หลังจากที่ได้พานุชไปดูหนังแล้ว ๒-๓ วัน บ่ายวันหนึ่ง พงศ์ กัลยาณเวทย์ ถูกเชิญตัวไปปรึกษาคดีความแพ่งเรื่องหนึ่ง ความเรื่องนั้นเมื่อได้ฟังเรื่องเผินๆ ก็ดูซับซ้อนยุ่งยาก แต่ครั้นเมื่อได้ซักถามลูกความทราบความจริงโดยละเอียดแล้ว พงศ์ก็กลับเห็นว่าเรื่องไม่ยากเท่าที่นึก ตามความรู้ของเขา พงศ์เห็นว่าลูกความของเขาจะเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน เมื่อได้พูดจาตกลงกันเรียบร้อยแล้ว พงศ์ก็ลาเจ้าของบ้านกลับ แต่เมื่อออกมาถึงประตูบ้าน ปรากฏว่ารถของเขายังไม่กลับจากธุระที่เขาใช้คนรถไป โดยกะเวลาให้ราวชั่วโมงครึ่ง ส่วนธุระที่ตัวเขามาทำเองนั้น สำเร็จเร็วกว่าที่กะไว้ถึง ๔๐ นาที บ้านนั้นเป็นบ้านที่ใกล้กับบ้านคุณหญิงรัตนวาที ห่างกันเพียงถนนเดียว พงศ์จึงเขียนข้อความสั้นๆ ลงบนนามบัตรฝาก แขกยามไว้ให้กับคนขับรถ สั่งเสียกันเป็นที่เข้าใจแล้ว เขาก็ออกเดินไปบ้านพี่สาว

ถึงบ้าน ‘เศกสม’ พงศ์ลัดเข้าทางประตูหลังสวน เพราะเป็นทางที่ใกล้กว่าประตูใหญ่ที่บริเวณหลังบ้านนี้ยังเป็นสวนผลไม้ มีต้นมะม่วง ชมพู ขนุน ฯลฯ รวมกันอยู่หลายสิบต้น พื้นดินยังรกรุงรังอยู่ด้วยหญ้า เนื่องจากเจ้าของบ้านยังไม่มีเวลาได้ตบแต่งแก้ไข แต่ทว่าเป็นที่ร่มรื่นและสงัด ห่างจากรั้วบ้านเข้าไปประ มาณ ๑๕ วา มีลานหญ้าเรียบสะอาดกว่าส่วนอื่นๆ ในบริเวณหลังบ้านนี้ พงศ์เดินตัดไปตามทางนั้นช้าๆ มองไปตรงหน้าเห็นเก้าอี้ผ้าใบยาวตั้งอยู่ใต้ต้นมะม่วงใหญ่ เข้าไปใกล้จึงเห็นว่ามีคนนอนอยู่บนเก้าอี้นั้น พงศ์ลดฝีเท้าให้เบาลงเพื่อไม่รบกวนคนหลับ แต่ครั้นเมื่อจะผ่านเก้าอี้เขาก็กลับหยุดชะงัก โดยที่จำได้ว่าผู้นั้นคือหลานสาวคนเล็กของเขานั่นเอง

ก้าวเท้าเข้าไปจนถึงตัวหล่อน พงศ์เอื้อมมือจะจับแขนปลุกให้ตื่น แล้วกลับยั้งมือไว้เมื่อมองเห็นหน้าหล่อนได้ถนัด นุชนอนตะแคงดวงตาปิดสนิท แลเห็นขนตายาวและงอนได้อย่างชัดเจน แสงอาทิตย์สีเหลืองล่องลอดใบมะม่วงลงมาเป็นวงกลมเฉพาะต้องตรงแก้มของหล่อน ทำให้แลดูประดุจสีมะยงสุก ลักษณะในวงหน้าอันขาวเกลี้ยงนั้นดูสงบเสงี่ยม ริมฝีปากบางจิ้มลิ้มเผยออยู่เล็กน้อยคล้ายกับว่ากำลังยิ้ม แต่ทว่าเป็นยิ้มที่ละห้อยตรงกันข้ามกับที่หล่อนเคยยิ้มอยู่โดยปกติเป็นอันมาก พงศ์เผ่าจ้องมองดูด้วยความตื่นเต้นและประหลาดใจ “ลักษณะของคนสวย” เขานึก “ตื่นก็สวย หลับก็สวย แต่ทว่าช่างแตกต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อ” มองดูหน้าส่วนที่ซบอยู่กับหนังสือปกแข็งซึ่งหล่อนใช้รองศีรษะต่างหมอน เห็นรอยด่างเป็นทางยาวจากหางตาจนถึงแก้ม รอยชนิดนั้นจะเป็นรอยอะไรได้ นอกจากรอยน้ำตา คิ้วของพงศ์ขมวดเข้าหากัน ก้มหน้าลงดูอย่างใกล้ชิด ยิ่งเห็นชัดว่าไม่ผิดดวงจิตอันไม่ปกติอยู่แล้วก็เดือดร้อนรำคาญขึ้นทันที หักใจที่รักแล้วไม่ต้องการเหตุผล พงศ์มิได้หยุดคิดว่านุชร้องไห้เพราะเหตุใดเต็มตื้นไปด้วยความสงสาร ปรารถนาแต่จะเล้าโลมเด็กหญิงคนนี้ พงศ์คุกเข่าลงกับพื้นทันที สมองของเขาร้องว่า “อย่า” แต่หัวใจของเขาค้านว่า “ทำไมนะ” แล้วเขาก็ก้มหน้าลงชิดกับหน้าหล่อน

การสัมผัสปลุกให้หญิงสาวตื่นขึ้นทันใด ม่านสีดำเส้นละเอียดแหวกออกจากกัน ดวงตากลมและดำขลับมองดูผู้อุกอาจด้วยความตกใจ แต่พอจำได้ว่าเป็นใครแล้ว หล่อนก็ยังยิ้มและถามว่า

“Did you kiss me?”

“Well! I don’t know” พงศ์ตอบอึกอัก “but I think I was going to....”

นุชหัวเราะเบาๆ แล้วลุกขึ้นนั่งห้อยเท้าอยู่บนเก้าอี้อย่างว่องไว

“แหม! นุชหลับสนิท” หล่อนว่า “หลับจนฝัน ........... ฝันว่า” ทันใดนั้นเองประดุจฉากกั้นระหว่างความหลับกับความตื่นได้เผยออกให้นุชมองเห็นความจริง คือเหตุการณ์และความรู้สึกเมื่อก่อนจะหลับ สีหน้าของหล่อนก็เผือดลง น้ำตาคลอตาโผตัวเข้าไปพิงอยู่กับทรวงอกของพงศ์ ซบศีรษะลงกับบ่าเขา สะอื้นพลางว่า

“นุชมีทุกข์ใหญ่เหลือเกิน”

“อะไรกัน?” พงศ์ถามเสียงต่ำ และในเวลานั้นถ้าแม้ว่านุชมีจิตใจเป็นปกติ หล่อนจะรู้สึกได้ทันทีว่า หัวใจของพงศ์เต้นแรงกว่าหัวใจของคนธรรมดาทั้งหลายเป็นอันมาก แต่สีหน้าของเขาคงขรึมและสงบเป็นปกติ วันนี้พงศ์มิได้ทำตัวแข็งมือแข็ง เขากอดหล่อนประทับกับตัว จูบศีรษะด้วยความปรานี แล้วประคองตัวหล่อนนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยกัน

“เรื่องอะไร?” พงศ์ถามขึ้นเมื่อได้ปล่อยให้หล่อนสะอื้นอยู่พักหนึ่ง “คุณแม่ดุกระมัง?” ประโยคสุดท้ายเขาพูดเชิงสัพยอก

นุชสั่นศีรษะช้าๆ “อะไรก็ไม่รู้” หล่อนตอบ “ดูอะไรๆ มันดำๆ อยู่รอบตัว นุชไม่เข้าใจเลย”

“อะไรดำๆ?” พงศ์ถาม เตรียมพร้อมที่จะยิ้ม

“ไม่รู้ค่ะ ยุ่งๆ อย่างนี้หลายทีแล้ว ตั้งแต่ปี ๒๙ มาทีเดียว มีเสมอๆ นุชทำลืมเสียได้แต่คราวนี้…….”

“ก็ไอ้ที่ยุ่งน่ะอะไรเล่า?” พงศ์ถามน้ำเสียงแสดงความเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง “ไหนลองเล่าไปถี เรื่องราวเป็นอย่างไรถึงกับร้องไห้ร้องห่มใหญ่โต เมื่อคืนวานนี้ก็ร่าเริงดี มาเกิดเรื่องขึ้นแต่เมื่อไร?”

“เช้าวันนี้เอง” นุชตอบเสียงกระเส่า “น้าจำสุนทรได้ไหม? คนที่พบวันนั้นน่ะ”

“จำได้ ชายหนุ่มหน้าตาสะสวยที่นุชบอกกับน้า ว่าน่ารักและอะไรๆ อีกหลายอย่าง”

“ถูกแล้ว คนนั้นแหละ เรารู้จักกันตั้งแต่อยู่ในอิงแลนด์ เขาเป็นญาติกับคุณแม่ น้ารู้แล้วไม่ใช่หรือ เขาเคยไปดินเนอร์ที่สถานทูตเสมอจนเราคุ้นเคยกัน เคยไปเที่ยวด้วยกันก็หลายหน เราเข้าใจกันดีมาก แต่เราก็ยังไม่ได้ตกลงกัน ทีนี้พอนุชมาถึงกรุงเทพ ฯ เขาก็มาหา เราก็กลับชอบกันเท่าเดิมยิ่งกว่าเดิม เราทำความเข้าใจกันแล้ว สุนทรพูดไว้ว่า เขาจะให้แม่เขามาขอหมั้นนุชกับคุณแม่ ที่นี้ในระหว่าง ๔ วันนี้เขาก็หายไป ครั้นถึงวันนี้ นุชได้รับจดหมายจากเขา บอกว่าเรื่องอะไรที่แล้วไปขอให้เป็นเลิก เพราะมีเรื่อง family เข้ามาขวาง ขอให้นุชลืมเขาเสียทันที ฝ่ายเขาถึงจะลืมนุชไม่ได้ง่าย แต่ก็จะพยายามลืมเช่นเดียวกัน”

น้ำเสียงของหล่อนขาดสะบั้นลงเพียงนี้ หล่อนถอนใจด้วยความเหนื่อย เนื่องจากที่ได้อัดใจกลั้นสะอื้นไว้ ครั้นเล่าจบลงแล้วน้ำตาก็ไหลพรากลงทั้งสองแก้ม พงศ์มองดูหล่อนด้วยความเศร้าใจ หมดปัญญาที่จะหาคำมาปลอบโยน จึงได้แต่โอบหล่อนมากอดไว้ และลูบศีรษะไปมาด้วยความปรานี

“นุชรักเขามากทีเดียวหรือ?” เขาถามในที่สุด

“รักมากเท่ากับน้า” หญิงสาวตอบและเงยหน้าขึ้นมองดูเขาด้วยดวงตาอันใสแจ๋ว ดังจะเปรียบได้กับแว่นแก้ว ส่องทะลุถึงหัวใจอันบริสุทธิ์ของหล่อน “แต่ว่าไม่เหมือนกัน สุนทรไม่เหมือนกับน้าพงศ์ เขาไม่เหมือนกับนุช เราเข้าใจกันดีทุกอย่าง แต่ทำไม...ทำไมนะเขาถึงได้หลอกนุช?”

“เพราะเขาไม่รักนุช เท่าที่นุชรักเขานะซี” พงศ์พูดเรียบๆ

“แต่เขาบอกกับนุชว่าเขารักนุชนี่นา เขาต้องไม่พูดปด สุนทรไม่ใช่ชอบปด ต้องมีอะไรมาทำให้เขาเปลี่ยนใจ... อะไร? นุชอยากรู้ว่าอะไร?”

พงศ์นิ่งเงียบ ‘อะไร’ ที่นุชอยากรู้นั้นเขารู้อยู่เต็มอก หากแต่เขาไม่สามารถเพราะไร้สิทธิ์ที่จะบอกหล่อนได้ จากคำพูดของนุช พงศ์ก็คาดได้ว่าการเปลี่ยนใจของสุนทรได้เริ่มต้นในคืนที่นุชไปดูหนังกับเขานั่นเอง ชายหนุ่มผู้นั้นคงจะเสียใจไม่น้อย แต่เขาเป็นบุตรในตระกูลของบิดามารดา และมีวงศ์วานในตระกูลอีกหลายคน ซึ่งเขาไม่อาจเสียสละให้แก่ความรักได้ ไม่แต่นายสุนทร ถึงจะเป็นชายอื่นทั่วไปก็น่าจะต้องปฏิบัติดังที่สุนทรได้ปฏิบัติไปแล้ว เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นชายที่เด็ดเดี่ยวอย่างเหลือเกิน ไม่เห็นสิ่งใดในโลกสำคัญยิ่งไปกว่าความรัก นับแต่บิดามารดาตลอดจนชื่อเสียงของตน แต่ชายชนิดนั้นจะหาได้ที่ไหน อีกสักกี่ปีจะผ่านเข้ามาในชีวิตของนุชสักครั้งหนึ่ง

“ในที่สุดคำพูดของอัมพรก็เป็นคำจริง ในโลกของเราไม่มีอะไร นอกจากความหลอกลวงหรือคะ?” นุชพูดภายหลังที่ได้เงียบกันไปเป็นครูใหญ่ “ไม่มีคนดีอยู่ในโลกนี้บ้างเที่ยวหรือ?”

“มีนุช” พงศ์ตอบและยิ้มเศร้าๆ “มีมากทีเดียว แต่นุชไม่รู้ เผอิญนุชไม่พบเขา หรือพบแล้วไม่รู้จักก็ได้”

“ไม่เคยพบเป็นแน่” หญิงสาวตอบและหายใจสะอื้น “นุชพบคนที่หลอกนุชมาถึง ๒ คนแล้ว หลวงไพรัชช์ ฯ ก็หนหนึ่ง เลขานุการของสถานทูต น้าจำได้ไหม เขาก็ทำกับนุชเหมือนสุนทรนี่แหละ เขาแก่กว่านุชเป็นหลายปี เขาไม่ควรหลอกเด็กเลย ทำไม?…….. เพราะอะไรเขาถึงเหมือนๆ กันหมด?”

พงศ์นิ่งอีก นุชรำพันต่อไป

“หลวงไพรัชช์ ฯ เป็นผู้ใหญ่กว่านุชมาก นุชนึกว่านุชคงซุกซนเกินไป เขาจึงหายรัก นุชเสียใจมาก แต่ทีหลังก็ห้ามใจไว้ได้ ส่วนสุนทรเราเข้าใจกันดีเหลือเกิน ทำไมเขาจึงหลอกนุชอีก นุชจะหาอะไรมาโทษตัวถึงจะลืมเขาได้”

“ถึงอย่างไรนุชก็ต้องลืมให้ได้ ถ้ามิฉะนั้นชีวิตของนุชจะหมดความสุข” พงศ์พูดอย่างจริงจัง “น้าจะสอนให้ นุชต้องโทษตัวว่าไม่รอบคอบไปรักคนที่ใจไม่หนักแน่นพอ คราวหลังต้องระวังตัวอย่ารักใครอีก จนกว่าจะแน่ใจว่าจะไม่ถูกหลอกเป็นครั้งที่ ๓”

“จริงแหละ นุชต้องไม่รักใครอีก ผู้ชายเห็นจะชอบหลอกผู้หญิงเล่นทุกคนนะน้าพงศ์ น้าเคยถูกผู้หญิงหลอกบ้างไหม?”

“เปล่า ไม่เคย”

“อ้า เห็นไหม ผู้หญิงไม่หลอกใคร” นุชกล่าวและยิ้มทั้งน้ำตา นิ่งอยู่วาระหนึ่ง แล้วจึงกล่าวสืบไป “แล้วน้าพงศ์ทำไมถึงยังไม่แต่งงานจนป่านนี้ล่ะคะ?”

พงศ์มองดูหล่อนเต็มตา กัดริมฝีปากอยู่อึดใจหนึ่ง จึงตอบเรื่อยๆ ว่า

“เพราะไม่เคยรักผู้หญิงที่น้าจะแต่งงานด้วยได้”

หญิงสาวมองดูเขาอย่างตรึกตรองแล้วจึงว่า

“นุชยังไม่เข้าใจดี ...คนที่น้ารักเขา เขาแต่งงานกับน้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ? แปลกจริงเป็นอย่างไร?”

“ไม่แปลกหรอกนุช เหตุขัดข้องมีถมไป จะยกตัวอย่างง่ายๆ สมมุติว่าน้ารักนุช เราก็คงแต่งงานกันไม่ได้จริงไหม เพราะเป็นน้าเป็นหลานกัน”

ถ้าหากจะมีผู้ถามว่า ตัวอย่างอื่นๆ มีอยู่ดาษดื่นแนบเนียนกว่าที่เขากล่าวแล้ว เหตุใดจึงไม่ชักมากล่าว พงศ์คงจะตอบคำถามนั้นไม่ได้ แต่ผู้ถามควรจะเข้าใจว่า ‘อันความลับในจิตใจมนุษย์นั้น แม้เจ้าของหวงแหนปกปิดสักเท่าใดก็ย่อมจะดิ้นรนหาทางออกอยู่เสมอ เมื่อใดเจ้าของเผลอก็เมื่อนั้นความลับจะปรากฏออกเป็นความจริงให้มีผู้รู้ทันที

แต่นิสัยนุชเป็นคนซื่อ เมื่อหล่อนรักใครนับถือใคร หล่อนรักด้วยหัวใจ ไม่ใช่รักด้วยสมอง และเมื่อรักแล้วก็เชื่อมั่นว่าผู้นั้น จะอยู่ในทางที่ถูกและมีเหตุผลเสมอ แทนที่จะนึกว่าตัวอย่างที่พงศ์ยกขึ้นพูดไม่เหมาะ หล่อนกลับกล่าวว่า

“ถ้าเรารักกัน เราคงไม่หลอกกันนะคะ น้าพงศ์ไม่หลอกนุชเป็นแน่”

“แต่นุชคงไม่รักน้า เพราะน้าแก่แล้ว” พงศ์ตอบเร็ว ความขมขื่นเกือบจะปรากฏในน้ำเสียง

“โอ! ไม่จริงเลย น้าพงศ์ยังไม่แก่สักนิดเดียว อายุ ๓๒ เท่านั้นเอง แก่ที่ไหน”

“แต่นุชยังเด็กมาก อ่อนกว่าน้าตั้ง ๑๓ ปี?”

“ยิ่งดีใหญ่ นุชชอบเป็น old man’s darling”

ในขณะที่โต้ตอบกันอยู่ด้วยเรื่องนี้ หน้าของพงศ์เปลี่ยนสีไปหลายครั้ง ประโยคสุดท้ายทำให้สีหน้าของเขาแดงขึ้นจนเห็นชัด แววตาเป็นประกายด้วยความชื่นชมอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นแล้วเขากลับได้สติเกิดความกลัวว่าจะพ่ายแพ้แก่ใจตนเอง จึงเลื่อนตัวลงจากเก้าอี้พร้อมกับพูดว่า

“เย็นมากแล้วนุช ไปอาบน้ำเสียทีหรือ น้าจะไปคุยกับพี่สวงสักหน่อย”

  1. ๑. คริสตศักราช ๑๙๒๙

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ