หูหนวกทั้งสี่

ชาวนาหูหนวกคนหนึ่ง ไล่ฝูงแกะไปเลี้ยงในทุ่งใกล้ๆ บ้าน คอยเมียซึ่งจะเอาข้าวมาส่งก็ไม่เห็นมา จนเวลาเลยเที่ยงไปมาก ครั้นจะกลับไปกินบ้าน อยู่ทางนี้ไม่มีใครเฝ้าแกะ อุตส่าห์คอยไปอีก ท้องยิ่งหิวจัดทนไม่ไหว ต้องเดินอุบายขอไปที คือมีคนยามที่ละแวกบ้านนั้นมาตัดหญ้าให้วัวของตนกินอยู่ข้างลำธาร ชายเลี้ยงแกะตรงเข้าไปหา ขอให้คนยามช่วยดูแลแกะให้สักครู่ สัญญาว่ากลับมาจะให้รางวัลสมกับค่าป่วยการ แท้ที่จริงชายเลี้ยงแกะก็ไม่สู้จะไว้ใจคนยามนัก แต่จำเป็นเพราะหาใครดูไม่ได้

คนยามเจ้ากรรมเผอิญหูหนวกเหมือนกัน ฟังเสียงชายเลี้ยงแกะพูดไม่เข้าใจ สำคัญไปอย่างหนึ่งมีความโกรธนักโกรธหนา พล่อยปากออกมาว่า “หญ้านี่ เอ็งเป็นเจ้าของด้วยหรือ? ตัดเกือบตาย จะมาเอาไปใครจะยอม หนอยแน่ จะเอาไปเลี้ยงแกะ ส่วนงัวของกูสิ มึงจะปล่อยให้อดตาย เป็นเจ้าหัวใจนี่ ไป!” พูดพลางทำไม้ทำมือไล่ให้ไป

ชายเลี้ยงแกะเข้าใจว่าคนยามรับธุระ ดีใจห้อมาบ้าน นึกว่าถึงบ้านจะฉลองเมียเสียด้วยไม้ให้สะใจสมกับที่เฉยเมยไม่ส่งข้าวให้กิน ถึงบ้านเห็นเมียนอนแผ่อยู่ข้างประตูกำลังจุกอัดๆ เพราะกินถั่วดิบเข้าไปมาก

ชายเลี้ยงแกะพอเห็นเมียเจ็บเลยหายโกรธ กุลีกุจอช่วยเมียแล้วหาข้าวกินเอง ในใจเป็นห่วงแกะที่มอบให้คนยามรักษาไว้กลัวจะถูกโกงรีบกินข้าวแล้วทิ้งเมียกลับมา เห็นฝูงแกะยังกินหญ้าอยู่ที่เก่านับตัวดูครบ ดีใจมาก ถึงกับเปล่าวาจา “คนยามคนนี้ซื่อสัตย์แท้ๆ หายากนักคนชนิดนี้ สัญญาว่าจะให้รางวัล ต้องให้ ต้องให้” มองไปเห็นแกะตัวหนึ่งขาหัก แต่อ้วนพีดี ตรงเข้าคว้าแกะตัวนั้นขึ้นแบกบ่า พามาหาคนยาม พลางพูด “แกแลดูแกะฉันเรียบร้อยดีมาก นี่แน่ะ ฉันสมนาคุณแก แกะตัวนี้”

คนยามเห็นคนเลี้ยงแกะเอาแกะขาหักมา และทำปากหมุบหมิบด้วย สำคัญว่าแกต่อว่า ขมวดคิ้วพูด “นี่ธุระอะไร อยู่ดีๆ หาความว่าทำแกะขาหัก สบถให้ได้ว่าอยู่ที่นี่ไม่ได้ไปไหน ไม่ได้เข้าไปข้องแวะกับฝูงแกะของแกสักนิด”

คนเลี้ยงแกะ- “จ้ะ อ้วนพีน่ากิน เอาไปเลี้ยงกันได้อิ่มทีเดียวตัวหนึ่ง”

คนยามโกรธใหญ่- “บอกแล้วว่าไม่ได้เข้าไปใกล้แกะ ยังจะหาว่าทำแกะขาหักอีก ไป ไป เดี๋ยวก็-” เงื้อมือทำท่าจะเอาจริง

ชายเลี้ยงแกะเห็นเจ้าเพื่อนกันทำท่าจะตี คิดไม่ออกว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ตั้งท่าคอยรับกำปั้นป้องกันตัว จักแหล่นจะลงมวยกันแล้ว พอดีมีใครขี่ม้าผ่านมา ทั้งสองร้องให้คนขี่ม้าหยุดก่อน ชายเลี้ยงแกะตรงเข้าจับบังเหียนม้า ร้องทุกข์ “ท่านที่นับถือ กรุณาฟังเรื่องที่ฉันจะเล่าให้ฟังสักครู่ว่าใครผิดใครถูกกัน ฉันนำแกะมาให้ชายคนนี้ด้วยคิดถึงคุณที่ช่วยเหลือบ้างเล็กน้อย อยู่ดีๆ กลับจะมาตีกัน”

ถึงคราวคนยามให้การบ้าง “ไอ้ขี้ข้าคนนี้ ไม่ได้ทำอะไรให้มันสักนิด หาความเอาว่าทำแกะของมันขาหัก ใครบ้างจะไม่โกรธ”

ชายขี่ม้าที่ทั้งสองขอให้เป็นตุลาการ ซ้ำร้ายเป็นคนหูหนวกมากกว่าคนทั้งสองอีก ฟังความไม่รู้เรื่องสักคำเดียว ตอบ “จริง จริง ยอมรับว่าม้าที่ขี่มานี้ไม่ใช่ของฉัน เห็นเดินเพ่นพ่านอยู่ตามถนน ฉันต้องการจะรีบไป ก็กระโดดขึ้นหลังห้อมา ถ้าเป็นของท่านก็เอาคืนไปเถิด ฉันจะได้ไป อยู่ช้าก็จะเสียเวลามากขึ้น”

คนเลี้ยงแกะและคนยาม ต่างสำคัญว่าคนขี่ม้าตัดสินเข้าข้างคู่วิวาท เลยโกรธด่าว่าคนขี่ม้าเสียงโขมง หาว่าไม่ยุติธรรมเข้าข้างโน้น

กำลังป่วนกันอยู่ พอดีพราหมณ์แก่เดินมาทางนั้น ทั้งสามเห็นท่าทางภาคภูมิสมเป็นผู้ตัดสินเรื่องพิพาท จึงร้องขอให้หยุด ต่างคนต่างเล่า และอธิบายเรื่องของตนให้ตาพราหมณ์ฟัง และขอให้พูดออกมาว่าใครผิด

ตาพราหมณ์อีกนั่นและไม่แพ้คนทั้งสาม ตอบ “จ้ะ เข้าใจ เข้าใจ เมียฉันให้พวกท่านมาคอยห้ามฉันไม่ให้ไปและมาเชิญกลับบ้าน แต่ฉันลงได้ตั้งใจแล้วว่าไม่กลับก็เป็นไม่กลับ ให้พูดเสียให้ยากเป็นไม่ยอม เมียฉันมันเป็นคนสันดานอย่างไรก็รู้กันอยู่ไม่ใช่หรือ? ใครน่ะ เขาจะอยู่กับมันได้ แม่แปรดแท้ๆ ตั้งแต่ซื้อมันมา[๑] จะหาความสุขสักนิดก็ไม่มี มันทำฉันสร้างบาปจนนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น ไปนี่ตั้งใจจะไปเมืองพาราณสี ถึงที่นั่นนมัสการแล้ว จะชำระบาปเสียที่แม่คงคาให้มันบริสุทธิ์เสีย ต่อไปจะอาศัยขอเขากินในบ้านเมืองอื่น อยู่คนเดียวจนกว่าจะตาย ไม่ขอพบขอปะมันอีก”

กำลังทั้งสี่หูหนวกโก่งคอเถียงกันจ้าละหวั่น จนสุดเสียง ต่างคนไม่รู้เรื่องกัน คนขี่ม้าแลไปเห็นใครหลายคนวิ่งตามมาสอๆ กลัวว่าจะเป็นเจ้าของม้าที่ตนลักมา ตกใจกระโดดจากหลังม้าวิ่งหนีตัวกลม

ฝ่ายชายเลี้ยงแกะรู้สึกว่าตะวันเย็นลงมาก เลยไม่พูดอะไรอีก ผละออกไปต้อนแกะที่เดินกินหญ้าแตกฝูงให้เข้าหมู่กันไล่กลับบ้าน เดินพลางบ่นพลางว่า ตุลาการแต่ละคนจะหายุติธรรมสักนิดไม่มี บ่นหนักเข้าก็นึกเลยไปเสียว่าตนเคราะห์ร้ายนั่นเอง เพราะเมื่อเช้านี้พบงูผ่านทางที่เดินไป[๒]

ส่วนคนยามเห็นคนขี่ม้าและคนเลี้ยงแกะกลับไป ตนก็จะไปบ้าง ตรงเข้าหอบหญ้าที่ตัดไว้ เหลือบไปเห็นแกะขาหักอยู่ที่นั่น เลยอุ้มเอาไปเสียด้วย นึกว่าเป็นเบี้ยปรับคนเลี้ยงแกะที่หาความตนเปล่าๆ

ถึงคราวตาพราหมณ์ แกก็ออกเดินของแกดุ่มๆ ต่อไปคนเดียว จนถึงศาลาใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง และหยุดพักนอนกลางคืนที่นั่น ได้นอนอิ่มเต็มตาหายอ่อนเพลีย ความที่โกรธเมียค่อยบรรเทาลง รุ่งเช้ามีพวกพราหมณ์ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงมาตาม พบอยู่ที่ศาลาพูดจาเล้าโลมต่างๆ ให้ตาพราหมณ์กลับบ้าน สัญญาว่าจะพยายามไม่ให้เมียประพฤติจู้จี้อีกต่อไป ตาพราหมณ์ใจอ่อนหายโกรธยอมกลับมา


[๑] ซื้อหรือแต่งงาน หมายความว่าอย่างเดียวกัน...Dubois เชิงอรรถ ๑ หน้า ๔๕๙

[๒] ถือเป็นลางร้ายที่สุด

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ