- วันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๔ น
- วันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ น
- วันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ ดร
- วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๔
- วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๔ น
- วันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ น
- วันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๔ น
- วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๔ น
- วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๔ น
- วันที่ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๔ ดร
- วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๔ น
- วันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ ดร
- วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๔ น
- วันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๔ ดร
- วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๔ ดร
- วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๔ ดร
- วันที่ พ.ศ. ๒๔๖๔ ดร
- วันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ น
วันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ น
บ้านปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๔๖๔
กราบทูล กรมพระดำรง ทราบฝ่าพระบาท
ขอประทานถวายคำทัก ในกลอนพระลอ ฉบับของพระยาพจน ซึ่งจับได้ว่าไม่เก่า เปนข้อๆ ต่อไปนี้
ข้อ ๑ ถ้อยคำสำนวนไม่เสมอต้นเสมอปลาย ดุจตัวอย่างนี้
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงท้าวแมนสรวงรุ่งฟ้า |
เรืองฤทธิสิทธิศักดิมหิมา | อานุภาพปราบทั่วทุกกรุงไกร |
อันปจันตประเทศธานี | ไม่มีใครจะต้านทานได้ |
ได้ผ่านสมบัติอันเรืองไชย | ในกรุงอยุธยาพระนคร |
แสนสนุกโภไคไอสวรรย | อเนกอนันตคั่งคับสลับสลอน |
ม้ารถคชพลกุญชร | เสนาพลากรมากนัก ฯลฯ |
ขอได้ทรงสังเกต เปนถ้อยคำรุ่มร่ามอย่างเก่าอยู่คำแรกคำเดียว ต่อลงมาเรียบแลกอบด้วยสำผัสในเปนอย่างใหม่ ในคำที่ ๕ เหนได้ชัดทีเดียว สำนวนเก่าไม่เคยเหนใช้ถ้อยคำกระตุ้งกระติ้งเช่นนี้
ข้อ ๒ ว่าด้วยเครื่องแต่งช้างต้น มีดังนี้
(บทอยุธยา) ผูกพระที่นั่งคชาธาร | เคยผลาญสตรูมามากหลาย |
เสวตรฉัตรชั้นพรรณราย | เหนบหางยูงพรายเพราตา |
(บทเมืองสอง) อยู่ปืนยืนหอกไม่กลอกกลับ | สำหรับกษัตรามหาศาล |
ผูกพระที่นั่งคชาธาร | ผ่านน่าซองหางดาวราย |
เครื่องพระคชาธารเราได้ตรวจกันแล้ว ของเก่าไม่มีมิใช่ฤๅ
ข้อ ๓ ท้าวแมนสรวงบอกนามเมือง
ทุกประเทศธานีน้อยใหญ่ | ไม่มีใครจะทานต้านติด |
เราเปนวงษพงษพระอาทิตย | เทวามานิมิตรเมืองเรา |
ให้ชื่อกรุงเทพมหานคร | สถาวรไม่มีใครเทียมเท่า |
สมบัติประเสริฐเพริศเพรา | เรามีเสวตรกุญชรชาญ |
กรุงเทพมหานคร น่าตาสมเปนบางกอก จึ่งได้ทูลยืนยันเมื่อวานนี้ว่าเปนบางกอก แต่ทีหลังมาคิดดู คำเก่ามีเรียกมาแล้วว่ากรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดีศรีอยุธยา แต่ถึงคำกรุงเทพมหานครเปนกรุงเก่าได้ ก็ไม่ล้างถ้อยคำสำนวนที่เปนรุ่นบางกอกไปได้
ข้อ ๔ ที่กล่าวว่าท้าวแมนสรวงมีช้างเผือก เปนข้อเสิมนอกออกไปจากพระลอลิลิต ซึ่งเปนต้นเรื่องเดิม ย่อมส่องให้เหนได้ว่าเวลาแต่งพระลอคำกลอนนี้ เปนเวลากำลังนิยมยิ่งยวด ว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใดมีช้างเผือกแล้ว เปนผู้มีบุญยิ่งใหญ่, การนิยมเช่นนี้ เหนมีสองคราว คือสมเด็จพระมหาจักรพรรดิคราวหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าคราวหนึ่ง หนังสือพระลอคำกลอนนี้ เหนสำนวนจะส่งขึ้นไปถึงแผ่นดินสมเดจพระมหาจักรพรรดิไม่ได้ ก็จะตกอยู่ในชั้นรัชกาลที่ ๒ กรุงเทพ ฯ นี้เอง
สังเกตดูคำรุ่มร่ามอย่างกรุงเก่า ในบทหนึ่งก็มีแต่คำต้นคำเดียว ต่อลงมาก็เปนบางกอก สงสัยว่าตั้งใจจะเดิรทางเลียนกรุงเก่าเท่านั้น ความเหนทั้งนี้จะผิดฤๅถูกก็เปนแต่เดาเล่นเท่านั้น แล้วแต่จะโปรส