ภาคผนวก ก. ปาจิตตกุมารชาดก

พระราชาภิรมย์ (แจ่ม บูรณนนท์) แปล

ตว ภควา ภูมิปาโลติ อิทํ สตฺถา เวสาลิยํ นครํ อุปนิสฺสาย พิมฺพาเทวิ ปพฺพชิตํ อารพฺภ กเถสิ

สตฺถา สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ ทรงอาศัยเมืองไพสาลีเป็นที่โคจรสถานทรงบาตร อารพฺภ องค์พระโลกนาถทรงพระปรารภพระนางพิมพาซึ่งออกบรรพชาเป็นพระภิกษุณี ให้เป็นเทศนานุบัติเหตุ กเถสิ จึงตรัสพระธรรมเทศนาชาดกนี้ให้เป็นผล มีพระบาลีเริ่มต้นว่า ตว ภควา ภูมิปาโล ดังนี้

เอกทิวสมฺหิ แท้จริงวันหนึ่งภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย พระนางพิมพาเทวีนั้นครั้นบรรพชาเป็นนางภิกษุณีแล้ว ก็มีพระรูปลักษณะอันงามยิ่งนัก ควรเป็นมหัศจรรย์

ในขณะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จอยู่ในพระคันธกุฎี ได้สดับถ้อยคำพระภิกษุทั้งหลายด้วยทิพโสตญาณ จึงเสด็จคมนาการไปสู่โรงธรรมสภา ทรงประทับ ณ พุทธอาสน์แล้ว ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า เธอทั้งปวงนั่งสนทนาถึงเรื่องอะไรกัน พระภิกษุทั้งหลายจึงทูลความตามที่ได้สนทนานั้นให้ทรงทราบ จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นางพิมพาเทวีจะได้งามด้วยเพศบรรพชาแต่ในกาลบัดนี้หามิได้ แม้ถึงในกาลปางก่อน นางได้ถือเพศบรรพชาก็มีลักษณะจรรยาอันงามเหมือนกัน มีพระพุทธฎีกาตรัสดังนี้แล้ว ก็ทรงดุษณีภาพ พระภิกษุทั้งหลายจะใคร่ทราบอดีตนิทานจึงทูลอาราธนา พระพุทธองค์จึงทรงนำเรื่องในอดีตกาลมาตรัสเทศนาดังต่อไปนี้ว่า

อตีเต ภิกฺขเว พฺรหฺมพนฺธุนคเร มหาธมฺมราชานาม เอโก ราชา รชฺชํ กาเรสิ ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลเป็นอดีตล่วงแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่งทรงพระนามว่ามหาธรรมราชา ครองราชสมบัติอยู่ ณ เมืองพรหมพันธุนคร มีพระอัครมเหสีงามบวรทรงนามว่าสุวรรณเทวี

ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์จุติจากเทวโลกลงมาปฏิสนธิในครรภ์พระอัครมเหสีนั้น ครั้นถ้วนทศมาสก็ประสูติจากพระครรภ์ พระประยูรญาติทั้งหลายมีพระราชบิดาเป็นประธาน จึงให้นามพระราชกุมารนั้นว่า ปาจิตตกุมาร ดังนี้ ครั้นพระราชกุมารโพธิสัตว์มีพระชนม์ได้ ๑๖ ปี พระเจ้ามหาธรรมราชาปรารถนาจะอภิเษกให้ครองราชสมบัติ จึงมีพระราชสาสน์ไปยังกษัตริย์ทั้งร้อยเอ็ดพระนคร ให้ประดับตกแต่งราชธิดาส่งมา เพื่อจะเลือกขัตติยกัญญาที่สมควรเป็นคู่อภิเษกกับพระราชโอรส

พระยาทั้งร้อยเอ็ดพระนครได้ทราบพระราชสาสน์ของพระเจ้ามหาธรรมราชา ต่างก็ตกแต่งธิดาของตนๆ ส่งมายังเมืองพรหมพันธุนคร พระเจ้ามหาธรรมราชาจึงให้ธิดาของพระยาร้อยเอ็ดนั้นนั่งเรียงกันเป็นลำดับในหน้าพระลาน แล้วมีพระราชโองการให้พระราชโอรสโพธิสัตว์เลือกคู่ตามปรารถนา พระโพธิสัตว์แลดูราชธิดาทั้งร้อยเอ็ดก็มิได้พอพระทัยในราชธิดาเหล่านั้น ครั้นพระราชบิดาตรัสถามว่า ดูกรพ่อปาจิตตกุมารผู้เป็นปิโยรส ราชธิดาทั้งหมดนั้นไม่เป็นที่พอใจของเจ้าหรือ จึงทูลรับว่า หม่อมฉันไม่มีความปรารถนาในราชธิดาเหล่านั้นเลย พระพุทธเจ้าข้า ถ้าแม้สมเด็จพระราชบิดาทรงอนุญาต หม่อมฉันจะถวายบังคมลาฝ่าพระบาทไปแสวงหาภรรยาตามชอบใจ พระพุทธเจ้าข้า

พระเจ้าธรรมราชาจึงตรัสว่า ดูกรพ่อผู้เป็นปิยบุตร บิดาจะให้โหราจารย์ทำนายดูก่อน ให้รู้ว่าคู่ของเจ้าจะอยู่ในทิศใดทางใด เจ้าจงไปเสาะหาในทิศนั้นทางนั้น มีพระราชดำรัสดังนี้แล้ว จึงให้หาโหราจารย์เข้าไปเฝ้าแล้วตรัสว่า บัดนี้โอรสของเราจะไปแสวงหาคู่ ท่านจงพิจารณาดูว่านางนั้นจะอยู่ทิศใด จะมีรูปสรรพางค์เป็นอย่างไร และเป็นบุตรของผู้ใด เกิดในตระกูลอะไร

โหรรับราชโองการแล้ว คูณหารพิจารณาดูโดยคัมภีร์ไสยศาสตร์ จึงทูลพระเจ้ามหาธรรมราชาว่า ข้าแต่สมมติเทวดา คู่ของพระราชโอรสนั้นมีบุญลักษณะอันประเสริฐ ทั้งประกอบไปด้วยเบญจกัลยาณี แต่บัดนี้นางอยู่ในครรภ์ มารดาของนางนั้นเป็นหญิงหม้ายอนาถา ต้องทำไร่ไถนาด้วยกำลังของตน แต่มีกลดเป็นเงากั้นอยู่เบื้องบนศีรษะ ด้วยอำนาจบุญญาธิการของธิดาที่อยู่ในครรภ์ แต่มหาชนทั้งปวงนั้นมิได้เห็นกลด ถ้าพระราชโอรสเสด็จไปทางทิศบูรพาก็จะได้พบนางนั้น พระพุทธเจ้าข้า

พระเจ้ามหาธรรมราชาได้ทรงฟังดังนั้น ไม่สามารถที่จะห้ามพระโอรสได้ จึงตรัสว่า ดูกรพ่อผู้เป็นปิโยรส ถ้ากระนั้นเจ้าจะไปหาคู่ก็ตามแต่ปรารถนาเถิด ขอให้เจ้าไปได้ประสบดังความปรารถนา เจ้าจงไปในทิศบูรพาตามคำโหราจารย์

ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ปาจิตตกุมารก็กราบยุคลบาทพระราชบิดามารดา ถวายบังคมลาออกจากพระนคร บทจรไปในทิศบูรพาโดยลำดับ วันเดียวสิ้นระยะทางได้ ๖๐ โยชน์ ครั้นรุ่งเช้าก็บรรลุถึงเมืองพาราณสี เดินไปพบสตรีมีครรภ์แก่คนหนึ่ง ทำการไถนาอยู่ ณที่นั้น ทั้งมีกลดเป็นเงากั้นอยู่บนศีรษะดุจคำโหราจารย์ ก็สันนิษฐานแน่พระทัยว่า ทาริกาที่อยู่ในครรภ์นั้นเป็นคู่ของเรา จึงเดินเข้าไปใกล้สตรีนั้นแล้วถามว่า ดูกรแม่ สามีของท่านไม่มีหรือ ท่านจึงมาไถนาดังนี้ ดูกรพ่อ สามีของข้าหามีไม่ ข้าจึงต้องมาทำการไถนาดังนี้ ดูกรแม่ ถ้าบุตรในครรภ์ของท่านคลอดออกมาเป็นหญิง ท่านยกให้แก่เรา ๆ จะทำการไถนาแทนท่าน ดูกรพ่อ ถ้าบุตรของเราเป็นหญิงเรายอมยกให้แก่ท่าน ๆ จงไถนาแทนเราเถิด

จำเดิมแต่นั้น พระปาจิตตกุมารโพธิสัตว์ก็ทำการไถนา ครั้นเวลาเย็นก็เก็บแอกและไถไปยังเรือนแห่งหญิงนั้น แต่พระโพธิสัตว์ทำการไถนาโดยนิยมนี้ จนสตรีนั้นครรภ์แก่ครบกำหนด ๑๐ เดือน ก็คลอดบุตรออกมาเป็นหญิง มีรูปพรรณสัณฐานอันงามบริสุทธิ์ ไม่มีหญิงในมนุษย์ที่จะเปรียบด้วยความงาม นางประกอบด้วยเบญจกัลยาณีอันงามเลิศ ดุจนางเทพอัปสรในสวรรค์ เพราะเหตุนั้น นางจึงมีนามชื่อว่า อรพิมพกุมาริกา ครั้นนางเจริญวัยได้ ๑๖ ปี ก็ได้เป็นภรรยาของปาจิตตกุมารโพธิสัตว์ แต่พระโพธิสัตว์อยู่เพลิดเพลินเจริญใจกับด้วยนางอรพิมพกุมาริกานั้นสิ้นกาลนาน

อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ระลึกถึงพระราชมารดาในเวลาปัจจุสมัย ก็ร้องไห้ปริเทวนาการรำพันด้วยวาจาว่า พระมารดาของเราจักเป็นอย่างไรก็มิได้รู้ เราจักไปเยี่ยมมารดาของเรา ถ้าเรามิได้ไปเห็นมารดาชีวิตของเราก็จักไม่มีต่อไป

ครั้นเพลารุ่งเช้า มารดาของภรรยาพระโพธิสัตว์ว่า ดูกรพ่อ เมื่อคืนนี้เหตุไฉนพ่อจึงได้ร้องไห้ พระโพธิสัตว์ตอบว่า ข้าพเจ้าคิดถึงมารดาขึ้นมาจึงได้ร้องไห้ โดยเหตุนี้ข้าพเจ้าจักขอลาไปเยี่ยมมารดา พอได้เห็นพักตร์มารดาแล้วก็จักกลับมา ข้าพเจ้าขอฝากนางอรพิมพ์ภรรยาไว้กับมารดาด้วย นางอรพิมพ์ได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้ ร่ำพิไรจะขอตามไปด้วย พระโพธิสัตว์จึงห้ามว่าอย่าไปเลยหนทางที่จะไปนั้นกันดารนัก จงอยู่กับมารดาในเมืองนี้เถิด มารดาของนางไม่สามารถจะห้ามพระโพธิสัตว์ได้ จึงพูดโลมเล้าเอาใจธิดาของตนว่า เจ้าจงอยู่กับมารดาก่อนเถิด หนทางที่จะไปนั้นล้วนประกอบด้วยอันตราย สามีของเจ้าเขาไปไม่ช้าก็จักกลับมา เจ้าอย่ามีความวิโยคโศกเศร้าไปเลย

พระโพธิสัตว์ลามารดาและโลมเล้านางอรพิมพ์ภรรยาแล้ว ก็แปลงเพศออกจากเมืองพาราณสี เดินไปโดยลำดับมรรคาวิถี ก็ถึงเมืองพรหมพันธุนครโดยสุขสวัสดิ์ จึงเข้าไปถวายบังคมสองกษัตริย์ผู้เป็นพระราชบิดามารดา สองกษัตริย์เห็นพระราชโอรสกลับมา ก็มีพระทัยชื่นชมโสมนัสจึงตรัสว่า เจ้าจากบิดามารดาไปช้านาน เจ้าได้พบนางตามคำโหราจารย์ทำนายแล้วหรือ พระโพธิสัตว์จึงทูลความตามประพฤติเหตุให้ทรงทราบแล้วทูลว่า หม่อมฉันระลึกถึงจึงรีบมาเฝ้าพระชนกชนนี แล้วจะกลับไปพานางอรพิมพ์เทวีมาเฝ้าต่อภายหลัง พระพุทธเจ้าข้า

ในกาลเมื่อพระโพธิสัตว์ออกจากเมืองพาราณสีไปแล้ว อยู่มาวันหนึ่งในเมืองพาราณสีมีการมหรสพ มหาชนทั้งหลายต่างตกแต่งประดับกายแล้วต่างก็พากันเที่ยวไปในที่นั้น ๆ

ฝ่ายพรหมทัตกุมารบุตรพระเจ้าพาราณสีก็แวดล้อมไปด้วยยศบริวาร คมนาการไปสู่นทีเพื่อจะอาบน้ำ ครั้นไปเห็นนางอรพิมพ์กุมารีมีรูปทรงสัณฐานอันงามเลิศ จึงถามว่า ดูกรแม่ เจ้ามีสามีแล้วหรือยัง นางอรพิมพ์ตอบว่า ข้าแต่พระราชกุมาร ข้าพเจ้ามีสามีแล้ว พรหมทัตกุมารตรัสว่า เจ้ายังมิได้มีสามี ว่าดังนี้แล้ว ก็ฉุดนางอรพิมพ์ไปยังปราสาทที่อยู่ของตน

ฝ่ายนางอรพิมพ์กุมารีนั้น ระลึกถึงพระโพธิสัตว์สามีร้องไห้ปริเทวนาการอยู่ไปมา จึงกล่าวคำเป็นคาถาว่า

วิโยโค เม กโต ปุพฺเพ นรสฺส มิคปกฺขิโน
เตน กมฺมวิปาเกน วิโยโค โหติ สามิกา

ความว่า ความที่พลัดพรากจากกัน เราได้กระทำไว้แก่นรชนและเนื้อนกแต่ปางก่อน ด้วยอำนาจวิบากของกรรมนั้น มาบัดนี้เราจึงต้องพลัดพรากจากสามีของเรา

เมื่อนางอรพิมพ์เทวีปริเทวนาการร่ำไร ด้วยถ้อยคำดังนี้เป็นต้น พรหมทัตกุมารก็เข้าไปในปราสาท ปรารถนาจะอภิรมย์สัมผัสด้วยราคฤดี นางอรพิมพ์เทวีก็บริภาษตัดพ้อพรหมทัตกุมารด้วยถ้อยคำมีประการต่าง ๆ แล้วจึงกล่าวคาถาว่า

น ทิสฺวา ภูมิปาลปุตฺโต น ผุสฺสปาทาปิ อิจฺฉามิ
อหํ ตว กุสรีรกาโย มุตฺตกรีสปริปุณฺณสทิสํ

ความว่า ท่านเป็นพระโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน แต่เราไม่ปรารถนาจะดูท่าน สริรกายของท่านเต็มไปด้วยมูตและกรีส เราไม่ปรารถนาที่จะถูกต้องด้วยเท้าของเรา

เมื่อนางอรพิมพ์เทวีกล่าวบริภาษตัดพ้อดังนี้ พรหมทัตกุมารก็ไม่สามารถจะข่มขี่นางได้ เมื่อเข้าไปใกล้นางก็ให้ร้อนรนพ้นกำลังนัก จึงเดินออกมาพักอยู่ภายนอกปราสาท

ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์คิดรำพึงถึงนางอรพิมพ์เทวี จึงเข้าไปทูลชนกชนนีสองกษัตริย์ รีบบทจรมายังเมืองพาราณสี ครั้นไม่เห็นนางอรพิมพ์เทวี จึงถามมารดาของนางว่านางอรพิมพ์เทวีไปอยู่ณที่ไหน มารดาของนางบอกว่า นางอรพิมพ์ภรรยาของท่านนั้น พรหมทัตกุมารมานำไปด้วยพลการของตน พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นก็ตรงไปยังหน้าพระลาน

นางอรพิมพ์เทวีเห็นพระโพธิสัตว์สามีมา จึงเข้าไปทูลพระเจ้าพรหมทัตว่า บัดนี้พี่ชายของหม่อมฉันมีนามว่าปาจิตตกุมารมาเที่ยวตามหาหม่อมฉันผู้เป็นน้องสาวพระพุทธเจ้าข้า พระเจ้าพรหมทัตจึงตรัสว่า ถ้าพี่ชายของท่านตามมา ก็จงพาขึ้นไปบนปราสาทเถิด นางอรพิมพ์ทูลว่า หม่อมฉันกลัวพระราชกุมารไม่สามารถจะพาขึ้นไปได้ พระพุทธเจ้าข้า พระเจ้าพรหมทัตจึงมีพระราชบัญชา ให้อำมาตย์ผู้หนึ่งนำพระโพธิสัตว์ขึ้นไปบนปราสาท พระโพธิสัตว์ขึ้นไปบนปราสาทยังมิทันได้เห็นพรหมทัตกุมาร ว่ามีกิริยาอาการเป็นอย่างไร

ขณะนั้น นางอรพิมพ์เทวีรินสุราบานมีรสอันเข้ม เอาไปถวายให้พรหมทัตกุมารเสวย ครั้นพรหมทัตกุมารเสวยสุราเมาหลับอยู่ ณ ที่นั้น นางจึงเอาดาบตัดพระศอพรหมทัตกุมารให้ขาดสิ้นชีพ แล้วนางก็รีบมาบอกพระโพธิสัตว์สามีว่า บัดนี้ ข้าพเจ้าฆ่าพรหมทัตกุมารเสียแล้ว เราทั้งสองจงรีบพากันหนีไปจากเมืองนี้เถิด พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจมีความทุกข์เป็นอันมาก มิรู้ที่ว่าจะหนีไปด้วยอุบายอันใด นั่งเป็นทุกข์ใจอยู่กับนางอรพิมพ์เทวี

ขณะนั้น ก็ร้อนถึงอาสน์ท้าวโกสีย์สักกเทวราช ด้วยเดชอำนาจบุญญาธิการของชนทั้งสองที่ได้อบรมมา ท้าวสักกเทวราชจึงพิจารณาดูด้วยทิพย์เนตรก็ได้เห็นเหตุอันนั้น จึงลงจากเทวโลกนฤมิตกายกลายเป็นอัศวราช รีบเข้าไปหาปาจิตตกุมารโพธิสัตว์แล้วบอกว่า ท่านทั้งสองจงขึ้นนั่งบนหลังข้าพเจ้ารีบหนีไปในกาลนี้เถิด

พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงพานางอรพิมพ์เทวีขึ้นนั่งบนหลังอัศวราช อัศวพาชีก็พาเหาะไปโดยอากาศ ครั้นถึงอรัญญประเทศก็ให้ลงพักอยู่ใต้ต้นไทร แล้วท้าวสักกเทวราชก็เหาะกลับไปยังเทวพิภพ พระโพธิสัตว์กับนางอรพิมพ์เทวีก็นั่งพักอาศัยอยู่ ณ ภายใต้ต้นไทรนั้น

ครั้นรุ่งเช้า พระเจ้าพรหมทัตมิได้เห็นราชบุตร และมิได้เห็นพระโพธิสัตว์กับนางอรพิมพ์ที่ในปราสาท จึงมีพระราชดำรัสถามพวกอำมาตย์ว่า พระราชโอรสของเรากับทั้งปาจิตตกุมารและนางอรพิมพ์ ไปอยู่ ณ ที่ใด จึงมิได้เห็นอยู่ในปราสาท ข้าแต่สมมติเทวราช พระราชโอรสของพระองค์ถูกปลงพระชนม์ชีพเสียแล้ว แต่ปาจิตตกุมารกับนางอรพิมพ์นั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายมิได้เห็น พระพุทธเจ้าข้า จึงมีพระราชดำรัสถามว่า พระราชโอรสของเราถูกปลงพระชนม์ชีพด้วยเหตุไร อำมาตย์ที่รู้เหตุผลจึงทูลว่า ข้าแต่สมมติเทวราช พระราชโอรสของพระองค์พาสตรีคนหนึ่งมาไว้ ชะรอยสตรีผู้นั้นจะปลงพระชนม์ให้ตักษัย พระพุทธเจ้าข้า

พระเจ้าพรหมทัตได้ทรงฟังประพฤติเหตุดังนั้น ก็ทรงนิ่งอยู่มิได้ตรัสประการใด ด้วยทรงทราบในพระทัยว่า พระราชโอรสของพระองค์มิได้ดำรงอยู่ในสุจริตธรรม ประพฤติแต่ในทางที่ไม่ควรประพฤติ จึงต้องสิ้นชีพตักษัยเป็นธรรมดา

ในกาลนั้น มีนายพรานป่าคนหนึ่ง ขี่กระบือออกจากเมืองเข้าไปสู่ป่า ครั้นแลเห็นพระโพธิสัตว์กับนางอรพิมพ์นั่งอยู่ใต้ต้นพฤกษาดังนั้น จึงคิดในใจว่า เราจักยิงสามีเสียพาเอาเมียไปในกาลนี้ คิดดังนี้แล้ว ก็ลงจากหลังกระบือถือหน้าไม้ย่องเข้าไปยิงพระโพธิสัตว์ให้ถึงความตายอยู่ ณ ที่นั้น แล้วพานางอรพิมพ์มาขึ้นหลังกระบือ จึงขี่ขับกระบือไปในอรัญญประเทศราวป่า

ฝ่ายนางอรพิมพ์นั้นเมื่อขี่กระบือมากับนายพราน นางก็ร่ำปริเทวนาการถึงสามีเป็นเบื้องหน้า ครั้นนางคิดอุบายได้อย่างหนึ่ง จึงพูดแก่นายพรานว่า ข้าแต่พ่อ ข้าพเจ้านั่งอยู่ข้างหน้าดังนี้ให้มีความสะดุ้งกลัวเขากระบือเหลือกำลัง ข้าพเจ้าขอนั่งขี่ไปข้างหลังท่านเถิด นายพรานได้ฟังดังนั้น จึงให้นางอรพิมพ์มานั่งข้างหลังตนตามปรารถนา ครั้นกระบือเดินไปได้หน่อยหนึ่ง นางอรพิมพ์จึงพูดว่า ข้าแต่พ่อ ท่านจงส่งดาบมาให้ข้าพเจ้าถือเถิด ท่านจะได้ขี่ขับกระบือไปโดยสะดวก นายพรานไม่รู้อุบาย จึงส่งดาบให้นางอรพิมพ์แล้วก็ขับกระบือไปโดยควรแก่ความปรารถนา ไปได้หน่อยหนึ่ง นางอรพิมพ์จึงเอาดาบที่ตนถือนั้นฟันคอนายพรานป่าให้ขาด ตกลงจากหลังกระบือ แล้วนางอรพิมพ์ก็ลงจากหลังกระบือ วิ่งกลับไปที่ศพพระโพธิสัตว์ผู้เป็นภัสดา ตรงเข้ากอดบาทพระสามีแล้วก็ร้องไห้ปริเทวนาการสลบอยู่ ณ ที่นั้น ครั้นนางฟื้นสมปฤดีคืนมา จึงพิไรรำพันว่า ข้าแต่พระสามี พระองค์จงลุกขึ้นเถิด ไฉนจึงมานอนอยู่ ณ กองทรายดังนี้ ถ้าพระองค์ดำรงอยู่ในราชสมบัติ ก็จักพาเสนาอำมาตย์ราชบริษัทมาพาข้าพเจ้าไป ถ้าพระองค์สิ้นชีพตักษัยอยู่ในปราสาท พระศพก็จักโสรจสรงด้วยสุคนธชาติอันหอมตระหลบไปด้วยกลิ่นสุมาลี จะมีสรรพดุริยางค์ดนตรีประโคมอยู่กึกก้อง บัดนี้พระองค์มานอนสิ้นชีพอยู่แต่ผู้เดียว ปล่อยให้กิมิชาติทั้งหลาย มาสูบกินน้ำเลือดและน้ำหนองของพระองค์หาควรไม่ นางอรพิมพ์เทวีร่ำพิไรรำพันอยู่ดังนี้

ขณะนั้น อาส์นของท้าวโกสีย์สักกเทวราชก็แสดงความร้อนผิดปรกติ ท้าวสักกเทวราชทรงเทวดำริก็รู้เหตุ จึงตรัสเรียกพระมาตุลีมาแล้วตรัสว่า ดูกรมาตุลีเทวบุตร บัดนี้นายพรานป่ามายิงพระโพธิสัตว์ให้ถึงความตาย นางอรพิมพ์ผู้ภรรยามาร่ำร้องไห้เห็นน่าเวทนา ท่านจงนฤมิตกายเป็นพังพอนตัวหนึ่ง ส่วนตัวเราจะนฤมิตกายเป็นงูเห่า พากันไปในที่ใกล้พระโพธิสัตว์ ท้าวสักกเทวราชมีเทวดำรัสดังนี้แล้ว ก็พาพระมาตุลีลงมาจากเทวโลก แล้วต่างองค์ก็นฤมิตกายกลายเป็นพังพอนและงูเห่า แล้วนฤมิตโอสถวิเศษแท่งหนึ่ง วางไว้ในที่อันสมควรข้างหนึ่ง

ทันใดนั้น พังพอนคือพระมาตุลี งูเห่าคือท้าวโกสีย์ ต่างก็ตรงเข้ากัดซึ่งกันและกัน ข้างพังพอนนั้นตายก่อน งูเห่าจึงไปคาบเอาแท่งยามาเคี้ยวพ่นลงที่พังพอน พังพอนก็กลับเป็นขึ้น แล้วเข้ากัดเอางูเห่านั้นตาย พังพอนก็ไปคาบเอายานั้นมาเคี้ยวพ่นที่งูเห่า งูเห่านั้นก็กลับเป็นขึ้น

นางอรพิมพ์เห็นดังนั้นจึงคิดว่า ยาแท่งนั้นเป็นยาอันวิเศษ เราจักไปเอายาเคี้ยวพ่นสามีเราในกาลบัดนี้ ครั้นนางคิดดังนี้แล้วก็ไปหยิบเอาแท่งยานั้นมา เคี้ยวพ่นลงที่องค์พระโพธิสัตว์ ๆ ก็กลับมีชีวิตเป็นขึ้น จึงลุกขึ้นนั่งแล้วถามนางอรพิมพ์ว่า ดูกรเจ้าผู้มีพักตร์อันเจริญ พี่นอนหลับไปนานอยู่หรือ นางอรพิมพ์จึงบอกว่าข้าแต่พระสามี พระองค์มิได้ไสยาสน์หามิได้ พระองค์ถูกนายพรานป่ายิงให้สิ้นชีพตักษัย แล้วนางก็เล่าความตามที่ได้ฆ่านายพรานป่าจนถึงได้เคี้ยวยาพ่นให้มีพระชนม์คืนมา

พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น เมื่อจะพรรณนาคุณของภรรยา จึงกล่าวพระคาถาว่า

นตฺถิ เม สรณํ อญฺํ ตวญฺจ เม สรณํ วรํ
อจฺฉริยํ ปุพฺเพ น ชาตา อพฺภูตํ โลมหํสนํ

ความว่า สิ่งอื่นมิได้เป็นที่พึ่งที่ระลึกของเรา ตัวของเจ้านี้เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเรา การที่เจ้าเป็นที่พึ่งของเรานี้ เป็นอัศจรรย์ที่ไม่เคยมีมามีขึ้น ทำให้เราเกิดขนพองสยองเกล้า

เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าสรรเสริญคุณของภรรยาดังนี้แล้ว จึงถามนางอรพิมพ์ว่า ดูกรเจ้าผู้มีพักตร์อันเจริญ แท่งยาที่เจ้าได้นั้นอยู่ที่ไหน ข้าแต่พระสามี ข้าพเจ้าได้เก็บไว้แล้ว ดูกรเจ้าผู้มีพักตร์อันเจริญ เจ้าจงเก็บไว้ให้ดีอย่าได้ประมาท เอาไว้เป็นที่พึ่งของเราไปในภายหน้า นางอรพิมพ์รับคำแล้ว ก็เอายานั้นผูกขอดชายผ้าห่มไว้เป็นอันดี แล้วสองภริยาสามีก็พากันเดินไปโดยลำดับ ครั้นถึงฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง พระโพธิสัตว์จึงพูดกับภรรยาว่า ดูกรเจ้าผู้มีพักตร์อันเจริญ เรือแพอันใดก็มิได้มี เราทั้งสองจักข้ามแม่น้ำนี้อย่างไรได้ พูดดังนี้แล้วก็แลไปในข้างโน้นข้างนี้

ในขณะนั้น มีสามเณรน้อยองค์หนึ่งพายเรือมาในแม่น้ำนั้น ครั้นพระโพธิสัตว์เห็นสามเณรพายเรือมาจึงมีวาจาว่า ข้าแต่พ่อเณรน้อย พ่อเณรช่วยสงเคราะห์ข้ามส่งให้ข้าพเจ้าทั้งสองได้ไปถึงฝั่งโน้นด้วยเถิด ดูกรอุบาสก เรือของเราเล็กเท่านี้ จะข้ามส่งท่านทั้งสองอย่างไรได้ ถ้าท่านข้ามไปแต่ทีละคนพอจะส่งได้ ข้าแต่พ่อเณร ถ้ากระนั้นก็ดีแล้ว พ่อเณรสงเคราะห์ข้ามส่งทีละคนเถิด พระโพธิสัตว์พูดดังนี้แล้วก็ลงไปในเรือก่อน สามเณรก็พายเรือพาพระโพธิสัตว์ข้ามไปถึงฝั่ง แล้วก็กลับมารับนางอรพิมพ์ลงไปนั่งในเรือแล้วสามเณรก็ลอยเรืออยู่มิได้ข้ามส่ง นางอรพิมพ์จึงถามว่า เหตุไฉนพ่อเณรจึงมิข้ามส่ง พ่อเณรจะพาข้าพเจ้าไปข้างไหน สามเณรตอบว่า ดูกรอุบาสิกา เราจะพาเอาภรรยาของพี่ชายเราไป นางอรพิมพ์ได้ฟังดังนั้นก็มิได้ตอบประการใด สามเณรก็พานางไปโดยกระแสน้ำตามริมฝั่ง

ฝ่ายพระโพธิสัตว์เห็นสามเณรหายไป ก็มีความหนักใจยิ่งนัก จึงแลดูไปข้างโน้นข้างนี้ก็มิได้เห็นสามเณรและภรรยา จึงปริเทวนาการกล่าวเป็นคาถาว่า

อนาถา วตฺตมานาปิ นทีติเร ตรามฺหเส
ภริยํ เม น ปสุสามิ ภริยาปิ น ติเรสฺสติ
สพฺพา โอโลกิยา ทิสา ภริยํ เม น ปสฺสามิ
หทยํ เม จ โสเกน มรณญฺจ ภวิสฺสติ
คงฺคามชฺเฌ โอโลเกสิ ภริยํ เม น ปสฺสามิ
สพฺพสตฺตา ชเล จรา มจฺฉกาปิจ กุมฺมิกา
กุมฺภิลา มงฺกรา พหู สพฺเพ หิ ภกฺขา ขาทนฺติ
สุริโย จ อตฺถงฺคโต จนฺโทปิ ปุน อุฏฺหิ
สามเณเรน คหิตา เก ทิสฺสาม น อีทิเส

ความว่า เราทั้งสองเป็นผู้อนาถาพากันข้ามฝั่งแม่น้ำ บัดนี้เรามิได้แลเห็นภริยาของเรา หรือสามเณรนั้นจะไม่ข้ามส่งภรรยาเรา เราแลดูไปในทิศทั้งปวงก็มิได้เห็นภรรยา หทัยของเราจะแตกทำลาย เพราะความโศกในครั้งนี้ เราตั้งตาแลดูไปในกลางนที ก็มิได้แลเห็นภรรยาของเรา อนึ่งสัตว์ทั้งหลายที่เที่ยวอยู่ในน้ำเล่า ก็ล้วนเป็นสัตว์ที่ดุร้ายเป็นอันมาก มีทั้งฉลาม ฉนาก จระเข้ และมังกร เป็นต้น สัตว์เหล่านั้นจะเคี้ยวกินภรรยาเราเสียแล้วหรือไฉน เวลานี้พระอาทิตย์ก็ใกล้ที่จะอัสดงคต ทั้งแสงพระจันทร์ก็รางขึ้นมาในอากาศวิถี หรือสามเณรนั้นจะพานางอรพิมพ์เทวีไปแห่งใด เราก็มิได้แจ้งเหตุ ผู้ใดที่จะได้ความเดือดร้อนเช่นเรามิได้มี

แต่พระโพธิสัตว์ปริเทวนาการคร่ำครวญอยู่ดังนี้ มีอาการประดุจดังว่าเป็นบ้า

ฝ่ายสามเณรน้อยนั้นก็พายนาวาพานางเลียบไปตามฝั่งนที นางอรพิมพ์เทวีแลขึ้นไปบนบก ได้เห็นต้นมะเดื่อมีผลอันดกเดียรดาษก็คิดเห็นอุบาย จึงบอกสามเณรน้อยว่า ข้าแต่พ่อเณร ข้าพเจ้ามีความหิวกระหายเหลือกำลัง ถ้าได้บริโภคผลมะเดื่อนั้นบ้าง ก็จะพอมีชีวิตยืดยาวไปได้ พ่อเณรจงแวะเรือเข้าไปเก็บผลมะเดื่อโดยเร็วเถิด สามเณรได้ฟังดังนั้นก็แวะเรือถกเขมรโจงกระเบนให้มั่นคง ลงจากเรือแล้วก็รีบขึ้นไปบนต้นมะเดื่อ นางอรพิมพ์ก็รีบขึ้นจากเรือเอาหนามสะเสียรอบต้น แล้วก็กลับลงมาเรือ จึงร้องบอกขึ้นไปว่า ดูกรพ่อเณร พ่อเณรจงอยู่ดีเถิด ฉันจะลาไปก่อน แล้วนางก็รีบพายเรือข้ามไปจนถึงฝั่งในเวลาพลบค่ำ ครั้นถึงฝั่งแล้วนางก็ทิ้งเรือเสีย รีบขึ้นบกไปตามหาพระสามี เที่ยวเดินหาไปในข้างโน้นข้างนี้ก็มิได้พบ นางจึงปริเทวนาการตั้งสัตยาธิษฐานด้วยถ้อยคำว่า ความทุกข์ในครั้งนี้มีความตายเป็นที่สุด มิรู้ว่าที่จะเที่ยวตามหาในที่ใด ถ้าพระสามีข้าพเจ้าสิ้นชีพตักษัยไปเป็นปลา ข้าพเจ้าขอตายไปเป็นคงคาที่อาศัย ถ้าพระสามีตายไปเป็นช้างงา ข้าพเจ้าจะตายไปเป็นป่าพนาสัณฑ์ ถ้าพระสามีนั้นตายไปเป็นภุมรา ข้าพเจ้าจะตายไปเป็นบุปผาให้เชยชม แม้พระสามีตายไปเกิดในที่ใด ข้าพเจ้าขอตายไปเกิดในที่นั้น แม้พระสามีตายไปเกิดเป็นพระราชา ตัวของข้าขอเกิดเป็นอัครมเหสี

นางอรพิมพ์เทวีปริเทวนาการด้วยถ้อยคำดังนี้แล้ว ก็เดินไปโดยมรรคาจนถึงเมืองจัมปากนคร นางจึงเข้าไปหยุดพักระงับร้อนในวิหารแห่งหนึ่ง จึงเข้าไปนมัสการพระพุทธปฏิมากรในวิหารนั้น แล้วตั้งสัตยาธิษฐานด้วยพระคาถาว่า

ภนฺเต ภควา โลกนาโถ สุนฺทโร โลกนายโก
อุโภ ถนา ตุจฺฉา โหตุ เวสโปโส ภวิสฺสติ

ความว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์โลก พระองค์เป็นนายกผู้นำสัตว์โลกเป็นอันดี ขอให้นมทั้งสองในกายของข้าพเจ้านี้อันตรธานหาย แล้วเพศชายจงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้า

ในขณะนั้น นมทั้งสองของนางก็อันตรธานหาย เพศชายก็บังเกิดปรากฏขึ้นแก่นาง ด้วยอานุภาพแห่งคำอธิษฐานนั้น นางจึงเปลี่ยนแปลงชื่อตนให้ชื่อว่าปาจิตตกุมาร คือ เอาชื่อพระโพธิสัตว์ผู้เป็นสามีมาเป็นชื่อของตน แล้วนางก็พักอาศัยอยู่ในแดนเมืองจัมปากนคร

ในกาลนั้น ธิดาของพระราชาผู้ครองเมืองจัมปากนครกระทำกาลกิริยาตายโดยโรคอันเกิดขึ้นในขณะนั้น พวกอำมาตย์ก็พากันจัดแจงการที่จะชำระพระศพ ปาจิตตกุมารแปลงรู้เหตุนั้นจึงเข้าไปในเมือง ครั้นเห็นอำมาตย์ทั้งหลายวุ่นวายกันอยู่ จึงเดินเข้าไปถามว่า ท่านทั้งหลายจัดการประดับตกแต่งอะไร อำมาตย์ทั้งหลายบอกว่า ธิดาของเจ้านายเราทำกาลกิริยามาได้ ๗ วันแล้ว เราทั้งหลายจัดการที่จะประดับพระศพในกาลนี้ ปาจิตตกุมารจึงบอกว่าเรานี้เป็นหมออาจรักษาคนที่ตายได้ ๗ วัน ให้มีชีวิตกลับเป็นขึ้นได้ อำมาตย์ทั้งหลายได้ฟังดังนั้น จึงพากันเข้าไปทูลพระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทวดา บัดนี้มีหมอวิเศษคนหนึ่งมา บอกว่าอาจรักษาคนที่ตายแล้ว ๗ วัน ให้มีชีวิตกลับเป็นขึ้นได้ พระพุทธเจ้าข้า พระเจ้าจัมปากราชได้ทรงสดับฟังดังนั้นก็มีพระหฤทัยโสมนัสเบิกบาน จึงมีพระราชดำรัสให้หาปาจิตตกุมารเข้าไปเฝ้า แล้วตรัสถามว่า เจ้าอาจรักษาธิดาให้มีชีวิตได้หรือ ข้าแต่สมมติเทวดา ข้าพระองค์สามารถรักษาได้ พระพุทธเจ้าข้า จึงตรัสถามว่า เจ้าจะต้องการอะไรในวิธีที่จะรักษา ข้าแต่สมมุติเทวดา ขอให้แวดวงพระศพด้วยม่านโดยรอบเท่านั้น พระพุทธเจ้าข้า จึงมีพระราชดำรัสให้เอาม่านมาแวดวงพระศพราชธิดาในทันใด

ปาจิตตกุมารนั้นถวายบังคมแล้วก็เดินเข้าไปในม่าน จึงแก้ยาออกจากชายผ้า แล้วเคี้ยวพ่นลงที่พระศพ เมื่อพ่นลงทีแรกพระราชธิดาก็ลืมพระเนตรขึ้น ครั้นพ่นลงคำรบสอง พระราชธิดาก็พลิกพระกาย ครั้นพ่นลงคำรบสาม พระราชธิดาก็ลุกขึ้นนั่งได้ ปาจิตตกุมารก็ออกจากม่านในทันใด

ขณะนั้น พระเจ้าจัมปากราชก็เสด็จเข้าไปภายในม่าน ครั้นได้เห็นพระราชธิดา กลับมีชีวิตเป็นขึ้นมา ก็มีพระหฤทัยโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง จึงจูบเศียรเกล้าพระราชธิดาแล้วเสด็จออกมานอกม่าน จึงมีพระราชโองการตรัสแก่ปาจิตตกุมารว่า ดูกรพ่อ เราขอมอบราชสมบัติทั้งสิ้นให้แก่เจ้า อีกทั้งธิดาของเรานั้นด้วย เจ้าจงครองราชอาณาจักรแทนเราต่อไป

ปาจิตตกุมารทูลว่า ข้าแต่สมมติเทวดา ที่ทรงพระกรุณานั้น พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพระองค์ขอถวายราชสมบัติและพระราชธิดาคืนขอให้ทรงพระกรุณาอนุญาตให้ข้าพระองค์บรรพชาเถิด พระพุทธเจ้าข้า

พระเจ้าจัมปากราชจึงตรัสว่า ถ้ากระนั้นก็ดีแล้ว เราอนุญาตให้เจ้าบวชตามปรารถนา แล้วมีพระราชดำรัสให้หาเครื่องบรรพชิตบริขารล้วนประณีต มอบให้ปาจิตตกุมาร ๆ ได้เครื่องสมณบริขารพร้อมแล้ว ก็เข้าไปหาพระเถระผู้เป็นอุปัชฌายะ แล้วบวชเป็นภิกษุเรียนคันถธุระประกอบด้วยความอุตสาหะอย่างยิ่ง ครั้นกาลต่อมา ก็ได้เป็นพระสังฆราชาปรากฏอยู่ในเมืองนั้น

ในลำดับนั้น พระปาจิตตสังฆราชาจึงไปหานายช่างมาสร้างศาลางามวิจิตรหลังหนึ่ง แล้วให้นายช่างจิตรกรรมเขียนรูปภาพ จับเรื่องตั้งแต่พระโพธิสัตว์พานางอรพิมพ์ขึ้นสู่อัศวราช พากันหนีออกจากปราสาทในเมืองพาราณสี แล้วลงจากอัศวพาชีนั่งพักอยู่ใต้ร่มพฤกษา มีนายพรานป่าลอบเข้ามายิงพระโพธิสัตว์ให้ตายในที่นั้น และมีงูกับพังพอนมากัดกัน พังพอนตายงูเคี้ยวยาพ่นให้กลับเป็น งูตายพังพอนก็เคี้ยวยาพ่นให้เป็นขึ้นมา แล้วนางอรพิมพ์เก็บเอายานั้นมาเคี้ยวพ่นพระสามีให้ได้สมปฤดีเป็นขึ้นมาแล้ว สองสามีภริยาก็พากันเดินไปถึงฝั่งแม่น้ำ พบสามเณรน้อยพายเรือมา พระโพธิสัตว์ขออาศัยนาวาข้ามฟาก สามเณรส่งพระโพธิสัตว์แล้ว กลับมารับนางอรพิมพ์เทวี จนถึงนางอรพิมพ์ลวงให้สามเณรขึ้นต้นมะเดื่อ แล้วนางก็รีบลงเรือหนีไปในคงคา

ครั้นพระสังฆราชาให้เขียนรูปเรื่องเสร็จแล้ว จึงจัดคนทั้งหลายให้อยู่พิทักษ์รักษาศาลานั้นแล้วสั่งว่า ถ้าผู้ใดเข้ามาในศาลานี้ จะเป็นบุรุษก็ตามสตรีก็ตาม เมื่อได้เห็นรูปภาพที่เขียนไว้แล้ว และร้องไห้ปริเทวนาการโศกเศร้า ท่านทั้งหลายจงรีบมาบอกเราให้จงได้ พระสังฆราชาสั่งดังนี้ด้วยคิดว่า พระโพธิสัตว์สามีมาถึงศาลานี้ก็จะได้พบกัน

ฝ่ายปาจิตตกุมารโพธิสัตว์นั้นครั้นพลัดกันกับนางอรพิมพ์เทวีก็มีแต่ความวิโยคโศกเศร้าเป็นเบื้องหน้า มิรู้ที่ว่าจะติดตามไปในที่ใด ฝืนพระทัยเดินไปในมรรคา บรรลุถึงเมืองจัมปากนคร หยุดพักพอหายเหนื่อยเมื่อยล้าแล้ว เดินต่อไปถึงศาลาของพระสังฆราชา จึงเข้าไปในศาลานั้น แล้วเที่ยวเดินดูรูปภาพเป็นลำดับ ได้เห็นรูปเรื่องตั้งแต่ออกจากเมืองพาราณสี จนไปถึงฝั่งนทีพบสามเณรพายเรือมาขอโดยสารข้ามคงคาเป็นอวสาน ก็มีหทัยอันตื้นตัน จึงยืนร้องไห้ปริเทวนาการอยู่ ณ ที่นั้น

ชนทั้งหลายที่เฝ้าศาลาเห็นดังนั้น จึงนำความไปบอกพระสังฆราชา ๆ จึงให้พาตัวพระโพธิสัตว์เข้าไปถามว่า ดูกรอุบาสก ท่านมาร้องไห้ด้วยเหตุอันใด พระโพธิสัตว์จึงบอกว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าพลัดกันกับภริยา ครั้นมาเห็นรูปภาพที่เขียนไว้ เป็นเรื่องเหมือนกันกับเรื่องที่ข้าพเจ้าพลัดกันมา ข้าพเจ้าจึงได้ร้องไห้ พระเจ้าข้า พระสังฆราชาจึงว่า ดูกรอุบาสก ถ้าท่านปรารถนาจะพบภรรยาของท่าน ท่านบวชในพระพุทธศาสนา ก็จะได้พบเห็นภรรยาของท่านโดยแท้ พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น อยากจะพบเห็นนางอรพิมพ์ภรรยา จึงขอบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา

ในกาลนั้น บรรพชิตทั้งสอง คือ พระโพธิสัตว์และพระสังฆราชาก็มีรูปวรรณสัณฐานอันงามยิ่งนัก เปรียบปานดุจรูปทองคำธรรมชาติ ที่นายช่างหล่อผู้ฉลาดหล่อแล้วและตั้งไว้

จำเดิมแต่นั้น บรรพชิตทั้งสองก็มีความรื่นเริงบันเทิงใจอยู่ด้วยกัน แต่พระโพธิสัตว์ภิกษุนั้นพิจารณาดูพระสังฆราชาเห็นรูปทรงสัณฐานคล้ายกับนางอรพิมพ์ภรรยาของตนก็มีความสงสัย แต่มิรู้ที่ว่าจะคิดประการใด เพราะเหตุว่าเมื่อพิจารณาดูไปก็เห็นเป็นชายประจักษ์ชัด

อยู่มาวันหนึ่ง พระสังฆราชาจึงพูดแก่พระโพธิสัตว์ว่า ดูกรภิกษุ ท่านจงฟังคำเราในกาลนี้ ตัวเราคืออรพิมพ์เทวีซึ่งเป็นภรรยาของท่าน เรามาบวชอยู่เมืองนี้ก็นานแล้ว บัดนี้เราทั้งสองพากันลาสิกขาบทกลับไปบ้านเมืองเถิด พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงตอบว่า ถ้ากระนั้นก็ดีแล้ว แต่ไฉนท่านจึงเป็นชายเราไม่สิ้นความสงสัย

ในกาลนั้น พระสังฆราชาจึงเดินเข้าไปในวิหาร ถวายนมัสการพระพุทธปฏิมากรแล้ว จึงอธิษฐานว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกของสัตว์โลก ขอให้นมทั้งสองของข้าพเจ้ามีขึ้นดุจกาลก่อน เพศหญิงของข้าพเจ้าจงปรากฏในกาลนี้ ครั้นสิ้นคำอธิษฐานแล้ว นมทั้งสองก็กลับมีขึ้นในกาลนั้น พระสังฆราชาก็กลับเป็นนางอรพิมพ์เทวี

พระโพธิสัตว์ภิกษุเห็นดังนั้นก็มีความยินดียิ่งนัก จึงลาสิกขาบทเป็นคฤหัสถ์ในทันใด สองสามีภริยานั้นครั้นจะเข้าไปทูลลาพระเจ้าจัมปากราชก็ให้มีความละอายไม่สามารถจะไปได้ จึงพากันออกจากเมืองจัมปากนครรีบไปยังเมืองพรหมพันธุราชธานี ครั้งถึงจึงพากันเข้าไปเฝ้าถวายบังคมพระราชบิดามารดา แล้วทูลประพฤติเหตุให้ทรงทราบทุกประการ

พระเจ้ามหาธรรมราชกับพระอัครมเหสีทอดพระเนตรเห็นพระโอรสและนางอรพิมพ์เทวี ก็มีพระหฤทัยโสมนัสเบิกบาน จึงมีพระราชโองการให้จัดการราชาภิเษก ตั้งนางอรพิมพ์เทวีให้เป็นเอกอัครมเหสี ทรงมอบพระราชอาณาจักรให้พระโพธิสัตว์ปกครอง แล้วอวยชัยให้พรสองกษัตริย์ให้ดำรงในสิริราชสมบัติสิ้นกาลนาน ประกอบด้วยผาสุกสำราญโดยสิริสวัสดิ์

จำเดิมแต่นั้น พระปาจิตตกุมารโพธิสัตว์ก็ดำรงราชอาณาจักรโดยทศพิธราชธรรม แล้วทรงอุปถัมภ์ประชาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ และทรงบำเพ็ญบุญญาภิสมภาร มีทาน เป็นต้น ครั้นทำลายขันธ์สิ้นพระชนม์ก็ขึ้นไปบังเกิดในเทวโลกทิพยสถาน

สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ทรงนำเรื่องในอดีตภพมาตรัสเทศนาดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระนางพิมพาเทวีซึ่งบวชเป็นภิกษุณีนั้น จะได้มีความงามแต่ในกาลนี้หามิได้ แม้ถึงในบุรพชาติปางก่อนนางก็มีความงามเป็นอย่างยิ่งในกาลเมื่อบวชเป็นพระสังฆราชา ดังตถาคตแสดงมาแล้ว มีพระพุทธดำรัสดังนี้แล้วก็ทรงประชุมชาดกว่า จุลสามเณรในครั้งนั้นกลับชาติมาคือพระยาอาชาตสัตตุราช นายพรานป่าในครั้งนั้น กลับชาติมาคือพระเทวทัต ท้าวสักกเทวราชในครั้งนั้น กลับชาติมาคือพระอนุรุทธ พระมาตุลีเทวบุตรในครั้งนั้น กลับชาติมาคือพระฉันนภิกษุ พระเจ้ามหาธรรมราชในครั้งนั้น กลับชาติมาคือพระเจ้าสุทโธทนพุทธบิดา อัครมเหสีของพระเจ้ามหาธรรมราชในครั้งนั้น กลับชาติมาคือพระมหามายาพุทธชนนี นางอรพิมพ์เทวีในครั้งนั้น กลับชาติมาคือพิมพาภิกษุณี ปาจิตตกุมารโพธิสัตว์ในครั้งนั้น กลับชาติมาคือพระตถาคต ท่านทั้งหลายจงทรงจำชาดกดังแสดงมานี้

จบเรื่อง ปาจิตตกุมารชาดก

  1. ๑. ดูประวัติสังเขป ในภาคผนวก หน้า ๒๗๘

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ