บทที่ ๒๔ ละครปิดม่าน

ข้าพเจ้าได้ไปเรียนกฎหมาย ไม่ได้สอบ ไม่ได้เป็นเนติบัณฑิตอังกฤษ เมื่อต้องกลับเมืองไทย ข้าพเจ้าคงจะกลับอย่างคนไม่มีหวังในความสุขและความเป็นอยู่ของชีวิตด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น ข้าพเจ้าไม่มีจิตต์ใจที่จะคิดทำอะไรให้เป็นแก่นสาร ไม่มีความมานะอดทน ความรู้สึกในความเป็นอยู่ทั้งหลายแหล่คงจะจมอยู่ในห้วงแห่งความหายนะเป็นแท้ ความจริงข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าจะสมัครมีชีวิตอยู่ในโลกต่อไปเสียด้วยซ้ำ ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นของเรื่องนี้ว่าข้าพเจ้าเป็นคนชอบคิดชอบฝัน ชอบทะเยอทะยานมาตั้งแต่เด็ก ข้าพเจ้ายังเป็นคนชอบคิด ชอบฝัน ทะเยอทะยานอยากจะได้ดี ทุกวันนี้ ถ้ายังมีหวังอยู่ตราบใดก็จะขอฝันไป ทะเยอทะยานไปจนถึงที่สุด ถ้าไม่มีทางที่จะตะเกียกตะกายไปได้ ข้าพเจ้าก็คงจะหันหน้าเข้าสู้กับความพินาศแห่งชีวิตอย่างสุนัขจนตรอก แล้วข้าพเจ้าก็คงจะปราชัยชีวิตถึงกับความอับปางพินาศแตกดับเป็นแท้.

การที่ไม่ชอบกฎหมายและไม่ได้เรียนกฎหมายนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยรู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งนี้ก็เพราะข้าพเจ้าได้ไปเรียนวิชชาหนังสือพิมพ์ ได้เคยเห็นและอยู่ในชีวิตของละครโรงใหญ่ ได้เคยเที่ยวไปทุกหนทุกแห่งและได้เห็นสิ่งต่างๆ มาแล้วมากกว่านักเรียนไทยเกือบทุกคนที่เคยไปเมืองนอก สิ่งเหล่านี้ได้ช่วยและสอนให้ข้าพเจ้าเป็นคนสันโดษ ยึดเอาความสามารถและความมานะของตนเป็นหลักแห่งการที่จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป แข่งขันกับผู้อื่น สิ่งเหล่านี้ได้ช่วยและสอนให้เป็นคนรักชีวิต รักชื่อ รักเกียรติยศ และข้อสำคัญที่สุด รักชาติ ในระหว่างที่ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ข้าพเจ้าไม่เคยรู้สึกเลยแม้แต่สักวินาฑีว่าชาติอื่นดีกว่าชาติไทย จริงอยู่ ความเจริญ ความก้าวหน้าในทางวิทยาศาสตร์ทุกชะนิดของเขาอาจดีกว่าเราราวฟ้าและดิน ทั้งนี้ก็เพราะเราไม่มีวาสนา ไม่มีโอกาสเช่นเขา การที่เราสามารถดำรงตนเป็นอิสสรไม่เป็นขี้ข้าใคร และเป็นสุขอยู่ได้ถึงเพียงนี้ นั้นก็แสดงให้เห็นผลแห่งความสามารถของเรา-คนไทย-เพียงไหน ดูแต่อินเดีย เขมร ญวน พะม่า เพื่อนบ้านของเราซีท่าน…..

ข้าพเจ้าเป็นแต่เพียงนายวิสูตร์ คนไทยธรรมดาคนหนึ่ง มีชีวิตอยู่ในห้วงแห่งความไม่แน่นอน-และอันตรายอย่างที่สุด กะนั้นก็ดี ข้าพเจ้าก็ยังมีหวังที่จะเป็นคนมีประโยชน์ต่อไป…มีประโยชน์ต่อชาติไทยและต่อพระบรมราชวงศ์จักรีซึ่งได้ทรงอุ้มชูช่วยชาติไทยให้คงเป็นอิสสร เป็นสุข และยังคงเป็นชาติไทยอยู่จนทุกวันนี้.

หกปีเศษซึ่งข้าพเจ้าไปอยู่เมืองนอก เมืองไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ข้าพเจ้ายังคงจำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เมืองไทยยังคงเป็นเมืองไทย ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องช่วยกันแก้ไขจัดทำให้เป็นรูปเป็นร่างดี ยังต้องการคนไทยที่มีวิชชาความสามารถจริงๆ อีกมากหลาย คิดๆ ดูสำหรับข้าพเจ้าก็ไม่น่าจะท้อใจอะไรนัก ถ้าวันใดสามารถจะแสดงให้คนไทยเห็นได้ว่าเป็นผู้มีความรู้ มีความตั้งใจดี ข้าพเจ้าก็คงจะได้รับโอกาสทำประโยชน์ให้แก่ชาติไทยและคนไทยได้บ้างเป็นแท้ วิมานบนอากาศซึ่งข้าพเจ้าได้เคยสร้างไว้ก็อาจกลับเป็นความจริงขึ้นได้ ใครจะรู้ เมืองไทยต้องการคนไทยที่ดี!

ในระหว่างหกปีเศษที่บ้านเรา-บ้านเจ้าคุณวิเศษฯ บิดาข้าพเจ้าผู้ล่วงลับไปแล้วได้มีการเปลี่ยนแปลงมาก สถานที่และตัวบ้านเขาได้จัดทำเสียหรูจนเกือบจำไม่ได้ มารดาของข้าพเจ้าซึ่งเคยมีศีรษะหงอกประปรายเล็กน้อยเมื่อก่อนข้าพเจ้าจากไป เดี๋ยวนี้ขาวไปทั่ว แก้มตอบ ความชราได้เข้ามาครอบงำท่านเสียอย่างเห็นได้ชัด แต่ท่านยังคงเป็นคนไม่หงุดหงิด มีนิสสัยดี ใจเย็น น่ารัก พี่น้องซึ่งเคยเป็นเด็กเป็นสาวกันครั้งกะโน้นก็แต่งงานมีเหย้ามีเรือนกันไปหมด ต่างคนต่างก็เป็นผู้ใหญ่.

พวกพี่น้องเขาพาข้าพเจ้าไปอยู่ที่บ้านเดิมที่คุณพ่อเคยอยู่ ข้าพเจ้าเข้ากับเขาทุกคนได้ดี นี่คือประโยชน์อันใหญ่ยิ่งซึ่งวิชชาหนังสือพิมพ์ได้ฝึกสอนข้าพเจ้าไว้...สอนให้เข้ากับคนได้ จะไปไหนก็ไปกับพวกพี่น้องได้เป็นหมู่ ทำอะไรก็ทำได้เหมือนกันหมด จะผิดกันก็แต่เพียงว่าพี่น้องเขาร่ำรวยกันทุกคน มีเงินในธนาคารนับเป็นหมื่นเป็นแสน มีตึกมีบ้าน มีรถยนตร์ ส่วนข้าพเจ้าเป็นคนจน จะใช้อะไรสักหนึ่งสตางค์ก็ต้องคิดแล้วคิดเล่า คิดเพื่อจะดำรงชีวิตให้อยู่ไปสำหรับวันพรุ่งนี้ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้สึกน้อยใจอะไรเลย เพราะได้เคยเห็นสิ่งที่ดีงามมามากแล้วทั่วโลก และสามารถที่จะยิ้มเยาะความอยุกติธรรมได้ด้วยน้ำใสใจจริง สามารถจะทำตนให้เป็นสุข.

ทุกวันนี้ข้าพเจ้ายังตีปัญหาไม่แตกว่า ทำไมท่านบิดาจึงตราหน้าข้าพเจ้าเสียตั้งแต่เกิดว่าจะเป็นคนเหลวใหล ไม่มีประโยชน์​เกลียดชัง จะเรียนอะไรก็คงเหลว ไม่เหลือเงินไว้ให้สำหรับเป็นทุนเล่าเรียน ไม่ให้โอกาส ไม่ให้ความสบายซึ่งข้าพเจ้า-ในฐานที่เป็นลูกด้วยคนหนึ่ง-มีสิทธิ์ที่จะได้รับ เมื่อความจริงมีอยู่เช่นนี้ สิ่งที่ได้เป็นมาแล้วทุกประการจะเป็นความผิดของข้าพเจ้าแต่ผู้เดียวถูกละหรือ? แต่_ก็นั่นแหละท่าน เขาว่าในโลกนี้ไม่มีความยุกติธรรม จนกะทั่งกฎหมายก็หาความยุกติธรรมได้ยาก ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่เคราะห์ร้ายก็ย่อมจะต้องดื่มยาอันขมขื่นไปจนวันตาย.

ท่านสหายหนุ่มร่วมชาติทั้งหลาย ท่านเป็นผู้ที่จะมีบุตรหลานต่อไปในภายหน้า จะทำประโยชน์ให้ชาติไทยอย่างใหญ่หลวง ถ้าท่านปลูกนิสสัยเด็กน้อยของท่านให้เป็นคนดี ในฐานที่เป็นเพื่อนผู้หวังดีคนหนึ่ง ข้าพเจ้าขอวิงวอนให้ท่านมีใจยุกติธรรมพอที่จะให้โอกาสเด็กที่เกิดมามีกรรมอาภัพ ให้สมกับที่เขาควรจะได้รับในฐานที่เป็นบุตรและธิดาของท่าน แม้ว่าหน้าตาเขาจะไม่สวย กิริยาท่าทางเขาจะขวางๆ รีๆ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาทำมาได้เอง อย่างน้อยเขาควรจะได้รับความสงสาร ท่านมีหน้าที่ๆ จะต้องช่วยเหลือเขาบ้างตามสมควร ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ท่านรักคนโน้นเกลียดคนนี้ เพราะความรู้สึกเช่นนี้ของท่านจะเป็นชีวิตของเด็กต่อไปภายหน้า เด็กคนไหนที่มีสติไม่สู้ดีก็จะเลยไปกันใหญ่.

ได้กล่าวมาแล้วแต่ต้นว่าข้าพเจ้าเป็นคนรักและบูชาคนเก่ง คนสามารถ บิดาของข้าพเจ้าเป็นคนเก่งที่สุดผู้หนึ่งในเมืองไทย และข้าพเจ้ายังคงรัก บูชา และรู้สึกภาคภูมิใจในสิ่งที่ท่านกระทำมาแล้วเสมอ การที่ข้าพเจ้าต้องเขียนเรื่องส่วนตัวของท่านบางอย่างที่เกี่ยวกับข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าเขียนโดยปราศจากความหวังร้าย ข้าพเจ้าไม่มีความตั้งใจที่จะป้ายร้ายในคุณความดีของท่านที่ทำมาแล้ว แม้ว่าจะรักและบูชาท่านบิดาเพียงไร ข้าพเจ้าก็ยังสงสารเด็กไทยน้อยๆ ซึ่งกระทำหน้าที่แทนเราในภายหน้า เด็กพวกนี้บางคนอาจมีกรรมเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าได้มีมาแล้ว แล้วจะมีสักกี่คนที่จะได้มีโอกาสไปเป็นนักหนังสือพิมพ์เห็นโลกเช่นเดียวกับข้าพเจ้า อีกประการหนึ่งนอกจากข้าพเจ้าแล้วมีใครที่จะเขียน ‘ละครแห่งชีวิต’ เรื่องนี้ได้? หนังสือเล่มนี้เขียนสำหรับชาติไทยและคนไทย ซึ่งข้าพเจ้ารักและต้องการให้เป็นสุข.

ตามคำเชื้อเชิญโดยทางจดหมาย ข้าพเจ้าไปเยี่ยมลำจวนภรรยานายร้อยโท กมล จิตร์ปรีดีที่บ้านถนนประแจจีน หล่อนออกมารับข้าพเจ้าที่สนามหน้าบ้านพร้อมด้วยบุตรน้อยสองคน หล่อนได้แต่งงานมาแล้วเกือบเจ็ดปี แต่เวลาซึ่งได้ผ่านไปนั้น ยิ่งทำให้ลำจวนสาวขึ้น สวยขึ้นกว่าเดิม ดวงหน้าเปล่งปลั่งผิวพรรณก็ขาวเป็นนวล ผมของหล่อนก็ทำขึ้นไว้เป็นแบบชิงเกิลหยิกเป็นลอนงาม เนตรของหล่อนยังมีแววแห่งความยั่วยวนปรากฏอยู่ ข้าพเจ้ารู้สึกฉงนใจที่หล่อนแต่งดำทั้งตัว สงสัยว่าบิดาหรือมารดาของหล่อนคงจะถึงแก่กรรมไปกะมัง.

“แหม! คุณพี่วิสูตร์คะ นึกว่าจะไม่มาเยี่ยมเราเสียแล้ว” หล่อนปราศรัยด้วยดวงหน้าอันยิ้มละไม พลางชี้ให้ดูบุตรน้อยทั้งสองคนของหล่อน “นี่หลานของคุณพี่อย่างไรเล่าคะ”

“ไสว” หล่อนเรียกบุตรสาว “ไหว้คุณอาว์เสียซี เข้าไปให้คุณอาว์อุ้ม”

เด็กหญิงผู้นั้นปฏิบัติตามทันที ข้าพเจ้าอุ้มเอาเด็กหญิงไสวขึ้นมากอดไว้สักครู่ก็ปล่อย แล้วอุ้มบุตรชายของหล่อนเช่นเดียวกัน.

“ขึ้นไปบนบ้านซีคะ” หล่อนชวน ข้าพเจ้าเดิรตามหล่อนไป ก่อนจะขึ้นบ้านเราพบเจ้าคุณบรรลือฯ และคุณหญิง เมื่อลำจวนไม่ได้ไว้ทุกข์บิดามารดาหล่อนแล้ว หล่อนจะไว้ทุกข์ให้ใครกันหนอ.........?

ข้าพเจ้าคุยอยู่กับเจ้าคุณและคุณหญิงบรรลือฯ ในห้องรับแขกสักครู่ เจ้าคุณจึงพูดเตือนบุตรสาวของท่านว่า: “ลำจวน พาวิสูตร์ไปหากมลซี”

ลำจวนพาข้าพเจ้าเดิรขึ้นไปข้างบนตึก ข้าพเจ้ารู้สึกฉงนใจอยู่น้อยๆ.........ฉงนใจที่ทำไมกมลจึ่งไม่ลงมาหาข้าพเจ้าข้างล่าง ทันใดนั้นเราก็เดิรเข้าไปในห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่ง ข้าพเจ้าตกตะลึง เพราะเห็นหีบศพตั้งอยู่บนแท่นใหญ่มีเครื่องบูชาตบแต่งอยู่พร้อมบริบูรณ์ ลำจวนแต่งดำไว้ทุกข์ให้นายร้อยโทกมล จิตร์ปรีดี.........ไว้ทุกข์สามีของหล่อน อนิจจา ! ชีวิตยังหนุ่มสาว !

คิดๆ ไป ความมรณกรรมของนายร้อยโทกมล ก็ไม่สู้จะเศร้าสำหรับลำจวนเท่าใดนัก ข้าพเจ้าทราบว่าชีวิตแต่งงานซึ่งได้ผ่านพ้นมาแล้วเป็นเวลาเกือบเจ็ดปี ได้ให้ความรู้แก่หล่อนมาก ได้กระทำให้หล่อนเป็นหญิงสมัยใหม่ ส่วนหญิงสมัยใหม่จะเป็นอย่างไรนั้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าลำจวนเป็นผู้ทราบแต่ผู้เดียว แม้ว่าหล่อนจะมีบุตรแล้วตั้งสองคน หล่อนก็ยังคงสวย และ ‘เก่ง’ มีผู้ชายมาติดมาก เขาเล่ากันว่า ในไม่ช้าหล่อนก็จะแต่งงานใหม่......แต่งเป็นครั้งที่สอง ชีวิตก็ไม่สู้จะร้ายแรงอะไรนัก จริงไหมท่าน?

ละครแห่งชีวิตของข้าพเจ้าจบลงด้วยความมรณของนายร้อยโทกมล ตนเองยังคงหลักลอย ไม่มีความหมายในทางหนึ่งทางใดโดยฉะเพาะในเรื่องที่จะดำเนิรชีวิตต่อไป เรื่องเก่าได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ข้าพเจ้าจะลืมละครแห่งชีวิตเสีย เรื่องใหม่กำลังเริ่ม ข้าพเจ้าหวังว่าคงจะไม่เศร้าสลดเหมือนเรื่องเดิม.

อวสาน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ