เพลงยาวพระยาตรัง
๑
๏ โฉมจันทร์หรือขวัญพี่สอดสงวน | |
ผิวเนื้อใช่เชื้อระคนนวล | กระสวนทรงมาแต่องค์สุรางค์ใด |
หรือแผลงพักตร์ผลัดพักตร์ลักษมี | มาลอบตรีโลกล้างเมื่อปางไหน |
แกล้งกล่าวกลิ่นเสาวคนธ์ให้ปนใจ | จะครรไลในนวลซึ่งควรชม |
แต่เยื้องยั้งอยู่หลังสุดสวาท | ก็ไหวหวาดหวั่นรสภิรมย์สม |
จะสรรค์เวียงออกมาเคียงว่างามคม | เห็นหน้าล่มทุกหน้าคณานาง |
ควรจะแลกชีพชายแล้วสายเสน่ห์ | แต่พี่เทประดิพัทธ์ยังขัดขวาง |
แม้นสมมุ่งจะบำรุงชีวาวาง | ไว้โฉมปรางมาศมิ่งวิมลจันทร์ |
ด้วยพร้อมสิ่งสิริโสภาพักตร์ | จะบริรักษ์เป็นจอมถนอมขวัญ |
พี่เมินหมายมิได้วายทิวาวัน | กระสันโศกอุระอ่อนอาวรณ์ |
เจ้าดวงแก้วเกิดกอปรสิริยศ | อย่ากำหนดเช่นมณีที่ศีขร |
ไม่สมสงวนนวลพักตร์ซึ่งอรชร | มีมาก่อนแต่พอแจ้งประจักษ์ตา |
ยังไม่เกิดจักรพรรดิสมบัติทวีป | จะรัดรีบด่วนไยในโกฏฐา |
มาเถิดมามิ่งมณีมา | ในพานพื้นแว่นฟ้าสำลีประชี |
ละมุนหมอบคอยน้องจะเนานาถ | ที่โอภาสประภัสสรศรี |
จะพรายแพร้วอยู่ดั่งแก้วโมรีวี | อันธุลีหรือจะปนระคนพาล |
ฝ่ายพี่ที่จะไว้ชีวิตมิตร | จะเอาจิตเป็นที่ตั้งบัลลังก์สมาน |
เอารสเสน่ห์แทนรสสุมามาลย์ | เอาสำนานแทนเสียงประโคมโลม |
เอาสิ่งเสบยแลสัมผัสเป็นฉัตรกั้น | เฉลิมขวัญขวัญน้องประคองโฉม |
มิให้แสงสุริเยนทร์ที่เจนโพยม | ลงโจมจับทับแก้วพี่ร้าวเอย ฯ |
ฯ ๒๐ คำ ฯ
๒
๏ แสนทุกข์สุดทุกข์ครั้งนี้เอ๋ย | ||
ไม่ห่างหายคลายเทวษสักวันเลย | หรือมาเปรยแปรได้ไม่อาลัย | |
ไม่เล็งหลังเลยเมื่อครั้งจะเริ่มรัก | ก็ประจักษ์อยู่ในจิตแล้วคิดไฉน | |
เพราะจำจิตดอกจึ่งจำบำราศไกล | เป็นไรจึงไม่คืนคิดเมื่อคราวครอง | |
นิจจามิตรชั่งมาคิดสละได้ | หรือหน่ายใจด้วยว่าขาดอาลัยสนอง | |
อันความรักก็ประจักษ์ว่าใจปอง | ควรหรือน้องแกล้งมาหน่ายฤทัยกัน | |
เมื่อแรกรักฤๅจะรักไม่จากได้ | นี่เพราะไกลหรือจึ่งเร่เสน่ห์หัน | |
เสียดายจิตฉุกคิดไม่เว้นวัน | มีแต่ผันหน้าตรึกไมตรีตรอม | |
ไฉนใจจึ่งใจไม่คิดบ้าง | หรือใจจางว่าไม่ควรประคองถนอม | |
เห็นตํ่าศักดิ์หรือกลัวพักตร์จะพลอยมอม | อย่าออมความเลยนะเจ้าไม่เข้าการ | |
ถึงจินตะหราเมื่อแค้นแสนสุดโศก | เพราะวิโยคอิเหนาปองเป็นสองสมาน | |
ถ้ากระนั้นเล่าก็ควรจะพลันราน | นี่ทรมานอยู่ไม่เว้นสักวันครวญ | |
ก็ตั้งจิตอยู่เป็นนิจพิศวาส | แต่หมายมาดมั่นปองประคองสงวน | |
เมื่อสุจริตมิได้คิดจะห่างนวล | หรือมาควรเด็ดรักนี้เวรใด | |
ชะรอยในปางก่อนได้ยุหญิง | ให้จำทิ้งกันทั้งจิตที่พิสมัย | |
อกุศลผลนั้นมาถึงใจ | ให้จำไกลแล้วทั้งมิตรมาคิดรอน | |
โอ้แต่นี้จะนานไม่มีชื่น | ทิวาคืนแต่จะทอดฤทัยถอน | |
จึ่งสอนใจว่าใจเอ๋ยอย่าอาวรณ์ | จงผันผ่อนผันพักตร์อย่านำพา | |
แม้นฟังคำแล้วอย่าร่ำรำพันรัก | จงเจียมศักดิ์เถิดที่น้อยวาสนา | |
ถ้าหมายมั่นเห็นจะพลันชีวาลา | ดูรยิ่งว่าก็ยิ่งให้ฤทัยคะนึง | |
เมื่อเขาชื่นได้อื่นไม่คืนหลัง | ใจนี่ยังแต่เฝ้าตรึกรำลึกถึง | |
แสนรักแสนหนักอาลัยตะลึง | แสนรำพึงเพิ่มเพทนานาน | |
อันมณโฑสโมสรด้วยทศพักตร์ | แล้วรานรักกลับมาร่วมภิรมย์สมาน | |
กับพาลีลืมละสละมาร | แล้วก็รานรสรักจากพานรินทร์ | |
กลับมาชื่นรื่นเริงในเชิงยักษ์ | ก็ลืมรักกากาศเจ้าขีดขิน | |
พี่ใคร่ใจเหมือนหนึ่งใจยุพาพิน | มิรู้สิ้นสิ่งสวาทไม่ขาดเลย | |
ก็เห็นผิดจริตเล่ห์มณโฑรัก | ขอประจักษ์จงช่วยชี้คดีเฉลย | |
ครั้นใคร่ใจเล่าก็ใช่ที่ใจเคย | หรือใจเปรยเพราะว่าชื่นด้วยสมใจ | |
ก็ใช่เชิงที่จะเหลิงละเลิงเล่น | ก็ใช่เช่นเชิงชมนิยมไฉน | |
หรือมาดหมายจะให้หน่ายเสน่ห์ไกล | ก็บอกหน่อยเถิดอย่าให้ฤทัยตรอม | |
อันอกพี่นี้ก็เทียมคีรีทับ | ตั้งแต่นี้ไหนจะกลับได้คืนถนอม | |
แต่แสนทุกข์สุดทุกข์จะอดออม | จนทรงผอมผิวเผือดไม่มีงาม | |
อันทุกข์ทั้งตรีภพจบสกล | ก็ไม่เท่าที่พี่ทนสวาทหวาม | |
ไม่ว่างวายคลายเทวษสักกึ่งยาม | ดั่งศรรามซํ้าทรวงสักแสนที | |
ถึงต้องศิลป์ทรงองค์นารายณ์วราฤทธิ์ | ไม่เจ็บจิตเท่าเจ้าเจื่อนอารมณ์หนี | |
แสนทุพพลทนเทวษไม่วายทวี | ดั่งมณีชอกช้ำเหลี่ยมระทม | |
แต่พูดเล่นเป็นประหนึ่งจะไม่รู้ | ครั้นนิ่งดูฟังไปก็เห็นสม | |
เราขามมิตรหวังจิตไว้คอยชม | ยิ่งระทมทรวงร้าวอุรภา | |
เห็นสุดคิดสุดฤทธิ์ด้วยสุดรัก | สุดนักที่จะเสี่ยงวาสนา | |
สุดร้อนสุดนิวรณ์เจตนา | ดั่งแผ่นผามาทุ่มทิ้งลงกลางชล | |
จงเชิญครองเถิดนะเจ้าให้สมพักตร์ | ให้สมศักดิ์เถิดที่ศักดิ์มาปฏิสนธิ์ | |
จงสมจิตสมคิดอย่าห่างสกนธ์ | ตามนิพนธ์ที่พี่อวยอำนวยพร | |
จงเกษมเปรมสวาทอย่าขาดชื่น | ทุกวันคืนอย่าให้คลายภิรมย์สมร | |
เราลารักกว่าจะสิ้นม้วยดินดอน | จนอัมพรสูญดวงพระสุริยัน | |
สิ้นสุเมรุบรรพตานภากาศ | แต่สักชาติอย่าได้ร่วมภิรมย์ขวัญ | |
จนหลาบสาปสิ้นชีวาวัน | อันประจุบันที่ได้พลาดประมาทมา | |
จงอภัยอย่าให้มีเวรีสนอง | วจีจองด้วยมหันตโทษา | |
ได้พลั้งพลาดประมาทกายและวาจา | ขอสมาเถิดอย่ามีเวรีราน | |
เราจงจิตอนุญาตประสาทให้ | อโหสิกันไปจนอวสาน | |
จนล่วงภพสบสร้อยศาสดาญาณ | จงบันดาลอย่าได้ร่วมภิรมย์เอย ฯ |
ฯ ๕๐ คำ ฯ
๓
๏ ศุภสารเสนาะเสน่หา | |
จำลองใจมาในอักขรา | ด้วยจินตนาปรารภนิรันดร |
แสนระทมกรมสวาทระยำยับ | ดั่งสุเมรุทุ่มทับทรวงสมร |
เพราะหมายโลมโฉมอินทร์อรชร | จึ่งรั้งรอนหักจิตเป็นนิจกาล |
คะนึงน้องดั่งปองปทุเมศ | ในขอบเขตมุจลินท์สระสนาน |
แสนลำบากยากที่พ้นทรมาน | เพราะไม่หาญที่จะหักมาชมชู |
เชยสร้อยเสาวคนธ์โกมลมาศ | เมื่อลมลาดเพราะลอบเลียมอยู่ |
แต่ไกลไกลก็จะลักแลดู | แมลงภู่ร่อนร้องแต่เวียนชาย |
ถ้าเหาะได้เหมือนเหรันตยักษ์ | เห็นจะหักได้สะดวกโดยง่าย |
นี่สุดเอื้อมที่จะเอื้อมอาจกราย | ปิ้มจะวายชีพเพราะถวิลบัว |
ถ้าสุมาลย์ร่วงหล่นพ้นสวรรค์ | บ้างเล่าเถิดถ้ากระนั้นจะยังชั่ว |
ถึงมิน้อมก้านให้ก็ไม่กลัว | ขอแต่ยั่วแย้มหน่อยพอแนมนวล |
สิอยู่ในมุจลินท์สินธุล้อม | เชิญประนอมไมตรีทรามสงวน |
ซึ่งสุหร่ายปรายเปรียบมาทั้งมวล | ก็ไม่ควรแต่ว่าร้อนนั้นสุดแรง |
เชิญสุดาปรานีพี่หน่อยน้อง | ประคองสวาทอย่าให้ขาดคำแถลง |
ซึ่งจะขายเรื่องรักประจักษ์แจง | วานอย่าแกล้งเสว่าให้กล้ากลอน |
ประการใดในประเพณีสนิท | ขอประสิทธิ์สวาทใจในสายสมร |
ตราบฟ้าสูญสิ้นม้วยดินดอน | เชิญนุสรณ์สิ่งเสน่ห์สนองกรรณ |
เชิญรักอารมณ์ภิรมย์รัก | เชิญสมัครหมายขวัญมาน้อมขวัญ |
เชิญสมานการโดยกระบวนบรรพ์ | วานอย่าฉันทาเคียดรังเกียจกาย |
เชิญเยื้อนเถิดอย่าถือประยูรยศ | เชิญประชดมุ่งมาดให้เหมือนหมาย |
ขอเชิญน้องพร้องเสน่ห์สวาทชาย | กว่าจะวายทำลายชีพปลดปลง |
อย่าล่อเล่นเช่นมณีเมขลา | ให้อสุรารามสูรพะวงหลง |
หลงไล่ไปด้วยใจจำนงองค์ | พิศวงหวังคู่ประคองเคียง |
ครั้นนางโยนมณีสีสว่าง | ก่นแต่ขว้างขวานลั่นสนั่นเสียง |
เพราะใจยักษ์มักโกรธพิโรธเพียง | ดั่งจะเอียงแผ่นภพจักรวาล |
หมายใจใจจนพ้นพิศวาส | ก็กลายกลับมุ่งมาดจะสังหาร |
ฝ่ายพี่ที่เห็นคะนึงนาน | ห่อนหาญไล่ได้ด้วยใจเฟือน |
สุดถวิลดั่งจะสิ้นเสน่ห์นุช | เพราะอาวุธนั้นไม่มีเสมอเหมือน |
เป็นแต่ว่ารักกับจะตักเตือน | แม้นมิเยื้อนก็จะโห่ให้ทรวงโทรม |
รักนิดเถิดช่วยชูชีวิตไว้ | อย่าสูญใจเลยนะเจ้าวิมลโฉม |
ใช่จะล่อลวงน้องประลองโลม | เชิญแม่โน้มใจน้อมสวาทเรียม |
ขอพบเนตรต่อนัยนาหน่อย | อย่าเมินม่อยหมางหน้างามเสงี่ยม |
แต่ห้ามใจแล้วก็สุดใจเจียม | จึ่งเลียมลอดลายหัตถ์ให้ทัศนา |
ถ้าปรานีแล้วอย่าเนิ่นนานสนอง | ประคองสวาทอย่าให้ขาดปรารถนา |
จะนับบาทมาดหมายนาฬิกา | จะตั้งตาคอยสารสมานเอย ฯ |
ฯ ๓๖ คำ ฯ
๔
๏ ชายเนตรจวบเนตรพิษศรแสลง | |
ดังเมขลาฉายท่ามณีแทง | ให้แสงต้องอสุรีที่ราญรอน |
ก็ลดองค์ลงยังเงื้อมเมรุมาศ | ปิ้มจะขาดชีพม้วยด้วยดวงสมร |
จะไล่โลมโฉมนางกลางอัมพร | ก็อ่อนจิตไปด้วยฤทธิ์มณีพราย |
อันนิลเนตรน้องส่องมาสบพี่ | ยิ่งมณีนางฟ้าที่ง่าฉาย |
เมื่อวาบวับจับดวงฤดีชาย | ก็หมายชีพม้วยด้วยแสงนิล |
ประเมินม่อยผ่อยพักตร์ตะลึงหลง | ก็จงจิตสมานที่ชาญถวิล |
สิ้นประมาทอาชญาแลมลทิน | สิ้นประคิ่นประดิพัทธ์ในภัสดา |
แสร้งมิตรม้วนชวนชื่นขืนคืนสวาท | แล้วหยาดนํ้าอาลัยไว้ในหน้า |
พอสงฆ์กลับจึงคำนับวาจาลา | พี่เดินฝ่าภาคพักตร์ตระหน่ำนาง |
บำหยัดเท้าก้าวหน้าพะว้าหลัง | ระวังน้องลืมยั้งระวังย่าง |
อัฒจันทร์นะยิ่งอัศจรรย์ลาง | พี่เหยียบขวางไขว่คั่นว่าชั้นเดียว |
ถึงสีดาประจวบตาพระราเมศร | เจ็บเทวษแต่กระนั้นไม่ซ่านเสียว |
อันพี่เจ็บนี่เจ็บจริงจริงเจียว | ดั่งแหลมเหล็กเรียวร้อยนัยน์ตาชาย |
ฉะฉะเจ็บรักนี่หนักหนา | ยิ่งฝืนฝ่าก็ยิ่งท้ออารมณ์หมาย |
ว่าตาดูรู้รสกันด่วนดาย | เดิมนารายณ์เพิ่มพิษยุพาพาล |
พระชวนชมสมโฉมด้วยดลเนตร | วันประเวศบัญชรพิมานสถาน |
จะเคลื่อนเงาเงื่อนนี้แลนิพพาน | ประมาณเถิดเห็นจะมีราคีคำ |
เจ้าดั่งดวงดาราทิพมาศ | ลอยลีลาศเลื่อนแสงขึ้นแข่งขำ |
ครั้นมลทินจันทร์ทับก็อับดำ | เข้าประจำล้อมอยู่ดาวดูที |
จะสรดสร่างกระจ่างงามอร่ามพื้น | ไม่ใฝ่ฝืนฝ่าเทวราศี |
เดินระหว่างทางจักรงามดี | ด้วยเว้นแสงพระสุรีย์ที่ร้อนรอน |
จะเกรงใยในหมู่พลาหก | ถึงจะตกก็ไม่ตัดประภัสสร |
เชิญเลี้ยวเลื่อมมาที่เงื้อมยุคุนธร | จะเวียนวอนตาโลกให้ชมดวง |
หนึ่งสัญจรปทุมาในวาเรศ | ไม่ว่าเพศเช่นพงศ์ประสงค์สรวง |
สัณฐานจอกดอกชอุ่มเป็นพุ่มพวง | เกิดในห้วงวารีนีโครธา |
ฝ่ายโกเมศหมู่สวะอยู่สระสรง | ใช่บัวบงกชเกศในนาถา |
พื้นผลซึ่งระคนสโรชา | ล้วนวารินไคลเคล้าเข้าเวียนเบียน |
อย่านึกแหนงใช่จะแกล้งแสดงสดับ | ถ้าแม้นรับแล้วอย่ารักเป็นพาเหียร |
เห็นไหมงามตามเถิดจะเวียนเพียร | ช่วยถอนเศร้าถอนเสี้ยนเสียหน่อยเอยฯ |
ฯ ๓๐ คำ ฯ
๕
๏ ชังใจที่ไม่เจียมใจสงวน | ||
ชังหน้าที่หน้ามาหมองนวล | เออก็ควรหรือมาริให้เร่งตรอม | |
ไม่เจียมตนเลยว่าตนนี้ตํ่าศักดิ์ | มาริรักที่ไม่ควรประคองถนอม | |
หมายใจอยู่ว่าใจอยู่ในจอม | มิแต่มอมหน้าม่อยให้อัประมาณ | |
ไม่รู้หรือว่าประยูรวิหคหงส์ | ถวิลลงโขมพัตรนัทีสถาน | |
ไม่ร่วมชาติกาจกาตระกูลกาฬ | โอ้ประมาณเหมือนอกจรกา | |
ต่ำศักดิ์หรือมารักวงศ์เทเวศ | ให้ผิดเพศตุนาหงันอสัญหยา | |
เหมือนอิเหนาเสาวภาคย์กับบุษบา | เออสาสิที่ใจไม่เจียมใจ | |
ยิ่งห้ามใจว่าอย่าใฝ่วงศาสูง | ใจยิ่งจูงใจตรึกนี่นึกไฉน | |
แต่เวียนหวังอยู่มิฟังวิญญาณ์ไย | นี่ใครใช้หรือจึ่งครุ่นทวีครวญ | |
เป็นน้อยใจหนอใจไม่ฟังห้าม | มารักงามที่ไม่รู้เสงี่ยมสงวน | |
ใจเอ๋ยหรือมาเฉยชะล่าลวน | เมื่อไม่ควรหรือมาควรคะนึงนาน | |
ไม่เจียมตนหรือว่าตนเป็นหิ่งห้อย | มาหิ้วรอยตามแสงพระสุริฉาน | |
ท่านเหมือนพลอยเพชรรัตน์ชัชวาล | ตัวนี้ปานปูนปัดหรือควรปอง | |
มาหมายแก้วจอมจุลจักรพรรดิ | ให้เสื่อมสวัสดิ์รัศมีมณีหมอง | |
เป็นน้อยใจด้วยว่าใจไม่ตรึกตรอง | ใจนี่จองหวงห้ามยิ่งย่ามใจ | |
ตนกระต่ายหรือมาหมายจิตจง | มางวยงงอยู่ด้วยแสงศศิไข | |
เมื่อจันทร์แจ่มแต้มตัวกระต่ายใน | วงเป็นไรกระต่ายไม่หมายชม | |
ถ้าใครช่วยชูบ้างจะยังชั่ว | ให้ใจกลัวจึ่งจะสาแก่ใจสม | |
ถ้ามิฟังจะเอาไฟใส่หม้อรม | ช่วยขู่ข่มเสียให้ขาดประมาทครวญ | |
ใจสิมุ่งเหมือนพระลอดิลกโลก | จึ่งแสนโศกมิได้วายกระหายหวน | |
ส่วนพระลอมิได้ปองสองนางชวน | ให้รัญจวนไปด้วยวิทยายันต์ | |
จึ่งได้สมสองงามเป็นสามเขนย | ชิดเชยสองข้างประคองขวัญ | |
จนทหารเข้าประหารผลาญชีวัน | เออกระนั้นเล่าเถิดก็ควรตาย | |
ไฉนใจจึ่งจะไม่เห็นด้วย | ใจจะม้วยเสียแล้วหรือเพราะมุ่งหมาย | |
เอ็นดูใจเถิดอย่าให้ใจละอาย | เอ็นดูกายเถิดที่เอื้อมจนสุดมือ | |
แต่ห้ามห้ามก็ไม่ห่างถวิลเหือด | จนผิวเผือดผอมแล้วไม่เห็นหรือ | |
จะตายไยที่มิให้คำคนลือ | จะรื้อรักเถิดอย่ารักให้เหนื่อยนาน | |
หาดีไม่ไหนเล่าเขาว่ารัก | พิสมัยหนักก็มักได้หมางสมาน | |
ย่อมทนทุกข์อยู่ทุกทิวาวาร | แสนรำคาญเคืองคิดไม่ขาดตรอม | |
ชอบบำราศรสร่วมอารมณ์สอง | ก็หนักกรประคองครุ่นครวญถนอม | |
ดั่งโกยทุกข์มาประทุกอกออม | แต่ผอมเผือดเหือดแห้งจนหายงาม | |
จะยืนเดินดำเนินนั่งนอนที่ไหน | ก็ตั้งใจแต่จะดิ้นถวิลหวาม | |
จนสิ้นเพียรภาวนาพยายาม | จนลืมความเรือนราชการตน | |
ยามกินลืมกินอาหารรส | ลืมกำหนดนับคืนวันฉงน | |
แต่นอนนิ่งกลิ้งกลับเกลือกสกนธ์ | ไม่หลับจนจวบทุ่มสักคืนวัน | |
นี่แลใจจะไม่ฟังใจเจียวหรือ | จะรื้อรักอยู่ไม่รักชีวาสัญ | |
จงรักกายเถิดอย่าหมายวงศ์เทวัญ | ที่เฉิดฉันมิได้แปลกประยูรวงศ์ | |
จึ่งห้ามใจว่าใจอย่าประเจิด | อย่าพลั้งเพริดเลียมลองประโลมหลง | |
รักษาสัตย์ตัดใจให้ตริตรง | อย่าพลอยหลงไปด้วยพลั้งกำลังพาล | |
ท่านว่าถ้าแลใครใจประมาท | ย่อมเป็นคลองมัจจุราชประหารผลาญ | |
สงวนสัตย์ตัดห่วงบ่วงมาร | จะพลันพ้นสงสารที่วงเวียน | |
ถึงโลกีย์ยังมิตัดราคีขาด | แม้นประมาทก็ประมาณแต่พาเหียร | |
เรียนรู้เถิดอย่าเรียนรำพึงเพียร | ใจจงเจียนใจรักให้หักรอน | |
ชอบจะเฉยอย่าเฉลยเหมือนเช่นหลัง | นี่แน่ใจเอ๋ยจงฟังใจสังสอน | |
จะแจ่มจิตอยู่เป็นนิจนิรันดร | ธุระร้อนก็จะแรมโรยเอย ฯ |
ฯ ๔๖ คำ ฯ
๖
๏ ขาวเหลืองเรืองศรีวิเชียรฉาย | ||
แสนสวาทมิได้ขาดทิวาวาย | เสน่ห์หมายวัชชิรัตน์อลงกรณ์ | |
แสงสว่างกระจ่างแจ่มจับเนตร | วันประเวศบนวิบูลยสิงขร | |
แม้นเรืองฤทธิ์เหมือนวิทยาธร | จะเขจรแหวกเมฆไปเมียงชม | |
พื้นหัตถ์จักประชีสำลีรอง | จะประคองช้อนชูมาสู่สม | |
แสนสงวนมิให้ต้องละอองลม | จะวางชมบนพื้นสุมาลี | |
วัตถาเวียนวงจงประดับ | มิให้อับอ่อนแสงมณีศรี | |
จะแนบไว้ในอุราทุกนาที | อันราคีมิให้ปนระคนพาล | |
นี้สุดยากที่จะบากอารมณ์ถวิล | ทั้งเดินดินแล้วก็ขลาดไม่อาจหาญ | |
ตั้งแต่ทนเทวษช้ำระกำนาน | ก็นับวารวายชีพนิราทวา | |
เพราะขนิษฐ์แลได้คิดภิรมย์รัก | เสน่ห์หนักในเพศแห่งเชษฐา | |
ไม่สมหมายก็ไม่วายจินตนา | จะฝืนฝ่าฝากรักก็สุดใจ | |
อนุชาเหมีอนว่ายวนวาเรศ | ลอยประเวศตามสายชลาไหล | |
จะบ่ายหน้าหาฝั่งก็ยังไกล | จะพึ่งพักขอนไม้ไม่ทานทน | |
อันสัดจองนาวาก็หายาก | จะเบือนบากพึ่งใครก็ขัดสน | |
แต่เวียนว่ายอยู่ในสายทะเลวน | แสนทุพพลยอดยากลำบากกาย | |
เห็นแต่พี่แลจะชูชีวิตน้อง | ช่วยประคองขึ้นให้พ้นกระแสสาย | |
เมื่อการุญทำคุณไว้ไม่ตาย | จะบากบ่ายนำเสน่ห์สนองกัน | |
ไม่ลืมคุณอุปการคุ้งวันหน้า | จนม้วยสิ้นดินฟ้าสุธาสวรรค์ | |
เชิญสมานการโดยระบอบบรรพ์ | วานอย่าฉันทาเคียดรังเกียจกวน | |
เชิญสนองในคลองเสน่ห์มิตร | คำนึงคิดอยู่ในฤทัยสงวน | |
ถ้ารับรักแล้วอย่ารักให้เรรวน | วานอย่าม้วนสวาทไว้ให้เนิ่นนาน | |
เชิญร่วมอารมณ์ภิรมย์รัก | ให้สมศักดิ์สมสวาทในมาศฐาน | |
อย่าแหนงรักเลยว่ารักจะพลันราน | สดับสารแล้วอย่าคิดระแวงแคลง | |
ประการใดในประเพณีสวาท | ขอประสาทเสน่ห์ไว้ไม่ควรแถลง | |
หนึ่งเชษฐาถึงจักว่ารักแรง | จงให้แจ้งแต่รักไมตรีตรอง | |
เอ็นดูเถิดที่ธุระทุรารัก | เห็นแก่พักตร์เถิดจงเยื้อนเสน่ห์สนอง | |
ตำริรักแล้วอย่าคิดให้ผิดคลอง | ไมตรีประคองอย่าให้สูญสวาทเอยฯ |
ฯ ๒๘ คำ ฯ
๏ นิ่มนวลนวลศรีศรีสวัสดิ์ | |
พี่หมายน้องดั่งจะปองมณีรัตน์ | อยู่ในหัตถ์เรืองรุ่งมณีพราย |
ล่องเลื่อนยุพาประเทืองเรืองโรจน์ | โชติช่วงแจ่มฟ้ามณีฉาย |
แอบกระจ่างอับกลีบเมฆากระจาย | ใจหมายมุ่งเมินมณีนิล |
เมื่อไรจะฉายดวงมณีให้พี่เห็น | แต่คอยเขม้นอยู่ไม่เว้นวันถวิล |
ปัตถอนจะใคร่ชวนดวงมณีนิล | แต่ค่อยยุดจนสิ้นอารมณ์แรม |
จึงบวงสรวงเทพาสุรารักษ์ | จงช่วยชักแยกฟ้าให้เห็นแสง |
เมื่อแสนสุดสวาทขาดแคลง | ดั่งจะแกล้งให้ใจอาลัยลาน |
เพราะรักมิตรพิศถนัดถนอมเปล่า | แต่ครองรักไว้จนเสาเสียมสาร |
โอ้อกแสนทุพพลแต่ทรมาน | ด้วยดวงแก้วพิสดารในหัตถ์นาง |
จงกระหยับแต่พออับแอบแสง | กระจ่างแจ้งก็ยังเห็นอางขนาง |
ที่วาบแวบฤทัยให้ใจจาง | มณีนางหรือจะร้างจินดาไกล |
อยู่ในหัตถ์ถือถนัดที่ถนอม | หรือจะยอมคอยประเทืองให้แจ่มใส |
ถ้าช้าหน่อยเถิดจะค่อยบรรเทาใจ | จะขอชมแต่ไกลไม่อาจคลาย |
แม้นเชี่ยวชาญชำนาญวราฤทธิ์ | จะตามติดไล่เมขลาหมาย |
จะชิงช่วงดวงมณินจินดาพราย | ให้เหมือนหมายเถิดจะมาดไม่วางมือ |
แล้วฤๅถอยฤทัยถอนคิด | มณีนิจยังจะแย้มให้เห็นหรือ |
สุดเอื้อมที่จะเอื้อมนั้นไกลมือ | แต่ริรื้อลายขานทุเรไกล |
ไม่เจียมตนว่าเป็นคนสถุลศักดิ์ | ถึงจะรักก็จะรักไปถึงไหน |
จงเจียมอาตม์เถิดว่าวาสนาไกล | หาควรไม่จึงมิได้ประคองนวล |
แต่รามสูรขว้างขวานสนั่นเสียง | สะท้านเปรี้ยงจึ่งได้เห็นโฉมสงวน |
ประเดี๋ยวเดียวแต่พอเลี่ยงก็หายนวล | ดั่งโฉมชวนกระหยับแต่พอลับแล |
เสาวภาหลากลักวิมลโฉม | ให้ประโลมใจโลกให้ห่วงแห |
ครั้นห่างเหินก็ให้หวนปรวนแปร | แต่ชะแง้อยู่ไม่เมินชม้อยนวล |
เพี้ยงเอยดวงแก้วมณีนิล | แม้นตกดินเถิดจะรับประคองสงวน |
ชิเมฆยิ่งวิเวกอารมณ์ครวญ | ดั่งจะซวนซบสลบลง |
ด้วยแสงส่องต้องนัยนานัก | จำเริญพักตร์มิรู้สิ้นสิ่งประสงค์ |
สุดสวาทดั่งจะขาดอาลัยปลง | เหมือนอกองค์พระสุธนซึ่งทรมานเอย ฯ |
ฯ ๒๘ คำ ฯ