พระราชพิธีการเข้าพระเมรุ
พระพุทธศักราช ๒๔๗๐ ปีเถาะนพศก ตรงกับ ค.ศ. ๑๙๒๘ กำหนดงารตั้งแต่วันศุกร์ขึ้น ๑๑ ค่ำเดือน ๔ ตรงกับวันที่ ๒ เดือนมาร์สตลอดไปจนถึงวันอาทิตย์แรม ๕ ค่ำเดือน ๔ คือวันที่ ๑๑ เดือนมาร์ส ภายหลังวันสวรรคต ๗ เดือน ฯ
คำรบ ๑ วันศุกร์ขึ้น ๑๑ ค่ำเดือน ๔ คือวันที่ ๒ เดือนมาร์ส
เวลา ๗ ก.ท.ฯ พระบาทสมเด็จพระศรีสวัสดิ์มณีวงศ จอมจักรพงศ พระเจ้ากรุงกัมพุชาธิบดี เปนเจ้าชีวิตเหนือเกล้า เปนพระราชบุตร์พระกรุณาพระบาทสมเด็จพระศรีสวัสดิ์ ในพระบรมราชานุโกษฐ พร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศฝ่ายหน้าฝ่ายใน ฝ่ายหน้าทรงขาวฉลองพระองค์ผายขาว อัครมหาเสนา, เสนาบดีนาหมื่นสรรพมุขมนตรี ข้าราชการทุกกรมนุ่งขาวสวมเสื้อผายขาวไว้ทุกข์ เข้าไปถวายบังคมพระกรุณาในพระบรมราชานุโกษฐ ซึ่งประดิษฐานเหนือพระบัญจา ๗ ชั้นในพระที่นั่งมหามนทีร์ในพระบรมราชวัง เชิญพระบรมศพลงมาประดิษฐานบนพระแท่นอันตลบไปด้วยกลิ่นหอม ให้กรมแม่งารจัด ฯ และให้กรมปูอาสน์ผูกพระสูตร์กั้นให้มิดชิดข้างในพระที่นั่งมหามนทีร์ จะได้สรงชำระพระองค์ เปนหน้าที่กรมน้ำสรงจัดน้ำอบ ก่อนที่จะอัญเชิญพระบรมศพลงจากพระมหาบัญจา เปนหน้าที่ของกรมสังฆ์การีนิมนต์พระสงฆ์ ๘๘ รูปมาสดัปกรณ์ ให้บาคูเป่าสังข์ประโคมกลองชนะ สนมพระตำรวจแต่งตัวขาวคาดรัตคดเข้ากราบถวายบังคม ๓ ครั้งแล้วอัญเชิญพระกรุณาในพระบรมราชานุโกษฐมาประดิษฐานบนพระแท่นอันหอมตลบในพระที่นั่งมหามนทีร์ชั้นในแล้วเป่าสังข์ประโคม กรมภูษามาลากราบถวายบังคม ๓ ครั้ง อัญเชิญพระบรมศพออกจากพระโกษฐทองมาประทับบนพระแท่น มีถาดสังกะสีรองน้ำใต้พระแท่น เปนหน้าที่ช่างบัดกรีทำ ฯ พระกรุณาและพระราชวงศานุวงศ ข้าราชการกรมภูษามาลากราบบังคมถวายเครื่องสุคนธรสสรงชำระพระองค์ และให้นิมนต์พระสงฆ์นายกทั้ง ๒ คณะมาถวายเครื่องสุคนธรสสรงพระบรมศพด้วย ฯ แล้วกรมภูษามาลาถวายพระภูษาตาดขาวห่อพระองค์ใหม่แล้วถวายเครื่องสุคนธรสอีกครั้งหนึ่ ส่วนพระลองนั้นให้กรมน้ำสรงล้างอบเสียใหม่ แล้วเป่าสังข์ประโคมอัญเชิญพระบรมศพใส่ในพระลองทองแล้วอัญเชิญลงในพระโกษฐทอง แห่ออกมาประดิษฐานณพระที่นั่งมหามนทีร์ เปนหน้าที่ของกรมแม่งารและหัวหน้ากระทรวงจัดการทำ ฯ มีพระสงฆ์สวดดาร์ฉันเทศนาสดัปกรณ์และข้าราชการอยู่ประจำการทุกเมื่อเหมือนอย่างเก่า ฯ
ส่วนพระบุพโพและพระภูษาที่ชำระสรงแล้วนั้น เปนหน้าที่ของกรมภูษามาลาเก็บเข้าในพระลองปิดทอง แล้วเอาไปเก็บไว้ในพระที่นั่งมหามนทีร์ ถึงวันคำรบ ๒ จะแห่ไปถวายเพลิงในวัดพระแก้วตามธรรมเนียม ฯ
ส่วนพระมหาบัญจานี้ ให้กรมแม่งารรื้อออก
เวลา ๘ ก.ท. ฯ กรมแม่งาร และกรมช่างทองอังกฤษจะต้องเชิญพระมหาบัญจาไปจัดในเมรุให้ครบทั้ง ๙ ชั้น ให้ตกแต่งครบเครื่องประดับให้ทันเวลา ฯ
เวลา ๑๔ นาฬิกา คือบ่าย ๒ โมง ฯ พระกรุณาและพระราชวงศานุวงศทรงเครื่องขาวไว้ทึกข์ตามเดิม และอัครมหาเสนา เสนาบดีนาหมื่นสรรพมุข มนตรีก็นุ่งขาวไว้ทุกข์เข้าถวายบังคมพระบรมศพพระกรุณาในพระบรมราชานุโกษฐ ในพระที่นั่งมหามนทีร์ กราบบังคมทูลเชิญเสด็จไปประดิษฐานบนพระราชรถ จะแห่เข้าพระเมรุมาศ ขณะนั้นมีพระสงฆ์สดัปกรณ์ ๘๘ รูปครั้ง ๑ เปนคำรบ ๑ แล้วบาคูเป่าสังข์ประโคมกลองชนะ สนมพระตำรวจกราบถวายบังคม ๓ ครั้ง แล้วเข้าอัญเชิญพระบรมราชานุโกษฐ ในพระที่นั่งมหามนทีร์ ยกไปประดิษฐานบนพระราชยานุมาศ มีพระองค์เจ้าผู้เปนพระราชบุตร์ ๒ พระองค์ ประคองหน้าองค์ ๑ หลังองค์ ๑ อัครมหาเสนาโยง เสนาบดีทั้ง ๔ เปนคู่เคียงเดิรแห่ออกจากพระที่นั่งมหามนทีร์ ไปตามพระที่นั่งเทวาวินิจฉัย ออกท่ามกลางพระทวารใหญ่ ไปข้างหน้าพระลานที่ตั้งกระบวนแห่เตรียมไว้คอยรับ แล้วอัญเชิญเสด็จประทับเหนือพระราชรถยนต์บุษบกทอง สารถีขับ ๒ คน และพระลองปิดทองที่ใส่พระบุพโพก็แห่มาข้างหลัง ตั้งบนพระราชรถนี้ด้วย ฯ
ส่วนบาคูต้องงเป่าสังข์ประโคมกลองชนะทุกคราว
เวลา ๑๕ นาฬิกา คือบ่าย ๓ โมง ฯ ยิงปืนใหญ่ ๒๑ นัด กรมปืนใหญ่เปนผู้ยิง แล้วคนที่ตามกระบวนแห่โห่ ๓ ครั้ง กระบวนแห่กระทำประทักษิณพระนคร คือ ออกจากหน้าพระบรมราชวังไปตามมรรคาเบื้องบุรพทิศ แล้วไปทางทักษิณ จนถึงถนนขวาง และเลี้ยวไปทางทิศปาจิณ มีปรำซึ่งเปนหน้าที่แม่งารทำ พระสงฆ์ ๘๘ รูปสดัปกรณ์อีกครั้ง ๑ เปนคำรบ ๒ แล้วแห่ไปทางทิศอุดรถึงสะพานนาคมีปรำ พระสงฆ์ ๘๘ รูปสดัปกรณ์อีกครั้ง ๑ เปนคำรบ ๓ แล้วออกไปตามทางปากคลองขุดฝั่งใต้ เลี้ยวไปบุรพทิศถึงทางใหญ่ปากทะเลมีปรำ พระสงฆ์ ๘๘ รูปสดัปกรณ์อีกครั้ง ๑ เปนคำรบ ๔ แล้วเลีเยวไปทิศทักษิณเข้าประตูพระเมรุ ให้ยิงปืนใหญ่ ๒๑ นัด และเล่นการมโหรศพทุกอย่างโดยรอบพระเมรุ ฯ
เวลา ๑๗ นาฬิกา คือบ่าย ๕ โมง ฯ แห่พระราชรถพระบรมศพถึงกำแพงนอกพระเมรุ พระกรุณาเปนเจ้าชีวิตเหนือเกล้า ทรงประทับคอยรับพระบรมศพข้างหน้าพระเมรุข้างใน ทรงถวายบังคมพร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศ์และข้าราชการทุกกรม แล้วบาคูเป่าสังข์ประโคมกลองชนะ สนมพระตำรวจถวายบังคมอัญเชิญพระบรมราชานุโกษฐประดิษฐานบนพระราชยานุมาศ พระราชบุตร ๒ พระองค์ประคอง แล้วพระกรุณาทรงเปนประธานแห่ประทักษิณ ๓ รอบพระเมรุ แล้วบาคูเป่าสังข์ประโคมกลองชนะ สนมพระตำรวจกราบถวายบังคมพระบรมศพ ๓ ครั้ง อัญเชิญพระบรมราชานุโกษฐประทับบนพระบัลลังก์ แห่ขึ้นไปประดิษฐานบนพระมหาบัญจาทอง ๙ ชั้น ภายใต้พระมหาเศวตฉัตร์ แล้วนิมนต์พระสงฆ์ ๘๘ รูปสดัปกรณ์ถวายพระราชกุศล ฯ พระลองที่ใส่พระบุพโพให้ประดิษฐานไว้ในแถวพระเมรุด้านตวันตก ฯ
เวลา ๑๗ นาฬิกา ๔๕ นาที คือ ๕ โมงเย็น ๔๕ นาที ฯ พระกรุณาทรงต้อนรับท่านเลอเรซิดัง สุเปริเยอร์ อธิบดีปรูติกตูรา ที่มาถวายคำนับพระบรมศพในพระบรมราชานุโกษฐ ซึ่งประดิษฐานอยู่บนพระมหาบัญจาในพระเมรุ
เวลา ๑๘ นาฬิกา คือ ๖ โมงเย็น ฯ บาคูเป่าสังข์ประโคมกลองชนะ สตรีร้องยำยามถวาย ฯ
เวลา ๑๘ นาฬิกา ๓๐ นาที คือ ๖ โมงเย็น ๓๐ นาที ฯ จุดประทีปชวาลาทุกแห่ง กรมสังฆ์การีนิมนต์พระสงฆ์ ๓๒ รูปสวดพระธรรมทั้งกลางวันกลางคืนตามสำสร้างทั้ง ๔ ทิศ ๆ ละ ๘ รูป ฯ
เวลา ๑๙ นาฬิกา คือ ๗ ล.ท. ฯ เลี้ยงโภชนาหารพระราชวงศานุวงศ ขุนนางสรรพมุขมนตรีในโรงเลี้ยงที่มาประจำการพระเมรุ กรมแม่งารจัดพัดจัดโต๊ะ มหาดเล็กจัดเก้าอี้ กรมวิเสททำกับเข้า กรมบ๋อยจุดตะเกียงยกอาหารมาบำเรอ กรมไฟฟ้าเปิดไฟให้สว่างและเปิดพัดลม กรมพระตำรวจและกรมรักษาพระองค์ยกอาหารบำเรอมนตรี กรมพระแสทวนจัดน้ำและกระโถนตามต้องการ ฯ
เวลา ๒๐ นาฬิกา คือ ๘ ล.ท. ฯ จุดจรวดระทาดอกไม้เทียนโคมลอย ให้ออกญาเพ็ชรสงครามกราบบังคมทูลรับพระราชทานเพลิงพระกรุณาไปจุด ฯ
ละควนส่วนพระราชทรัพย์ และการเล่นมโหรศพต่าง ๆ จะเล่นไปจนเที่ยงคืน
เวลา ๒๑ นาฬิกา คือ ๙ ล.ท. ฯ มีเทศนาส่วนพระราชทรัพย์และเทศนาของผู้ที่เข้าทำบุญในงารพระเมรึ ณพลับพลาทรงธรรม ฯ
เวลา ๒๔ นาฬิกา คือ ๑๒ ล.ท. เที่ยงคืน ฯ บาคูเป่าสังข์ประโคมกลองชนะ สตรีร้องยำยามถวาย ฯ
คำรบ ๒ วันเสาร์ขึ้น ๑๒ ค่ำเดือน ๔ คือวันที่ ๓ เดือนมาร์ส
เวลา ๖ ก.ท. ฯ บาคูเป่าสังข์ประโคมกลองชนะ สตรีร้องยำยามถวาย ฯ
เวลา ๑๐ ก.ท. นิมนต์พระสงฆ์ ๘ รูปรับเวภัตร์ในพลับพลาทรงธรรม นิมนต์พระสงฆ์ ๓๒ รูปที่สวดพระธรรมในสำสร้างฉันในแถวสำสร้าง ฯ
เวลา ๑๒ นาฬิกา เที่ยงวัน ฯ บาคูเป่าสังข์ประโคมกลองชนะ สตรีร้องยำยาม แลถวายเครื่องสังเวยพระบรมศพข้างหลังพระมหาบัญจาฯ กรมวิเสทข้างในต้องจัดให้นางพนักงารเชิญพระสุวรรณภาชน์มาส่งให้นางห้ามเปนผู้ถวาย ฯ มึกรมเรือนหลวงทูลฉลองพระวงศ์พญามาฆมาเปิดสุวรรณภาชน์จุดธูปเทียนเฝ้าบำเรอ ฯ
เลี้ยงโภชนาหารพระราชวงศานุวงศ แลนาหมื่นสรรพมุขมนตรี กับข้าราชการที่มาประจำการพระเมรุ ฯ
เวลา ๑๕ นาฬิกา คือบ่าย ๓ โมง ฯ เทศนาส่วนพระราชทรัพย์ในพลับพลาทรงธรรม ๑ รูป รับสัพพี ๔ รูป และมีเทศนาส่วนผู้ที่เข้าทำบุญในงารพระเมรุด้วย ฯ
เวลา ๑๖ นาฬิกา คือบ่าย ๔ โมง ฯ พระราชวงศานุวงศอัครมหาเสนา เสนาบดีนาหมื่นสรรพมุขมนตรี แห่พระบุพโพที่ใส่ในพระลองปิดทองประดิษฐานบนพระราชยาน มีกระบวรแห่ ๒๐๐ คนตามธรรมเนียม แห่ไปถวายพระเพลิงในลานพระอุโบสถรัตนารามพระแก้วมรกต ให้แม่งารทำปรำมียอด ๗ ชั้นตามธรรมเนียม ฯ พระกรุณาทรงประทับคอยรับถวายพระเพลิงอยู่ณที่นั้น พร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศ และกงสีเสนาบดีนาหมื่นสรรพมุขมนตรี ฯ นุ่งขาวไว้ทุกข์
เวลา ๑๖ นาฬิกา ๓๐ นาที คือบ่าย ๔ โมง ๓๐ นาที ฯ เจ้ากรมศาลาโปรยทานบนต้นกัลปพฤกษ์ ต้องเบิกจากกรมพระอาลักษณ์ กรมคลัง กรมวัง ฯ พระกรุณาเสด็จยาตราไปถวายบังคมพระบรมศพ ให้นิมนต์พระสงฆ์ ๘๘ รูปสดัปกรณ์ ในพระเมรุ
เวลา ๑๗ นาฬิกา คือ ๕ โมงเย็น ฯ พระกรุณาทอดพระเนตร์มวยปล้ำที่หน้าพลับพลา ฯ
เวลา ๑๘ นาฬิกา คือ ๖ โมงเย็นไปจวนสว่าง ระเบียบการทำบุญดุจในวันคำรบ ๑ ฯ
คำรบ ๓, วัน ๑ ๑๓ฯ ๔ คือวันที่ ๔ มาร์ส
คำรบ ๔, วัน ๒ ๑๔ฯ ๔ คือวันที่ ๕ มาร์ส
คำรบ ๕, วัน ๓ ๑๕ฯ ๔ คือวันที่ ๖ มาร์ส
คำรบ ๖, วัน ๔ ๑ฯ ๔ คือวันที่ ๗ มาร์ส
คำรบ ๗, วัน ๕ ๒ฯ ๔ คือวันที่ ๘ มาร์ส
ระเบียบพิธีทำบุญดุจในวันคำรบ ๒ ฯ
คำรบ ๘, วัน ๖ ๓ฯ ๔ คือวันที่ ๙ มาร์ส
ตั้งพระบรมศพในพระเมรุมาศเปนคำรบ ๗ วัน ๗ คืนแล้ว ฯ
เวลา ๖ ก.ท. ฯ พิธีทำบุญดุจในวันคำรบ ๒ ฯ
เวลา ๗ ก.ท. ฯ พระกรุณาพร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศ อัครมหาเสนา เสนาบดี นาหมื่นสรรพมุขมนตรีกราบถวายบังคมพระบรมศพในพระเมรุ พระสงฆ์ ๘๘ รูปสดัปกรณ์แล้วสนมพระตำรวจขึ้นอัญเชิญพระบรมราชานุโกษฐจากข้างบนพระมหาบัญจาลงตามบันไดมาประดิษฐานบนพระราชยานุมาศ แห่ไปประทับในพลับพลาบุบผาพีโด๑ ข้างทิศตวันตกพระเมรุ ฯ พระกรุณาและพระราชวงศานุวงศ อัครมหาเสนา เสนาบดี กับพระญาติกราบบังคมถวายเครื่องสุคนธ์ พร้อมด้วยพระสงฆ์นายกทั้ง ๒ คณะ ฯ แล้วหัวหน้ากระทรวงอัญเชิญพระโกษฐออกไว้แต่พระบรมศพในพระลองสุวรรณ แล้วอัญเชิญพระบรมศพนั้นไปประดิษฐานในพระโกษฐแก่นจันทน์ปิดทองไปประดิษฐานณพลับพลาบุบผาพีโด ให้หัวหน้ากระทรวงอยู่ประจำการทุกตำแหน่ง ๆ ส่วนเครื่องเพ็ชร์เครื่องทองแต่งพระองค์เมื่อสุรคต กรมภูษามาลาต้องรื้อค้างทำให้สอาดไว้เปนพระราชทรัพย์ต่อไป ให้มอบของเหล่านั้นให้แก่กรมช่างทอง แต่ทองนั้นให้เอาไปสร้างพระพุทธรูปองค์ ๑ จะอภิเษกในงารพระเมรุ ฯ
เวลา ๘ ก.ท. กรมแม่งารต้องลดพระมหาบัญจาออก ๔ ชั้น ให้เหลือแต่เพียง ๕ ชั้น และให้กรมแม่งารกรมช่างสลักกรมประดับมณีรัตน์ จัดบุษบกใส่ในพระเมรุมาศ ให้กรมพระนครบาลหรือกรมแม่งารจัดตารางและสูบน้ำป้องกันไฟ ให้กรมช่างสลักกระทำลวดลายประดับดอกไม้แก่นจันทน์ในบุษบกบนพระบัญจานั้น แล้วต้องกระทำลวดลายแก่นจันทน์เปนซุ้มครอบพระลอง ฯ กรมเมืองหรือกรมแม่งารต้องใส่ฟืนแก่นจันทน์ทั้งหมด ฯ ออกญาเพ็ชรสงครามต้องจัดดอกไม้ไฟร้องเหมือนเสียงสัตวจตุบาทรอบบุษบก และจัดชะนวนถวายพระเพลิงด้วย ฯ กรมพนักงารน้ำต้องใส่น้ำในโอ่งรอบพระเมรุ เพื่อป้องกันไฟ
เวลา ๑๕ นาฬิกา คือบ่าย ๓ โมง ฯ พระกรุณาพร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศอัครมหาเสนา เสนาบดี นาหมื่นสรรพมุขมนตรึกรายถวายบังคมพระบรมศพในพลับพลาบุบผาพีโด แล้วบาคูเป่าสังข์ประโคมกลองชนะ สนมพระตำรวจกราบถวายบังคมอัญเชิญพระบรมศพในพระโกษฐแก่นจันทน์วางเหนือพระราชยานุมาศ แห่ขึ้นตามบันใดไปประดิษฐานบนบุษบกในพระเมรุมาศ ฯ
เวลา ๑๗ นาฬิกา คือบ่าย ๕ โมง ฯ พระกรุณาทรงต้อนรับท่านเลอเรซิดัง สุเปริเยอร์ เดอลารีปุปลิคฝรั่งเศส ในกรุงกัมพุชา และบรรดาข้าราชการกับพ่อค้าฝรั่งที่มาในงารพระเมรุ ฯ พระราชวงศานุวงศ์ อัครมหาเสนา เสนาบดีนาหมื่นสรรพมุขมนตรี ข้าราชการทุกกรมในกรุงและหัวเมือง จะถวายพระเพลิงพระบรมศพนั้น ต้องถือธูปเทียนและดอกไม้เเก่นจันทน์หอมไปกราบถวายบังคมขอพระราชทานขมาโทษ เวลาจะถวายพระเพลิงถวายพระราชกุศลพระบรมศพนั้น พระกรุณาและท่านผู้แทนกรุงฝรั่งเศสวางแก่นจันทน์หอมลงในพระลอง ข้าราชการต้องวางธูปเทียนและดอกไม้แก่นจันทน์ใต้พระลอง ฯ
กรมยุทธนาฝรั่งเศสคำนับพระราชอิศริยยศพระกรุณาในพระบรมราชานุโกษฐ เปน กรังกระวาเดอลาเรเซียงดูเนอร์ ฯ
กรมปืนใหญ่ยิงปืนใหญ่ ๘๘ นัด เพลงและการเล่นมโหรศพเล่นทั้งหมด ฯ
พระกรุณาเสด็จยาตราไปประทับเหนือพลับพลาพัก พร้อมด้วยท่านเลอเรซิดัง สุเปริเยอร์ ถวายพระเพลิงพระบรมศพ ตามชะนวนที่พระกรุณาทรงจุดต่อมาแต่พระเพลิงไกลาส แล้วทรงพระราชทานฉลากและเงินใส่ในผลมะนาว ฯ
พระราชวงศานุวงศและหัวหน้ากระทรวง ข้าราชการต้องอยู่ประจำรักษาพระบรมอัฐิในพระเมรุ ในคืนนั้นจนสว่าง ฯ
ตั้งแต่เวลา ๑๘ นาฬิกา คือ ๖ โมงเย็น ฯ ระเบียบการทำบุญดุจในวันคำรบ ๒
คำรบ ๙ วันเสาร์แรม ๔ ค่ำเดือน ๔ คือวันที่ ๑๐ มาร์ส
เวลา ๗ ก.ท. ฯ พระกรุณาพร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศและอัครมหาเสนา เสนาบดีนาหมื่นสรรพมุขมนตรี ประชุมอยู่ในพระเมรุ นิมนต์พระสงฆ์ ๓๒ รูปที่สวดพระธรรมในสำสร้าง มาสวดถวายพระพรน้ำในหม้อทอง ๘ หม้อ หม้อเงิน ๔ หม้อ ที่กรมน้ำสรงจัดไว้ ฯ
และกรมภูษามาลา กรมสนมพลเรือนดับพระอังคาร ใส่เหรียญทอง ๓๒ เหรียญ ๆ เงิน ๓๒ เหรียญ แหวนทองฝังเพ็ชร์ ๑๖ วง ฝังทับทิม ๑๖ วง รวม ๓๒ วง ดอกพิกุลทอง ๓๒ ดอก ดอกพิกุลเงิน ๓๒ ดอก ต่างพระอาการ ๓๒ แต่งเปนพระรูปเสร็จ พระกรุณาพร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศอัครมหาเสนา เสนาบดีนาหมื่นสรรพมุขมนตรี เดิรเวียนอุตราวัฏถวาย ๓ รอบ พระสงฆ์ ๘๘ รูปสดัปกรณ์แล้วประเคนสังเค็ต (หรือ ๓ หาบ) แก่วัดอุณาโลมและวัดประทุมวดีในกรุง ให้พระราชวงศานุวงศหาบเครื่องสังเค็ต (หรือ ๓ หาบ) นั้น ๓ รอบพระเมรุ แล้วมอบให้กรมสังฆ์การีนำไปประเคนพระสงฆ์นายกทั้ง ๒ คณะ ฯ ครั้นแล้วพระกรุณาพร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศ อัครมหาเสนา เสนาบดีนาหมื่นสรรพมุขมนตรีและพระญาติทรงเก็บพระบรมอัฐิใส่ในพระสุวรรณอังคาร คือพระเต้าน้ำทอง แล้วอัญเชิญมาประดิษฐานบนพานทองล้างพระบรมอัฐิด้วยน้ำมะพร้าวและน้ำหอม ครั้นล้างแล้วก็ใส่ในโกษฐสุวรรณฝังเพ็ชร์ บาคูเป่าสังข์ประโคมกลองชนะ สนมพลเรือนอัญเชิญพระบรมอัฐิในพระบรมราชานุโกษฐประดิษฐานบนพระมหาบัญจาทอง ๙ ชั้นอย่างเดิม
เวลา ๙ ก.ท. ฯ พระราชวงศานุวงศ อัครมหาเสนา เสนาบดี หรือท่านผู้แทน และขุนนางสรรพมุขมนตรี ต้องแห่พระอังคารที่กรมเมืองใส่ไว้ในพระถวิกา (ถุง) แพรดอกลายทอง มีพระสุวรรณสุถิกาคือโตกทอง ตั้งบนพระราชยานแห่ตามกระบวนไปที่ท่าแพ ให้กรมพนักงารนำอัญเชิญพระอังคาร ตามกระบวนเรือไปลอยในพระคงคา ฯ
เวลา ๑๐ ก.ท. ฯ นิมนต์พระสงฆ์สวดดาร์และฉันดุจวันก่อน ฯ เวลา ๑๒ นาฬิกาเที่ยงวัน ฯ เลี้ยงอาหารมนตรีข้าราชการที่มาประจำการ ฯ
เวลา ๑๕ นาฬิกา คือบ่าย ๓ โมง ฯ เทศนาพระคาถาพันในพระเมรุ ฯ
เวลา ๑๖ นาฬิกา คือบ่าย ๔ โมง ฯ พระกรุณาเสด็จออกประทับณพลับพลา ทรงพระราชทานฉลากและดอกไม้ทองดอกไม้เงิน ที่แต่งเปนพระรูปเมื่อเก็บพระบรมอัฐิ กับเงินสลึงฝังในผลส้ม แล้วทอดพระเนตร์มวยและปล้ำ ฯ
ส่วนละคอนและการเล่นมโหรศพ โปรยทานเลี้ยงโภชนาหารยังมีอยู่ทั้งหมด งดแต่สวดพระธรรม ฯ
เวลา ๑๙ นาฬิกา คือ ๗ ล.ท. ฯ พระสงฆ์ ๘๘ รูปเจริญพระปริตในพระเมรุ แล้วมีเทศน์และจัดการฉลองพระพุทธรูปทองตามธรรมเนียม
คำรบ ๑๐ วันอาทิตย์แรม ๕ ค่ำ เดือน ๔ คือวันที่ ๑๑ มาร์ส
เวลา ๑๐ ก.ท. ฯ นิมนต์พระสงฆ์ ๘๘ รูปที่เจริญพระปริต เมื่อเวลาเย็นมาสวดดาร์ฉันในพระเมรุ ฯ
เวลา ๑๔ นาฬิกา คือบ่าย ๒ โมง ฯ เทศน์สังคายนาในพระเมรุ พระสงฆ์เทศน์ ๓ ธรรมาสน์ สวดแจง ๔ รูป นั่งหัตถบาศ ๑๐๐ รูป ฯ
เวลา ๑๗ นาฬิกา คือ ๕ โมงเย็น ฯ พระสงฆ์สดัปกรณ์ ๘๘ รูป แล้วบาคูเป่าสังข์ประโคมกลองชนะ สนมพลเรือนกราบถวายบังคมอัญเชิญพระบรมอัฐิพระกรุณาในพระบรมราชานุโกษฐ ตั้งเหนือพระราชยานุมาศ แล้วพระราชวงศานุวงศอัครมหาเสนา เสนาบดีนาหมื่นสรรพมุขมนตรี แห่ไปตามหน้าพระลานเข้าในพระบรมราชวัง พระกรุณาทรงคอยรับในพระที่นั่งเทวาวินิจฉัย ตั้งไว้เหนือพระมหาบัญจาหอพระอัฐิ จะทำบุญต่อไปจนกว่าจะสร้างพระเจดีย์บนเขาพระราชทรัพย์ แล้วจะทำบุญบรรจุพระบรมอัฐิตามพระราชดำรัสสั่งและธรรมเนียมพระนคร
เวลา ๒๐ นาฬิกา คือ ๘ ล.ท. ฯ พระกรุณาทรงเปนประธานเลี้ยงโภชนาหารท่านเลอเรซิดัง สุเปริเยอร์ เดอลารีปุปลิคฝรั่งเศส ในพระที่นั่งบัญยงปราสาท ฯ
เวลา ๒๑ นาฬิกา ๓๐ นาที คือ ๙ ล.ท. ๓๐ นาที ฯ ต้อนรับอย่างสนุกสนาน มีการเต้นรำในพระที่นั่ง ฯ การทำบุญก็เสร็จลงเพียงเท่านี้ ฯ
-
๑. อ่านว่า บุบผาปีโด แปลว่า หอมตลบไปด้วยดอกไม้ ↩