บทที่ ๙ เจ็ดวันในสวรรค์ชั้นที่เจ็ด

ความราบรื่น ความสุขแห่งชีวิตอันเกิดแก่ข้าพเจ้าในระหว่างที่อยู่กับนายร้อยเอกและมิสซิสแอนดรูเป็นความราบรื่น ความสุขที่แปลก เป็นโชคที่ดีเกินฐานะของคนเช่นข้าพเจ้าจะได้รับ เป็นโชคที่ข้าพเจ้าไม่มีหน้าที่....ไม่มีสิทธิ์ที่จะฝันว่าจะมีขึ้นแก่ตน แต่ความจริงมีอยู่เด่นชัดแล้วว่าข้าพเจ้าได้เคยไปอยู่ที่ ‘กะท่อมนางพญา’ คือกะท่อมแห่งความบรมสุขในเมืองสวรรค์ อยู่ทั้งกายและใจ ทุกวันนี้แม้ว่ากายจะจากมาสักหลายพันโยชน์แล้วก็ดี ใจของข้าพเจ้ายังคงอยู่ที่นั่นเสมอ ไม่มีวันใดที่ข้าพเจ้าจะลืม ‘กะท่อมนางพญา’ เสียได้.

ความเงียบสงบแห่งเมืองเบ็กสฮิลล์ซึ่งแวดล้อมข้าพเจ้าอยู่โดยรอบตลอดเวลา หาใช่ความเงียบสงบที่จะนำมาซึ่งความหงอยเหงาหรือความทุกข์ ความเงียบสงบนี้เป็นโอกาสอันเดียวที่ได้อำนวยให้ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือต่างๆ ได้เรียนรู้ถึงความเป็นอยู่ของโลกในอดีตและปรัตยุบัน ข้าพเจ้าได้ชาลส์ดิกเกนส์ เซอร์ฟีลิปกิบส และนักประพันธ์ที่มีชื่ออื่นๆ เป็นเพื่อน มาพูดจากับข้าพเจ้าทุกวัน และมาให้ความสุขใจอย่างเหลือที่จะพรรณนาได้ถูก ทำให้ข้าพเจ้ารู้จักชีวิต และสงสารคนบางคนที่ข้าพเจ้าควรจะเกลียด ภายในวิเวกแห่งความสงบนี้ การที่ได้อ่านได้เรียนอยู่เสมอทำให้ข้าพเจ้าเกิดความคิดความฝันที่ดีเลิศ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดมีความทะเยอทะยานที่จะทำอะไรบางอย่างให้โลกเห็น ที่จะทำให้มนุษย์ที่อยู่ร่วมพิภพด้วยเป็นสุข ข้าพเจ้าฝันไป คิดไป ว่าชีวิตที่ดีของเราควรจะเป็นอย่างไร จะแต่งเรื่องชะนิดใดจึงจะเหมาะต้องด้วยความฝันนั้น ข้าพเจ้าครุ่นคิด......คิดถึงความดีงามต่างๆ ของโลกและจะพยายามเขียนลงเป็นลายลักษณ์อักษรชั่วกาลนาน แต่......ความคิดดีๆ เหล่านี้ยังคงเป็นอากาศธาตุ ไม่มีหัวเงื่อนหรือหลักรอยอะไร เปรียบประดุจวิหคซึ่งกำลังบินอยู่ในหมู่ไม้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะจับพฤกษากิ่งไหน ความลังเลใจเช่นนี้ยังคงเป็นอยู่เรื่อยๆ ......จนกะทั่งได้พบเลดีมอยราดันน์และมาเรียเกรย์.

เลดีมอยราดันน์ไม่ใช่แต่เป็นพลเมืองของประเทศอังกฤษหรือของประเทศใดโดยฉะเพาะ แต่เป็นพลเมืองของโลก ความคิดของเธอเป็นของโลก กะนั้นแล้วเธอยังรักประเทศอังกฤษอย่างเหลือที่จะพรรณนาได้ถูก เพราะเธอเป็นคนอังกฤษ เธอเตรียมพร้อมที่จะสละเลือดเนื้อเพื่อชาติได้ทุกเมื่อ ทั้งทราบดีว่ารัฐบาลอังกฤษและประเทศอังกฤษทำอะไรผิดๆ ถูกๆ มาแล้วร้อยแปด แต่เธอก็ยังคงรักความผิด ความถูกนั้น พร้อมด้วยกายวาจาและใจ เพราะเชื่อว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งโดยแท้จริงของประเทศและชาติอังกฤษ และความผิดความถูกนั้นก็เป็นของเธอด้วย.

ข้าพเจ้าเป็นคนไทย เกิดในเมืองไทยชาติไทยนิสสัยไทยทุกอย่าง และไม่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ใดๆ จะมาเปลี่ยนให้ข้าพเจ้าเป็นคนชาติอื่นไปได้ หน้าที่ของข้าพเจ้าซึ่งมีต่อเมืองไทยก็เช่นเดียวกับหน้าที่ของเลดีมอยราซึ่งมีต่อประเทศอังกฤษ น่าเสียดายที่ข้าพเจ้าไม้ได้มีโอกาสไปอยู่กับนายร้อยเอกและมิสซิสแอนดรู และรู้จักเลดีมอยราและมาเรียเกรย์เสียก่อนๆ ที่จะไปอยู่ที่บ้านสามเสนเป็นลูกคนหนึ่งของเจ้าคุณวิเศษศุภลักษณ์ หาไม่แล้วข้าพเจ้าคงจะรู้แน่ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ข้าพเจ้าคงจะสามารถทำให้ท่านบิดารักและกรุณาได้บ้างเป็นแท้ ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้ายังคงจะสามารถรักบิดามารดาเพื่อนฝูงวงศ์ญาติได้ดีกว่าเท่าที่เคยได้รักมาแล้ว น่าเสียดายนะท่าน.

ตามที่ข้อความอันหนึ่งกล่าวว่า ไปเมืองนอกเหมือนไปชุบตัว คงจะหมายความถึงเด็กไทยที่สบโอกาสได้ไปอยู่กับสมาคมฝรั่งที่ดีเท่านั้นกะมัง สำหรับเด็กไทยที่เมืองนอกก็เช่นเดียวกับเด็กไทยในเมืองไทย มีเคราะห์ดีและเคราะห์ร้าย บางคนไปเมืองนอกกลับมา เปลี่ยนนิสสัยจากธรรมดาเป็นดีขึ้นหรือเลวลง มีความคิดที่สุขุมเป็นประโยชน์และมีอัธยาศัยเป็นที่ต้องตาต้องใจมหาชน พวกนี้เมื่ออยู่เมืองนอกเคยได้รับโอกาสอันดีเลิศ ได้ไปอยู่กับตระกูลฝรั่งที่มีสภาพสูง หรือค่อนข้างสูง ได้รับการศึกษาในทางจรรยาและทางอาชีพอื่นๆ เป็นอันดี บางคนเมื่อก่อนไปเมืองนอกมีนิสสัยเป็นเจ๊กชั่ว ถ่มเศลษม์ไม่ว่าที่ไหน สบถสาบาลพูดจาหยาบคายไม่หยุดหย่อน พอกลับจากนอกก็มีนิสสัยเช่นเดียวกัน ไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย เป็นภัยแก่ความสงบสุขของประเทศ เป็นภัยของเราโดยทั่วกัน ทั้งนี้ก็เพราะที่เมืองนอกไม่ได้พบของดี หรือพบ แต่คนดีเขาช่วยไว้ไม่ไหวเลยตัดหางปล่อยวัดให้เป็นไปตามเพลง ครั้งไรที่ข้าพเจ้าไปในโรงเจ๊กเต้นรำหรือที่อื่นที่คนไทยชอบไป มักจะพบเด็กพวกนี้ปะปนอยู่กับพวกนักเต้นรำ นักดื่มด้วยเสมอ เสียงลั่นไปหมด เมามายหยำเปไม่เว้นวัน พูดจาหยาบคาย ปราศจากความกะดากอายในสิ่งต่างๆ ทั้งนี้ข้าพเจ้าเชื่อว่าคงจะไม่ใช่ความผิดของเด็กไทยเคราะห์ร้ายพวกนั้นฝ่ายเดียวกะมัง ต้องเป็นความผิดของผู้ที่จัดส่งเขามาด้วย เพราะไม่ได้เลือกสรรเสียก่อน สักแต่ว่าตนมีเงินมีอำนาจก็ส่งๆ มาเท่านั้น หาได้นึกถึงนิสสัยใจคอของเด็กไม่ ลืมนึกไปว่าเด็กเหล่านั้นอาจจะนำผลร้ายให้ประเทศสยามได้เพียงไร สำหรับเด็กที่เลวทรามจนเหลือแก้ เราควรจะแก้กันเสียในเมืองเราดีกว่า ถ้าหมดปัญญาก็ส่งมันเข้าคุกเสียบ้างเป็นไร เราไม่ควรจะปล่อยไปให้ฝรั่งเขาแก้ จะเป็นการลำบากและขายหน้าเด็ก ขายหน้าผู้ส่งและขายหน้าชาติไทย.

นี่แหละท่าน ขอจงพึงเข้าใจว่าเมืองนอกจะเป็นเมืองสวรรค์ก็แต่เพียงสำหรับเด็กไทยที่เคยไปมาแล้วบางคนเท่านั้น!

สำหรับข้าพเจ้าต้องนับว่าเป็นคนเคราะห์ดีที่สุดคนหนึ่ง หากจะได้เคยไปเมืองนอกแต่เพียงหกปีเศษก็ยังได้เคยได้เห็นและอยู่ในสิ่งที่ดีงามมามาก เคยพบสิ่งที่เป็นเนื้อแห่งความเจริญของประเทศจริงๆ ข้าพเจ้าได้ไปเห็นบ่อเงินบ่อทองสระอโนดาตมาแล้ว หากจะตายลงวันใดก็คงตายได้เป็นสุข ในระหว่างที่ท่านอ่านเรื่องนี้ไป ถ้าสามารถจะหาอะไรที่ดีงามได้บ้างแม้แต่น้อย นายร้อยเอกและมิสซิสแอนดรูและหนูสเตเฟนี เลดีมอยราดันน์และมาเรียเกรย์เป็นผู้มีส่วนอยู่ด้วยในความดีงามนั้นเป็นอันมาก ถ้าไม่ได้มีโอกาสอยู่ร่วมกับผู้มีคุณทั้งห้านี้แล้ว จะไม่มีวันใดที่ข้าพเจ้าจะสามารถเขียนเรื่องนี้ได้เป็นอันขาด.

ตระกูลแอนดรูช่วยให้ข้าพเจ้ารู้จักความดีความงามแห่งอุปนิสสัยของชีวิตชาวอังกฤษ สอนให้รู้จักหน้าที่ของเด็กที่ดีจะต้องมีต่อบิดามารดาและพี่น้อง และในระหว่างที่กำลังเล่าเรียนอยู่ข้าพเจ้าจะหาความสุขอะไรอื่นมาทัดเทียมไม่ได้เลย เลดีมอยราดันน์เป็นมัคคุเทศก์ชี้ทางให้ไปสู่ความดีงามบางอย่าง เป็นผู้ชี้ทางให้ความคิดของข้าพเจ้าดำเนิรไปในทางที่ชอบ ชี้กิ่งพฤกษาให้วิหคแห่งความคิดของข้าพเจ้าเกาะและทำรัง มาเรียเกรย์เป็นอำนาจอันวิเศษที่ช่วยบังคับให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้จนสำเร็จ เขียนเพื่อหล่อน!

พูดถึงมาเรียเกรย์ แม้ข้าพเจ้าจะจากหล่อนมาเป็นเวลาปีเศษแล้วก็จริง ชื่อของหล่อน น้ำใจของหล่อน ยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้ามิรู้หาย เป็นความจำที่ให้ความสุข ให้มีใจคิดไปได้ว่าแม้ชีวิตจะเป็นอย่างไรในภายหน้าก็คงยังเป็นของน่าอยู่ เพราะข้าพเจ้าได้พบผู้หญิงเช่นมาเรียเกรย์ นอกจากที่ได้เป็นเพื่อนและเป็นคู่รัก หล่อนยังเป็นมัคคุทเทศก์ที่ได้นำข้าพเจ้ามาแล้วและจะนำต่อไปให้เดิรตามดิถีแห่งความดีงามทั้งหลาย มาเรียเกรย์!

รุ่งขึ้นจากวันที่เลดีมอยราและมาเรียไปถึง ‘กะท่อมนางพญา’ ข้าพเจ้ารีบแต่งตัวเสร็จแต่เช้า ตั้งใจว่าถ้าโชคดีคงจะได้พบใครข้างล่างบ้าง พอเข้าไปในห้องนั่งเล่นก็พบมาเรียยืนอยู่ข้างหน้าต่าง หล่อนสวมกะโปรงสีน้ำตาลแก่ สวมเสื้อ ‘ยำเปอร์’ ลายดำ เครื่องแบบนักกีฬาสตรีซึ่งกำลังนิยมกันอยู่.

“กู๊ดมอร์นิง บอบบี้” หล่อนปราศรัยด้วยสำเนียงอันเป็นเพื่อนสนิท “แหมเธอตื่นแต่เช้า”

“กู๊ดมอร์นิง มิสเกรย์” ข้าพเจ้าตอบรับอย่างสุภาพ “เธอก็ตื่นเช้าเหลือเกินเหมือนกัน”

“คนทำงานอย่างฉันเคยอยู่แต่ในกรุงเท่านั้น” หล่อนกล่าวอย่างยิ้มละไม “นานๆ จะได้มาฮอลลีเดย์อย่างนี้สักครั้งหนึ่ง ฉันต้องหาโอกาสตื่นเช้าออกมารับอากาศชายทะเลที่บริสุทธิ์ให้มาก เดิรไปเที่ยวกับฉันไหมเล่า บอบบี้? ไม่ค่อยหนาวอะไรดอกวันนี้ เธอขึ้นไปเอาเสื้อคลุมชั้นนอกของเธอมาซี”

สำเนียงของหล่อนแม้จะเป็นเชิงบังคับอยู่กลายๆ ก็ยังเป็นที่ไพเราะต้องกับความประสงค์ของข้าพเจ้าที่สุด ไปเดิรเที่ยวกับเด็กหญิงที่น่ารักเช่นมาเรีย และจะเป็นโอกาสแรกในชีวิต ! ใครเลยจะปฏิเสธได้.

“ไปซี มิสเกรย์ รอประเดี๋ยว” ข้าพเจ้าตอบ “ฉันจะไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ห้านาฑีเท่านั้น”

“ได้ซี ไปเร็วๆ นะ”

ในเรื่องการแต่งตัวให้ถูกต้องตามเวลาแห่งสมัยนิยมของชาวอังกฤษแล้ว ตระกูลแอนดรูได้สอนข้าพเจ้าไว้เสียจนชำนาญ สักครู่ข้าพเจ้าก็สวมเครื่อง ‘ปล๊าสฟอร์’ และเสื้อ ‘ยำเปอร์’ ลงมาหามาเรีย.

“โอ บอบบี้” หล่อนกล่าวโดยความแปลกใจที่เห็นข้าพเจ้าแต่งตัวอย่างที่หล่อนไม่ได้นึกว่าจะเป็นไปได้ “เธอแต่งตัวสวยจัง แต่เสื้อ ‘ยำเปอร์’ บางไป เธอไม่กลัวหนาวหรือ?”

“ถ้าหนาวเดิรเสียประเดี๋ยวก็คงหาย” ข้าพเจ้าตอบพลางชี้ให้หล่อนดูดวงทินกรซึ่งกำลังปรากฏอยู่เหนือซุ้มไม้ข้างบ้าน “ดูซี แดดขึ้นนิดหน่อยแล้วประเดี๋ยวก็คงจะอุ่นสบายดี ที่นี่เราไม่ได้เห็นแสงแดดมาตั้งอาทิตย์ แต่วันนี้มีแดดเป็นพิเศษสำหรับต้อนรับเธอ มิสเกรย์”

“แหม นี่นักประพันธ์เมืองไทยเขาคงจะพูดกันอย่างนี้กะมัง” หล่อนถาม “เมืองไทยเห็นจะเป็นเมืองสวรรค์ทีเดียว” หยุดสักครู่หล่อนกล่าวต่อไป “แต่นี้ เธออย่าเรียกฉันว่า ‘มิสเกรย์’ ซี ดูเขินจัง ฉันเรียกเธอว่า ‘บอบบี้’ ฉันชื่อ ‘มาเรีย’ สำหรับเธอ”

“ดีแล้ว ฉันจะเรียกเธอว่า ‘มาเรีย’ ต่อไปนะ?”

ครั้นแล้วเราก็ตั้งต้นออกเดิรกัน เดิรบ้างวิ่งบ้างเพื่อเป็นการออกกำลังไปตามถนนมิดเดิลเสกส์จนถึงชายทะเลจึงได้เดิรช้าๆ คุยถึงเรื่องต่างๆ.

เบ็กสฮิลล์ยังคงเงียบสงัดอยู่ตามเคย นอกจากเสียงคลื่นที่ซัดมาโดนฝั่งอยู่เป็นระยะๆ ก็ไม่มีเสียงอื่นอีก เราเดิรผ่านตึกใหญ่น้อยซึ่งเป็นภัตตาคาร, เป็นสโมสร วัด และบ้านเช่า ในตอนหน้าซึ่งเราจะเดิรไปถึงก็มี เซนต์ลิโอนาร์ดและเมืองเฮสติงก์ส์ สถานที่อันใหญ่โตเหล่านี้ดูช่างเงียบสงัดเสียนี่กะไร คล้ายกับจะเป็นบ้านร้างทุกแห่งไปฉะนั้น.

“บอบบี้” มาเรียถาม “เธอเป็นคนจนจริงๆ หรือ?”

“เธอคิดว่าอย่างไร?”

“มอยรากับฉันพูดกันเมื่อคืนนี้ว่า เธอพูดไม่จริง เธออาจเป็นเจ้าชายในเมืองไทย มีเงิน มีวังใหญ่โตมโหฬารอยู่ก็ได้”

“เปล่ามาเรีย” ข้าพเจ้าตอบแล้วยิ้ม “ตามที่ฉันบอกเธอที่โต๊ะกินเข้าเมื่อคืนนี้เป็นความจริงทั้งสิ้น ฉันเป็นคนจน ถ้าฉันไม่ได้พบและมาอยู่ที่นี่กับนายร้อยเอกแอนดรูและมิสซิสแอนดรูแล้ว ฉันน่าจะไม่รู้ว่าชีวิตเป็นของลำบากเพียงไร ฉันอาจตายเสียนานแล้วก็ได้”

“ฉันชอบคนจนแต่มีการศึกษาดี” หล่อนตอบแล้วชำเลืองดูข้าพเจ้าด้วยแววเนตรอันงาม “คนพวกนี้มักจะทำให้ฉันเป็นสุขเสมอ ฉันได้เคยเห็นความจนมามาก บอบบี้ ฉันเคยเห็นเคยอยู่อิสต์เอ็นด์ของลอนดอน และมองมาร์ตของเมืองปารีส”

“และเธอเคยเห็นเคยอยู่ในความมั่งคั่งสมบูรณ์ของเมยแฟร์และรูเดอลาเปส์” ข้าพเจ้าเสริม.

“ฉันรู้สึกชอบเธอตั้งแต่นาฑีแรกที่ฉันเห็นเธอที่สถานีรถไฟ บอบบี้” มาเรียกล่าวเป็นเชิงเปลี่ยนเรื่อง “ฉันเห็นคิ้วของเธอช่างเหมือนคิ้ว ‘บุดดา’ (พุทธ) เสียเหลือเกิน ตาเธอดำโตเต็มไปด้วยนิสสัยอันดีและสุจริต ฉันรู้สึกตั้งแต่ต้นว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้เป็นแท้”

ข้าพเจ้าจ้องดูมาเรียแม่เพื่อนรักด้วยความปลาบปลื้ม หล่อนสอดแขนเข้ากับข้าพเจ้าและเราก็พากันเดิรต่อไปอีก จนถึงก้อนหินใหญ่น้อยซึ่งงอกอยู่ตามฝั่งทะเลหมู่หนึ่ง มาเรียชวนให้ข้าพเจ้านั่งคุยกับหล่อนที่ก้อนหินหมู่นั้น “แหมสบายจริงนะ บอบบี้” มาเรียกล่าว.

“บอบบี้ บอกฉันตามจริง” แม่เพื่อนรักของข้าพเจ้าถาม “เธอมีความทะเยอทะยานอะไรบ้างไหม? ความทะเยอทะยานที่จะทำอะไรใหญ่โตให้โลกเห็น ความทะเยอทะยานที่จะทำตนให้เป็นคนมีชื่อเสียง?”

“มี มาเรีย” ข้าพเจ้าตอบ จับมือหล่อนมากำไว้ “ฉันมีความทะเยอทะยานมาก ฉันต้องการเป็นนักประพันธ์ที่ดีสำหรับเมืองไทย เมืองของฉัน ฉันจน ต้องการจะหาทรัพย์มาเลี้ยงชีวิตให้พอตามฐานะโดยทางเขียนหนังสือ แต่สำหรับเมืองไทยลำบาก ไม่มีใครชอบอ่านหนังสือ เขียนแล้วโดยมากมักจะขาดทุน เพราะขาดผู้ซื้อ”

“ทำไมไม่เป็นนักประพันธ์ในยุโรปหรืออเมริกาเล่า?”

“ที่นี่มีการแข่งขันในเรื่องเขียนหนังสือกันมาก” ข้าพเจ้าตอบ “และฉันไม่เชื่อว่าจะรู้ภาษาดีพอที่จะเขียนได้อย่างนักประพันธ์ชาวอังกฤษหรืออเมริกันที่เขียนกันมาแล้ว ฉันมีความทะเยอทะยานที่จะเขียนอะไรให้ดีอย่างไม่มีใครเคยทำมาก่อน และจะเป็นคนแรกที่จะเขียนเรื่องชะนิดนั้น เมืองไทยเป็นเมืองที่มีโอกาสดีที่สุด- แต่ -- ก่อนจะทำให้สำเร็จได้ ก็ต้องปลูกความนิยมเสียก่อน”

“จริง บอบบี้ ฉันเห็นด้วย” มาเรียตอบ “ปลูกความนิยม- advertise­- เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการกระทำที่สำเร็จทั้งหลายแหล่ และบางทีที่เมืองไทยอาจมีใครเขียนเรื่องอ่านเล่น-novel­-ชะนิดที่เป็นแก่นสารอยู่เพียงสองสามเล่มเท่านั้นก็ได้”

“มาเรีย” ข้าพเจ้ากล่าวชมเชย “เธอยังเด็กอยู่มาก แต่เธอรู้เรื่องเมืองไทยดีพอใช้ ฉันแปลกใจเหลือเกิน ตามที่เธอบอกว่าเมืองไทยมีเรื่องอ่านเล่นชะนิดที่เป็นแก่นสารอยู่เพียงสองสามเล่มนั้นใกล้ความจริงมาก”

“ฉันทายเอาต่างหาก” หล่อนตอบ “แต่ถ้าอย่างนั้น เมืองไทยดีที่สุดที่จะทำกิจการใหญ่โตอย่างที่เธอคิด บอบบี้ ข้อสำคัญเธอต้องปลูกความนิยม ฉันเชื่อว่าเธอคงจะทำได้สำเร็จเป็นอันดี ฉันอาจพยากรณ์ได้ถึงเพียงนี้เธอรู้ไหมว่าเพราะอะไร?”

“ฉันไม่รู้ มาเรีย”

“เมื่อคืนนี้ก่อนนอน มิสซิสแอนดรูเอาเรื่องแต่งสั้นๆ ของเธอสองสามเรื่องมาให้เราอ่านในห้อง มีบางอันที่ดีเป็นเนื้อและกินใจมาก แสดงให้เห็นว่าเธอมีความคิดที่สูงและนิสสัยดีประกอบด้วยเมตตาจิตต์ มอยราจะขอให้เธอมอบเรื่องเหล่านั้นให้เขาเอาไปให้เอดิเตอร์หนังสือรายเดือนที่เรารู้จักเพื่อตรวจดู บางทีอาจดีสำหรับจะพิมพ์ก็ได้”

“อะไร? ฉันทำได้ดีถึงเพียงนั้นเจียวหรือ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความแปลกใจ.

“เธอทำได้ดีพอใช้ แต่ฉันไม่ต้องการให้เธอทะนงใจ” หล่อนตอบ “เธอต้องพยายามทำให้ดีขึ้นกว่านั้นหลายเท่า แต่นี่ เธอบอกว่าเธอมีความทะเยอทะยานที่จะเป็นนักประพันธ์เขียนเรื่องอ่านเล่นชะนิดใหม่ที่ดีที่สุดในประเทศสยาม ทำไมเธอไม่เข้าพวกหนังสือพิมพ์เสียเล่า?”

“ทำไม?”

“การที่จะเขียนเรื่องอ่านเล่นที่ดีเป็นประโยชน์ เราจะต้องได้รู้ได้เห็นชีวิตมามากเสียก่อน และผู้ส่งข่าวหรือผู้แทนหนังสือพิมพ์ต้องเป็นผู้ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ และเห็นชีวิตมากกว่าคนที่มีอาชีพอย่างอื่นเป็นแน่ เมื่อเธอไม่มีใจที่จะเป็นทนายความหรือผู้พิพากษา เธอจะเรียนกฎหมายไปทำไม?”

“แต่ชีวิตของนักเรียนเรื่องอ่านเล่นในเมืองไทยอันตรายมากเหลือเกิน มาเรีย ถ้าจะเขียนเรื่องอ่านเล่นกันจริงๆ แล้วก็น่ากลัวจะต้องอดอยากมากกว่าอื่น”

“บอบบี้ เธอไม่รู้สึกหรือว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรให้เป็นผลสำเร็จก็ย่อมมีอุปสรรคและอันตรายมากีดทางอยู่ร้อยแปด เพื่อความสงบสุขของประเทศเราต้องปราบโจรผู้ร้าย และการปราบโจรผู้ร้ายเป็นอันตรายแก่พวกนักสืบ ตำรวจและเราเองเพียงไร ไม่ว่าจะทำอะไรทั้งหมดเราต้องฝ่าอันตราย ฉันต้องการให้เธอเป็นใหญ่เป็นโตในทางที่เธอต้องการจะเป็น บอบบี้ ฉันชอบเธอมาก เพราะฉันเชื่อแน่ว่าเธอเป็นคนดี--ดีสำหรับฉันและดีสำหรับโลก”

“แล้วเธอจะให้ฉันเขียนเรื่องอะไร มาเรีย?”

“เธอต้องเป็นพวกหนังสือพิมพ์ เที่ยวไปเห็นที่ต่างๆ ในโลกเสียก่อน” หล่อนตอบแล้วกะเถิบมาจนติดข้าพเจ้า “แล้วเขียนเล่าถึงชีวิตทุกชะนิดที่เธอได้เคยเห็นมาแล้ว และเรียกเรื่องนั้นว่า ‘ละครแห่งชีวิต’”

ข้าพเจ้าไม่ตอบประการใด เราต่างเงียบกันอยู่สักครู่ ชมกระแสคลื่นน้อยๆ ที่ซัดอยู่ตามใต้ก้อนหินซึ่งเรานั่งคลอเคลียอยู่ด้วยกัน.

วันและเวลาแห่งความบรมสุขของข้าพเจ้าที่ได้ร่วมสมาคมกับมาเรียเกรย์คงล่วงไป -- ผ่านไปเรื่อยๆ เข็มแห่งความรู้สึกที่ว่าในไม่ช้าแม่เพื่อนที่ข้าพเจ้ารักยิ่งจะต้องจากไปอย่างคาดไม่ถูกว่าเราจะพบกันได้อีกเมื่อไร-และพบกันได้หรือไม่ ยังทิ่มแทงดวงหทัยข้าพเจ้าอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าเราพึ่งได้รู้จักกันมาเพียงสามสี่วันก็จริง มาเรียยังได้แสดงให้ข้าพเจ้าเห็นโดยชัดเจนแล้วว่าหล่อนมีความรู้สึกสำหรับข้าพเจ้าเพียงใด หล่อนเชื่อในความสามารถของข้าพเจ้า เชื่อว่าความทะเยอทะยานของข้าพเจ้าจะถึงซึ่งความสำเร็จวันหนึ่งในเร็วๆ นี้ ข้าพเจ้าก็คือบอบบี้ของหล่อนคนเดียว แม้ว่าเราจะยังไม่ได้เคยพูดกันเลยว่ารักกัน ท่านเอ๋ย แต่เราก็รู้ใจกันพออยู่แล้ว ข้าพเจ้าพยายามจะระงับความฟุ้งซ่านแห่งความรักของข้าพเจ้าไว้ เพราะรู้สึกว่าตนไม่มีสิทธิ์ ส่วนมาเรียก็พยายามจะแสดงให้โลกทราบว่าเรารักกัน เพราะหล่อนเห็นว่าความรักอันบริสุทธิ์ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ควรอาย.

“มาเรีย” ข้าพเจ้ากล่าวเป็นเชิงวิงวอน “ถ้าเธอดีต่อฉันเช่นนี้เสมอไป ฉันเห็นจะต้องรักเธอ --- รักยิ่งกว่าชีวิตเป็นแน่ ฉันรู้ว่าฉันไม่ควร เพราะ---เพราะเราไม่มีสิทธิ์”

ทันใดนั้นมาเรียก็จ้องดูข้าพเจ้าด้วยแววเนตรอันเศร้า แล้วก็ยิ้มน้อยๆ.

“บอบบี้จ๋า ทำไมเราถึงจะไม่มีสิทธิ์?”

หล่อนถามพลางเอาแขนสวมกอดข้าพเจ้าไว้ “ทำไมเราถึงจะรักกันไม่ได้?”

“มีเหตุผลร้อยแปด มาเรีย” ข้าพเจ้าตอบ พลางเอาแขนกอดหล่อนไว้ในทำนองเดียวกัน “ข้อสำคัญ เธอเป็นชาวยุโรป อยู่ในที่ๆ มีอากาศเย็น มีขนบธรรมเนียมอย่างหนึ่ง ฉันเป็นคนไทย อยู่ในที่ๆ มีอากาศร้อนจัด มีขนบธรรมเนียมคนละอย่าง -- ผิดกันไกลกับที่นี่ เธอเข้ากับพี่น้องเพื่อนฝูงฉันที่เมืองไทยไม่ได้ และ---ฉันเป็นคนจน มาเรีย เธอจะเอาความสุขที่ไหนมา”

“บอบบี้” หล่อนถาม “เธอไม่เคยนึกบ้างหรือว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างสิ่งต่างๆ ไว้ในโลกเป็นคู่ ทรงสร้างของสิ่งหนึ่งเพื่อของอีกสิ่งหนึ่ง และเราไม่รู้ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างไว้ให้เรานั้นอยู่ที่ไหนจนกว่าเราจะได้พบ ทำไมเราถึงจะรักกันไม่ได้?” หล่อนย้ำ “พวกกุลี พวกขอทานมันยังแต่งงานกันได้ และเราต้องดีกว่าพวกกุลี พวกขอทานเป็นแน่ เพราะเราได้รับการศึกษา จะคิดอะไรก็คิดได้ โอ บอบบี้---พ่อยอดรัก ฉันรักเธอ -- ฉันรักเธอ เธอต้องพยายามเข้าใจนะจ๊ะ?”

ครั้นแล้วเราก็โผเข้าจุมพิตกันด้วยความรักอันสูงสุด.

“ฉันพึ่งรู้จักเธอได้เพียงสี่วัน บอบบี้” หล่อนกล่าวช้าๆ “แต่ฉันรู้สึกเหมือนเรารู้จักกันมาตั้งแต่เราเกิด”

“มาเรีย ตั้งแต่นาฑีแรกที่ฉันเห็นเธอที่สถานี” ข้าพเจ้าพูด ยังคงประคองหล่อนไว้ในวงแขน “ฉันรู้สึกว่าฉันจะอยู่ในสวรรค์ชั้นที่เจ็ดไปเจ็ดวัน แต่พอเจ็ดวันนั้นผ่านไปแล้ว----เธอก็จะไป มาเรีย”

“บอบบี้” หล่อนกล่าวด้วยสำเนียงไพเราะ “เวลาและหน้าที่อาจพรากเราให้ไกลกันได้ แต่ความรักจะตรึงตราหัวใจเราให้อยู่ด้วยกันเสมอ เราจะพบกันอีก บอบบี้ ฉันรู้ว่าโลกนี้เป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความกรุณาสำหรับเราทั้งสอง พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงทำให้เราช้ำใจเป็นอันขาด”

“เลดีมอยราได้เล่าถึงเรื่องชีวิตของพวกส่งข่าวและผู้แทนหนังสือพิมพ์ให้ฉันฟังเมื่อวานนี้” ข้าพเจ้าพูดอย่างเศร้า “ฉันรู้ว่าเธออยู่กันอย่างไร เธอมีหน้าที่ ๆ จะต้องเที่ยวไปทุกหนทุกแห่ง ยากที่จะหาตัวเธอให้พบ ฉันกลัวว่าเธอไปแล้วเราจะต้องจากกันจนตาย มาเรีย”

“จะจากกันจนตาย!” หล่อนเปล่งเสียงด้วยความตกใจ “ไม่จริง บอบบี้ เป็นไปไม่ได้ เราจะพบกันอีก เธอจะไปอยู่ลอนดอนไม่ใช่หรือ? ฉันอยู่ที่ลอนดอนเสมอเหมือนกัน เราจะพบกันที่นั่น พบกันทุกวันถ้าเธอต้องการ”

“เธอเชื่อใจแน่หรือ มาเรีย ว่าเราจะพบกันที่ลอนดอนได้?” ข้าพเจ้าถาม.

“ฉันรักเธอเสียเหลือเกิน บอบบี้” หล่อนวิงวอน “รักเสียอย่างเหลือที่จะมีแก่ใจชวนเธอให้เปลี่ยนดิถีแห่งชีวิตไปในทางที่เธอไม่สมัคร”

“มาเรีย” ข้าพเจ้ากล่าว จ้องดูหล่อนอย่างจริงจัง “เธอต้องการให้ฉันทำอะไร?”

“ที่เมืองไทย เขาก็ไม่เคยให้อะไรเธอที่เป็นแก่นสาร” หล่อนพูดพลางก็โน้มศีรษะเข้ามาคลึงเคล้าอยู่กับข้าพเจ้า “ไม่มีใครเขาต้องการจะช่วยเธอ เธอไม่มีตำแหน่งหรืออะไรที่จะต้องรักษาอย่างนั้นแล้วเธอยังไม่ฟรีอีกหรือ”

“ฟรี -- มาเรีย ฉันเป็นคนฟรี”

“งั้นเธอจะต้องเรียนกฎหมายกลับเมืองไทยทำไมเล่า” หล่อนถาม “ใครเขาจะต้องการเธอ เธอจะไปทำอะไรได้ที่นั่น ทำไมเธอไม่สมัครเข้าเป็นพวกหนังสือพิมพ์กับเรา อยู่กับเรา อยู่กับฉัน บอบบี้ ฉันต้องการเธอ--ต้องการเธอมากกว่าอะไรทั้งหมดในโลก อยู่ที่นี่ใครๆ ก็จะต้องการเธอทั้งนั้น เธอจะมีพ่อแม่-นายร้อยเอกแอนดรูและมิสซิสแอนดรู เธอจะมีเพื่อน เธอจะมีผู้หญิงรักและจะรักเธอไปเสมอยิ่งชีวิต เธอต้องเป็นพวกหนังสือพิมพ์ บอบบี้ ยอดรัก เป็นเพื่อฉัน เป็นเพื่อชีวิตและความสุขของเราทั้งสอง”

จริง ที่เขาว่าน้ำตาคือความสุขและความสุขคือความทุกข์ เวลานี้ข้าพเจ้าเป็นสุขอย่างไม่มีใครเทียม เป็นสุขเพราะรักมาเรีย เป็นสุขเพราะมั่นใจว่าแม้จะเป็นคนอย่างไรมาแล้วก็ตามอย่างน้อยก็ยังมีสตรีคนหนึ่งในโลกซึ่งรักข้าพเจ้าพร้อมด้วยกาย วาจา และใจ และหญิงคนนั้นเป็นคนต่างชาติ ต่างภาษาและต่างผิว ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เพราะสตรีที่ข้าพเจ้าอุททิศชีวิตเพื่อความรักให้ได้แล้วจะต้องจากไป ในระหว่างที่หล่อนพร่ำวิงวอนและคลุกคลีอยู่กับข้าพเจ้าด้วยความรักอันสูงสุด ข้าพเจ้ามิรู้ที่จะตอบประการใด น้ำตาก็คงไหลอยู่ไม่ขาดสาย.

“เธอลืมเสียแล้วหรือ มาเรีย” ข้าพเจ้าถามหล่อนในที่สุด “ที่เธอบอกไว้เมื่อวันก่อน ว่าเธอต้องการจะให้ฉันกลับไปเป็นคนใหญ่คนโตในเมืองไทย ต้องการให้ฉันเขียนเรื่อง ‘ละครแห่งชีวิต’ ให้คนไทยอ่าน?”

“ฉันพูดอย่างนั้นเมื่อวันก่อนก็เพราะฉันยังไม่รู้จักเธอดีพอ” หล่อนถาม “เดี๋ยวนี้ฉันได้เรียนรู้ถึงนิสสัยและน้ำใจของเธอแล้ว ฉันจะปล่อยให้เธอกลับไปเมืองไทยไม่ไหว รู้สึกเหมือนว่าเธอจะกลับไปเสียเวลาที่เมืองไทยเปล่าๆ” หยุดสักครู่หล่อนกล่าวต่อไป แต่ด้วยน้ำเสียงอันหมดหวัง “แต่ก็นั่นแหละ บอบบี้ เมื่อเธอต้องการจะกลับเมืองไทยไปเมืองของเธอ พวกเธอ บ้านเธอแล้ว เธอก็ควร ไม่มีใครจะขัดได้”

“เปล่า มาเรีย ฉันไม่ได้คิดเช่นนั้น” ข้าพเจ้าตอบ “ฉันรักเธอเกินกว่าที่จะคิดทิ้งเธอเสียอย่างไม่ต้องการพบหน้าพบตาเธออีก แต่เรื่องที่เธอจะให้ฉันเป็นพวกหนังสือพิมพ์นั้นฉันกลัว -- กลัวว่าฉันจะรู้ภาษาอังกฤษไม่ดีพอ”

“อังกฤษเป็นภาษาที่เรียนได้ง่าย และเธอรู้ภาษาพออยู่แล้ว ไม่เห็นจะน่าทุกข์อะไร” หล่อนพูด.

“นี่ก็เย็นมากแล้วมาเรีย เราเห็นจะต้องกลับบ้านกันเสียที เดี๋ยวแม่จะเป็นห่วง” ข้าพเจ้าชวน.

“ไปซี บอบบี้”

เราสอดแขนกันเดิรเรื่อยๆ ไปตามชายทะเล เลี้ยวเข้าถนนมิดเดิลเสกส์จนถึง ‘กะท่อมนางพญา’ ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามาเรียจะโกรธข้าพเจ้า--กลัวไปเช่นนั้น แต่ก็ไม่ทราบว่าเพราะอะไร.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ