ถึงแม้ว่าสายอสุนีบาตฟาดเปรี้ยงลงมากลางห้อง ก็จะไม่ทำให้นุชตกตะลึงเท่ากับเมื่อหล่อนได้ยินคำพูดประโยคนั้น ผุดลุกขึ้นนั่ง ชะโงกตัวเข้าไปจนลมหายใจต้องหน้าอัมพร กัดฟันพลางถามว่า

“นี่อัมพรเป็นบ้าหรือ? พูดอัปมงคลอะไรอย่างนี้!”

พี่สาวจ้องหน้าน้อง ด้วยสายตาแสดงความสงสารเป็นล้นพ้น แล้วตอบช้าๆ ด้วยเสียงเดิม

“สติของพี่ยังบริบูรณ์ดี พี่รู้แล้วนุชจะต้องตกใจมาก แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นจริงๆ”

“บ้า! บ้าห้าร้อยหน!” นุชกล่าว คางสั่น แทบว่าฟันจะกระทบกัน “ขี้ปดทั้งเรื่อง ฉันจะบอกคุณแม่!” พูดแล้วหล่อนก็ยื่นเท้าออกนอกเตียง

“ช้าก่อน!” อัมพรพูดเร็ว ยึดแขนน้องสาวไว้โดยละม่อม “นุชต้องนึกว่าพี่เป็นพี่ของนุชแท้ๆ เท่ากับคุณหญิงสวงเป็นคนอื่น เรื่องราวอะไรพี่จะเอาเรื่องเท็จมาบอกกับนุช ทรมานคนเล่นสนุกอะไร”

“บ้า!” นุชยืนคำเสียงสั่น สะบัดแขนจากกำมือพี่สาวโดยแรง “นุชน่ะหรือเป็นลูกของตาแก่ขี้คุกคนนั้น? ใครว่าจริงคนนั้นโกหก!”

ก่อนที่จะขาดคำ ดวงตาของนุชได้ประสานกับดวงตาของอัมพรอย่างจัง ทั้ง ๒ จ้องดูกัน... ในทันใดนั้น นุชก็ทิ้งตัวลง นอนคว่ำลงบนเตียง ซุกหน้าลงกับหมอน ดังหนึ่งจะพยายามแทรกตัวเข้าไปอยู่เสียที่ในหมอน พร้อมกับยกมือขึ้นปิดหูทั้ง ๒ ข้างไว้แน่นด้วย

อัมพรหายใจสะอื้น มองดูร่างที่นอนคว่ำอยู่ตรงหน้าด้วยความรันทดและประหลาดใจระคนกัน พลางพูดว่า

“พี่นึกแล้วว่านุชคงตกใจมาก แต่ไม่ได้นึกว่าจะรู้ความเป็นไปในชีวิตของคุณพ่อที่แล้วมา ใครเป็นคนเล่าให้นุชฟัง?”

นุชคงนิ่งอยู่ในท่าเดิม อัมพรจึงพูดต่อไปช้าๆ

“เป็นกรรมของเราแล้วจะทำอย่างไร ดีแล้วที่นุชรู้ความจริงส่วนสำคัญในชีวิตของคุณพ่อเสียก่อน ทำให้พี่คลายลำบากใจ ในการที่จะต้องเป็นผู้บอกแก่นุช ความจริงต้องเป็นความจริง เราจะหลีกเลี่ยงอย่างไรก็ไม่พ้น แต่ขอให้นุชเข้าใจเสียก่อนว่า ถึงแม้พ่อของเราจะเคย...เคยต้องโทษคดีอุกฉกรรจ์ แต่ท่านมิใช่ผู้ร้ายใจอำมหิตและเป็นคนอันธพาล ตรงกันข้าม ท่านเป็นคนมีน้ำใจอันดี ที่เราควรจะเคารพเป็นอย่างยิ่ง หากแต่เวรกรรมบันดาล ให้ท่านลุอำนาจโทสะจริตขึ้นครั้งหนึ่งเท่านั้น จึงเกิดเป็นเรื่องร้ายเข้าลึกถึงเพียงนี้”

นุชยังคงนิ่งอึดอยู่เช่นเดิม แต่มือทั้ง ๒ ที่ปิดหูอยู่นั้นได้คลายออกเล็กน้อย อัมพรเองเมื่อนึกถึงความหลังแห่งบิดามารดาแล้วก็ให้ตื้นตันใจ แทบว่าจะพูดออกมาอีกมิได้ แต่อัมพรมิใช่เป็นคนอ่อนแอโลเล ความเด็ดขาดเป็นคุณสมบัติประจำตัวของหล่อน หล่อนได้ตั้งใจแล้วว่าจะเล่าเรื่องให้น้องสาวฟังโดยละเอียด หล่อนจะต้องเล่าจนได้ ภายหลังที่ได้ตั้งสติรวบรวมความทรงจำได้ดีแล้ว หล่อนก็เริ่มเล่าเรื่องอันรวบรวมเป็นใจความดังต่อไปนี้

บิดาของอัมพรมีนามว่าอาจเป็นบุตรคหบดีผู้มีชื่ออยู่ในเมืองหลังสวนนี้ เมื่ออายุได้ ๑๕ ปี บิดาได้นำตัวไปฝากไว้ในโรงเรียนนายร้อยทหารบก ครั้นอายุได้ ๒๒ ปีก็ได้รับยศเป็นนายร้อยตรีในกองทัพบกสยาม เมื่อเวลาที่นายอาจยังเป็นนักเรียนทำการนายร้อย ได้ผูกสมัครรักใคร่กับธิดาคนเดียวของข้าราชการผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง โดยที่บิดามารดาของฝ่ายหญิงมิได้รู้ความ เจ้าหล่อนผู้นั้นมีนามว่าพิศ หนุ่มสาวทั้ง ๒ ได้ลักลอบพบปะกันและส่งข่าวสาส์นถึงกันเสมอมิได้ขาด แต่เป็นดังนั้นมาตลอดปีกว่า วันหนึ่งเมื่อถึงคราวเคราะห์ร้าย มารดาของพิศจับจดหมายที่นายร้อยตรีอาจมีไปถึงบุตรีได้ ได้นำจดหมายนั้นไปให้สามีดู จึงเกิดเหตุถึงกับพิศต้องถูกทุบตี ตลอดจนถูกกักตัวมิให้ลงจากเรือน แต่ท่านยอมว่า ความรักนั้นเรียกร้องความรักและเมื่อรักต่อรักได้ประสบประสานกัน แล้วก็เกิดเป็นอำนาจที่แรงกล้าพาไปสู่ความพยายาม จากนั้นความพยายามก็ชักจูงผู้พยายามไปสู่ความสมปรารถนา อันอาจเป็นผลดีหรือตรงกันข้ามแล้วแต่เหตุการณ์ ดังนั้นภายในเวลาอันไม่ช้านาน โดยความพยายามของคู่รักทั้ง ๒ พิศก็หายตัวไปจากบ้านได้โดยปราศจากร่องรอย ทำให้ท่านขุนนางผู้สูงศักดิ์เกิดเป็นฟืนเป็นไฟ สิ่งแรกที่ท่านขุนนางผู้นั้นกระทำลงก็คือ พาตำรวจไปค้นบ้านนายร้อยตรีอาจ ครั้นไม่ได้ตัวบุตรี จึงนำความไปแจ้งกับผู้บังคับกองพัน ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของนายร้อยตรีอาจนั้นเป็นเชิงอายัติ แต่ในวันและเวลาเดียวกันกับที่พิศหายไปจากบ้านนั้น นายทหารหลายคนได้เห็นคู่รักของหล่อนทำงานอยู่ที่กรมตลอดวัน ยิ่งกว่านั้น ตลอดหนึ่งสัปดาห์รวมทั้งวันอาทิตย์ด้วย อาจได้ขลุกอยู่ที่กรมหรือสโมสรเกือบจะว่าได้ว่าตลอด ๒๔ ชั่วโมง ความจริงนั้นคือพิศได้ออกจากบ้าน และโดยสารรถไฟไปนครปฐมกับเพื่อนคนหนึ่งของนายร้อยตรีอาจ เขาผู้นั้นมีบรรดาศักดิ์เป็นขุนสุรพจน์พิสุทธิ์ ได้พาหล่อนไปไว้ที่บ้านมารดาเลี้ยงของนายร้อยตรีอาจ และคู่รักของพิศได้ตามมาหาหล่อนใน ๑๐ วันต่อมา

ด้วยความพยายามและระมัดระวัง นายร้อยตรีอาจได้เวียนขึ้นเวียนล่อง เพื่อมาพบปะกับภรรยายอดที่รักบ่อยที่สุดที่ตนจะทำได้ ต่อมาประมาณ ๑๐ เดือนเศษ เขาก็มีบุตรด้วยกันคนหนึ่ง บิดามารดาพร้อมใจกันให้ชื่อว่าอัมพร

เมื่อได้มีลูกเป็นเนื้อตัวขึ้นดังนี้แล้ว นายทหารหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว จึงปรารภที่จะพาภรรยากลับเข้ากรุงเทพฯ ไปอยู่ด้วยกันให้เป็นฝั่งฝา แต่พิศยังมีความกลัวบิดาอยู่ เป็นความกลัวของผู้เคยกลัว ถึงสามีจะได้ชี้แจงให้ฟังว่า บิดาของหล่อนนั้นหมดสิทธิในตัวหล่อนแล้ว พิศก็ยังไม่วายที่จะกลัวอยู่นั่นเอง ดังนั้นหล่อนจึงยังคงซ่อนตัวอยู่ในจังหวัดนครปฐมอีก ๓ ปีเศษ จนเกิดบุตรีเป็นคนที่ ๒ ในเวลาใกล้ๆ กันนั้น มารดาของพิศก็ถึงแก่กรรมลง

ความเศร้าโศกเสียดายมารดาที่รัก และเสียใจที่มิได้เห็นใจมารดาในวาระสุดท้าย ตลอดจนไม่มีหวังที่จะได้เผาศพ ทำให้ร่างกายพิศทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว อาจเป็นกังวลในความอ่อนแอของภรรยาเป็นอย่างยิ่ง ความปรารถนาที่จะให้หล่อนได้อยู่ในความดูแลของตนทุกเวลาก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เขาจึงอุบายชี้แจงแก่หล่อนว่า เนื่องจากแม่ของพิศได้ตายจากไปแล้ว บิดาคงจะเมตตาต่อบุตรี และยอมยกโทษให้ในความผิดที่แล้วมา อาศัยความปรารถนาที่จะดูเปลวเพลิงมารดาเป็นเครื่องสนับสนุน พิศได้ตกลงพาบุตรีอายุ ๓ ปีกับ ๔ เดือนคนหนึ่ง กับบุตรีคนเล็กอายุเพียง ๓ เดือน โดยสารรถไฟกลับกรุงเทพฯ โดยเร็ว

ในเวลานั้น อาจได้เลื่อนยศเป็นนายร้อยโท ชั้น ๓ ได้รับพระราชทานเงินเดือนเพิ่มเติมขึ้นอีกเล็กน้อย

๒ สามีภรรยา ได้มาอยู่เป็นหลักแหล่งในเรือนเล็กๆ หลังหนึ่งที่ถนนตรีเพชร รื่นรมย์สมสุขอยู่ด้วยกันเพียง ๒ อาทิตย์ ครั้นแล้วเรื่องร้ายอันน่าหวาดเสียวก็เกิดขึ้น

นายร้อยโทอาจ จะต้องไปอยู่เวรรักษาการณ์ เขาร่ำลาภรรยาอย่างแสนอาลัย จูบลูกน้อยทั้งสองอย่างแสนรักแล้วก็จากไป

วันรุ่งขึ้น แทนที่จะได้กลับบ้านตามกำหนดให้ทันใจ เขาต้องทำหน้าที่พิเศษบางอย่าง ทุกค่ำมีการเลี้ยงที่สโมสร เพื่อนนายทหารมากหน้าหลายตา ทุกคนสนุก ทุกคนเฮฮา ทุกคนดื่มๆๆๆ จนเมา อาจหาช่องทางเลี่ยงจากสโมสร ได้เวลา ๒๒ นาฬิกา เขายังมีสติพอที่จะนึกถึงภรรยาของเขา มากกว่าความสนุก มาถึงบ้านเห็นรถเทียมม้าเทศเดี่ยวคันหนึ่งจอดอยู่ อาจมิได้เอาใจใส่ ตรงขึ้นเรือนโดยไม่รั้งรอ พอถึงขั้นบันไดสุด อาจหยุดชะงักชายผู้หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ศีรษะล้านหน้าเหี้ยมเกรียม ในมือถือตะพดอันใหญ่ ส่งเสียงเกรี้ยวกราดขู่ตะคอก และฉุดคร่าภรรยาของเขาอยู่ หน้ามืดด้วยฤทธิ์โทสะและแอลกอฮอล์รวมกัน อาจควักปืนจากกระเป๋ากางเกงยิ่งปังออกไปทันที

เสียงหญิงร้องหวีด! สุดเสียง ชายร่างใหญ่กำยำล้มลง ชักดิ้นชักงออยู่ ๒-๓ นาที แล้วก็ขาดใจ พิศตกตะลึงตาเหลือกลาน โถมตัวเข้ากอดศพไว้ แล้วก็แน่นิ่งอยู่กับที่ อาจถลันเข้าไปถึงตัวหล่อน ช้อนศีรษะขึ้นแนบอก พิศหลับตานิ่ง เขาก้มหน้าลงชิดกับจมูกหล่อน สังเกตลมหายใจ…. ลมหายใจ! จะมีที่ไหน! พิศสิ้นลมหายใจเสียแล้ว เดี๋ยวนี้เอง!!!

อาจสิ้นสติ ลืมตัว ลืมอันตราย เขาเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตาย ศพยังนอนอยู่ตรงหน้า โลหิตไหลนองพื้นกระดาน อาจมิได้คำนึงถึง กอดศพภรรยาประทับไว้กับตัว ร่ำเรียกร้องจนเสียงหลง น้ำตาร้อนผ่าวหยดลงบนหน้าอันขาวซีด นั่งอยู่ในท่านั้นนานเท่าไรไม่มีใครบอกได้ ตราบเท่าจนตำรวจเข้ามาถึง เขาพากันยื้อแย่งจะดึงร่างของพิศจากวงแขนชายผู้เป็นสามี อาจดิ้นรนขัดขึ้น กำลังแรงดังหนึ่งพยัคฆ์ร้าย แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้ กุญแจเหล็กสวมลงบนข้อมือดังฉับ พร้อมกับเจ้าของมือหมดสติล้มกลิ้งอยู่กับที่....

อัมพรเล่าถึงเพียงนี้ก็หยุดนิ่ง หยาดน้ำตาไหลเปื้อนเต็มหน้าของหล่อน นุชมิได้รู้สึกตัวว่าได้ลุกขึ้นนั่งตั้งแต่เมื่อไร แต่หล่อนก็กำลังนั่งตัวแข็งอยู่บนเตียง เสียงอัมพรเงียบหายลง เสียงสะอื้นจากลำคอนุชดังขึ้นแทน บุตรีคนเล็กของนายอาจกำลังร้องไห้จนไม่เป็นสติสมปฤดี

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ