- ๑. กลต่อกล
- ๒. พราหมณ์กินพรหม
- ๓. ปราชญ์เถื่อน
- ๔. กรรมสูตร
- ๕. ท้าววิกรมาทิตย์ ตอนเลือกคู่
- ๖. กาไห๎น หลานพราหมณ์เฒ่า
- ๗. เทพธิดาอิตุ
- ๘. แพะ เสือ ลิง
- ๙. สองเจ้าบ่าว
- ๑๐. บรมแกว่น
- ๑๑. บรมเซอะ
- ๑๒. ธิดาของทัณฑนายก
- ๑๓. ตากาไห๎น พนักงานสวน
- ๑๔. หูหนวกทั้งสี่
- ๑๕. ต้องขโมยสามต่อ
- ๑๖. อาหารนางฑากินี
- ๑๗. มีความรู้หรือมีเชาว์ดี?
- ๑๘. โอรสพระราชากับบุตรทัณฑนายก
- ๑๙. นิ่งได้ก็ชนะ
- ๒๐. กังคลา
- ๒๑. สองเจ้าสาว
- ๒๒. ควายสองขา
- ๒๓. พราหมณ์กับกายัสถ
บรมแกว่น
พราหมณ์คนหนึ่ง ขัดสนจนยาก กรากกรำทำงานหนักทุกวัน จึงได้มาเลี้ยงลูกเมียพอประทังไป เมื่อลูกคนหัวปีได้หกหรือเจ็ดขวบ ตาแกส่งไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนในหมู่บ้านนั้น แต่เรียนอะไรไม่ได้สักอย่าง โดยมากมักหนีเที่ยวซุกซุนเกะกะระรานชาวบ้านร้านถิ่น พราหมณ์พ่อพยายามถึงที่สุด เพื่อให้ลูกเรียนหนังสือ แต่ไม่สมปรารถนา ยิ่งโตยิ่งเกียจคร้านทำรำคาญไม่หยุด พ่อเห็นไม่ได้เรื่อง จึงยักให้ไปเรียนวิชาโหร ทีแรกก็เอาใจใส่ดีอยู่ ได้ความรู้ไว้บ้าง ครั้นนานวันชักเบื่อหน่ายเป็นคนเกียจคร้านเข้าสันดานเดิม ตาพราหมณ์พื้นเสียสิ้นอาลัย พูดตัด “มึงนี่เกิดมาทั้งทีแสนริยำจนเกินริยำ กูจะมานั่งเลี้ยงมึงตลอดไปหรือ? นับวันนับจะแก่เฒ่าหมดกำลังวังชา แต่กระนั้นยังอุตส่าห์กัดฟันทนลำบากทำงานมาเลี้ยงมึงและน้องของมึง หมายว่าเติบโตขึ้นจะได้พึ่งพาอาศัยสักนิด มันไม่เอาถ่ายเสียเลย มึงไป ใสหัวไป ไปไหนช่างหัวมึงอย่ามาหากูอีกเป็นอันขาด” แกขับไล่ให้ออกจากบ้าน ลูกชายไม่ตอบสักคำ ออกไปโดยชื่นตา.
เด็กหนุ่มคนนี้ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยไปไหนเกินหมู่บ้านที่ตนอยู่ เพราะฉะนั้นทางจะไหนถึงไหนบ้างจึงไม่รู้ เป็นแต่เดินเซอะเซิงตะบึงไปทางหนึ่ง ไม่ต้องกะว่าจะไปถึงไหน ล่วงเข้าเวลาเที่ยงเดินทางมาได้โข คราวนี้รู้สึกเหนื่อยหิวโหยจัดขึ้น จำเป็นต้องพักผ่อนนึกว่าถ้าพบบ้านที่ไหนจะขอพัก ครั้นพบบ้านหลังหนึ่งก็เข้าไปเรียกที่ประตู.
เจ้าของบ้านเห็นพราหมณ์เป็นแขกมาหาในเวลาเที่ยงก็ออกมาเชื้อเชิญเป็นอันดี ให้นั่งและเอาน้ำให้ล้างเท้า จัดมะระกู่มาให้สูบ กับทั้งไปจัดหาของมาให้สำหรับทำอาหาร[๑] พราหมณ์หนุ่มล้างเท้าสูบมะระกู่แล้วก็ไปอาบน้ำ[๒] สักครู่กลับมาสวดมนตร์ภาวนาเวลาเช้าตามจารีตของพราหมณ์เสร็จ นั่งร้องเพลงเล่น คอยว่าเจ้าของบ้านจะไปหาของมาทำกับข้าว พราหมณ์หนุ่มเป็นคนร้องเพลงพอใช้ ได้ยินเข้าไปในห้อง ซึ่งมีหญิงแก่อยู่ แกชอบอกชอบใจ ออกมาถาม “พ่อคุณ ร้องเพลงเรื่องอะไร?”
พราหมณ์หนุ่ม- “อ๋อ! เรื่องรามายณ”[๓]
ยายแก่- “ดีทีเดียว ที่นี่มีหนังสือเรื่องรามายณกัณฑ์ลงกา[๔]อยู่เรื่องหนึ่ง บางทีจะอ่านเป็นทำนองเพราะให้ฟังได้บ้างกระมัง?”
พราหมณ์หนุ่ม- “ก็ยายจะชอบอย่างไหนเล่า อยากจะฟังตอนกัณฑ์ลงกาหรือว่าอยากจะดูเองทีเดียว”
ยายแก่- “โอย! พ่อคุณ อยากดูทำไมจะไม่อยาก แต่ที่ไหนจะได้ดูกัณฑ์ลงกาด้วยตัวเอง ตายเสียชาติหนึ่งคงไม่ได้พบ”
พราหมณ์หนุ่ม- “ไม่ยากอะไร ขอให้พูดคำเดียวว่า ‘อยากดู’ เท่านั้น ฉันจะทำให้เห็นทีเดียว”
ยายแก่ “ขอกรุณาได้เห็นด้วยเถิด พ่อมหาจำเริญ แหม! บุญของยายมากถึงกับจะได้เห็นกัณฑ์ลงกาวันนี้ พ่อมหาจำเริญต้องการอะไรบ้าง?”
พราหมณ์หนุ่ม- “ในหมู่บ้านแถบนี้ มีลิงบ้างหรือเปล่า?”
ยายแก่- “ลิงน่ะหรือ ทำไม เลี้ยงไว้ในบ้านก็ตัวหนึ่ง” แล้วแกรีบเข้าไปนำลิงมา.
ส่วนพราหมณ์หนุ่ม ชั้นต้นหุงข้าวกินเสียอิ่มแปล้ว่าเผื่อเสียด้วย ซึ่งวันนั้นทั้งวันจักไม่ต้องพึ่งบ้านนั้นอีก แล้วก็จับลิงเอาผ้าขี้ริ้วชุบน้ำมันพันเข้ากับหางจุดไฟโพลง พอไฟติดหาง เจ้าลิงร้อน โจนกระโดดพรวดพราดปีนขึ้นบนหลังคานี้เผ่นไปหลังคาโน้น เวลานั้นหลังคาตามบ้านแห้งกรอบคอยหาเหตุอยู่แล้ว พอกระทบไฟก็ได้ที่ ในไม่ช้าเหย้าเรือนในหมู่บ้านนั้นก็กลายเป็นเถ้าถมดินไป คราวนี้ไม่ต้องสงสัย ชาวบ้านต้องสืบสาวหาต้นไฟ ได้ความจากยายแก่จึงกลุ้มรุมกันจับพราหมณ์หนุ่ม.
พราหมณ์หนุ่มโกรธ ถาม “นี่ฉันไปทำอะไรให้จึงมาจับตัว?”
ชาวบ้าน- “ฉันไปทำอะไรให้ ทำจนบ้านช่องเป็นขี้เถ้าหมด ยังจะถามว่าทำอะไรอีก”
พราหมณ์หนุ่ม- “ก็บ้านมันไหม้ มันจะผิดอยู่กับฉันอย่างไร ไม่มีใครขอดูเรื่องกัณฑ์ลงกา บ้านมันจะไหม้ที่ไหน?”
ชาวบ้าน- “เสียเวลาพูดกับคนพรรณนี้ ไปรู้กันที่ศาล”
พราหมณ์หนุ่ม- “ไปก็ได้ ไม่เห็นขัดข้องอะไร”
ชาวบ้านพาตัวคุมไปในเมือง มาตามทางแดดร้อนจัดเข้าทุกที พราหมณ์เก็บเบี้ยใครทำตกได้หนึ่งเบี้ย สักครู่หนึ่งถึงสระน้ำพราหมณ์ขออนุญาตผู้คุมลงอาบน้ำ ชาวบ้านที่คุมตัวมายอมให้พราหมณ์หนุ่มเดินไปที่สระ พบยายแก่นั่งขายน้ำมัน[๕] พราหมณ์หนุ่มตรงเข้าไปขอซื้อน้ำมันเบี้ยหนึ่ง.
ยายเจ้าของน้ำมันโกรธ- “ไปตายเสียเถอะพามน[๖] ขอซื้อน้ำมันเบี้ยเดียว[๗] ใครเกิดมาเคยได้ยินบ้าง?”
พราหมณ์หนุ่ม- “นิดหนึ่งก็เอาเถอะยาย มีเงินมาเท่านี้จะทำอย่างไรได้”
ยายเห็นเป็นพราหมณ์จึงตักน้ำมันให้หน่อย แต่เวลาตักหยดลงดินไปสองสามหยด
พราหมณ์หนุ่มเห็นก็ต่อว่า “หกเสียเปล่า ยังมากกว่าที่ขายให้”
ยายแก่- “ให้มันหกไปยังดีกว่า เพราะน้ำมันหก อายุข้าจะยืน”
พราหมณ์หนุ่ม- “อ้อ! น้ำมันหก อายุยืน ไม่รู้นี่” ฉวยไม้ตีหม้อน้ำมันที่ตั้งแตกหมดสามหม้อ
ยายแก่ทั้งแค้นทั้งเสียใจที่เสียของ ปาวๆ เอาพราหมณ์หนุ่ม “ไอ้ริยำ! ไปตายเสียเถอะมึง[๘] ธุระอะไรมึงจึงมาทุบหม้อน้ำมันของกูแตกหมด ไอ้วายร้าย”
พราหมณ์หนุ่มทำตกตะลึง- “อ้าว! นี่ทำไมมาด่าได้ด่าเอา? หมายว่าทำคุณให้ยังจะโกรธอีก”
ยายแก่งุ่นง่านใหญ่- “ไอ้ตายโหง! ทุบหม้อกูแตกหมด ยังจะบอกว่าทำคุณให้โคตรอะไรของมึงอีก หา? ฮึม! เดี๋ยวแม่-ฮึม!”
พราหมณ์หนุ่ม- “ก็ทำไมจะไม่ทำคุณ เมื่อยายทำน้ำมันหกสองสามหยดบอกฉันว่าอายุจะยืน คิดดูซิ ที่ฉันช่วยทำหกให้ทั้งสามหม้อเต็มๆ อายุยายจะมิยิ่งยืนมากขึ้นอีกหรือ? ประการหนึ่งยายก็แก่มากจวนจะเข้าโลงแล้ว อายุยืนต่อไปอีกยังไม่ชอบหรือ?”
ยายแก่- “มึงไม่ต้องพูดมาก ต้องไปถึงพระเจ้าแผ่นดินด้วยกัน นั่นแหละมึงจะรู้สำนึกตัว”
พราหมณ์หนุ่ม- “ตามใจ”
คราวนี้คดีเพิ่มจำนวน ยายแก่ขายน้ำมันโจทก์ขึ้นอีกคนหนึ่ง พากันมาตามทาง พราหมณ์หนุ่มเก็บเบี้ยได้อีกสองเบี้ย ดีใจร้องขอผู้คุมไปซื้อหมากสักหน่อย ผู้คุมอนุญาต ที่ใกล้นั้นมีคนชาวฮินดูสตานีนั่งขายหมากพลู พราหมณ์หนุ่มตรงเข้าไป ยื่นเบี้ยให้สองเบี้ย พลางพูด “ขอซื้อหมากที่อร่อยๆ สองเบี้ยเถิด”
คนขายหมากพื้นเสีย “แกนี่บ้าหรือ? มีมาสองเบี้ยเท่านั้นมาขอซื้อหมากกิน ไป ไป เห็นใครเขากินหมากปากแดงก็เอาลิ้นไปเลียเขา นั่นแหละเป็นราคาสองเบี้ย ออกไป”
พราหมณ์หนุ่มหันไปหันมา เห็นเมียคนขายหมากกินหมากปากแดงนั่งอยู่ในร้าน ตรงเข้าไปจะเลียปากผู้หญิง ผัวแลเห็นโกรธ ทำไมกะมัน กรากเข้ามาขวางด่าเอ็ด-“ไอ้ทรลักษณ์ กล้าอย่างนี้ทีเดียวหรือ? มึง”
พราหมณ์หนุ่มทำหน้าตื่น- “มาด่ากันทำไม? บอกให้มาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น”
คนขายหมากตัวสั่น- “ดีละมึง ไปศาลเทียว”
พราหมณ์หนุ่ม- “ไปก็มาซิ”
คราวนี้กระบวนแห่ออกเดินต่อไป มีชาวบ้านถูกไฟไหม้บ้าน ยายแก่ขายน้ำมัน ชายขายหมาก ล้วนเป็นโจทก์คุมพราหมณ์หนุ่มมาทั้งนั้น สักครู่ใหญ่ๆ ก็ถึงศาล เข้าไปแจ้งเรื่องที่เป็นมาแก่เจ้าหน้าที่ พระเจ้าแผ่นดินประทับอยู่ที่นั่นด้วย ทรงทราบเรื่อง มีรับสั่งให้พาตัวพราหมณ์ไปทำโทษเสียบเป็น แต่วันนั้นเย็นเสียแล้ว การทำโทษจึงเลื่อนไปในวันรุ่งขึ้น แต่ในระหว่างนั้นพระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งให้เอาตัวพราหมณ์หนุ่มมัดไว้กับหลัก.
พราหมณ์หนุ่มต้องถูกมัดแน่นอึด ได้สำนึกตัวติโทษตนเองที่ไม่ควรจะกระทำชั่ว กำลังรำพึง[๙]เป็นทุกข์ แลไปเห็นชายหลังโกงเดินมา จึงตะโกนเรียก “ท่าน ท่านคนนั้นน่ะ อย่าว่ากะไรเลย เชิญมานี่หน่อยเถิด”
ชายหลังโกงได้ยินก็ตรงเข้ามา.
พราหมณ์หนุ่ม- “ท่านที่นับถือ อย่าว่ากะไรเลย กรุณาคลำหลังฉันดูทีเถิดว่าหายโกงแล้วหรือยัง”
ชายหลังโกงคลำจนทั่วแล้วตอบ- “คลำดูทั่วแล้วไม่เห็นโกงที่ตรงไหน”
พราหมณ์หนุ่ม- “แน่หรือท่าน ช่วยคลำดูอีกทีเถอะ”
ชายหลังโกงพลอยไม่แน่ใจไปด้วย คลำอีก ตานี้ค่อยๆ คลำกลับไปกลับมาหลายเที่ยว- “ไม่มีเค้าว่าโกงสักนิดเดียว”
พราหมณ์หนุ่มทำเป็นโล่งใจ “แหม! ท่าน โล่งใจจริงๆ เมื่อก่อนที่หลังฉันเป็นหนอกโปโกงจนน่าเกลียด ได้วานเขามาผูกไว้กับหลักนี้เลยหายโกงราวกับปลิดทิ้ง เห็นไหม? ศักดิ์สิทธิ์จริงหลักอันนี้เกิดมาพึ่งมารู้ว่าเป็นของวิเศษ”
ชายหลังโกง- “ศักดิ์สิทธิ์จริงอย่างพูดเทียวหรือ? ถ้าจริงอย่างที่พูด ท่านช่วยผูกฉันไว้กับหลักบ้างซี ไอ้หลังของฉันตั้งแต่เกิดมาก็โกงจนน่าหมั่นไส้ เดือดร้อนเต็มที ลุกทีนั่งทีแสนลำบาก ไปไหนก็ขายหน้า ถ้าผูกไว้กับหลักทำให้หายได้ ก็ช่วยสงเคราะห์ด้วยเถิดนึกว่าเอาบุญ”
พราหมณ์หนุ่ม “ก็จะช่วยท่านอย่างไรเล่า ไม่เห็นดอกหรือมือตีนก็ผูกอยู่กับหลักแน่น ถ้าช่วยแก้ฉันออก เอาเถอะฉันจะช่วยท่านเอง ไม่ช้าจะรู้สึกว่าหลังหายโกง”
การแก้มัดพราหมณ์หนุ่มให้ออกจากหลักไม่เนิ่นช้าเลย เพราะชายหลังโกงกระหายอยากให้หายโกงเร็วที่สุด พอพราหมณ์หนุ่มหลุดออกแล้ว แกก็เข้านั่งข้างหลักแทนที่อย่างเรียบร้อย โดยไม่ต้องรอให้เตือน พราหมณ์หนุ่มรีบผูกชายหลังโกงไว้กับหลักแน่นแล้วค่อยเลี่ยงหายไป.
หนีมาถึงบ้านหญิงขายดอกไม้ พราหมณ์หนุ่มเลี่ยงเข้าไปประจ๋อประแจ๋เรียกคุณป้า ขออาศัยอยู่ด้วย สัญญาว่าจะสนองคุณให้ได้เป็นใหญ่เป็นโต ถ้าหญิงขายดอกไม้จะช่วยปิดบังไม่ให้ใครทราบได้ว่าตนมาอยู่นี่ คุณป้าก็ไม่รังเกียจ ยอมให้อยู่ด้วย.
พอรุ่งเช้า เจ้าหน้าที่พากันไปตะแลงแกง ซึ่งได้นำพราหมณ์หนุ่มมันไว้กับหลัก ไปถึงไม่เห็นพราหมณ์หนุ่ม เห็นแต่ชายหลังโกงถูกมัดแต้หน้าจืดอยู่กับหลัก ต่างตะลึงไปตามกัน เลยกลับนำความขึ้นทูลพระราชา.
พระราชาตะลึงพระหฤทัย “อะไร ! ไอ้ผู้ร้ายหนีไปได้อย่างนั้นหรือ”
เจ้าพนักงาน- “พระเจ้าข้า ! พระอาชญาไม่พ้นเกล้าฯ ผู้ร้ายหายไป มีชายพิการหลังค่อมถูกมัดแทนอยู่กับหลัก”
พระราชาทรงพิศวงเป็นอันมาก รีบเสด็จไปที่นั้น ตรัสถามชายหลังโกง- “เฮ้ย! นี่มันเรื่องราวอะไร จึงมาอยู่ที่นี่”
ชายหลังโกงตกใจ ทูล “ขอเดชะ ข้าพระเจ้าไม่สามารถจะกราบทูลให้ทรงทราบได้ เป็นแต่เมื่อวาน ข้าพระเจ้าเดินทางมา พบชายคนหนึ่งผูกมัดอยู่กับหลักนี้ ร้องเรียกข้าพระเจ้าเข้าไปหา และถามว่าหลังของเขาหายโปแล้วหรือยัง ข้าพระเจ้าตอบว่าไม่เห็นพิการอย่างไร ผู้นั้นได้ยินข้าพระเจ้าบอกก็ดีใจพูดว่า หลักอันนี้วิเศษนัก ถ้าใครพิการยอมตัวมัดกับหลักเป็นหายขาด เหตุดังนี้ข้าพระเจ้าจึงแก้ชายคนนั้นออก และให้ข้าพเจ้าเข้าผูกกับหลักวิเศษแทน พระองค์จะทอดพระเนตรเห็นได้ว่า ข้าพระเจ้าเป็นคนพิการเดือดร้อนนัก อยากจะให้หายด้วย จึงยอมให้ชายคนนั้นผูกไว้ เรื่องที่ข้าพระเจ้ากราบทูลได้ก็เพียงเท่านี้”
พระราชา- “บ๊ะ! ไอ้คนนั้นไม่ใช่ผู้ร้ายธรรมดาไปเสียแล้ว ขืนปล่อยไว้ไม่ได้” รับสั่งให้ทัณฑนายกตามจับตัวให้ได้โดยเร็ว.
ทัณฑนายกอวดดีกราบทูล “ข้าพระเจ้าขออาสารับฉลองพระเดชพระคุณจับตัวให้ได้ในวันนี้ มันจะหนีไปไหนพ้น”
ย้อนกลับถึงหญิงขายดอกไม้ ซึ่งพราหมณ์หนุ่มไปขออาศัยอยู่ที่บ้านด้วย เป็นคนเคยส่งดอกไม้ในวังหลวงเสมอ วันที่พระราชามีรับสั่งให้ทัณฑนายกออกสืบจับตัวพราหมณ์ ยายแก่อยู่ที่นั่นด้วย จึงนำความที่ทัณฑนายกอวดอ้างมาเล่าให้พราหมณ์หนุ่มฟัง
พราหมณ์หนุ่มนึกเคืองคิดแก้แค้น จึงไต่ถามหญิงขายดอกไม้ถึงครอบครัวของทัณฑนายกโดยละเอียด ได้ความว่ามีลูกเขยอยู่คนหนึ่ง ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน เป็นแต่ไปๆ มาๆ หาเมียเสมอ พราหมณ์ตรองหาอุบาย เกิดความคิด ออกไปซื้อผ้าผ่อนอย่างดีมาแต่งตัว ตกเวลาดึกตรงไปบ้านทัณฑนายก บอกกะหญิงสาวใช้ที่นั่นว่าลูกเขยมา คนในบ้านทราบก็ดีใจกันทุกคน พอสาวใช้ออกมาเชิญตัว ลูกเขยปลอมสั่ง “สั่งที่บ้านไม่ต้องหาอะไรไว้เลี้ยงคืนนี้ให้ลำบากเปล่าๆ เป็นแต่ในห้องดับไฟเสียด้วย ยังมีธุระสักครู่จะกลับมา แล้วก็เลยไปนอนทีเดียว” พูดได้เท่านี้ก็ไป สักครู่กลับมา ตรงเข้าห้องไม่รอให้ใครเห็นหน้าได้ ขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงลูกสาวทัณฑนายก พอนอนได้สักอึดใจเดียว ลูกเขยปลอมทำเป็นบ่นว่าเครื่องทองหยองของนางที่แต่งอยู่กับตัว เกะกะขูดถูกตัวรำคาญให้ถอดออกวางไว้ ลูกสาวทัณฑนายกพาซื่อ ถอดเอาวางไว้ข้างที่นอน พราหมณ์หนุ่มนอนนิ่งคอยจนนางหลับสนิทก็เก็บเครื่องแต่งตัวเสียเกลี้ยง ย่องออกจากห้องไป หลุดถึงถนนก็วิ่งตื๋อดิ่งมาบ้านคุณป้า ส่งเครื่องแต่งตัวให้ พลางพูด “เจ้าทัณฑนายกกำลังตามจับตัวฉันออกยุ่ง แต่มันยังไม่รู้สึกว่าเกิดขะโมยขึ้นในบ้านมันเอง”
รุ่งเช้าทัณฑนายกกลับบ้าน ได้ทราบเรื่องที่ถูกขะโมย ก็ตกใจรีบเข้าไปเฝ้าพระราชากราบทูล
“ขอเดชะ ไอ้ผู้ร้ายคนนั้นกล้าหาญมาก บัดนี้มันทำแก่ข้าพระเจ้าเอง” แล้วทูลเรื่องที่เป็นมาโดยถ้วนถี่
พระราชาทรงฟังก็ตกตะลึงจังงัง ตรัส “ไอ้นี่สำคัญมาก ต้องเอาตัวมันให้ได้ เรื่องอื่นๆ งดไว้จนกว่าจะจับไอ้ผู้ร้ายรายนี้ขังให้ได้”
ทัณฑนายกกวานน้องชายให้มาช่วยสืบจับด้วย และระดมเจ้าพนักงานช่วยสืบจับทุกทาง ส่วนตัวเองพยายามเต็มที่จนไม่กลับกินข้าวในเช้าวันนั้น
พราหมณ์หนุ่มนั่งนอนซ่อนตัวอยู่สบาย รู้เรื่องที่เขาจัดการกันนี้จากหญิงขายดอกไม้โดยละเอียด เลยนึกสนุกขึ้นจัดแจงแต่งตัวปลอมเป็นนักบวชไศพนิกาย สรวมลูกประคำเม็ดรุทรักษา เอามูลเถ้าทาตามตัว[๑๐] ไว้ผมเป็นแผ่นเซิง[๑๑] เอาผงไม้จันทน์เจิมหน้าผาก[๑๒]เป็นสามเส้น มือถือคีมและหลาว[๑๓] รวมเบ็ดเสร็จรูปร่างหน้าตาที่แต่งก็ดูพิลึกอยู่แล้ว ปากยังภาวนาว่า ‘โบม ! โบม’[๑๔] อีก ออกจากบ้านเดินดุ่มไปที่อยู่ของทัณฑนายก เวลานั้นพวกผู้ชายไม่อยู่ ถูกระดมไปสืบจับผู้ร้าย เหลือแต่ผู้หญิงเฝ้าบ้าน ขึ้นชื่อว่านักบวชมาหา พวกผู้หญิงเป็นเกิดปีติยินดีมาก เพราะจะได้ถามทุกข์โศกโชคลาภร้ายดี ขอยาแก้โน่นแก้นี่อะไรต่อมิอะไรติปาถะ[๑๕] สมคะเนพราหมณ์หนุ่มที่ปลอมมา พอย่างเข้าบ้าน พวกผู้หญิงชิงกันแป้นออกมานิมนต์จัดแจงหาที่ให้นั่ง
ท่านนักบวชเอาหนังเสือปูลงนั่งสำรวมอินทรีย์เคร่งไม่ล่อกแล่ก คราวนี้แม่ผู้หญิงเข้ามาหาทีละคนสองคน ถามโน่นถามนี่ ท่านนักบวชแก้ไปตีโวหารตอบไปตามเพลงให้ชอบใจ ในจำพวกหญิงในบ้าน มีภรรยาของทัณฑนายกและภรรยาของน้องชายเป็นคนแพ้ผมหายารักษาไม่หาย ผมยิ่งโกร๋นบางลงทุกทีซ้ำหงอกประปราย คราวนี้เห็นเป็นโอกาสเลยขอยาแก้โรคผมเสียด้วย
ท่านนักบวชรับรอง “เรื่องเท่านี้ไม่ลำบาก ยากกว่านี้ยังรับได้ โรคแพ้ผมไม่สำคัญกี่มากน้อย โน่นแน่ บ่อน้ำเก่าที่เป็นโคลนอยู่ข้างบ้านโน่น เห็นไหม ถ้าอยากจะให้ผมดก โกนผมเก่าเสียให้เกลี้ยงจนหมดเชื้อโรค แล้วจุ้มศีร์ษะลงไปในบ่อให้เปียกโชก ผมก็จะงอกงามเท่านั้นเอง”
หญิงทั้งสองดีใจ- “จริงอย่างนั้นหรือฐากูร ดีฉันจะได้ทำเสียทันที ผมงอกใหม่จะเป็นอย่างไรไม่ทราบ?”
นักบวช- “อ๋อ งามกว่าเดิมหลายเท่า จะงอกงามยาวลงมาถึงข้างล่าง ดำเป็นมันขลับ”
หญิงทั้งสองปลื้มใจที่สุด เข้าไปข้างในโกนผมจนเกลี้ยง อยู่ข้างนี้นักบวชทำบูชาอย่างต้นหายปลายขาดรวบรัดเอาเป็นเสร็จพิธี พอหญิงทั้งสองโกนผมเสร็จออกมา ท่านนักบวชพาไปที่สระ ทำเป็นว่ามนตร์เสียนิดหนึ่งแล้วสั่ง “กระโดดลงไปในน้ำซิ ยิ่งดำไปได้นานๆ ยิ่งวิเศษ”
หญิงทั้งสองกระโดดลงไปดำน้ำทันที ฝ่ายนักบวชเลี่ยงหนีกลับไปบ้านคุณป้า หญิงทั้งสองดำน้ำจนกลั้นใจต่อไปไม่ได้อีก ก็ผุดขึ้นนึกว่าผมจะงอกงาม เอามือคลำโดนแต่ปลิงเกาะแทนผมอยู่เต็มหัว เสียใจร้องไห้โฮวิ่งกลับมาบ้านนั่งปลดปลิงกันเสียนาน กว่าจะออกหมดเลือดแดงทั้งกระบาล
ล่วงสองยามไม่กี่นาที ทัณฑนายกกลับบ้าน เหนื่อยเกือบตายตามจับผู้ร้ายไม่ได้ ซ้ำได้ข่าวนักบวชผสมขึ้นอีก พื้นเสียกัดฟันร้อง “ไอ้นี่ตั้งใจเล่นเราคนดียว ยับมัน” หมดปัญญา ออกจากบ้านเข้าไปเฝ้าพระราชากราบทูลเรื่อง.
พระราชา- “ไอ้นี่สำคัญ ลำพังเจ้าเห็นจะจับมันไม่ได้ ต้องเรียกโหรช่วยดูด้วยจึงจะสำเร็จ” ให้หาโหรหลวงเข้ามาเฝ้า ตรัสให้ตรวจดูว่าไอ้ผู้ร้ายสำคัญเวลานี้มันอยู่ที่ไหน โหรคำนวณเลขแล้วกราบทูล “มันหนีไปอยู่บ้านหญิงขายดอกไม้ เวลานี้กำลังนั่งเล่นไพ่อยู่”
พระราชา- “เล่นไพ่กันกี่คน?”
โหร- “สี่คนด้วยกัน”
พระราชา- “ถ้าอย่างนั้นจะรู้คนไหนเล่า? ดูให้มันแน่ทีว่ามันนั่งข้างไหน?”
โหร- “นั่งอยู่ตรงทิศนั้นๆ”
พระราชารับสั่งให้ทหารไปตาบจับตัวผู้ร้ายในบ้านหญิงขายดอกไม้ตามทิศที่โหรกราบทูล.
พราหมณ์หนุ่มเรียนโหราศาสตร์มาบ้างแล้วแต่ก่อนในเวลาที่ตกอยู่ในอันตรายรอบข้างเช่นนี้ จำต้องเอาวิชาโหรมาใช้เป็นคู่มืออยู่ทุกขณะจิต เวลานั้นจับยาม รู้ว่าจะมีทหารมาจับตัวในเวลาตามที่โหรหลวงบอก จึงขอเปลี่ยนที่นั่งกับคนเล่นไพ่ด้วยกันคนหนึ่ง เปลี่ยนที่นั่งเสร็จไม่ช้าพวกทหารก็มาถึงตรงเข้าจับคนที่นั่งอยู่ในที่ซึ่งโหรหลวงบอกมา คุมตัวไปในวัง พอพระราชาทอดพระเนตรเห็นนักโทษ ทรงจำได้ว่าไม่ใช่ตัวผู้ร้าย เป็นบุตรของคนชั้นสูงในเมืองคนหนึ่งซึ่งพระองค์รู้จัก ก็ทรงกริ้วโหรว่าดูเหลวไหล.
โหรกราบทูล- “ขอเดชะ ข้าพเจ้าขอคำนวณถวายใหม่”
พระราชา- “ให้แน่นา ระวัง”
โหรคำนวณดูอีก ทบทวนไปมาหลายเที่ยวแน่แก่ใจ แล้วกราบทูล “ขอเดชะ ข้าพระเจ้าอาจกราบทูลยืนยันได้แน่นอนในคราวนี้ มันนั่งอยู่ทิศนั้นๆ”
พวกทหารวิ่งไปบ้านหญิงขายดอกไม้อีก จับคนที่นั่งอยู่ตรงที่โหรบอก แต่ไม่ใช่ตัวการ เพราะพราหมณ์หนุ่มจับยามรู้ล่วงหน้าก่อน จึงเปลี่ยนที่นั่งเสีย คนที่จับมาพระราชาทรงรู้จัก เป็นเชื้อพระวงศ์ กริ้วโหรเคราะห์ร้ายอย่างยิ่ง ตวาดแหว “มึงมีความรู้สู้แต่ไอ้ควายก็ไม่ได้” ตรัสไล่โหรส่ง ประทับนิ่งทรงหาอุบาย ทำอย่างไรจึงจะจับไอ้ผู้ร้ายตัวสำคัญได้ ทรงตรึกตรองอยู่ช้านาน ถึงที่สุดตกลงพระหฤทัย “ไม่มีทางอื่นแล้วต้องลงมือจับมันเอง ใช้ใครๆ ก็เหลวกลับมา ต้องเราเอง” พอมืดลงเสด็จขึ้นม้าที่นั่งออกจากพระราชวัง.
ฝ่ายพราหมณ์จับยามทราบเรื่องตลอดรีบออกไปกลางทุ่งนอกเมือง แผ้วกวาดที่ทำรั้วกั้นขุดหลุมกุณฑ์บูชา ตั้งศิวลึงค์ห้อยใบมะตูม แต่งตัวเป็นฤษี นั่งลงระวางหลุมกุณฑ์ ปากบ่นภาวนาเสียงออกโอ้.
พระราชาเสด็จเที่ยวสืบจับตัวผู้ร้ายมาถึงที่พรามหณ์หนุ่มนั่งทำบริกรรมอยู่ ทรงสำคัญว่าฤษีก็เสด็จเข้าไป ตรัสถามว่าเห็นใครผ่านไปทางนี้บ้างหรือเปล่า.
ฤษี- “ถวายพร มีคนหนึ่งพึ่งผ่านไปทางนี้เมื่อกี้ ถวายพร รูปทราบว่าเกิดมีผู้ร้ายสำคัญขึ้นในเมืองของบพิตร ถวายพร และทำความเดือดร้อนต่างๆ ไม่มีใครสามารถจับได้ ถวายพร แต่รูปเข้าฌานอยู่ที่นี่ทราบเรื่องของผู้ร้ายตลอดว่ามันทำอะไร อยู่ที่ไหน เวลาไร ได้ทั้งสิ้น ถวายพร”
พระราชา- “ฐากูร เห็นจะรู้จักตัวมันด้วยกระมัง?”
ฤษี- “หามิได้บพิตร รูปไม่เห็นด้วยตา เห็นด้วยฌาณ”
พระราชา- “ถ้าอย่างนั้นเห็นจะจับมันไม่ได้”
ฤษี- “ถวายพร ไม่ควรทรงวิตก เสด็จตามไปทางนี้จะทรงพบจับตัวมันได้” พลางชี้มือไปทางหนึ่ง
พระราชาขับม้าไปทางชี้ จนไกลเกินที่มนุษย์จะหนีทัน มิได้พบใครย้อนเสด็จกลับมาตรัสกะฤษี “ไม่พบ ฐากูร ใครคนเดียวก็ไม่พบ”
ฤษี- “ถวายพร บพิตรเสด็จไปคลาดกันนิดเดียว ไอ้ผู้ร้ายถลันมานี่ แล้วหนีไปทางนี้” พลางชี้ไปอีกทีหนึ่ง
พระราชาควบม้าไปอีกไม่พบ เสด็จวนเวียนตามดังนี้หลายเที่ยวหลายทางจนอ่อนพระกำลัง ทรงลงจากหลังม้าเข้าไปหาฤษีตรัส “ฐากูร ข้าพเจ้าเหนื่อยเต็มที ตามอีกเห็นจะไม่ไหว ดูเหมือนบอกว่ามันผ่านมาทางนี้เวลากลางคืนเสมอไม่ใช่หรือ ทำไมฐากูรไม่จับตัวมันไว้?”
ฤษี- “ถวายพร จะให้รูปจับอย่างไร ผู้ถือพรหมจรรย์ อย่างดีที่สุดก็มีหน้าที่เพียงเจริญอุเบกขาพรหมวิหาร เพียงแต่รูปทูลแนะนำเท่านี้ก็ผิดธรรมไม่น้อย ถึงกระนั้นเมื่อบพิตรยังจับมันไม่ได้ รูปจะจับมันได้อย่างไร? เพราะต้องนั่งอยู่กับที่ ถ้าขืนลุกขึ้นตะบะที่ได้ทำบำเพ็ญไว้ก็เสื่อมหมดประการหนึ่ง ถ้าแต่งตัวอย่างนี้ไปจับผู้ร้าย ไอ้ผู้ร้ายมันจะจับตัวรูปเสียอีก การเป็นดังนี้จะให้รูปจับผู้ร้ายได้อย่างไร?”
พระราชาทรงปรึกษา “อย่างนั้นจะทำอย่างไรดี?”
ฤษี- “มีอุบายทางเดียว ถ้าพระองค์จะทรงปลอมเป็นฤษีประทับอยู่ที่นี่สักครู่หนึ่ง ขอแต่อย่าให้ที่อยู่ของรูปเป็นอันตรายแล้ว รูปแต่งเครื่องของบพิตรพร้อมทั้งม้าที่นั่งอาสาไปจับมันเอง แท้จริงเรื่องดังนี้ก็ไม่ใช่กิจของบรรพชิต แต่มาคิดถึงที่ได้อาศัยพึ่งพระโพธิสมภารในราชอาณาเขตมีความสุขสงบจึงเต็มใจจะฉลองพระเดชพระคุณ ฐานพลเมืองคนหนึ่ง อาศัยเหตุที่ได้ทำนี้เนื่องด้วยกิจอันควรกระทำ ต่อไปรูปจักได้บำเพ็ญตะบะสะดวก เพราะบ้านเมืองราบคาบ ถ้าทรงตกลงก็ให้เป็นตามนี้”
พระราชา- “ดี! ข้าพเจ้าเหนื่อยเต็มทีจะขอพักเสียสักครู่” ทรงถอดฉลองพระองค์ประทานแก่ฤษี ทรงรับเครื่องฤษีมาสรวมแทน.
ฤษีปลอมเป็นพระราชาขึ้นม้าตรงมาพระราชวัง ทหารเฝ้าพระทวารเข้าใจว่าพระราชาก็ปล่อยให้เข้าไปโดยดี ราชาปลอมไม่พูดจากับใคร ตรงเข้าตำหนักราณีไปถึงพูด “เครื่องแต่งตัวที่มีราคาถอดมาให้ฉันเก็บไว้เถิด เดี๋ยวไอ้ผู้ร้ายสำคัญมันจะเล็ดลอดเข้ามาลักเอาไปได้”
ราณีกำลังง่วงบรรทม ฟังได้ความบ้าง ไม่ได้ความบ้าง ถอดส่งถอดส่ง.
พราหมณ์หนุ่มรวบรวมของออกมา สั่งเจ้าพนักงานรักษาทวาร “เจ้าต้องระวังให้กวดขันในคืนวันนี้ อย่าให้ใครเข้ามาเป็นอันขาด ถ้าขืนจะเข้ามาให้ได้ จงจับตัวไปขังไว้ในห้องปูน จะเป็นใครก็ตาม ถึงตัวกูเองก็อย่ายอม ขังไว้จนรุ่งเช้าเวลาสามโมงจึงค่อยถอดคุมตัวมาหากู”
พราหมณ์หนุ่มออกนอกพระราชวัง ขึ้นม้าห้อไปเห็นว่าไกลแล้ว ถอดฉลองพระองค์และปล่อยม้าเสีย เดินตรงไปบ้านนางคุณป้าส่งของให้”
พระราชาประทับคอยฤษีปลอมเป็นช้านาน ยังไม่เห็นกลับมา ยิ่งนานผิดปกติ บังเกิดความสงสัย เสด็จโดยพระบาทตรงมาพระราชวัง เมื่อเสด็จถึงทวารเป็นเวลาจวนจะรุ่งเช้าแต่ยังมืดอยู่ เจ้าหน้าที่เห็นใครเดินเข้ามา ร้องถาม “คนริยำที่ไหนนั่น?”
พระราชาตกตะลึงจังงัง เสด็จเข้าไปให้ใกล้ ตรัส “กูเอง คือพระราชา”
เจ้าหน้าที่- “อ้อ! นี่พระราชา ดีนัก เฮ้ย! ทหาร จับเอาตัวพระราชาไปขังไว้ในห้องปูน”
พระราชา- “นี่พวกมึงจะทำอะไรกู?”
เจ้าหน้าที่- “อย่าพูดมาก”
พระราชา- “ก็กูเป็นพระราชา นายมึง-”
เจ้าหน้าที่- “โกหก หลอกกันไม่ได้ ระวัง พระราชาเสด็จมาที่นี่เมื่อสักครู่ พึ่งเสด็จออกไปไม่สู้ช้านัก เฮ้ย ทหารพาตัวไปเดี๋ยวนี้”
พวกทหารเข้าจับพระราชานำไปขังในห้องปูน
พระราชาประหลาดพระหฤทัยที่ต้องถูกมาอยู่ในห้องขัง ‘นี่มันอะไรหนอ เจ้าคนเฝ้าประตูมันจึงบอกว่าเราเข้ามาแล้วออกไป” ทรงรำพึงค้นหาเหตุไปมา เรื่องก็ขาวแจ่ม “อ้อ! นึกออกแล้ว ฤษีนั่นเองเป็นตัวผู้ร้าย สำคัญมากไอ้นี่ หลอกต่อหน้าต่อตาได้อย่างสนิทสนม”
รุ่งเช้าราวสามโมง โดยคำบัญชาที่พระราชาปลอมสั่งไว้ เจ้าหน้าที่เข้ามาเปิดห้องปูน อะไรจะทำให้ตกใจเท่ากับที่เปิดประตูเห็นพระราชาของตนประทับอยู่ในห้องนั้น ขวัญหายตกประหม่าแผ่นดินเหลืองหมด รู้สึกว่าตนมีชีวิตอยู่ในวันนี้ไม่กี่ชั่วโมง ซบลงแทบพระบาทหมอบนิ่งตัวสั่น
พระราชา- “เรื่องราวเป็นอย่างไรจงเล่าให้ฟัง ไม่ต้องกลัว”
เจ้าหน้าที่กราบทูลเรื่องที่เป็นมาจนตลอด.
พระราชาไม่ตรัสประการไร รีบเสด็จเข้าตำหนักพระราณี รับสั่งถามถึงเรื่องราวที่เป็นไปในคืนนั้น พระราณีทูลตามที่เกิดขึ้นทุกประการ.
พระราชาทรงทราบเรื่องตลอดยิ่งพิศวงมากขึ้น ประทับนิ่งอ้ำอึ้งตรองหาอุบายร้อยแปดไม่เห็นทางจะสมพระประสงค์ ในที่สุดรับสั่งให้ออกประกาศ มีเจ้าพนักงานตีกลองป่าวร้องไปทั่วทุกแห่งแหล่งตำบลในพระนครว่า ถ้าใครจับผู้ร้ายสำคัญได้ จะโปรดยกพระนครให้ครึ่งหนึ่ง
พราหมณ์หนุ่มรู้ข้อความประกาศก็ดีใจ แต่งตัวตรงเข้าไปเฝ้าพระราชามิได้สะทกสะท้าน กราบทูล “ตามประกาศกระแสพระโองการถ้าประทานอนุญาตแล้ว ข้าพระเจ้าจะขออาสาจับผู้ร้ายคนนั้นเอง”
พระราชา- “เราก็ได้ป่าวร้องแล้วเป็นอนุญาตอยู่ในตัว จะต้องมาขออนุญาตอะไรอีกเล่า?”
พราหมณ์- “ขอเดชะ ข้าพระเจ้าคือตัวผู้ร้าย!”
พระราชา- “มีพะยานหลักฐานอย่างไรบ้าง ที่พอให้เห็นว่าเป็นตัวผู้ร้าย?
พราหมณ์หนุ่มกราบทูลเรื่องที่เป็นมา ตั้งแต่ต้นจนอวสาน.
พระราชาไม่ทรงโกรธ ซ้ำชมความฉลาดอย่างอัศจรรย์ของพราหมณ์หนุ่ม ประทานราชอภัย ทรงยกพระนครให้ครองกึ่งหนึ่ง.
บรมแกว่นก็ได้รับความสุขสบายตลอดมา.
[๑] เป็นธรรมเนียมรู้กันดี ถ้าเจ้าบ้านไม่ใช่สกุลพราหมณ์ จะเลี้ยงพราหมณ์ซึ่งเป็นแขกมา ต้องหาอะไรต่ออะไรมาให้หุงต้มกินเอง [ดูเชิงอรรถหน้า ๗๒] ก็เป็นความสะดวกดีแก่เจ้าบ้านอย่างหนึ่ง
[๒] พราหมณ์ต้องอาบน้ำวันละ ๓ ครั้ง…Alberune’s India เล่ม๒ หน้า ๑๓๓
[๓] เบงคลี Ramayon คือเรื่องรามเกียรติเรานี่เอง.
[๔] เบงคลี-Lonka-Kando = ลงกากัณฑ์หรือยุทธกัณฑ์ เรื่องตอนที่ ๖ ของ รามายณ คือตอนพระรามยกทัพไปรับกับราพณ์ (ทศกรรฐ์) คำว่า Kando = กัณฑ์ ในเบงคลีหมายความเกือบจะเท่ากับคำว่า ‘มากมาย’ หรือ ‘ซู่ซ่าใหญ่โต’ เพราะฉะนั้น ‘ลงกากัณฑ์’ ก็หมายว่า ‘เรื่องใหญ่สำคัญของลงกา’ คือถูกหนุมานเผาลงกาเสียนั่นเอง.
[๕] ใช้ล้างตัว ดูเชิงอรรถ หน้า ๙๙
[๖] เบงคลี-Bamon คงออกจากคำ ‘พราหมณ์’ นี่เอง แต่เป็นคำที่ยายแก่พูด เป็นธรรมดาที่ยายๆ แกชอบพูดเฉี่ยวๆ ถ้ามีตัวกล้ำมักพูดออกมาไม่เต็มคำ เช่นได้ยินยายแก่บางคนพูดว่า “ฝนตกพำๆๆ ไอ้ใคไปปอกเปือกต้นมหาปาบไว้ ลื่นพาดขาพิกล้มพวดลงโคนเปอะโม็ด!”
[๗] ๑๖๐ เบี้ย = ๑ ไปส๎ ๆ ๑ ราวสตางค์กว่าๆ
[๘] เห็นจะตรงกับของเราว่า ‘ไอ้ตายโหงตายห่า!’
[๙] ที่เขียนเป็น ‘รัมภึง’ ก็มี เห็นจะได้ออกจาก ‘รัภ’ ธาตุในภาษามคธ ซึ่งเป็นไปในความเริ่มหรือปรารภ.
[๑๐] ภัสม...ธารณ
[๑๑] พวกโยคีปล่อยผมยาวตามธรรมชาติ ไม่ต้องหวีสางหรือสระเลย เป็นรังเหาอย่างดี
[๑๒] ต๎ริปุณฑ๎รก ดูเชิงอรรถ ๑๐ หน้า ๖๒
[๑๓] Tongs, Trident = ตรีศูล
[๑๔] โอม! โอม!
[๑๕] ติปาถะ ขอแปลเอาว่า ‘สามเล่มสมุด’ และขออธิบายฟุ้งๆ สักหน่อยๆ : การที่พูดเกี่ยวกับนับพระคัมภีร์จำนวนตั้งสามๆ มักหมายความว่าหมดสิ้นเชิง เช่นรู้พระพุทธวจนะจบพระไตรปิฎก (๓ ตะกร้า) แปลความว่ารู้พระพุทธศาสน์ทั้งหมด หรือเรียนคัมภีร์จนบไตรเพท เป็นอันเข้าใจว่ารู้ไสยศาสตร์บริบูรณ์ รู้ไตรปิฎก (๓ ตะกร้า) ก็ดี รู้ไตรเพท (๓ เวท) ก็ดี เป็นความรู้พูดเฉพาะพุทธศาสน์และไสยศาสตร์ แต่เมื่อจะพูดถึงความรู้ไม่จำกัดประเภทแล้ว คำว่า รู้ติปาถะ = รู้จบสามเล่มสมุดเป็นคำใช้ได้ทั่วไป และทั่วไปถึงกับอย่างอื่นนอกจากความรู้ก็ได้ เช่น กินติปาถะ, เล่นติปาถะ ดูติปาถะ, เอาติปาถะ ฯลฯ เพราะฉะนั้นในที่นี้ที่ว่า ขออะไรติปาถะ จึงหมายความได้อย่างเดียวกันว่า ไม่ว่าอะไร ถ้าขอได้ เป็นขอหมด