จะตัวคนเดียว คิดถึงน้าพงศ์เหลือเกิน นุชไม่กล้ากลับไปกรุงเทพ ฯ เขาจะหัวเราะเยาะนุชข้างหลัง นายสุนทร หลวงไพรัชช์ ฯ เขาจะนึกอย่างไร ! น้าพงษ์ไม่หัวเราะเยาะนุช ไม่ใช่หรือ? คิดถึงนุชบ้าง นุชไม่ขอให้น้าพงศ์มาหานุช แต่นุชจะขอเห็นน้าพงศ์ในฝันของนุช คุณแม่กลับกรุงเทพ ฯ แต่เมื่อคืน แต่นุชไปด้วยไม่ได้ หน้าที่ของนุชอยู่ทางนี้ ท่านเป็นพ่อของนุชแท้ๆ และเป็นคนดีมาก ไม่มี Selfish เลย ขอโทษน้า นุชเขียนคำอังกฤษคำหนึ่งคำเดียวเท่านั้น นุชเกลียดภาษาอังกฤษ เกลียด England itself เกลียดอะไรๆ ทั้งหมดที่แล้วมาไม่จริง สงสารคุณแม่จะเหงามาก ท่านคงต้องการนุช น้าพงศ์ต้องไปเยี่ยมท่านบ้าง และคิดถึงนุชบ้าง นุชขอลา

Love and kisses

ของน้าพงศ์เสมอ

เขียนแล้ว โดยมิได้อ่านทวน นุชยกกระดาษอันเต็มไปด้วยลายมือของผู้อ่อนหัด ขึ้นประทับกับริมฝีปาก ครั้นแล้วหล่อนพับใส่ซองสอดไว้ใต้หมอน รอเวลาที่จะหาคนนำไปส่งยังที่ทำการไปรษณีย์ต่อไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ