บทที่ ๕ โลกใหม่-เมืองสวรรค์

เวลานั้น -- เวลาที่เรือ “กัวล่า” กำลังแล่นอยู่เรื่อยๆ ในอ่าวสยามมุ่งตรงไปยังปีนังและสิงคโปร์ -- และขณะที่ข้าพเจ้านอนบนเก้าอี้หวายบนดาดฟ้าเรือซึ่งพระพายพัดอยู่เฉื่อยๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าพเจ้าสามารถคิดถึงโชคลาภและความเป็นอยู่ที่ได้ล่วงมาแล้วด้วยน้ำใจอันบริสุทธิ์ปราศจากความเคียดแค้นใดๆ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าสิ่งใดทำให้ใจอ่อนเตรียมพร้อมที่จะยกโทษให้คนทั้งโลกที่เคยให้ร้ายข้าพเจ้ามาแล้ว ในระหว่างสองสามเดือนก่อนออกเดิรทาง, ข้าพเจ้าเคยรู้สึกเบื่อหน่ายเมืองไทยและชีวิตไทยจนแทบจะเป็นบ้า มีแต่จะให้ทุกข์ เป็นรูปภาพอันน่าเกลียดแห่งความโลภโมโทษัน เห็นแก่หน้า และอยุตติธรรม รู้สึกว่าเมืองไทยไม่ใช่ที่สำหรับข้าพเจ้าอยู่ ไม่มีใครเขาต้องการ วันใดถ้าได้มีโอกาสหนีออกไปเสียให้พ้นได้ วันนั้นแหละจะเป็นวันแห่งความสุขของข้าพเจ้า โลกใหม่-เมืองสวรรค์สำหรับข้าพเจ้าคงจะมีอยู่ทุกหนทุกแห่งนอกจากเมืองไทย ต่อเมื่อจากมาเสียแล้ว -- นั่งเล่นนอนเล่นรอนแรมไปในท่ามกลางวิเวกแห่งความเปลี่ยนแปลง พอหวนนึกถึงเมืองไทย วงศ์ญาติเพื่อนฝูงที่เคยรักเคยชอบ ก็ระลึกได้ด้วยหัวใจอันเบิกบานเยี่ยงนักปราชญ์ (Philosopher) ถือเสียว่าตนเกิดมาเป็นคนเคราะห์ร้ายคนหนึ่งเท่านั้น และก็ยังมีคนอื่นเคราะห์ร้ายยิ่งกว่าถมไป ความไม่เสมอหน้าและความอยุตติธรรมที่ข้าพเจ้าเคยได้รับอยู่เนืองนิตย์ตั้งแต่เล็กจนโตอาจเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เล็งเห็นชีวิตอันแท้จริงและเป็นพลเมืองดีต่อไปภายหน้า การที่ข้าพเจ้าไม่ได้รับทรัพย์สินมรดกใดๆ จากพินัยกรรมของคุณพ่อก็อาจช่วยทำให้ข้าพเจ้าเป็นคนมีใจบึกบึน พยายามก้มหน้าทำมาหากินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง และทุกๆ สตางค์ที่ข้าพเจ้ามีอยู่ในกะเป๋าจะเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าภาคภูมิใจอย่างที่สุดเพราะหามาได้เอง ความจนจะอะไรนักเทียวท่าน ถ้าเราเป็นคนมีวิชชาและมีใจกว้างขวาง.

สำหรับเด็กไทยที่ไปเมืองนอกด้วยกัน ต้องนับว่าข้าพเจ้าเป็นคนเคราะห์ดีคนหนึ่งที่ไปอย่างคนตัวเปล่า ปราศจากห่วงใยใดๆ คนเดียว ใจเดียวในโลก ที่บ้านก็มีพี่น้องที่มั่งคั่งสมบูรณ์อยู่แล้ว คุณแม่ก็ได้ไปอยู่กับพี่คนใหญ่ ได้รับการอุปถัมภ์ค้ำจุนเป็นอันดี ส่วนคนอื่นข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องนึกถึง เรือ “กัวล่า” ก็คงแล่นไป -- ใจและความคิดของข้าพเจ้าก็แล่นไปด้วย.

เรือจอดที่เกาะปีนังหกชั่วโมง หลวงวิเศษฯ ผู้เป็นคนนำข้าพเจ้าไปเมืองอังกฤษกับแกได้พาข้าพเจ้าขับรถยนตร์เที่ยวดูสิ่งต่างๆ ในเกาะนั้น โชเฟ่อชาวมะลายูของเราขับรถเร็วอย่างน่าอันตรายที่สุด แม้จะเตือนให้ขับช้าๆ อยู่เกือบทุกๆ นาฑี ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เช่นเดียวกับคนขับรถทั้งหลายโดยมากในพันธรัฐมะลายู โชเฟ่อร์ของเรามีนิสสัยต้องขับรถเร็วเสียแล้วอย่างแก้ไม่หาย หนทางในปีนังวิ่งราวสองชั่วโมงก็ทั่ว แต่เป็นที่สูงที่ต่ำ และมีหัวเลี้ยวที่แคบชันเป็นอันตรายอยู่หลายแห่ง รถเราวิ่งบึ่งไปอย่างน่าเสียวไส้ จนทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่สามารถจะนึกได้ว่าเรารอดอันตรายกลับมาเรือได้อย่างไรในที่สุด ตกเย็นเรือออก วันเศษต่อมาก็ถึงสิงคโปร์คือที่ที่เราจะไปจับเรือใหญ่สำหรับโดยสารไปขึ้นที่เมืองมาเซลลย์ ประเทศฝรั่งเศส.

คนขับรถที่สิงคโปร์ก็ร้ายเช่นเดียวกับปีนัง ตลอดเวลาที่เราพักอยู่ที่นั่นสามวันรู้สึกเบื่อไม่อยากจะนั่งรถยนตร์ไปที่ไหน กลางวันเรามักจะอยู่โฮเต็ลหรือออกไปเดิรเที่ยวในสวนตัวอย่างพันธุ์พฤกษา กลางคืนเราไปดูละครออเปรา เรื่องกอนโดเลีย และมิกาโด โดยกิลเบอร์ตและซัลเลอวัน ถนนหนทางในสิงคโปร์ดูสะอาดเรียบร้อยดี “เมืองจีน” หรือเขตต์ที่จีนอยู่เต็มไปหมดก็ดูสนุกดีพอใช้ แต่ในร้านอาหารหนวกหูเสียงตะเกียบตีไปกับถ้วยชามและเสียงฉาบประกอปร์ดนตรีดังอยู่สนั่นหวั่นไหว.

สองวันต่อมาเรือ “อังเด๎รเลอบองก์” ของบริษัทฝรั่งเศษก็มาเทียบท่ารับคนโดยสาร เรือนี้ไม่สู้งามนักเพราะแต่เดิมไม่ได้ทำสำหรับโดยสารเพียงแต่สำหรับรับส่งสินค้าในเวลาสงคราม ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นที่สุด พอลงไปอยู่ในเรือก็เที่ยวเดิรดูอะไรต่ออะไรไม่หยุดหย่อน เวลานั้นรู้ภาษาฝรั่งเศสอยู่เพียงคำเดียวว่า “ขอบใจ” แต่พอโผล่ลงเรือไม่ว่าจะชะโงกศีรษะไปที่ไหนก็เจ้าพวกบ๋อยหรือกะลาสีเรือมาถามไถ่อะไรต่ออะไรเป็นภาษาฝรั่งเศสลั่นไปหมด ข้าพเจ้ามิได้พรั่นชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปจนรู้เรื่อง เชื่อว่าพวกเหล่านี้คงนึกว่าข้าพเจ้าเป็นเขมรหรือญวน แต่พอมาเห็นว่าข้าพเจ้าไม่รู้จักภาษาฝรั่งเศสก็เลยเหมาเอาว่าเป็นเจ๊ก ถ้าท่านมีผิวพรรณอย่างข้าพเจ้าไม่ว่าจะเดิรทางไปที่ไหนอย่างน้อยในสมัยนั้นไม่มีใครเลยที่จะมาถือวิสาสะว่าท่านเป็นคนไทย เพราะเขาไม่รู้จักสยามแม้สยามอยู่ใกล้สิงคโปร์เพียงนี้เอง พอเราลงเรือจัดแจงล้างหน้าเสร็จก็ได้ยินเสียงระฆังและหวูดเป็นอาณัติสัญญาเรือจะออก แล้วเรือก็เคลื่อนออกจากท่าไป เป็นอันว่าข้าพเจ้าได้เริ่มต้นบ่ายหน้าเดิรทางไปในทะเลใหญ่--ทะเลใหญ่แห่งชีวิต

ข้าพเจ้าจะไม่เล่าถึงผู้คนที่เรารู้จักในระหว่างเดิรทางเพราะท่านก็อาจนึกได้ถูกว่าเรื่องมันควรจะเป็นอย่างไร คนโดยสารโดยมากเป็นชาวฝรั่งเศส เขาก็อยู่กับพวกเขา เพราะข้าพเจ้าพูดกับเขาไม่รู้เรื่อง มีผู้หญิงแหม่มสวยๆ สองสามคน ข้าพเจ้าชอบเดิรตามไปดูว่าเขาจะทำอะไรกัน บางทีเขาก็หันมายิ้มและออกปากปราศรัย แต่พอเห็นว่าข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องก็ราหน้ากันไป กลางวันเขาเล่นต่อแต้ม ไพ่บริดช์กันในห้องนั่งเล่น กลางคืนมีเต้นรำทุกคืนนอกจากคืนไหนมีคลื่นจัด.

ในระหว่างเดิรทาง เรือผ่านไปหยุดอยู่ตามเมืองแขกต่างๆ สิ่งทั้งหลายบรรดาที่ได้พบได้เห็นทำให้ข้าพเจ้าหวนนึกไปถึงกลอนบทหนึ่งที่ว่า “ทางเตียนเวียนลงนรก ทางรกวกขึ้นสวรรค์” ถ้าจะถือเอาเมืองฝรั่งเป็นเมืองสวรรค์แล้ว เมืองแขกต้องเป็นเมืองนรกอย่างเด็ด ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นเมืองอะไรในโลกอุจาดลามกยิ่งไปกว่าเมืองโกลัมโบ คยีบูตี้ และปอร์ตเสด ตามเมืองทั้งสามนี้ไม่ว่าเราจะทำอะไรหรือไปที่ไหนก็มีแต่จะถูกลักเล็กขะโมยน้อย ถูกล่อลวง โกงจนบางทีก็ใกล้จะถึงอันตรายอย่างที่สุด ผู้คนที่เราพบนอกจากจะมีรูปร่างหน้าตาพึงเกลียดกลัวแล้ว ยังมีนิสสัยใจคอเหี้ยมโหดทารุณไม่ผิดสัตว์ เมื่อเห็นนักเดิรทางหน้าตาเรียบร้อยและท่าทางไม่รู้จักอะไรก็คอยแต่จะจับมาเป็นภักษาหาร เมืองโคลัมโบเป็นเมืองที่ร้ายแรงที่สุด ถ้าเราจะไปเที่ยวในเมือง จากเรือใหญ่เราจะต้องลงเรือบดกรรเชียงไปราวยี่สิบนาฑีกว่าจะถึงฝั่ง คนกรรเชียงเป็นกุลีแขกลังกาที่มีหน้าตาดุร้าย รูปร่างเหมือนยักษ์ เมื่อตกลงว่าคนโดยสารจะต้องเสียคนละเท่าไรเรียบร้อยแล้วพวกเราสามสี่คนมีหลวงวิเศษฯ ข้าพเจ้า และฝรั่งอีกสองคนก็นั่งให้อ้ายทมิฬกรรเชียงไป พอได้ครึ่งทางมันก็ทิ้งกรรเชียงไม่ทำหน้าที่เสียเฉยๆ ร้องว่ามันจะต้องการค่าโดยสารเพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่ง มิฉะนั้นจะล่มเรือเสีย ทันใดนั้นชาวอเมริกันคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างหลวงวิเศษฯ ไหวทัน ชักปืนพกขึ้นจ้องขู่ไว้ บังคับให้อ้ายทมิฬพาเราไปส่งจนถึงฝั่ง อ้ายมหาวายร้ายเห็นท่าเขาจะเอาจริงก็กระทำตาม พลางก็หวัวเราะแสยะให้เห็นฟันอันใหญ่ขาวทุกซี่ พอถึงฝั่งก็มีอ้ายมหาโกงทุกชะนิดมาร้องอะไรต่ออะไรใส่หูเราจนเซ็งแซ่ บ้างก็ขอให้แลกเงิน บ้างก็ขอให้เอารถของมันไปเที่ยว มันประมูลกันเองจนสนั่น.

เรา - หลวงวิเศษฯ กับข้าพเจ้า - ตกลงว่าเช่ารถยนตร์ได้คันหนึ่ง ให้อ้ายมหาวายร้ายตนหนึ่งขับพาเราไปเที่ยว พอไปได้สักครู่ใหญ่ๆ มันพาเราไปหยุดอยู่ในสวนมะพร้าวแห่งหนึ่ง ขู่ว่าถ้าเราไม่เสียค่าโดยสารเพิ่มขึ้นกว่าที่ได้ตกลงกันไว้อีกเท่าหนึ่งแล้ว มันจะปล่อยให้เราเดิรกลับ ส่วนเราก็ไม่รู้ว่ามาตกอยู่แห่งหนตำบลใด ปืนก็ไม่มีจะบังคับให้อ้ายสัตว์ตนนี้จำนนได้ เลยต้องยื่นเงินให้มันตามต้องการ แล้วจึงได้นั่งรถต่อไปอีกได้.

ตามที่ท่านทราบอยู่แล้ว เกาะลังกาหรือที่เรียกว่าซีลอน มีวัดในพระพุทธศาสนาอยู่แห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงที่สุด ไม่ว่าชาวต่างประเทศใดๆ ต้องไปเยี่ยมชมทั้งสิ้น และที่วัดอันศักดิ์สิทธิ์นี้เองคือสถานที่ซึ่งอ้ายพวกมหาวายร้ายใช้เป็นเครื่องกำบังความทุจจริตต่างๆ ของมัน มีพวกที่คอยพาเราไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ในวัดโดยคิดค่าจ้างอย่างแพง และลักขะโมยไม่ว่าอะไร บางทีก็เอาซึ่งๆ หน้า ถ้าท่านจะต้องการเงินทอนจากธนบัตรของท่านในเมื่อจะจ่ายค่าพาไปเที่ยวชมสิ่งของแล้ว อ้ายพวกนี้เป็นต้องบอกว่ามีเสมอ พอยื่นให้มันๆ ก็บอกว่าจะไปเอาเงินทอนที่เจ้าพนักงาน แล้วก็วิ่งหายหน้าไป ถึงท่านจะรออยู่ตั้งครึ่งวัน มันก็ไม่ปรารถนากลับ.

พอกลับมาถึงโฮเต็ล ท่านก็ถูกเจ้าพวกคนใช้ที่นุ่งกะโปรงผ้าขาวเสื้อขาวไว้มวย สับหวีโค้งอันเท่ากะด้งโกงเอาอีกตั้งหนึ่ง ถ้าท่านจะทิ้งจดหมายไปบ้านจากเมืองลังกาและทิ้งที่โฮเต็ลนั้น มันเป็นต้องบอกว่าแสตมป์ไม่มี หมดเสียแล้ว แต่สักครู่จะไปหามาให้ ขอให้ท่านมอบจดหมายไว้กับอ้ายเสมียนแต่งตัวเรียบร้อยคนหนึ่ง แล้วมันก็จะปิดแสตมป์ทิ้งไปให้ ถ้าท่านมอบเงินมอบจดหมายให้แล้ว ก็เป็นอันว่าศูนย์ จดหมายของท่านจะต้องอยู่ในกะจาดมูลฝอย นี่คือเกาะลังกาท่านเอ๋ย!

จากโคลัมโบไปหกวันก็ถึง ด๎ยีบูตี้ คือเมืองท่าเล็กๆ ของรัฐบาลฝรั่งเศสตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของทวีปอาฟริกา เมืองนี้ไม่มีอะไรนอกจากทรายและภูเขา อากาศร้อนจัดและได้ข่าวการโกงต่างๆ เกือบไม่แพ้โคลัมโบ เราจึงไม่ปรารถนาจะขึ้นไปเที่ยว พอเรือจอดได้สักครู่ในระหว่างที่พวกกุลีกำลังขนถ่านขนสะเบียงอยู่ชุลมุน มีพวกเด็กชาวอาฟริกันหลายคน ล้วนรูปร่างผอมเกร็ง ผมเป็นสีแดงไม่ผิดเส้นเปลือกมะพร้าวแห้งและตาแดงจัดเพราะอยู่ในน้ำเกือบตลอดวันทุกวัน กำลังว่ายน้ำและวิ่งอยู่เสียงสนั่นหวั่นไหว พวกที่อยู่ในน้ำก็ร้องตะโกนขอให้เราโยนเงินลงไปแล้วจะดำน้ำลึกเท่าลึกไปคาบเอาขึ้นมาให้เราเห็นได้ในชั่วพริบตาเดียว พวกที่อยู่บนดาดฟ้าเรือก็ร้องขอเงิน พอได้เงินแล้วก็ปีนขึ้นไปบนยอดเรือ กะโจนลงมาจากเบื้องบนสุดถึงน้ำ บ้างก็เอาศีรษะพุ่งลง บ้างก็เอาเท้าลงแล้วแต่เราจะต้องการ เรืออยู่ที่ด๎ยีบูตี้เพียงสี่ชั่วโมงก็ออกตัดตรงไปสุเอส.

พอออกจากด๎ยีบูตี้ก็ถูกลมมรสุมใหญ่ ทำให้เรือโคลงเคลงอยู่ราวแปดชั่วโมง มีพายุ มีฝนจัดอยู่สักครู่ใหญ่ๆ เคราะห์ดีที่ข้าพเจ้าไม่เคยเมาคลื่น ในระหว่างที่ทะเลกำลังร้าย ข้าพเจ้ามักจะเดิรขึ้นไปดูบนดาดฟ้า บางทีก็พบนายช่างกลใหญ่ บางทีก็นายเรือหรือที่เรียกกันว่ากัปตัน เขาต่างชมเชยว่าข้าพเจ้าเคราะห์ดีมากเพราะนี่เป็นการออกทะเลครั้งแรกสำหรับข้าพเจ้า เมื่อลมมรสุมผ่านพ้นไปแล้ว ทะเลแดงก็เงียบสงบอากาศร้อน ดวงทินกรส่องแสงกล้า ไม่ว่าเราจะมองไปทางซ้ายหรือขวาก็พบแต่ปลาต่างๆ เล็กโตทุกขนาดกะโจนแล่นอยู่ใกล้และไกลเรือเป็นฝูงๆ พอเรือวิ่งอยู่ในทะเลแดงนานเข้า อากาศก็ยิ่งร้อนจัดเข้าทุกที ตกกลางคืนเราทนนอนในห้องนอนไม่ไหวต้องขึ้นมานอนอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบที่ดาดฟ้าเรือทุกคน เรานอนเรียงกันเป็นแถวหลายสิบคนตั้งแต่หัวเฉลียงจดท้าย ข้างๆ ข้าพเจ้านอกจากหลวงวิเศษฯ แล้ว ยังมีบุรุษชาวอเมริกันคนที่ไปกับเราในเรือบดที่โคลัมโบ เราคุยกันอยู่จนดึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เราได้พบเห็นมาแล้ว.

“ทำไมพวกท่านถึงชอบไปเรียนแต่ที่เมืองอังกฤษ?” เขาถาม “ฉันไม่เข้าใจได้เลยว่าเมืองอังกฤษจะดีไปกว่าอเมริกาเท่าไร”

“เปล่า ตามที่ได้ทราบกันอยู่ระหว่างพวกนักเรียนไทย” ข้าพเจ้าชี้แจง “เรารู้สึกว่าชาวอเมริกันรังเกียจผิวมาก ผิวของเราดำนี่ท่าน”

“จริง ฉันยอมรับว่าพวกเราออกจะใจแคบสักหน่อยในเรื่องพรรค์นี้” เขาตอบอย่างสุภาพ “เพราะพวกเราไม่มีโอกาสได้เห็นและรู้จักชาวตะวันออก ไม่ได้เดิรทางไปในที่ต่างๆ และโดยมากไม่ได้รับการศึกษาเพียงพอที่จะทำให้เป็นผู้มีใจกว้าง แต่ก็ผิวท่านไม่ดำเลยนี่ท่าน ฉันไม่เชื่อว่าใครในโลกเขาจะมาเดาเอาว่าท่านเป็นแขกนิโกรหรือฮินดู อาจถือว่าท่านเป็นจีนหรือญี่ปุ่นมากกว่า ทำไม ถึงแม้ว่าในอเมริกา ถ้าท่านจะไปศึกษาท่านก็คงได้รับความสุขเช่นเดียวกับเมืองอังกฤษ ใช่ว่าชาวอเมริกันจะดูถูกผิวของท่านไปทุกคนเมื่อไร ที่บอสตัน, ซานฟรานซิสโก หรือที่เมนน์ ท่านอาจหาครอบครัวอเมริกันอยู่ด้วยได้ ฉันเชื่อว่าเขาจะชอบท่านมากเสียอีก”

มิสเตอร์วิลเลียมดับเบิลยู ฮัตจินสัน พรรณนาให้ข้าพเจ้าฟังถึงความดีงาม ความเจริญ ของประเทศอเมริกาอยู่จนดึก ชักชวนให้ข้าพเจ้าไปเรียนที่นั่น แล้วนำเอาการศึกษาอเมริกันมาเผยแผ่ในเมืองไทย ชาวอเมริกันเป็นคนซื่อ เขาเสริม จะพูดจาอะไรก็ตรงๆ ทำให้เราเข้าใจได้ง่าย ชาวอเมริกันแม้จะมีความไม่ดีไม่งามอยู่ร้อยแปดก็ไม่ใช่น้ำตาลเคลือบยาพิษ การที่เราจะไป ‘เอา’ การศึกษาที่อเมริกา ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปศึกษาชาวอเมริกันและสิ่งต่างๆ แต่เพียงผิวๆ เราต้องการจะศึกษาความรู้สึกภายใน--ความรู้สึกอันบริสุทธิ์และแท้จริงของชาวอเมริกัน คนอเมริกันที่รังเกียจผิว ถ้าจะเรียนดูให้ซึ้งก็อาจเห็นได้ว่า เขารังเกียจไปอย่างไม่ได้นึกได้ฝันว่าจะถูกหรือผิดหรือจะรังเกียจไปทำไป ถ้าเรา - คนไทย - สามารถจะทำให้ชาวอเมริกันหมู่มากเข้าใจเราได้ -- สามารถพูดให้เขารู้ว่าเราเป็นใคร ชาวอเมริกันจะไม่รังเกียจผิวของเราเป็นอันขาด

มิสเตอร์ ฮัตจินสันพูดไป -- พูดไปเรื่อย ในที่สุดเราทั้งสองก็เพลียหลับกันไปเอง แต่ - เมื่อข้าพเจ้าจะไปเรียนกฎหมายเมืองอังกฤษและมีเงินอยู่เพียงสองหมื่น ข้าพเจ้าจะมีโอกาสได้ไปเมืองอเมริกาละหรือ?

สี่วันต่อมาเรือก็ถึงสุเอส เมืองอียิปต์ ที่นี่เรือจอดอยู่ประมาณ ๓-๔ ชั่วโมง เพื่อจัดการเสียภาษีผ่านคลองจากทะเลแดงไปเข้าทะเลเมดิเตอเรเนียน มีผู้โดยสารในเรือเราหลายคนลงเรือที่นั่น ขึ้นรถไฟไปเมืองไคร์โร เมืองหลวง แล้วก็ขึ้นรถไฟไปลงเรือปอร์ตเสดเพื่อโดยสารต่อไปจนถึงยุโรป ข้าพเจ้าจำได้ว่าเราเข้าคลองซูเอสตั้งแต่เวลาค่ำ เพราะเวลากลางวันอากาศร้อนเกินไป คืนนั้นลมพัดเย็นสบาย ศศิธรส่องแสงอยู่จรัสจ้า เวลาเรือแล่นไปช้าๆ ทำให้แลเห็นทะเลทรายทั้งสองฟากคลองงามมาก แม้จะไม่มีต้นไม้หรืออะไรเลยนอกจากภาพอันว่างเปล่า ฟ้ากับทราย บางคราวแสงศศิธรทอรัสมีอันนวลทำให้เราเห็นทะเลทรายในระยะอันไกลเป็นสระแก้วสระน้ำอันใสมีเงาอยู่แวววาม ข้อนี้เป็นความจริง ใกล้รุ่ง เราก็ผ่านเมืองอาเล็กซานเดรีย ซึ่งพระนางเค๎ลโอพัตราได้ทรงเยี่ยมเยือนและโปรดปรานมาแล้วในพงศาวดารชาวไอยคุปต์ที่เกี่ยวกับพระเจ้ายุเลียสซีซาแห่งชาวโรมัน ราวสิบนาฬิกาก็ถึงปอร์ตเสด พอเรือจอดในเวิ้งน้ำ (Breakwater) เราก็เห็นรูปอนุสสาวรีย์ เดอเลเส็ปป ผู้บุกบั่นจัดทำคลองซูเอสจนสำเร็จ ครั้นแล้วเรือก็ออกแล่นอยู่ในทะเลเมดิเตอเรเนียนตัดตรงไปยังเกาะครีต ประเทศกรี๊ก และอิตาลี.

เมื่อเรือใกล้จะถึงยุโรป อากาศดูยิ่งเย็นสดชื่นเข้าทุกที ท้องฟ้าปลอดโปร่งปราศจากเมฆ ดวงจันทร์ส่องแสงอยู่กระจ่าง ท้องทะเลก็ยิ่งทำให้ภาพต่างๆ อันอยู่รอบเรางดงามยิ่งนัก พวกคนโดยสารต่างจัดแจงแต่งกายกันเสียอย่างงดงาม เพราะเราได้ผ่านพ้นอากาศอันอบอ้าวมาแล้ว และใกล้จะถึง-เมืองสวรรค์-? ทุกราตรีเขาเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน ส่วนข้าพเจ้าชอบไปนั่งดูด้วยเสมอ หลวงวิเศษฯ เป็นผู้ที่เคยไปราชการเมืองนอกมาหลายครั้งและชอบเต้นรำ จึงสนุกสนานไปกับเขาด้วย

ต่อมาสองสามวันเรือผ่านเกาะครีต ประเทศกรี๊ก ภูเขาไปสต๎รอมโมลี แล้วเข้าช่องแคบเมซีน่า ประเทศอิตาลี ช่องแคบนี้มีภูมิภาพงามที่สุดที่ข้าพเจ้าได้เห็นมา ฟากหนึ่งเป็นเมืองซึ่งมีภูมิที่เป็นภูเขา ปลูกส้มชะนิดต่างๆ ไว้เป็นทิวสูงต่ำ อีกฟากหนึ่งมีภูเขาไฟซีซีลี และเมืองเมซีน่าอันเป็นเมืองเก่า มีค่ายและตึกโบราณที่ชำรุดหลายสิบชะนิด พอออกจากช่องแคบเมซีน่า เรือก็แล่นบ่ายหน้าไปยังเมืองมาเซลล์ ประเทศฝรั่งเศส

ในระหว่างที่ยังอยู่ในเมืองไทย และในระหว่างเดิรทางผ่านบ้านเมืองต่างๆ มาจนถึงน่านน้ำยุโรป ข้าพเจ้าเคยเชื่อ เคยนึก เคยฝันอยู่เสมอว่า เมืองนอก - เมืองอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมันนี อิตาลี ฯลฯ เหล่านี้ - คงจะเป็นเมืองสวรรค์ -- สวรรค์ทั้งความงาม ความสมบูรณ์มั่งคั่ง ปราศจากสิ่งต่างๆ ที่จะทำให้ชีวิตขมขื่น โลกใหม่ที่ข้าพเจ้าจะไปคงจะเป็นเมืองสวรรค์เป็นแท้ ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กและไม่ได้รับการศึกษาดีพอที่จะทราบถึงเรื่องรายละเอียดของมหาสงครามซึ่งต่อสู้กันในยุโรปตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๑๔ ถึง ค.ศ. ๑๙๑๙. ไม่สามารถจะเล็งเห็นได้ถึงความยากแค้นยุ่งยากอันเกิดขึ้นแก่ประเทศต่างๆ เนื่องจากสงครามนั้น พอถึงมาเซลล์ ความจริงก็ปรากฏขึ้นเด่นจ้าทีเดียว ! มาเซลล์ ! มาเซลล์ ! !

เช้าราว ๘ นาฬิกาเศษเรือก็เทียบท่า มีคนมารับวงศ์ญาติของตนยืนอยู่แออัดปนเปกันไปกับพวกกุลีที่จะดูแลจัดการเรื่องผูกเชือกเรือและขนของ ผ้าเช็ดหน้าโบกปลิวกันอยู่ไสว เสียงเรียกชื่อกันอยู่ทั่วไปด้วยสำเนียงอันประสานไพเราะ สักครู่ก็มีนายแพทย์และเจ้าพนักงานสองสามคนขึ้นมาตรวจเรือ พอเห็นว่าเรียบร้อยก็อนุญาตให้เราลงได้.

“วันนี้ท่านสองคนจะพักอยู่ที่โฮเตลไหน?” ชายชาวอเมริกันเพื่อนของเราถามหลวงวิเศษฯ “ท่านจะจับรถไฟไปปารีสคืนนี้ไม่ใช่หรือ?”

“ครับ” หลวงวิเศษฯ ตอบ “แต่วันนี้ยังไม่ได้ตกลงใจว่าจะไปพักอยู่ที่ไหน”

“ไปอยู่โฮเตล เดอวิลล์ กับฉันเถอะ” มิสเตอร์ฮัตจินสันชวน “ไม่แพงอะไรดอก ถูกนิดเดียวและสนุกดีด้วย”

“เอาซีครับ” เรากล่าวรับรอง.

“แล้วท่านคงต้องการจะส่งโทรเลขไปที่สถานทูตไทยในกรุงปารีส ให้มารับที่สถานีเมื่อท่านถึงเพราะท่านมาในนามรัฐบาล”

“ครับ”

“ดีทีเดียว ฉันจะจัดการให้ที่โฮเต็ลทั้งสิ้น วันนี้เราเที่ยวดูมาเซลล์กันเถอะ ฉันจะรับอาสาเป็นผู้พา ฉันรู้จักมาเซลล์และประเทศฝรั่งเศสดีที่สุดคนหนึ่ง”

“ดีจัง ขอบใจครับ” หลวงวิเศษฯ ตอบ แล้วเราก็ว่าจ้างกุลีขนของบรรทุกรถเช่าไปโฮเต็ลเดอวิลล์กับมิสเตอร์ฮัตจินสัน เพื่อนอเมริกันของเราพูดภาษาฝรั่งเศสพอให้คนขับรถเข้าใจได้ จึงเป็นอันว่าเรียบร้อย.

แม้ว่าระยะทางจากท่าเรือไปโฮเต็ลเดอวิลล์จะเพียงครู่เดียวก็จริง ในระหว่างนั่งมาในรถ ภาพต่างๆ ที่เห็นทำให้ข้าพเจ้าถามตัวเองหลายครั้งด้วยความพิศวงสนเท่ห์ว่าเมืองนอกคือเมืองสวรรค์จริงละหรือ ?

ในระหว่างมหาสงคราม ประเทศฝรั่งเศสและเบลเยียมได้รับความชอกช้ำอย่างสาหัสยิ่งกว่าประเทศอื่น สงครามได้ต่อสู้กันในประเทศทั้งสองนี้ตลอดตั้งแต่ต้นจนอวสาน และยังคงเหลือเท่าแห่งความพินาศไว้ให้โลกเห็นจนทุกวันนี้ เวลาที่ข้าพเจ้าไปถึง มาเซลล์คงยังอยู่ในสภาพแห่งความอัปปาง ถนนก็ขรุขระเต็มไปด้วยฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่างๆ ผู้คนก็ดูขัดสนเดิรกันเกลื่อนไปหมดไม่ว่าที่ไหน บ้างก็อด บ้างก็พอประทังชีพไปได้วันหนึ่งๆ บ้างก็เป็นนักเลงหัวไม้เกกมะเหรก เที่ยวข่มเหงผู้สัญจรไปมาถ้าได้โอกาส ข้าพเจ้าจะวาดภาพเมืองมาเซลล์ให้ท่านเห็นแต่เพียงเท่านี้ เพราะข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ท่านรู้สึกเศร้าใจเช่นเดียวกับข้าพเจ้าเมื่อเวลานั้น.

พอกลางคืนเวลาแปดนาฬิกา เราก็โดยสารรถไฟตัดตรงไปยังกรุงปารีส.

เราอยู่ในรถสิบหกชั่วโมงเต็ม จึงได้ถึงปารีส ที่สถานีมีข้าราชการสถานทูตหนุ่มคนหนึ่งมารับเรา พอรถจอดก็ได้ยินเสียงนกหวีด เสียงพวกกุลีและเสียงพวกที่มาต้อนรับดังกันอยู่จนไม่เป็นส่ำ แม้ว่าเวลานั้นจะเป็นเวลาเที่ยงวันก็จริง ภายในสถานีดูมืดและอบอ้าวเต็มไปด้วยควันและเท่าถ่าน เสียงรถจักรที่วิ่งสับเปลี่ยนกันไปมาทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกหวาดและตกใจไม่น้อย สักครู่ก็ได้ยินเด็กร้องขายหนังสือพิมพ์เพิ่มขึ้นมาอีกเสียงหนึ่ง.

“นี่ ท่านอยู่ที่ไหน จะไปสถานทูตไทยหรือ?” เพื่อนอเมริกันของเราถามข้าพเจ้า เมื่อเราจะจับมือลากัน.

“ครับ พบผมได้ที่นั่น” ข้าพเจ้าตอบ.

“มีคนพาเที่ยวดูปารีสแล้วหรือยัง?” เขาถามด้วยน้ำเสียงอันกรุณา.

“ยังนึกไม่ออกว่ามีใคร” ข้าพเจ้าตอบ.

“งั้นพรุ่งนี้เช้าสิบเอ็ดโมงฉันจะไปหา รออยู่นะ”

ครั้นแล้วเราก็ลากัน ต่างคนต่างไป นายละออฯ ผู้ช่วยทูตพาเราขึ้นรถเช่าขับไปสถานทูตที่ถนน รูย์ เกรอส นัมเบอร์แปด สถานทูตปิดมืดทึบ อากาศดูไม่บริสุทธิ์ไปทุกหนทุกแห่ง ข้าพเจ้านั่งเฝ้าท่านราชทูตอยู่เพียงหนึ่งชั่วโมงก็รู้สึกเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม ท่านราชทูต - พระองค์เจ้าจรูญฯ - ทรงพระกรุณาแก่ข้าพเจ้ามาก ทรงปราศรัยด้วยเป็นอันดี เนื่องจากที่ได้เคยเป็นมิตรสนิทสนมกับท่านบิดา รับสั่งว่ายินดีที่จะทรงช่วยเหลือข้าพเจ้าทุกเมื่อ เราพักอยู่ที่สถานทูตเป็นสุขอยู่เป็นเวลาเกือบสัปดาห์หนึ่ง.

รุ่งขึ้นจากวันที่เราไปถึง เวลาสิบเอ็ดนาฬิกาตรง มีคนมาบอกข้าพเจ้าที่ห้องนอนว่ามีฝรั่งชาวอเมริกันมาหา ข้าพเจ้าทราบได้ทันทีว่ามิสเตอร์ฮัตจินสันเพราะยังไม่เคยรู้จักฝรั่งอะไรอื่นในโลกนี้ ฮัตจินสันพาข้าพเจ้าขึ้นรถดูสถานที่ต่างๆ ในกรุงปารีส และหยุดพักรับประทานอาหารในภัตตาคารโปคาดีที่กร็องบูลวาร์ด์ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น เป็นสุขอย่างไม่เคยคาดว่าจะเป็นได้ถึงเพียงนั้น ในระหว่างนั้นข้าพเจ้าเคยถามตัวเองว่าข้าพเจ้าได้ทำความดีความชอบอะไรไว้หนอจึงได้รับความกรุณาจากชายต่างชาติผู้นี้ถึงเพียงนี้ เราพูดภาษาอังกฤษกันเรื่อย เวลานั้นข้าพเจ้าฟังพอเข้าใจแต่พูดติดกุกๆกักๆ พอผิดลงครั้งไร ----และผิดบ่อยๆ - ฮัตจินสันเตือนให้อย่างเพื่อน เราเที่ยวกันได้อย่างสนิทสนมตั้งแต่เช้าจนเย็น.

พอกลับมาถึงสถานทูตตอนกลางคืน ข้าพเจ้าพบนักเรียนหลายคนกำลังนั่งคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น เขาเห็นข้าพเจ้าเป็นนักเรียนใหม่จึงไม่ปรารถนาจะไต่ถามพูดจาด้วย ข้าพเจ้าเข้านอนและยังคงถามตนเองอยู่เรื่อยๆ ว่าเมืองนอกจะเป็นเมืองสวรรค์จริงละหรือ-?

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ