บทที่ ๑๖ ไปมอนตีคาร์โล

ข้าพเจ้านำนามบัตรไปปรึกษากับอาร์โนลด์อยู่สักครู่ก็ตกลงว่าจะต้องบอกอีว็อนและโอเด็ตต์ให้ทราบความจริงเรื่องมาเรียเกรย์ ข้าพเจ้าไปอธิบายอยู่สักครู่สตรีทั้งสองก็เข้าใจโดยตลอด.

“เธอไปคุยกับเขาที่ห้องข้างนอกซี บอบบี้” อีว็อนเอ่ย “เราสองคนจะรออยู่ในห้องนี้”

ข้าพเจ้าปล่อยอาร์โนลด์ให้จัดห้องนั่งเล่นให้เรียบร้อย ส่วนตนเองวิ่งลงไปรับมาเรียข้างล่าง พอเห็นข้าพเจ้าหล่อนก็โผเข้ากอดอย่างที่เคยกระทำมาแล้ว มาเรียยังคงรักข้าพเจ้า ไม่มีอะไรในโลกที่จะทำให้หล่อนเป็นอย่างอื่นไปได้.

“บอบบี้ ฉันคิดถึงเธอเสมอและคิดถึงมาก” หล่อนพูดขณะที่ยังอยู่ในวงแขนข้าพเจ้า “เธออยู่ที่ปารีสสบายดีหรือจ๊ะ? ยังเป็นเด็กดีอยู่หรือ?”

พอเราผละออกจากกัน ข้าพเจ้าก็ตกตะลึงเพราะนอกจากมาเรียแล้วยังมีเลดีมอยราดันน์ยืนอยู่ตรงหน้าคอยที่จะได้รับการต้อนรับจากข้าพเจ้าผู้เป็นเจ้าของบ้าน เราสั่นมือกันอย่างชื่นชม ข้าพเจ้าไม่ได้พบเลดีมอยรานานแล้ว สองปีเศษได้กะมัง แต่หล่อนยังคงเหมือนเดิม ในชั่วเวลาครู่เดียวนั้น ข้าพเจ้านึกไปถึงที่เต้นรำที่เฮสติงส์ในเมืองอังกฤษ นึกถึงที่หล่อนพูดไว้ว่าหล่อนไม่ต้องการให้ข้าพเจ้าพบหล่อนและมาเรียที่ลอนดอนหรือที่ไหน เพื่อความสุขของมาเรีย หล่อนเคยมีเพื่อนผู้หญิงซึ่งได้แต่งงานกับเจ้าชายแขกคนหนึ่งที่อินเดียและต้องฆ่าตัวตายเสียเมื่อหกเดือนมานี่เอง---ข้าพเจ้ายังคงยืนตะลึงอยู่เป็นครู่ จ้องดูสตรีผู้นี้ด้วยความพิศวงและลังเลใจ หวนนึกกลัวไปว่าถ้าหญิงทั้งสองนี้รู้ว่ามีหญิงปารีเซียนอยู่กับเราในบ้าน เรื่องจะไปแค่ไหนกันหนอ.

“เธอยังเป็นคนดีอยู่หรือ?” เป็นถ้อยคำของมาเรียที่ข้าพเจ้ายังคงได้ยินแว่วอยู่.

“อะไร บอบบี้” เลดีมอยรากล่าวขึ้น “ฉันทำให้เธอตกใจถึงเพียงนั้นเจียวหรือ? ดูเธองงจังเมื่อไรจะพาเราขึ้นไปบนบ้านเล่า?”

“เปล่า เลดีมอยรา” ข้าพเจ้าตอบอย่างเสียงสั่น “ฉันไม่ได้ตกใจอะไรดอก แต่ไม่เคยนึกว่าจะได้พบเธออีกเท่านั้น การที่ได้พบเธอที่นี่เป็นสิ่งที่ไม่ได้นึกได้ฝัน ขึ้นมาบนบ้านซี อาร์โนลด์ก็อยู่ข้างบน”

ข้าพเจ้าพาสตรีทั้งสองขึ้นบันได พอเปิดประตูบ้านก็เห็นหมวกกำมะหยี่ผู้หญิงแขวนอยู่บนกำแพงสองใบ ข้าพเจ้าสะดุ้งเหลือบดูเลดีมอยรา หล่อนยิ้มน้อยๆ ไม่แสดงว่าแปลกใจเสียเลย เหลือบดูมาเรีย ดวงพักตรของหล่อนขาวเผือดลงทันที ดวงเนตรมีแววแห่งความเศร้า อาร์โนลด์เดิรออกมารับจับมือกับแขกทั้งสองของเรา ช่วยให้หล่อนเปลื้องเสื้อคลุมใหญ่ออกแขวนไว้ แล้วเราก็พาเข้าไปในห้องนั่งเล่น เรานั่งบนเก้าอี้นวมยาวตัวเดียวกันหมดทั้งสี่คน.

“ฉันได้กลิ่นอะไรอย่างหนึ่ง” เลดีมอยราเอ่ยขึ้น “กลิ่นน้ำอบ ‘เฟลอย์เดอลาวิฟร์’ (ดอกไม้แห่งชีวิต) ใช่ไหมอาร์โนลด์?”

อาร์โนลด์กุกกักอยู่สักครู่จึงตอบว่า “ใช่ มอยรา”

“เอ๊ะ มอยรา” มาเรียถามอย่างฉงนใจ “เฟลอย์เดอลาวิฟร์เป็นน้ำอบหญิงปารีเซียนชอบใช้กันไม่ใช่หรือ?”

“จริงไหม บอบบี้” เลดีมอยราถาม

“จริง” ข้าพเจ้าตอบ.

นิ่งกันอยู่สักครู่ มาเรียถามว่า “บอบบี้ เธอเป็นสุขมากหรือ อยู่ที่นี่?”

“ฉันเป็นสุขมาก มาเรีย” ข้าพเจ้าตอบด้วยเสียงอันปกติ.

“เธอชอบปารีส?”

“จริง”

“เธอไม่ต้องการจะย้ายไปอยู่ที่อื่น?”

“ไม่ต้องการถ้าไม่จำเป็น”

มาเรียนิ่งคิดอยู่สักครู่ “พอมาถึงปารีส” หล่อนพูด “เธอก็เป็นเหมือนผู้ชายอื่น บอบบี้ ฉันเคยนึกว่าเธอคงจะผิดกว่าใครทั้งหมดในโลกแต่-เอ๊อ---” หล่อนพูดอย่างหมดหวัง “ฉันไม่ควรจะหวังอะไรจากเธอมากมายถึงเพียงนั้น เป็นความผิดของฉันเอง ปารีสต้องเป็นปารีสเสมอ”

“เราเป็นคนฟรีไม่ใช่หรือ มาเรีย?” ข้าพเจ้าถาม “เธอจำได้ไหมว่าเธอพูดไว้กับฉันอย่างไร?”

“อย่าทะเลาะกันเลย” เลดีมอยราสอดขึ้น “เราตั้งใจจะมาพูดธุระกับเธอต่างหากเล่า เอ็ดดี้สั่งให้เรามาหาเธอทั้งสองที่ปารีส พอมาถึงเราก็ไปที่สำนักงานที่ถนนรูสครีบย์ และได้รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน เอ็ดดี้ต้องการเลขานุการคนหนึ่งไปมอนตีคาร์โลวันพุธหน้า สั่งให้เรามาเลือกเอาเธอไปคนหนึ่ง จะเป็นใครก็ได้ บอบบี้ เธอหรืออาร์โนลด์จะสมัครเล่า?”

“ก็ต้องแล้วแต่เธอซี มอยรา” อาร์โนลด์ตอบ “เธอเห็นใครจะมีประโยชน์มากกว่าสำหรับเอ็ดดี้เล่า?”

“ฉันเห็นเธอมีประโยชน์เท่าๆ กัน” มอยราตอบ “แต่ฉันเห็นว่าบอบบี้ควรจะไป เพราะเธอเคยไปรีเวียรามาหลายครั้งแล้ว บอบบี้ยังไม่เคยไปเลย ออกจากรีเวียร่า บอบบี้” หล่อนหันมาทางข้าพเจ้า “เอ็ดดี้จะเอาเธอไปที่สภาสันนิบาตชาติที่เยนีวา ออกจาเยนีวาไป เบอร์น เบอร์ลิน เวียนนา บูดาเปสต์ และสแกนดิเนเวีย เห็นไหมเล่า บอบบี้ โอกาสนี้ดีที่สุดสำหรับเธอ”

ข้าพเจ้าเหลือบดูอาร์โนลด์อย่างเศร้าแล้วพูดตอบมอยราว่า “มอยรา ถ้าเธอเห็นว่าฉันควรไปก็ไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้ว ฉันรู้หน้าที่ของนักหนังสือพิมพ์”

“บอบบี้ ฉันต้องการจะพูดอะไรสองต่อสองกับเธอสักหน่อยได้ไหม?” มอยราถาม “ฉันมีเรื่องจำเป็นจริงๆ” หันไปทางอาร์โนลด์ ขอโทษนะอาร์โนลด์ อย่านึกว่าฉันกิริยาไม่ดี”

“ได้ซี มอยรา” ข้าพเจ้าตอบ พลางชี้ให้หล่อนดูประตูห้องซึ่งเปิดเข้าไปในห้องนอนของอาร์โนลด์ “เราเข้าไปพูดกันในนั้นซี ถ้าเธอไม่รังเกียจ”

ใจข้าพเจ้าเต้นอยู่ตูมๆ ในขณะที่เดิรเข้าไปในห้องกับมอยรา เวลานั้นจะค่ำใกล้มืดอยู่แล้ว ข้าพเจ้าเปิดไฟฟ้า ปิดประตู และเชิญให้มอยรานั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะหนังสือ ส่วนตนเองนั่งอยู่ที่ปลายตีนเตียง.

“บอบบี้ เธอรู้สึกบ้างหรือเปล่าว่ามาเรียเป็นผู้หญิงที่ดีสำหรับเธอเพียงไร?” เลดีมอยราถามอย่างขวานผ่าซาก “เธอประพฤติตนดีพอสำหรับหล่อนแล้วหรือ?”

ข้าพเจ้าจ้องดูสตรีผู้นี้ด้วยความพิศวงอยู่สักครู่ จึงพูดตอบไปบ้างว่า: “มอยราที่รัก ฉันไม่เห็นว่าเธอมีหน้าที่ ๆ จะมาพูดกับฉันเช่นนี้ เธอไม่รู้ความเป็นไประหว่างฉันกับมาเรียเมื่อเราอยู่ด้วยกันในลอนดอน เธอไม่รู้ว่าเราได้ทำความเข้าใจอะไรกันไว้บ้าง ถ้าสำหรับจะเป็นเพื่อนกันแล้วฉันเชื่อมั่นว่าฉันประพฤติตนดีพอสำหรับใครๆ ทั้งหมด”

“บอบบี้” หล่อนพูดเสียงอ่อนลง “เธอรู้หรือไม่ว่ามาเรียรักเธอยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดในโลก?”

“ไม่จริง มอยรา” ข้าพเจ้าพูดเป็นเชิงตัดบท “เมื่ออยู่ลอนดอนฉันยอมรับว่าฉันรักมาเรียมาก แต่มาเรียรักฉันอย่างเพื่อน ต้องการให้ฉันเป็นคนฟรีเพราะหล่อนต้องการจะเป็นคนฟรีเหมือนกัน ชีวิตของนักหนังสือพิมพ์ไงเล่า มอยรา มาเรียไม่เคยรักฉันในทำนองที่เธอเข้าใจ”

“เธอคิดดูหรือเปล่า” หล่อนถาม “ว่าการที่มาเรียพูดได้เช่นนั้นทั้งๆ ที่รักเธออยู่ก็เพราะหล่อนไม่คิดถึงตัวเอง หล่อนคิดถึงแต่เธอเท่านั้น หล่อนต้องการให้เธอเป็นสุข หล่อนเตรียมที่จะสละอะไรได้ทั้งหมดเพื่อความสุขของเธอ?”

“ทำไมเธอจึงรู้?” ข้าพเจ้าถาม.

“มาเรียบอกฉัน” หล่อนตอบ.

ทันใดนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่าตาพร่าไปหมด สิ่งต่างๆ ที่แลเห็นอยู่ในห้องหมุนเวียนไปมาไม่หยุดหย่อน รู้สึกเวียนศีรษะ ไม่รู้ที่จะคิดประการใด ยอร์ชเบอร์นาร์ดชอว์ เคยพูดไว้ว่าถ้าเราอยู่ในโลกนานเข้าเรายิ่งรู้จักผู้หญิงน้อยเข้าทุกที ท่านนักประพันธ์ผู้มีนามอุคโฆสคนนี้มีอายุใกล้แปดสิบและลืมที่จะรู้จักผู้หญิงเสียหมดแล้ว.

“ฉันยังคงจำสิ่งที่เธอพูดกับฉันไว้ได้ดี” ข้าพเจ้าพูดขึ้นในที่สุด “มอยรา เธอจำได้ไหมว่าเมื่อสามปีมานี้เราไปเต้นรำกันที่อาเล็กซานดราฮอลล์ เมืองเฮสติงส์? เธอบอกกับฉันว่าเพื่อความสุขของมาเรีย เธอไม่ต้องการให้ฉันพบเธอและมาเรียอีกที่ลอนดอนหรือที่ไหน เธอเคยมีเพื่อนที่แต่งงานไปกับเจ้าแขกในอินเดีย หล่อนได้ฆ่าตัวตายเสียแล้ว ฉันพยายามที่จะทำตามความต้องการของเธอเสมอ ฉันมาอยู่ลอนดอนเรียนกฎหมายอยู่ที่ ‘เท็มเปิล’ ต่างหากเล่า ฉันถูก ‘ลาก’ เข้าไปในสโมสรหนังสือพิมพ์ ถูกบังคับให้เข้าพวกหนังสือพิมพ์ เธอทราบหรือเปล่า? ถึงกะนั้นฉันก็ยังพยายามหลีกเลี่ยงเธอและมาเรียอยู่เสมอ การที่ฉันพยายามทำตามที่เธอแนะนำก็เพราะฉันต้องการให้มาเรียเป็นสุข ฉันรักมาเรียเหมือนกัน”

เลดีมอยราดันน์จ้องดูข้าพเจ้าแล้วยิ้มน้อยๆ “ก็เธอเป็นคนเช่นนี้นี่ บอบบี้” หล่อนชม “ทำไมมาเรียจะไม่รักเธอเล่า”

ทันใดนั้นมีเสียงคนเคาะประตู ข้าพเจ้าถามไปว่าจะต้องการอะไร.

“บอบบี้” เสียงอีว็อนเรียกเข้ามา “เราเตรียมอาหารไว้เสร็จแล้ว กินกันหรือยังเล่า?”

ข้าพเจ้าตกใจแทบล้มทั้งยืน อีว็อนและโอเด็ตต์ออกมาจากห้องนอนเสียแล้ว ป่านนี้มิปนเปกับอาร์โนลด์และมาเรียที่ต้องนั่งอยู่ข้างนอก สนุกสนานกันใหญ่แล้วหรือ?

“ขอบใจ อีว็อน” ข้าพเจ้าตอบ “เราจะออกไปเดี๋ยวนี้”

ข้าพเจ้าเชิญเลดีมอยราให้อยู่รับประทานอาหารกับเรา ทีแรกหล่อนปฏิเสธ แต่ครั้นเมื่อข้าพเจ้าอ้อนวอนเข้าก็ตกลง “เธอต้องอยู่รับประทานกับเรา มอยรา” ข้าพเจ้ากล่าวเสริม “เธอจะได้รู้ว่าฉันเป็นคนเลวเพียงไหน”

ข้าพเจ้าเปิดประตูพาเลดีมอยราไปที่ห้องรับประทานอาหาร เวลานั้นมีคนอยู่พร้อม อีว็อนและโอเด็ตต์วิ่งเข้ามาต้อนรับ หญิงปารีเซียนของเราแต่งตัวเสียหรู น้ำอบเฟลอร์เดอลาวิฟร์ส่งกลิ่นอยู่หอมขจร ในขณะที่นั่งโต๊ะรับประทาน ชั้นแรกข้าพเจ้ารู้สึกว่าเลดีมอยราและมาเรียออกจะรังเกียจอีว็อนและโอเด็ตต์ แต่อยู่ไปสักครู่พอเห็นว่าชาวปารีเซียนของเราเป็นคนมีอัธยาศัยเรียบร้อย พูดจาประจบประแจงเก่ง และคอยดูแลทุกข์สุขของผู้เป็นแขกได้อย่างปราศจากความขวยเขิน เลดีมอยราและมาเรียก็เลยพลอยคุยสนุกสนานไปกับเราด้วย รับประทานอาหารเสร็จเราเล่นไพ่ ‘โปเก้อร์’ กันอยู่จนดึก.

อยู่ที่บ้านถนนรูย์ลีโอเตย์ได้อีกเพียงสี่วัน ข้าพเจ้าก็ต้องเริ่มออกเดิรทางไปมอนตีคาร์โล การอำลาระหว่างเราทั้งสอง-โอเด็ตต์และข้าพเจ้า-ได้เป็นไปอย่างเศร้าที่สุด แต่ในการอำลาแม่โอเด็ตต์จะโศกเศร้าคร่ำครวญเพียงไรก็ดี หล่อนไม่เคยออกปากเลยที่จะขอร้องให้ข้าพเจ้าเลิกล้มการตระเตรียมที่จะไปมอนตีคาร์โล บางทีโอเด็ตต์จะเข้าใจฐานะและความเป็นอยู่ของข้าพเจ้า เป็นหน้าที่ หรือหล่อนจะรักข้าพเจ้าเช่นเดียวกับหล่อนเคยรักผู้ชายอื่นมาแล้วหลายสิบคน ข้าพเจ้าจะเป็นคนที่เท่าใดกันหนอ---? หรือการที่หล่อนได้เคยเลี้ยงดู เอาอกเอาใจ และรักใคร่ข้าพเจ้าในระหว่างที่เราอยู่ด้วยกันเดือนเศษ ตลอดจนการร้องไห้คร่ำครวญอำลาเป็นกิจวัตต์ของหล่อน เป็นอาชีพ หล่อนมีหน้าที่ๆ จะเป็นนางละครที่ชำนาญ เล่นละครบทที่ชีวิตได้กะเกณฑ์ไว้ให้ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ควรจะเป็นได้ข้อนี้แล้วข้าพเจ้าก็สามารถจะจากปารีส-จากโอเด็ตต์ไปได้อย่างปกติไม่ทุกข์ร้อนอะไรนัก ข้าพเจ้าจะได้ไปเห็นโลก ไปเห็นบ้านเมืองต่างๆ ซึ่งถ้าละโอกาสเสีย ข้าพเจ้าจะไม่ได้เห็นและรู้เลยในชีวิต ทางใต้แห่งประเทศฝรั่งเศสตอนที่หรู งาม และมั่งคั่งที่สุดซึ่งเรียกกันว่ารีเวียรา กรุงเบอร์ลิน เวียนนา บูดาเปสต์ ลอยเด่นตราตรึงอยู่ในความรู้สึกของข้าพเจ้าทุกขณะจิตต์ ข้าพเจ้าเป็นนักหนังสือพิมพ์ นักท่องเที่ยว นักเผชิญภัย ชีวิตจะต้องเคลื่อนที่ไปมาอยู่เสมอไม่หยุดหย่อน ข้าพเจ้ามีหน้าที่ ๆ จะต้องฝึกฝนให้ชินต่อการพลัดพรากจากผู้ที่ข้าพเจ้ารักชอบสนิทสนมได้อย่างปราศจากความห่วงใยและความทุกข์.

เย็นวันหนึ่งก่อนวันที่ข้าพเจ้าจะต้องออกจากปารีสไปมอนตีคาร์โล โอเด็ตต์และข้าพเจ้าเดิรชะลอคลอเคล้ากันอยู่ในสวนหลวงบัวส์เดอบูลอยน์ พร่ำรำพันกล่าวคำอำลากันอยู่ ตลอดเวลาที่โอเด็ตต์พูด ข้าพเจ้ารู้สึกระแวงและเชื่อไปเสมอว่าหล่อนเล่นละคร ข้าพเจ้าไปแล้วหล่อนก็จะหาผู้ชายอื่นได้ในวันรุ่งขึ้น แต่ตลอดเวลาที่ได้แลเห็นโลกมาแล้วเป็นเวลาตั้ง ๒๕ ปี มาบัดนี้ข้าพเจ้าก็สามารถจะเล่นละครได้เหมือนกัน เราเล่นละคร……ละครแห่งชีวิต! แต่ในคำพูดทั้งหมดของโอเด็ตต์ มีอยู่ตอนหนึ่งที่สะกิดใจข้าพเจ้าจนสะดุ้ง

“บอบบี้” หล่อนพูดด้วยเสียงอันเศร้าที่สุด “เมื่อเธอไปเสียแล้วดิฉันเห็นจะมีชีวิตอยู่ต่อไปสำหรับเธอไม่ไหว เราจะต้องตายจากกันไปเป็นแน่”

ข้าพเจ้ามิได้ตอบหล่อนประการใด ‘เมื่อเธอไปเสียแล้วดิฉันเห็นจะมีชีวิตอยู่ต่อไปสำหรับเธอไม่ไหว……’ แน่ละซิ เมื่อข้าพเจ้าไปแล้วหล่อนก็จะมีชีวิตสำหรับคนอื่น นั่นเป็นของธรรมดา.

“ถ้ากลับมาปารีสอีกเมื่อใด” หล่อนกล่าว เมื่อนิ่งไปแล้วสักครู่ “เธอลองถามเรย์มอนด์ เพื่อนดิฉันที่เธอรู้จักในคาเฟเอมิลล์ซีคะ……ถามว่าดิฉันไปอยู่ที่ไหน และเป็นอะไรไปแล้ว”

รุ่งขึ้น โอเด็ตต์รีบจัดแจงสิ่งของจัดใส่หีบเตรียมตัวที่จะออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นแต่เช้า ปฏิเสธการไปส่งข้าพเจ้าที่สถานีเพราะรู้สึกว่าจะเศร้าเกินไป ข้าพเจ้าเรียกรถแท๊กซี่มาจอดที่หน้าประตูตึกข้างล่าง ขนของโอเด็ตต์ ส่งหล่อนแล้วรถก็แล่นหายเงียบไปตามถนนต่างๆ ในนครปารีส ในชาตินี้ - ข้าพเจ้ารำพึง-เราจะได้พบกันอีกหรือไม่หนอ……?

วันนั้นเวลาค่ำ อาร์โนลด์และอีว็อนไปส่งข้าพเจ้าที่สถานีการ์เดอร์ลียอง ข้าพเจ้าไม่นึกว่าจะได้พบใครในรถไฟในการเดิรทางคราวนี้ เพราะตามคำสั่งจากสำนักงานที่ถนนรูสคริบย์ ข้าพเจ้าจะต้องไปพบมิสเตอร์เอ็ดเวอร์ดเบลล์เบ็นสัน ผู้ช่วยบรรณาธิการที่โฮเตล เดลมา มอนตีคาร์โล แต่ความคาดหมายนี้ผิดไปถนัด เพราะเพียงวินาฑีเดียวก่อนรถจะเคลื่อนที่จากสถานี ข้าพเจ้าเห็นเลดีมอยราและมาเรียวิ่งอย่างรีบร้อนถือกะเป๋าหนังมาด้วยคนละใบ พอสตรีทั้งสองก้าวขึ้นบันได รถก็เคลื่อนออกทันที การที่จะพบเลดีมอยราและมาเรียอีกครั้งนี้ จะพูดตามจริงข้าพเจ้าออกไม่รู้สึกสบายใจนัก ระหว่างที่เราจากกันไปแยกกันอยู่คนละทางสองทาง ข้าพเจ้าไม่สามารถจะพยากรณ์ได้ว่ามาเรียได้เป็นสตรีคู่รักที่ดีสำหรับข้าพเจ้าเพียงไหน หรือเลวเพียงไหนด้วย แต่ใจค่อนข้างเชื่อไปว่าหล่อนเป็นดวงมณีอันบริสุทธิ์ไม่มีมลทินแตะต้อง ส่วนตนเองนั้นเล่ารู้สึกว่าสำหรับมาเรียแล้วข้าพเจ้าเป็นคนมีมลทินอยู่มาก ข้าพเจ้าได้กระทำผิดมาแล้ว ได้ละเมิดกฎกติกาของความดีงามแห่งเกียรติยศลูกผู้ชาย แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าความผิดนั้นข้าพเจ้าได้กระทำไปโดยความสมัคร โอ! โอเด็ตต์มาเซลลา! คนเช่นโอเด็ตต์ใครเลยจะอดได้.

รถเริ่มจะวิ่งเร็วเข้าทุกที ผ้าเช็ดหน้าที่อาร์โนลด์และอีว็อนโบกไปมาให้ข้าพเจ้าก็แลเห็นไกล......ไกลออกไปจนแลไม่เห็น พอข้าพเจ้าเหลียวกลับมาดูตามช่องทางเดิรในรถ ก็เห็นเพื่อนสตรีทั้งสองกำลังเดิรตรงมา มาเรียเดิรหน้า เลดีมอยราตามหลัง.

“กู๊ดอีเวนิง มาเรีย” ข้าพเจ้ากล่าวปราศรัย.

“กู๊ดอีเวนิง บอบบี้” หล่อนกล่าวตอบ แล้วก็เดิรผ่านข้าพเจ้าไปเสียทันที.

“กู๊ดอีเวนิง มอยรา” ข้าพเจ้าปราศรัย.

“แฮลโหล บอบบี้” เลดีมอยราตอบแล้ว หยุดยืนอยู่ตรงหน้า “ไง สบายดีหรือ?”

“สบายดี ขอบใจ” ข้าพเจ้าพูด “นี่เธอจะไปไหนกัน”

“เราจะไปฮอลลีเดย์ที่เมืองนีส” หล่อนตอบ “ไปสักสองอาทิตย์”

“ไง” ข้าพเจ้าถามข่าว “พวกเราเป็นอย่างไรกันบ้าง?”

“ชีวิตของเรา” มอยราตอบอย่างเศร้า “ก็...ก็เห็นจะเป็นอย่างที่เรียกว่าต่างคนต่างอยู่”

ข้าพเจ้านิ่งคิดอยู่สักครู่ แล้วยื่นมือไปขอจับกับมอยรา ยิ้มแล้วตอบว่า “ได้มอยรา ฉันจะพยายามทำอะไรทุกอย่างที่เธอต้องการให้ฉันทำ”

จับมือลากันแล้ว เราต่างก็แยกไปนั่งคนละทาง ข้าพเจ้ามีที่ ‘รีเสอร์ฟ’ ไว้ที่ข้างหน้าต่างด้านหนึ่ง นั่งอ่านหนังสือเรื่อยจนดึก บ๋อยในรถมาจัดที่นอนให้ แล้วข้าพเจ้าก็นอนคิดและหลับไปจนรุ่งสว่าง เช้าวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าก็ยังไม่ทราบว่าเลดีมอยราและมาเรียนั่งอยู่ที่ไหน สายราว ๘.๓๐ น. ไปรับประทานอาหารจึงได้พบ แต่เราก็ไม่ได้ทักทายหรือพูดจาอะไรกัน ๑๑.๓๐ น. รถถึงเมืองมาเซลล์ คนโดยสารในรถคันข้าพเจ้าลงหมด เหลืออยู่แต่ตนคนเดียวนั่งไปในรถทั้งคัน ตลอดกลางวันวันนั้นข้าพเจ้ายังหาได้พบและพูดจากับสตรีทั้งสองนั้นไม่ ตอนกลางคืนหยิบหนังสือขึ้นอ่านเล่นเช่นคืนก่อน อ่านไปได้สักครู่ ก็มีเสียงทักมาว่า “ยังไง บอบบี้ หงอยมากหรือ?”

เงยหน้าขึ้นดู พบเลดีมอยรา.

“ไม่หงอยหรอก มอยรา” ข้าพเจ้าตอบแล้วยิ้ม “ฉันมีหนังสือเป็นเพื่อนอยู่ด้วยหลายเล่ม เธอต้องการบ้างไหม?”

“ขอบใจ ไม่เอาละ บอบบี้” หล่อนพูดพลางนั่งลงตรงหน้าข้าพเจ้า “ฉันรู้สึกว่าเธอต้องการจะขอโทษมาเรีย อย่างน้อยเธอต้องการจะไปบอกหล่อนว่าเสียใจ……”

“เปล่า มอยรา เธอเข้าใจผิด ฉันไม่คิดว่าฉันต้องการเช่นนั้น” ข้าพเจ้าตอบช้าๆ.

“เอ๊ะ บอบบี้” หล่อนพูดอย่างเบื่อแล้วลุกขึ้นทำท่าจะไป “เธอเสียคนเสียแล้ว กู๊ดบาย”

“กู๊ดบาย มอยรา”

พอมอยราไปแล้ว ข้าพเจ้าก็หยิบหนังสือขึ้นอ่านเล่นต่อไปอีก สักครู่แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้มองไปที่อื่น ก็ยังรู้สึกว่ามีใครมายืนอยู่ใกล้ๆ ข้าพเจ้าเหลือบขึ้นดู ก็พบมาเรียเกรย์ยืนจ้องดูข้าพเจ้าอยู่ด้วยดวงเนตรอันเศร้า ข้าพเจ้าวางหนังสือ ยืนขึ้นหลีกทางให้หล่อนนั่ง.

“นั่งลงซีจ๊ะ บอบบี้” หล่อนพูดพลางก็เขยิบช่องให้ข้าพเจ้านั่งติดกับหล่อน ซึ่งข้าพเจ้าปฏิบัติตามโดยดี “เมื่อฉันลงที่เมืองนีส เธอจะต้องเลยไปถึงมอนตีคาร์โล กว่าเราจะได้พบกันอีกก็คงนาน อาจเป็นปีหนึ่ง…สอง…หรือสามปีก็ได้ บอบบี้ ก่อนที่เราจะต้องจากกัน เราควรจะเป็นเพื่อนกันดีกว่า”

ข้าพเจ้าไม่รู้ที่จะตอบหล่อนประการใด เป็นแต่กุมมือหล่อนขึ้นมาจุมพิตด้วยความนิยมอันสูงสุด ส่วนมาเรียก็ซบศีรษะลงคลอเคลียกับข้าพเจ้า ลืม…ลืม…สิ่งต่างๆ ที่ได้เป็นมาแล้ว ชีวิตเป็นของแปลกนะท่าน ยิ่งอยู่นานในโลก เรายิ่งรู้เรื่องชีวิตน้อยเข้าทุกวัน.

รถถึงเมืองนีส เลดีมอยราและมาเรียลงที่นั่น ส่วนข้าพเจ้าก็เดิรทางต่อไป……ไปมอนติคาร์โล.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ