กลต่อกล

ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีชายสองสหาย คนหนึ่งเป็นพราหมณ์ คนหนึ่งเป็นสกุลกายัสถ์[๑] คนที่เป็นพราหมณ์ยากจนข้นแค้นเต็มประดา ญาติพี่น้องก็ไม่มี เหลือแต่แม่คนเดียว ส่วนชายสกุลกายัสถ์ก็อัตคัดขัดสนปานกัน แต่ยังมีภาษีกว่าเพราะมีพี่น้องอยู่หลายคน ทั้งเป็นหนุ่มโสด วันหนึ่งพราหมณ์หนุ่มพูดกับเพื่อน “เพื่อนเอ๋ย! ตัวกันเห็นจะต้องจัดแจงหาเมียสักคน ขืนอยู่คนเดียวท่าไม่เหมาะ น่ากลัวจะทนไม่ไหว แต่มานึกอัดใจที่มันยากจนนัก จะหาเงินหาทองที่ไหนมาใช้แต่งงาน ถึงต่างว่าได้เงินมา มันก็ยังจนแต้มอยู่นั่นเอง ใครเขาจะเต็มใจยกลูกสาวให้กับไอ้คนจนอย่างกันนี้[๒]ฮึ! ตามเรื่องของมันเป็นตายอย่างไรต้องหาเมียให้ได้.”

ชายสกุลกายัสถ์ชอบใจ ตอบ “ชิ! พูดราวกะใจเดียวกันจริง นึกอยู่เหมือนกันแหละ แต่ในตำบลนี้กันยังไม่เห็นได้ท่าสักคนเดียว เราลองไปเที่ยวหาเนื้อคู่ที่อื่นบ้างเป็นไร เผื่อเป็นลาภบ้าง ถึงไม่ได้ทางตรงขโมยเขามาก็ใช้ได้ ขอแต่พาสาวๆ สวยๆ เอามาบ้านเป็นหมดเรื่อง แล้วใครจะมาว่าอะไรเรา!”

พราหมณ์หนุ่มขัด “พูดอย่างนี้กันยังไม่เห็นทางจะสำเร็จ ขอถามหน่อยเถอะ-ผู้หญิงที่ไหนเขาจะเต็มใจมากับเรา? มันไม่สำเร็จละแก.”

กายัสถ์รับรอง “เอาเถอะน่า ไม่ต้องวิตกไว้พนักงานกันเอง ขากลับถ้าไม่ได้มาแล้วจะทำอย่างไรกันยอมทั้งนั้น”

พราหมณ์หนุ่มยังไม่เลื่อมใส คงขัดคออยู่อีก “พูดราวกับว่าชุบมือเปิบเอาง่ายๆ กลัวว่าไปเข้าจริงนั้นจะไม่ได้ผู้หญิง จะกลายเป็นได้ตายเอา”

กายัสถ์- “เออแน่ะ! กลัวเสียหมดดี แกไม่ต้องวุ่นวาย กันจะออกอุบายเอง แกเป็นแต่ทำตามที่บอกเป็นพอ ทำอย่างนี้เท่านั้น ไม่ช้าก็จะมีเมียกับเขาบ้าง แต่ต้องสัญญากันเสียก่อนอย่างหนึ่ง เมื่อกันตั้งใจช่วยแกจนสำเร็จแล้ว ถึงคราวกันบ้างแกจะต้องช่วยให้เต็มที่ ว่าอย่างไร? ตกลงตามที่พูดนี้ไหม?”

พราหมณ์หนุ่มรับ “ได้ซิ เท่านี้รับได้ไม่ติดขัด”

สัญญาตกลงกัน สองสหายคอยถึงวันฤกษ์งามยามดี แต่งตัวออกจากบ้าน เดินทางวันยังค่ำ ตกเย็นถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งทั้งสองยังไม่เคยมา ภายนอกหมู่บ้านมีสระน้ำใหญ่ เวลาเย็นๆ หญิงชาวบ้านมักพากันมาอาบน้ำซักผ้าตักน้ำ สองสหายหยุดพักนั่งลงใต้ต้นไทรข้างสระมองดูเขาอาบน้ำ มีหญิงคนหนึ่งค่อนข้างสาวสวยเดินมาอาบน้ำ สองสหายจ้องมองดูผู้หญิงคนนั้นอยู่สักครู่ แล้วกายัสถ์เอ่ยขึ้นก่อน “คนนี้เป็นอย่างไร? ชอบใจไหม?”

พราหมณ์หนุ่ม- “หัวใจเทียว อย่าถามเลย แต่-ฮื้อ!- อย่างไรก็ไม่ได้เขา”

กายัสถ์- “ค่อยดูก่อน ดูซิว่ากันจะจัดการให้ได้หรือไม่.”

กำลังทั้งสองหารือกัน หญิงสาวนั้นอาบน้ำซักผ้าห่ม[๓] เสร็จแล้วกลับไปทางเก่า สองคนลุกขึ้นเดินสะกดรอยตามไปห่างๆ พอเข้าหมู่บ้าน หญิงสาวเลี้ยวเข้าตรอกไป สองเจ้าชู้เลี่ยงเข้าไปที่ข้างร้านแห่งหนึ่ง ประจบพูดด้วยกับเจ้าของร้าน เมื่อพูดจาด้วยเรื่องอะไรต่ออะไรได้สักครู่ กายัสถ์ได้ท่าเอ่ยถามเจ้าของร้าน “อ้อ! นี่แน่ะท่าน ผู้หญิงสาวที่เลี้ยวเข้าตรอกไปเมื่อกี้นี้ เป็นคนที่ไหนนะท่าน?”

เจ้าของร้านเป็นคนพูดมากอยู่ด้วย ถามคำเป็นต้องตอบตั้งร้อยคำ “ไหนผู้หญิงที่ท่านถามคนนั้นน่ะหล่อนเป็นลูกสาวพราหมณ์ เป็นสวยกว่าเพื่อนในย่านนี้ แต่อาภัพ มีเรือนได้ไม่ทันไร ผัวไปเยี่ยมบ้านเลยไม่กลับมา ชั้นแต่ข่าวคราวก็ไม่มีส่ง ดูเหมือนข่าวว่าไปทำงานอยู่ที่ระนิคญเช เลยไปได้เมียอีกคนหนึ่ง เป็นอันหมดสงสัย คงทิ้งเมียคนนี้ เรื่องเป็นอย่างนี้ ที่ฉันว่าผู้หญิงคนนั้นอาภัพมาก.”

กายัสถ์ทำเป็นสงสารผู้หญิง และถาม “เดี๋ยวนี้อยู่กับพี่น้องที่นี่กระมัง?”

เจ้าของร้าน- “พ่อแม่ของหล่อนอยู่ที่นี่ พ่อหล่อนชื่อราเมศรจักรพรรดิ อยู่ถัดไปโน่นแน่ บ้านใกล้ๆนี่เอง ก็นี่ท่านทั้งสองจะไปไหนกัน?”

กายัสถ์- “อ้อ จะไปทางไกลสักหน่อย ตั้งใจว่าจะพักที่นี่เพียงคืนเดียว แต่นี่แน่ะท่านพูดถึงเรื่องผู้หญิงเมื่อกี้นี้ บางทีท่านจะบอกชื่อผัวของหล่อนให้ทราบได้กระมัง? และเป็นคนทำงานการอะไร? เพราะถ้าผ่านไปทางระนิคุญเช ปะโอกาสจะได้สืบหาให้พบตัว และช่วยพูดจาให้กลับมาหาเมียบ้าง”

เจ้าของร้าน- “นั่นเป็นไร! คาดไว้ไม่ผิด ท่านทั้งสองเป็นคนใจบุญมาก ชื่อของบาบู[๔]คนนั้น ‘รามลอจันมุเขร๎ชิ’ เขาว่าเป็นเสมียนอยู่ที่ห้างชื่อนั้น.”

เมื่อทั้งสองได้เค้าเงื่อนพอต้องการ ลงมือดูดมะระกู่เสียอึกหนึ่งเอากำไรในชั้นต้นแล้ว ก็แสดงความขอบใจลามา พอออกถึงถนน กายัสถ์พูด “สำเร็จแล้ว มา ตรงไปบ้านผู้หญิงทีเดียว”

พราหมณ์หนุ่มตกใจ- “เอ๊ะ! เล่นกันอีท่าไหน?”

กายัสถ์- “ก็อีท่านี้น่าซิ แกทำเป็นลูกเขยราเมศร์บาบู แล้วกันจะเป็นบ่าวไปเอง คอยฟังให้ดีนะ จะแนะนำให้ พอเราไปถึงบ้านผู้หญิงต้องก้มลงแสดงความนับถืออย่างเต็มยศต่อพ่อตาแม่ยาย แล้วเมื่อถูกถาม-”

พราหมณ์หนุ่ม- “ใครถูกใครถาม?”

กายัสถ์- “แล้วกัน บอกให้คอยฟังให้ดี ก็พ่อตาแม่ยายน่ะซิ ที่จะถาม เมื่อถูกถามว่าไปไหนมานานไม่มาเยี่ยมเยียนบ้าง แกต้องบอกว่ากลับไปเจ็บหนักเรื้อรังอยู่นาน เจ็บจนถึงต้องหามไปที่แม่คงคา[๕] แต่ยังไม่ถึงคราว เคราะห์ดีกลับหายโรค ผิดกับที่คาดไว้ว่าตายโดยอำนาจของพิษไข้ เล่นเอารูปร่างและสุ้มเสียงผิดไปคนละคน ใครเห็นรูปหรือได้ยินเสียงพูดเป็นจำไม่ได้ ต่อไปแกพูดว่า แม่ของแกเจ็บหนักน่ากลัวไม่รอด นอนอยู่ที่บ้านคนเดียวไม่มีใครพยาบาล แต่พอแกรู้เรื่องว่าแม่เจ็บก็ขอลานายหยุดสองสามอาทิตย์รีบกลับมาบ้าน เมื่อมาถึงบ้านไม่ทันไร แม่แกเกิดอยากจะเห็นหน้าเมียแกขึ้นมา แกก็จำเป็นต้องมานี่เพื่อรับไปในคืนนี้ให้ได้.”

พราหมณ์หนุ่มฟังคำแนะนำยังออกไม่สู้ไว้ใจสนิทนัก ให้หวั่นๆ แต่ปฏิเสธเสียก็กลัวจะหลุดมือ เอาเป็นยอมตามนั้น

ทั้งสองเดินตรงไปที่ประตูบ้าน กายัสถ์เริ่มร้องเรียก “ท่านจักกัตติมศัย[๖]อยู่หรือไม่”

พราหมณ์แก่เวลานั้นกำลังนอนเล่น ได้ยินเสียงใครมาร้องเรียกก็ลุกขึ้นออกไปถามที่ประตู “ใครมาจากไหน?”

กายัสถ์- “เอ๊ะ! ท่านจำไม่ได้ดอกหรือ ก็นี่ลูกเขยท่านอย่างไรเล่า.”

พอได้ยินคำว่า ‘ลูกเขย’ เท่านั้น พราหมณ์เฒ่าปลื้มใจแทบจะลอยขึ้นไปบนหลังคา พลางพูดเสียงสั่น “เอ๊ะ! รามลอจัน ลูกรักดอกหรือหมายว่าใครที่ไหน เข้ามาข้างในซิลูก”

เจ้าลูกเขยปลอมก้มลงคำนับพ่อตาตั้งและตามติดเข้าในบ้าน ตาเฒ่าตะโกนร้องเรียกเมียลั่น “ยาย ยาย มานี่ เร็วเข้าเถิด รามลอจัน ลูกเขยเรากลับมาแล้ว”

ยายเมียดีใจตะลีตะลานออกมา พราหมณ์หนุ่มก้มลงคำนับงามอย่างธรรมเนียมลูกเขยเคารพแม่ยฺาย แม่ยายดีใจจนนํ้าตาร่วง ทักทายปราศรัย ถามพ่อเขยขวัญ “หายไปนานทีเดียว ลูกเอ๋ย! ลืมบ้านเสียแล้วหรือ หรือว่าโกรธเคืองใครจึ่งไม่มาเลยนมนานหลายปีแล้ว แม่หรือก็ไม่มีลูกผู้ชาย รักเจ้าเหมือนกับลูกในไส้” พูดพลางนํ้าตาแกก็ยิ่งออกมาฟูมฟาย.

เจ้านักปลอมทำเป็นสงสารแม่ยาย ประเหลาะปลอบ “แม่อย่าร้องไห้ไปนักเลยแม่ ลูกก็คิดถึงอยากมาเจียนใจจะขาด แต่ที่หายไปนานไม่ได้มา ไม่ใช่เป็นเพราะลูกใจจืด พอกลับไปทางโน้นไม่กี่วันก็ล้มเจ็บ นึกว่าจะไม่รอดมาเห็นหน้ากันอีกแล้ว ดูซิแม่ โรคหายแล้วผิดรูปผิดร่างไปคนละคนทีเดียว ชั้นเสียงก็ไม่เหมือนเก่า.”

แม่ยายฟังยิ่งเวทนา เข้าปลอบประโลม “อนิจจา อนิจจา แม่ไม่รู้เลยว่าเจ็บไป หายสนิทดีแล้วหรือลูก ขอให้พ่ออายุมั่นขวัญยืนเถิด อย่ารู้เจ็บรู้ไข้อีกเลย ไม่กี่มากน้อยเนื้อหนังก็จะอ้วนอย่างเดิมดอก” แล้วลุกขมีขมันออกไปหุงต้มอาหารเพื่อเอามาเลี้ยง.

ส่วนพราหมณ์แก่พ่อตากลัวลูกเขยจะหิวจัดคอยนานไม่ได้ รีบแต่งตัวออกไปซื้อขนมนมเนยขนเอามาเสียพะเรอ ขากลับยังแวะซื้อปลาตัวไอ้สนัดมาทำกับข้าวด้วย มาถึงบ้านจัดขนมออกมาให้พ่อลูกเขยและบ่าวกินให้สบายใจ.

กำลังสองสหายนั่งกินขนม ลูกสาวมัวจัดหาหมากพลูอยู่ในห้องถัดไป หล่อนดีใจเหมือนกันที่ได้ยินว่าผัวกลับมาหา ความดีใจของหล่อนไม่น้อย เพราะจากกันไปนานหลายปี ซึ่งหล่อนคาดว่าคงไม่ได้พบปะกันอีก จะจัดหมากพลูให้เสร็จไม่ทันใจ บังคับเส้นประสาทไม่อยู่ ลอดมองชมพักตร์ไปทางช่องมู่ลี่ที่กั้นบังห้อง พอแลเห็นก็ประหลาดใจ นิ่งนึก “เอ! ดูไม่เหมือนสักนิด เค้าหน้าไม่มีเสียเลย มันอย่างไรกันเสียแล้ว คอยดูไปก่อนเรื่องจะไปไฉนแน่.”

สักครู่หนึ่งพราหมณ์แก่กลับออกมาบอกว่าข้าวสุกแล้ว จัดตั้งไว้ที่ตรงลานหน้าบ้าน ลูกเขยพ่อตาและบ่าวพากันออกไป พ่อตาและลูกเขยกินก่อน บ่าวคือกายัสถ์กินทีหลัง[๗] อิ่มหนำสำราญแล้ว พราหมณ์หนุ่มที่ปลอมเป็นลูกเขยพูด “มหาศัยลูกมาวันนี้ยังไม่ได้เล่าความเดือดร้อนให้ฟังจนจบ คือแม่ของลูกเจ็บหนัก เรื่องนี้เองลูกจึ่งต้องขอลาหยุดรีบกลับไปบ้าน พอไปถึงแม่แกพูดว่า ‘รีบไปรับเมียของเจ้า[๘]มาให้แม่เห็นสักหน่อย ไหนๆจะตายขอให้เห็นหน้าว่าเป็นอย่างไรสักที’ เพราะฉะนั้นลูกจึ่งต้องรีบมานี่จะรออยู่นานไม่ได้หมายว่าจะรับหล่อนไปเสียในคืนนี้ทีเดียว”

พราหมณ์แก่- “อะไร พ่อเอ๊ย! จากกันไปเสียหลายปีพึ่งกลับมาวันนี้ก็จะไป อยู่ให้พ่อชื่นใจเสียสองสามวันเป็นไร พอให้ชาวบ้านย่านถิ่นเขามีเวลามาเยี่ยมเยียนบ้างซิ แล้วต่อไปจะพาสมบัติของเจ้าไปพ่อไม่ขัด”

พราหมณ์หนุ่มแก้ตัว “ที่พ่อพูดนี้ก็จริง แต่ในขณะนี้ลูกเห็นจะรออยู่ไม่ได้ ช้าไปผู้ใหญ่ที่โน่นจะสิ้นใจไปเสียก่อน ทั้งที่บ้านก็ไม่มีใครรักษาพยาบาล จะต้องขอรับไปเสียเดี๋ยวนี้”

พราหมณ์พ่อแม่จะไม่อยากให้ไปก็ไม่กล้าขัด จึ่งออกไปว่าจ้างคานหาม[๙]กับคนหาม พาเอามาคอยรับที่บ้าน จะได้ให้ลูกเขยไปทันแต่เช้า.

จะกล่าวถึงลูกเขยปลอม ได้ท่าก็ย่องเข้าห้องเมีย (?) เพื่อนอนพัก หญิงสาวกินข้าวแล้วก็เข้านอนเหมือนกัน ความสงสัยที่ไม่เชื่อว่าชายผู้นี้เป็นผัว ยังมีรวนเรอยู่ในใจสักเท่าไรเป็นอันหมดทันที ในเมื่อเจ้าได้เข้ามาเห็นใกล้ๆ แต่ว่าจะทำประการไรเล่า ต้องนอนนิ่งหันหลังให้ พราหมณ์หนุ่มเล้าโลมเอย ออดอ้อนวอนเอย เจ้ามิยักพูดโต้ตอบด้วย หมดท่าแล้ว พราหมณ์หนุ่มเอ่ยขึ้น “หรือหล่อนเห็นรูปร่างสุ้มเสียงฉันผิดไปไม่พอใจจึ่งไม่พูดด้วย นี่แน่ะหล่อนฉันซื้อเครื่องแต่งตัวไว้ให้แยะ[๑๐] พอไปถึงบ้านจะมอบไว้ให้ใส่เสียให้พอใจ เอ๊! นี่หล่อนเป็นอะไรไปเสียแล้วไม่พูดไม่จาเลยสักนิด” หญิงสาวไม่ตอบ ได้แต่ร้องไห้หงิงๆ.

จวนจะรุ่งเช้า กายัสถ์นอนอยู่หน้าระเบียง ลุกขึ้นตะโกนเรียกเอ็ด “บาบู บาบู” พราหมณ์หนุ่มลุกขึ้นออกไป เห็นจวนสว่างแล้วก็จัดเตรียมตัวจะไป ส่วนเจ้าของบ้านก็ตื่นด้วยและออกมานั่งอยู่ที่ระเบียง คนคานหามก็ตื่นเหมือนกัน ลุกขึ้นนั่งเบิ่งอยู่บ้างสูบยาและคุยกันจ้อกแจ้ก.

พราหมณ์แก่ถามลูกเขยปลอม “จะไปกันเดี๋ยวนี้หรือนี่?”

พราหมณ์หนุ่ม- “ต้องไป มหาศัย.”

พราหมณ์เฒ่าถอนใจลุกขึ้นเรียกลูกสาวให้รีบแต่งตัวจะได้ไป ครั้นหล่อนแต่งตัวเสร็จออกมา พ่อแม่หล่อนพะยุงให้ขึ้นคานหาม หล่อนร้องไห้เสียยกใหญ่ แม่ของหล่อนพลอยร้องไห้ด้วย แต่ไม่มีเวลาพอจะล่ำลากันได้นาน เพราะพอหล่อนนั่งลงคนหามก็ยกคานหามขึ้นหามออกรีบเดิน พราหมณ์หนุ่มก้มลงคำนับลา หยิบละอองที่ฝ่าเท้าพ่อแม่ผู้หญิงขึ้นใส่บนหัว[๑๑] ทันใดก็ออกเดินตามคานหามไปพร้อมกับบ่าวคือกายัสถ์.

พอพ้นออกมานอกหมู่บ้าน คนหามรีบสาวก้าวเดินเร็วเข้า สองสหายจำต้องรีบเดินตามให้ท้น กะนั้นยังมีเวลาพอกะซิบพูดกันได้มาก

กายัสถ์ เอ่ยขึ้นก่อน “อย่างไร? เพื่อนต้องขอบใจกัน ที่ช่วยให้สำเร็จเรียบร้อยดี คราวนี้ถึงทีกันบ้างที่แกจะต้องช่วย ต้องให้สัญญากันก่อนว่า ถ้ากันหาผู้หญิงยังไม่ได้ แกยังจะไม่อยู่กินด้วยเจ้าหล่อนของแกคนนี้อย่างฉันผัวเมีย ไปถึงบ้านต้องฝากหล่อนไว้ที่บ้านแม่แก แล้วเราก็พากันไปใหม่กว่าจะได้ผู้หญิงสาวมาอีกคนหนี่ง คนหลังนี้เป็นของกันเอง คนนี้แกเอาไว้ก็แล้วกัน หรือถ้าตามนี้ไม่ชอบ คนนี้ให้เป็นของเราด้วยกันสองคนก็ได้.”

พราหมณ์หนุ่มค้านทันควัน “ช้าก่อน เล่นแบ่งผู้หญิงคนเดียวกันไม่เหมาะ อีท่านี้กันต้องขอ เอาเถอะ กันจะช่วยแกเอง อย่างที่สัญญากันไว้”

หญิงสาวนั่งอยู่ในคานหามเงี่ยหูฟัง ได้ยินบ้างบางคำ พอจะตีความแตกได้ตลอดว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร หล่อนรู้สึกว่าเจ้าสองคนนี้เป็นไอ้นักหลอกลวงเต็มตัว แต่ไม่รู้ที่จะทำประการไร หมดทางก็หันลงอ้อนวอนพระภคพัน.[๑๒]

มาถึงฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่งห่างจากหมู่บ้านของพราหมณ์หนุ่มและชายกายัสถ์ไม่สู้ไกลนัก กายัสถ์พูดกับเพื่อน “เราต้องไล่เจ้าพวกหามกลับเสียที่นี่ ถ้าให้มันไปถึงหมู่บ้านเรา มันจะรู้เรื่องเข้า เรื่องเราจะแดงขึ้น” พูดแล้วก็เรียกคนหามและพูด “นี่แน่ะพวกท่านเวลานี้ที่บ้านนายกำลังยุ่ง เพราะแม่ท่านเจ็บหนักจะให้พวกท่านไปด้วยเกรงว่าจะลำบาก ไม่มีใครเขาหุงต้มจัดหาข้าวปลามาเลี้ยงดู อย่าต้องไปให้ลำบากเลย ถึงที่นี่แล้วหาเรือไปไม่กี่มากน้อยก็ถึง ไปด้วยจักเดือดร้อนเปล่าๆ ฉันจะชำระค่าจ้างและค่ากินเสียที่นี่ให้เสร็จไปทีเดียวแล้วกลับได้”

การชำระเงินค่าจ้างก่อนเสร็จธุระที่ว่าจ้างกันมา ดั่งนี้ใครบ้างจะไม่ชอบ คนหามยอมตามไม่โต้แย้งหากรรมใส่ตัว รีบรับเงินแบกคานหามเปล่ากลับ คราวนี้เหลืออยู่แต่สองสหายกับหญิงสาวเท่านั้น เมื่อมาตามทางหญิงสาวตรองหาอุบายที่จะกำจัดมนุษย์อุบาทว์สองคนนี้ให้ได้ ยิ่งตรองยิ่งเห็นทางทะลุปรุโปร่งขึ้นมาทุกที และตกลงจะทำตามหมายในใจ เพราะฉะนั้น เมื่อสองสหายทำเป็นขู่นางว่า “หล่อนจะต้องทำตามที่ฉันสั่งทุกอย่าง ถ้าคิดหนียิ่งจะซํ้าร้าย.”

นางรับคำ “จ้ะ ฉันจะทำตามทุกอย่าง ด้วยไหนๆ ฉันก็ตกมาอยู่กับท่าน เหมือนเป็นสมบัติของท่านเหมือนกัน” แล้วหันไปพูดกับพราหมณ์หนุ่ม “ถึงท่านจะไม่ใช่ผัวของฉันจริง ฉันก็นับถือเหมือนเป็นผัว และจะเชื่อถ้อยฟังคำทุกอย่าง.”

สองสหายได้ฟังปลื้มใจเป็นที่สุดชมเชยกันเอง “เหมาะจริง เกลอเอ๋ย ได้อย่างนี้ซิเขาจึงจะเรียกว่าได้ลักษมี[๑๓] ไม่แต่สวยอย่างเดียว ซํ้าเรี่ยมเสียด้วยเพียงได้ยินเสียงพูดเท่านั้นก็จับใจเสียแล้ว.”

ทั้งสองคุยกันพลางเดินกันพลางจนใกล้บ้านเข้ามาทุกที พอถึงพราหมณ์หนุ่มก็กรากเข้าไปในบ้านบอกกะแม่ “แม่, แม่, ฉันแต่งงานแล้วพาเมียมาด้วย.”

ฟังข่าว เฒ่าพราหมณีดีใจร้องถาม “อยู่ที่ไหนลูก พาเข้ามาซิ” ในทันทีลูกสะใภ้ (?) ยอบเข้ามากราบ ยายพราหมณี - ต่อไปจะขอเรียกแม่ผัวเห็นจะได้ - ค่อยพยุงให้ลุกขึ้น พลางอวยพรเสียใหญ่ เช่น “แม่ลักษมีเข้ามาในบ้านเถิด แม่จันทร์ทอง[๑๔]ขอให้มีอายุมั่นขวัญยืน ให้กำไล[๑๕]ของลูกอย่ารู้สึกหรอ จนแก่เฒ่าก็อย่ารู้สิ้นความงาม อยู่กินกับผัวอย่ารู้วันร้าง” และอะไรต่ออะไรเหล่านี้อีกร้อยแปด

หญิงเพื่อนบ้านรู้ข่าวว่าพราหมณ์หนุ่มได้เมียพากันมาแสดงความยินดีทีละคนสองคน ที่จริงก็มาดูผู้หญิงนั่นเอง ยายพราหมณีเห่อลูกสะใภ้ เป็นเจ้าหน้าเจ้าตาพาเข้าไปดู ใครๆ ที่ได้เห็นเป็นต้องออกปากชมเปาะ และแสดงความยินดีที่ได้ลูกสะใภ้ซึ่งนับว่าได้ลาภอย่างเอก แล้วพูดยก “เรียกว่าลูกสะใภ้พวกฉันยังเห็นว่าไม่สม ถ้าจะเรียกว่าแม่รูปเนื้อทองบริสุทธิ์ทั้งแท่งจึงจะเหมาะ”

หญิงสะใภ้ก้มคำนับชาวบ้านตามประเพณี พูดจาด้วยอย่างอ่อนหวานน่าจับใจ

ยายพราหมณีร้องขอศีลพรให้แก่ลูกชาย ลูกสะใภ้ด้วย ส่วนตัวแกเองบอกว่าถึงจะตายไปพรุ่งนี้มะรืนนี้แกไม่ว่า ด้วยลูกชายเขามีเหย้ามีเรือนเป็นสุขแล้ว

ชาวบ้านสนทนาพอสมควรกับเวลาก็ลาออกมานอกบ้านไม่กี่มากน้อย ต่างกระซิบกระซาบพูดกัน “นี่แต่งงานกันอย่างไรหนอ? ลูกชายยายพราหมณีหายไปหลายวัน ปุบปับกลับบ้านก็ว่าได้แต่งงานพาเมียมาทีเดียว แปลกจริง สังเกตดูผู้หญิงก็ไม่ใช่เป็นคนสาวแส้นัก ทำไมช่างปล่อยไว้เป็นโสดนานอย่างนี้ นี่จะเลี้ยงกันอย่างไร? ชั้นแต่เจ้าผัวเองจะหาหยอดท้องของตนก็แสนยากอยู่แล้ว ใครนะมันช่างโง่เซอะยกลูกสาวให้กับคนอย่างนี้ได้”

อย่างไรก็ดี ข้อหนึ่งเป็นเห็นแจ่มแจ้งได้ชัดในไม่ช้า คือจับเดิมแต่ยายพราหมณีได้ลูกสะใภ้มา มีแต่ความสุขหมดความเดือดเนื้อร้อนใจ เพราะลูกสะใภ้คนนี้นับว่าเป็นตัวอย่างอันดี ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ปัดกวาดบ้านเรือนเรียบร้อยทุกอย่างแล้วเข้าไปปลุกแม่ผัว เอาน้ำมันทานวดฟั้นให้ ช่วยประคับประคองพาไปอาบน้ำ ซักผ้านุ่งผ้าห่ม (สาฤ) ที่ผลัด มิหนำซ้ำซื้อขนมนมเนยมาเตรียมด้วย[๑๖] การครัวไม่ต้องวุ่นถึงใคร ทำเสียเองเสร็จ ถ้าแม่ผัวยังไม่ได้กิน หล่อนไม่ถูกต้องกับข้าวนั้นเลยดังนี้ ยายพราหมณีทำไมจะไม่แย้มยิ้มกริ่มใจ ชมเชยลูกสะใภ้ของตนแทบไม่หยุดปาก

การเป็นไปเรียบร้อยอย่างที่เล่ามาได้สักอาทิตย์สองอาทิตย์ แต่นั่นแหละชอบที่พราหมณ์จะสบายใจ กลับหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะตามสัญญาที่ตกลงไว้กับเพื่อน ตนจะอะไรๆกับเมียไม่ได้มากนัก กว่าเพื่อนจะหาเมียได้เสียก่อนคนหนึ่ง เนื่องด้วยเหตุนี้ กายัสถ์จึงมาเตือนแทบทั้งกลางวันกลางคืน เร้าอยู่เสมอว่า “อย่างไรเล่า? ไปกันหรือยัง? ถ้าไม่อย่างนั้นเป็นไม่ยอมให้แกมีเมียได้”

พราหมณ์หนุ่มมิใช่อยากไปเมื่อไร แต่จนใจกลัวเพื่อนจะขยายความลับให้ฉาวขึ้น ต้องใช้เพลงบิดผลัดวันประกันพรุ่ง ถูกเร้าหนักทนไม่ไหว มาวันหนึ่งพื้นเสีย พูดสะบัด “ไปก็ไป อะไร ได้เมียกับเขาคน พามาไว้นานสองนานแล้วพูดอะไรกันก็ไม่ได้ เพราะไอ้แกคนเดียว เล่นท่านี้เหลือทนจริงๆ”

กายัสถ์- “ถ้าอย่างนั้นไปได้เร็วยิ่งดี”

พราหมณ์หนุ่มแดก “ดีเสียอีกได้เช่นนั้น เอาเป็นตกลงไปวันนี้ทีเดียว” เพราะฉะนั้นจึ่งได้ตกลงกันว่า พอกินข้าวแล้วเป็นไป.

พราหมณ์หนุ่มมีความเชื่อมั่นไว้ใจในนางนั่นแล้ว ทั้งไม่เห็นทางด้วยว่าถ้าตนไม่อยู่ หากหล่อนจะหนีไป จะไปไหน เพราะฉะนั้นจึงมอบลูกกุญแจหีบปัดไว้ให้รักษาและสั่งกำชับ “นี่แน่ะหล่อน เก็บไว้ให้ดีด้วย ถ้าฉันยังไม่ได้ช่วยจัดแจงให้เจ้าเพี่อนฉันคนนั้นเขามีเมียแล้ว ฉันก็ยังไม่มีหนทางทำความสนิทสนมกับหล่อนให้ยิ่งกว่านี้ได้ เพราะฉะนั้น วันนี้จะไปช่วยเขาจัดการเรื่องนี้เสียให้เสร็จไปที จะไปช้านานเท่าไร บอกไม่ถูกเพราะไม่มีกำหนด จึงขอฝากฝังแม่ฉันไว้กับหล่อนด้วย ปฏิบัติแกอย่าให้ขัดใจ เพราะฉันเชื่อว่าหล่อนคงไม่ดูดาย นอกนั้นฉันไม่ต้องบอกอีกละ.”

หญิงสาว- “พี่ไม่ต้องวิตกดอก เพราะฉันรักใคร่นับถือแม่ของพี่เท่ากับเป็นแม่บังเกิดเกล้าของฉันเหมือนกัน ที่ไหนฉันจะละเลยไม่เอาใจใส่ได้ ตั้งแต่ฉันมาอยู่นี่ พี่ก็เห็นด้วยตาอยู่แล้วว่าฉันปล่อยปละละเลยอะไรบ้าง อย่าต้องเป็นห่วงเลย ฉันรับธุระเอง ขอให้ตั้งหน้าช่วยเพื่อนของพี่เถิด เพราะคราวของพี่เขาก็ได้ช่วยเหลือมามาก ไม่ควรจะอยู่รอให้ชักช้า ไปแล้วขอให้รีบกลับหนา.”

พราหมณ์หนุ่มได้ฟังแสนปลื้มก็เหลือปลื้ม ถ้าหากว่าเดิมจะมีความกริ่งใจเหลือติดอยู่บ้าง ถูกเข้าคราวนี้เป็นอันหลุดหายไปหมด มอบหมายอะไรต่างๆ ไว้กับหล่อนเสร็จ ก็ให้ปรุโปร่งโล่งใจออกจากบ้านไปกับสหาย.

ล่วงมาสองสามวัน อยู่ข้างนี้นางน้องดูแลเอาใจใส่ยายพราหมณีแม่ผัวทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจจะทำได้ และพยายามเข้าค้นดูของในบ้านที่พอจะมีราคาว่าเอาเก็บซ่อนไว้ที่ไหน โดยทำไม่ให้ใครระแวง ข้อนี้ไม่สู้จะยากอะไร เพราะยายพราหมณีแกปากมาก ไม่ว่าเรื่องอะไรเป็นเล่าหมด ตกคืนวันหนึ่ง หญิงสะใภ้หาของว่าง[๑๗]ให้แม่ผัวกิน แล้วก็พาเข้าไปนอน รอพอเห็นว่าพราหมณีหลับสนิท นางหญิงย่องไปรวบรวมของที่พอจะมีราคาทั้งหมด เอาผ้ามัดห่อให้แน่นค่อยย่องกริบออกจากบ้าน ปิดประตูให้สนิทดีแล้ว เอาไฟเผาบ้านส่ง รีบหนีไปโดยเร็ว ได้สักครู่ถึงที่โล่งโถงกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะหนีไปทางไหน หมดปัญญา นางระลึกถึงพระภคพัน แล้วเดินตัดตรงไปทางหนึ่งตลอดคืน เช้าตรู่ นางมองดูไปเห็นมาใกล้สระนํ้าซึ่งตนเคยมาซักผ้าอาบนํ้า ดีใจรีบสาวก้าวตรงมาบ้านไม่ได้หยุดพักเหนื่อย ถึงบ้านพ่อแม่เห็นกลับมาคนเดียวก็ตกตะลึง แม่ถาม “นี่ทำไมกลับมาคนเดียว?”

หญิงสาวตอบ “เปล่าค่ะ แม่ ไม่ได้มาคนเดียว เมื่อวานนี้แม่ผัวแกตาย ผัวฉันต้องนำศพแม่ไปที่คงคา จะทิ้งฉันไว้ที่บ้านคนเดียวกลัวจะเหงา จึงได้พามาส่งที่นี่ เพราะพาศพผ่านมาทางนี้ จะแวะเข้ามาส่งให้ถึงบ้านก็ติดศพ[๑๘] กลัวจะต้องลำบากลำบนด้วย”

ยายตาฟังลูกสาวเล่า ดูเหมือนจะออกเวทนาลูกสาวตัวยายแม่พูด “อนิจจา ไม่น่าเลย ไปถึงบ้านก็พอดีแม่ผัวตาย น่าใจหายเพราะผัวเจ้าก็ไม่มีญาติพี่น้องที่บ้าน มีแม่คนเดียวมาจากไปเสียดังนี้” เฒ่าทั้งสองมิได้มีความสงสัยในเชิงกลของลูกสาวแม้แต่เล็กน้อย จึงมิได้ซักไซ้ไล่เลียงให้ยาวความต่อไปอีก ตกลงลูกสาวกลับมาอยู่บ้านเหมือนอย่างเดิม

ในระหว่างเวลาที่เล่ามานี้ สองสหายกำลังเที่ยวเร่ร่อนแสวงหาผู้หญิง ไปหมู่บ้านโน้นมาหมู่บ้านนี้ แต่ไม่ประสพลาภแม้เท่ากิ่งก้อย ในที่สุดชายกายัสถ์บ่นขึ้น “เรามาคราวแรกถูกวันฤกษ์ดี น่ากลัวคราวนี้จะไม่เช่นนั้น ไปที่ไหนไม่ได้สักราย ดูมันติดขัดไปเสียทุกแห่ง นึกๆ ออกท้อเสียแล้ว กลับบ้านเสียทีดีกระมัง แล้วค่อยมากันใหม่ ดูให้มันเป็นคราวฤกษ์ดีเห็นอย่างไร?” ไม่ต้องสงกาพราหมณ์หนุ่มต้องยินดีกลับเป็นแน่นอน.

รุ่งเช้าในวันที่หญิงสาวเอาไฟเผาบ้านแล้วหนีไป ชาวบ้านแตกตื่น เห็นไฟไหม้บ้านพราหมณ์หนุ่มเสียราบ สำคัญว่ายายพราหมณีกับลูกสะใภ้คงตายไหม้ในไฟ นึกสงสารหญิงลูกสะใภ้ต่างพูดปลง “พุโท่! น่าเวทนาจริงๆ ไม่ควรเลย แม่สาวคนนั้นจะมาตาย จะหาเมียใครในถิ่นนี้ดีเหมือนก็แสนยาก พึ่งมาได้ไม่กี่วัน ก็เป็นเสียดังนี้แหละ นี่ผัวกลับมาจะทำท่าไหนหนอ” กำลังชาวบ้านยืนมองดูบ้านที่ถูกไฟและพูดกันอยู่นี้ สองสหายมาถึง พอพราหมณ์หนุ่มเห็นบ้านไหม้ไฟหมดก็ร้องไห้โฮ แทบหมดสติ ทั้งแค้นทั้งเสียใจ และรำพึงถึงความชั่วที่ทำไว้ว่า “ความชั่วที่เราไปลักพาเมียเขามาได้รับผลดังนี้ นี่ไม่ใช่ใคร คงเป็นอีวายร้ายนั่นเองเป็นผู้ทำ สมแก่เรา เป็นขะโมยถูกขะมายอีกที”[๑๙]

ชายกายัสถ์ยืนอยู่ด้วย นึกกลัวขึ้นมา “ไม่ริอีกละ ไอ้เรื่องอย่างนี้เป็นเลิกทีเดียว” บ่นแล้วเลี่ยงกลับไปเสีย.

พราหมณ์หนุ่มนึกตรองอยู่สักครู่หนึ่ง “นี่เราจะมายืนเศร้าโศกอยู่ที่นี่ทำไมหนอ? เป็นตายอย่างไรจะต้องหาทางแก้แค้นอีใจร้ายให้ได้” คิดแล้วเอาผ้าผืนสั้นๆ เข้าพันคอ[๒๐] เดินดิ่งไปยังบ้านผู้หญิง มิได้หยุดพักที่ไหนได้ตลอดวัน ล่วงเข้าเวลาเย็นถึงบ้านราเมศรบาบู หยุดที่ประตูบ้านร้องเรียก “มหาศัย มหาศัย”

พราหมณ์แก่กำลังนั่งอยู่ที่ระเบียง ได้ยินเสียงใครมาร้องเรียก ลุกขึ้นไปเปิดประตูเห็นเขยปลอมก็ร้องทัก “รามลอจันดอกหรือ หมายว่าใครเข้ามาซิ รู้เรื่องตลอดแล้วว่าแม่ของลูกถึงแก่กรรมไป พ่อก็เสียใจด้วย” ว่าพลางฉวยข้อมือเขยจูงเข้ามาในบ้าน.

ฝ่ายยายพราหมณีเห็นลูกเขยกลับมาให้เวทนาสงสารจนนํ้าตาไหล พลางโลมเล้าเอาใจลูกเขย “อย่าเป็นทุกข์เป็นร้อนเลยลูกรักที่ต้องเสียแม่ที่รักไป มิใช่ใครจะมีพ่อมีแม่ไว้ตลอดชีวิต ถึงกำหนดแล้วต้องตายหนีไม่พ้น จะร้องไห้เสียใจก็เท่านั้น แต่ถึงแกจะตายไปยังนับว่าไปดี ที่มีลูกชายอย่างนี้ไว้ แม่เชื่อว่าถึงแม่และพ่อเดี๋ยวนี้จะตายก็นอนตาหลับ ด้วยได้ลูกไว้ปกครองบ้านช่องต่อไป” พูดเอาใจสักครู่ ยายพราหมณีออกไปหาของว่างมาเลี้ยงลูกเขย ส่วนตาพราหมณีออกไปซื้ออาหารเหมือนอย่างคราวก่อน อยู่ข้างนี้พราหมณ์หนุ่มนึกหายวิตกว่า “ค่อยยังชั่ว อีนั่นกลับมาบ้านท่าจะยังไม่ได้ขยายอะไร ยายแก่ตาเฒ่าจึงคงงมเซอะอยู่ คราวนี้ขอให้ได้พาอีคนนั้นไปอีกหนเถิด จะเล่นงานให้มันเห็นฝีมือเสียบ้าง”

ในเวลาเดียวกันนั้น หญิงสาวนึกอยู่เหมือนกัน “ตายจริง! อ้ายริยำกลับมาอีก มันคงจะมารับเราไป ที่ไหนผู้ใหญ่แกจะขัด คงบังคับให้ไปกับมัน นี่จะทำฉันใดดีหนอ?” เกิดปัญญาหาอุบายได้ผลุนผลันออกไปหลังบ้าน เรียกยายแก่ที่อาศัยอยู่ที่นั่น “ยาย ช่วยซื้อยาพิษให้หลานสักหน่อยเถิด”

ยายแก่ตกใจ “นั้นแม่หนูจะเอามาทำไม?”

หญิงสาว- “เปล่าค่ะ ที่ในห้องหนูมันกวนนัก เข้าไปกัดอะไรต่ออะไรเสียหมด หมายจะเอามาคลุกข้าวเบื่อมันเสีย.”

ยายแก่รับว่าได้ แต่งตัวออกไปตลาด สักครู่กลับมาส่งยาพิษให้.

ฝ่ายยายพราหมณ์ทำของว่างเสร็จ ให้สาวใช้ยกเข้าไปในห้องลูกสาว และออกมาพูดกับลูกเขย “คืนวันนี้เห็นจะไม่ต้องการกินข้าวเย็นกระมัง?[๒๑] แต่ต้องกินอะไรแก้หิวเสียบ้าง ไปกินซิลูก แม่ยกเอาไปไว้ในห้อง กินแล้วจะได้เข้านอนพักเหนื่อยเสียแต่หัวค่ำ.”

พราหมณ์หนุ่มทำเป็นบอกว่า ไม่ควรจะวุ่นวายไปเลย แสดงความขอบใจ แล้วหันไปพูดกับพ่อตา “มหาศัย ขอช่วยหาคานหามให้ลูกด้วยในคืนนี้ เพราะจะต้องพาหล่อนกลับบ้าน ไปพรุ่งนี้เช้า พ่อรู้แล้วที่บ้านไม่มีใครอยู่ดูแล” ตาพราหมณ์เชื่อ “ได้ซิลูก จะจัดให้เสร็จ ไปนอนเสียเถิด.”

พราหมณ์หนุ่มลาพ่อตาแม่ยายเข้าไปในห้อง ฝ่ายหญิงสาวก็เห็นพราหมณ์หนุ่มเดินเข้ามาก็ขมีขมันเอายาพิษโรยลงในถ้วยนมสดที่เตรียมไว้ พราหมณ์หนุ่มกำลังหิวกระหายมาไม่ทันสังเกตฉวยถ้วยนมขึ้นดื่ม สาวน้อยใจเต้นตึกๆ มองดูไม่กะพริบตา พราหมณ์หนุ่มดื่มนมรวดเดียวดวด ไม่ทันวางถ้วย พิษยาซ่านเข้าทั่วตัวชักเส้นกะตุกนํ้าลายฟูมปาก ซุดตัวลงทำตากลอกพูดไม่ออก ได้สักครู่ก็ขาดใจตาย.

หญิงสาวตัวชา เห็นพราหมณ์หนุ่มตายดีใจว่าเสร็จธุระไปอย่างหนึ่งแล้ว แต่หวนวิตก “นี่จะเอาศพไปไว้ไหนดี ทิ้งไว้อย่างนี้ รุ่งเช้าใครเขาเห็นก็จะลากตัวไปเข้าคุก” นั่งตรองอยู่ครู่หนึ่งเห็นทางพอจะรอดตัว ลุกขึ้นจัดแจงเอาเครื่องแต่งตัวทั้งหมดมาแต่ง เลือกได้ผ้าห่มแพรสีแดงเอามาห่ม กินหมากให้ปากแดง สยายผมปล่อยห้อยลงมาถึงบั้นเอว เอาผ้าห่มเก่าๆ ผืนหนึ่งห่อศพแน่น รอฟังพอใครๆ ในบ้านหลับหมดแล้ว แข็งใจยกศพขึ้นทูนหัว มือหนึ่งถือดาบเก่าๆ ที่ทิ้งไว้ในห้อง ค่อยย่องออกจากบ้านไปยังป่าช้าซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เวลามาถึงป่าช้าดึกสงัด ชั้นเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องก็ดังก้อง ท้องฟ้าพยับมืดเป็นเมฆดำๆ คล้ายก้อนหมึก ฟ้าแลบแปลบๆ แล้วเป็นพายุฝนตกลงมาเม็ดโตๆ

คืนนั้น เผอิญมีพวกโจรมาประชุมกันที่ป่าช้า[๒๒]ปรึกษากันด้วยเรื่องจะไปปล้น หญิงสาวเกือบจะเดินผ่าเข้าไปหาโจรแต่เคราะห์ดียังอยู่ห่าง พอดีฟ้าแลบแปลบ เป็นแสงสว่างให้ทันแลเห็นเสียก่อน ส่วนพวกโจรกำลังสาละวนหารือด้วยเรื่องของมันจึงไม่ทันเห็น หญิงสาวใจหายวาบหยุดชะงัก ตัวสั่น นึกวิตก “ตายจริง! เรา เคราะห์กรรมอะไรมิรู้พยายามถนอมความบริสุทธิ์ไว้เป็นหลายครั้ง ไม่นึกเลยว่าจะมาตายเสียด้วยมือโจร ฮึ! จะมายอมตายอะไรกันง่ายๆทำไม ต้องแก้ไขไปจนสุดปัญญา เมื่อมันจะตายก็ตามที” นางระลึกถึงพระภคพัน แล้วก็เดินอุบายที่ได้เตรียมมาไว้แต่ต้นสำหรับเมื่อถึงคราวจวนตัว แข็งใจเดินดื้อเข้าไปที่พวกโจรนั่ง พวกโจรได้ยินเสียงกำไลที่เท้าดังกริ๋งๆ ตกใจ เข้าใจว่าคนที่เดินมาเป็นผู้หญิง แต่ผู้หญิงที่ไหนมาป่าช้าในเวลาดึกดื่นเที่ยงคืน กำลังแลดูตากันก็พอดีนางเดินเข้ามาถึง หยุดปับยืนตัวตรงแลบลิ้นแดงที่กินหมากออกมายาว มือเงื้อดาบ พวกโจรตะลีตะลานจุดคบ พอแลเห็นรูปร่างก็ตกใจ สำคัญแน่ว่าเป็น ‘พระแม่เจ้ากาลี’[๒๓] พระแม่เจ้ากาลีนี้ย่อมรู้อยู่ว่าบรรดาผู้ร้ายนับถือว่าเป็นเทพธิดาคุ้มครอง เป็นนายพวกมัน เพราะฉะนั้น ต่างคนก็ลงกราบไหว้นาง เจ้านายกราบลงที่เท้าเสียหลายลาด้วยความเลื่อมใส ปากก็พูด “พระแม่เจ้า! ถ้าคืนนี้ลูกไปทำธุระได้ลาภมามากจะทำลิ้นทองบูชาสมโภชให้ใหญ่โต” แล้วพวกโจรก็โห่ร้อง “ขอความชนะจงมีแด่พระแม่เจ้า! ขอความชนะจงมีแด่พระแม่เจ้า !” แล้วเดินเวียนรอบนาง[๒๔]

พอหยุดเวียนนางก็พูด “เจ้าพวกลูกของเรา เราพอใจมากที่พวกเจ้านับถือเรา เพราะฉะนั้น จึงเอาของมาให้ แต่ต้องรออยู่สักครู่ใหญ่จึงค่อยเปิดดู” ว่าแล้วโยนห่อศพที่ทูนมาให้ เดินกลับมาพอพ้นเขตป่าช้า ก็ออกวิ่งตื๋อ ปล่อยเต็มกำลังฝีเท้ากลับบ้าน

ฝ่ายพวกโจรมองดูห่อผ้าด้วยความตกตะลึง ต่างพูดกันด้วยความดีใจ “คราวนี้เราไม่ต้องไปปล้นสะดมให้ลำบากลำบนละ บุญพวกเราแท้ๆ พระแม่สยายผม[๒๕]โปรดปรานประทานรางวัลพวกเรา ไม่ต้องทำมาหากินอะไรให้เหนื่อยยากอีกจนวันตาย” เจ้านายโจรเสียงสั่นขนลุกขนพองทั้งกลัวทั้งดิใจ ร้องตะโกน “ขอชโยจงมีแด่พระแม่เจ้าๆๆ!” เสียหลายลา ไอ้พวกนั้นก็ว่าตามเสียงดังกึกก้องอยู่ทั่วป่าช้า และนึกกระหยิ่มใจว่าที่ในผ้าคงมีแก้วแหวนเงินทองอยู่ในนั้นมากมาย ได้สักครู่นายโจรสั่งให้ลูกสมุนเปิดห่อ พอเปิดผลับเห็นศพ พวกโจรก็ตะลึงแลดูตากัน ความโกรธอะไรจะมายิ่งเท่าได้ศพเป็นไม่มี[๒๖] เจ้าตัวนายโกรธถึงมือสั่น คำรามว่า “ไอ้ใครนะชั่งกล้ามาหลอกลวงเราเล่นอย่างนี้ อีนั่นคงเป็นอีสามานชั่วช้าลูกอีแพศยา ต้องรีบตามตัวรับมือให้ได้ สับเสียเป็นท่อนๆ ก็ยังไม่สมกับความผิดของมัน เฮ้ย! พวกเราอย่าช้า รีบตามจับตัวอีนั่นให้ได้”

เจ้าพวกลูกสมุนเต็มใจคอยท่าอยู่แล้ว พอได้ฟังก็ต่างคนฉวยอาวุธ มีหอกดาบมีดพร้าและอะไรต่ออะไรออกได้ตรงดิ่งไปทางถนนที่ไปหมู่บ้าน

ถึงนั่น พวกโจรเที่ยวตรวจทุกๆบ้าน ไม่เห็นร่องรอยที่พอจะสงสัย ครั้นมาถึงบ้านราเมศรบาบูปีนเข้าไปในกำแพง เห็นประตูบ้านยังแง้มเปิดอยู่ เพราะหญิงสาวเวลาวิ่งกลับบ้านเหนื่อยอ่อนแทบขาดใจ ถึงบ้านก็ตรงเข้านอนทีเดียว ลืมปิดประตู พวกโจรย่องเข้าไปในบ้านถึงห้องผู้หญิง เห็นนอนหลับยังห่มผ้าแดงอยู่ เครื่องแต่งตัวก็ไม่ได้ถอด ดาบพึ่งหลุดออกจากมือกลิ้งอยู่ข้างตัว เจ้านายโจรเห็นก็จำได้ กระซิบบอกสมุนเบาๆ “ได้ตัวแล้ว อีวายร้ายนี่เอง” แล้วสั่งให้ลูกสมุนยกเอานางไปทั้งเตียง ให้ค่อยๆ ยกให้ดี กำชับไม่ให้วางที่ไหนจนกว่าจะถึงที่ อ้ายผู้ร้ายสี่คนก็กรากเข้ายกเตียงขาละคน ค่อยประคองออกจากบ้านตรงไปป่าช้า

หญิงสาวค่าที่เหนื่อยเพลียมา นอนหลับสนิทไม่ได้สมฤดี ต่อเป็นนานเตียงโคลงกระเทือนมากขึ้นจึงตื่น รู้สึกว่ามีใครแบกเตียงที่นอนมา ทีแรกก็ให้งงงวยไม่รู้เรื่อง จนอีกครู่หนึ่งได้ยินเสียงพวกโจรพูดกันดังโฮกฮากอยู่รอบเตียงก็ตกใจรู้ว่าตกมาอยู่ในเงื้อมมือมันอีก นึกวิตก “เราเห็นจะตายเสียคราวนี้แน่ ถ้าพระภคพันไม่โปรดคงไม่รอด”

ขณะนั้น พวกโจรแบกเตียงลอดต้นโพธิ์ใหญ่ต้นหนึ่ง กิ่งระถูกตัว นางคว้าได้ดาบที่วางอยู่บนเตียง เอามือยึดกิ่งโพธิ้ให้แน่น ค่อยโหนตัวขึ้นไปบนต้นไม้ได้ แล้วค่อยไต่คลำพบโพรงอยู่บนต้นลงไปซ่อนตัวอยู่ พวกโจรไม่รู้สึกว่านางหนีขึ้นต้นไม้ เพราะถูกแต่เตียงก็หนักพอแรงอยู่แล้ว ซ้ำเป็นเวลามืดจัดมองไม่เห็นหนอะไร เมื่อพวกโจรมาถึงป่าช้าวางเตียงลง เห็นเตียงเปล่า ผู้หญิงที่นอนอยู่หายไปไหนไม่มีใครรู้เรื่อง เลยตกตลึงประหลาดใจไปตามกัน ตัวนายโจรเองเคืองแค้นมากที่ผู้หญิงหลุดหนีไปได้อีก ถึงกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันร้อง “ริยำแท้ๆ ไอ้พวกมึง ปล่อยให้อีผู้หญิงสาระเลวคนเดียวหลอกได้หลายครั้ง เฮ้ย! พวกมึงมาตามทางจำได้ไหม? ว่าลอดใต้ต้นไม้ใหญ่ๆ ที่ตรงไหนบ้าง?”

ลูกสมุนที่แบกเตียง- “ลอดมาหลายต้น”

นายโจร- “ไอ้ต้นใหญ่กว่าเพื่อนมีบ้างหรือเปล่า”

ลูกสมุนนึกอยู่ครู่หนึ่ง “มี มีต้นอะไรไม่รู้ใหญ่เบ้อเร่อ”

นายโจร- “หนีขึ้นนั่นแน่แล้ว อีวายร้ายคนนั้น พวกมึงจำที่ได้มิใช่หรือ? นำกูย้อนกลับไปที่นั่น กูจะขึ้นนอนบนเตียงเอง พวกมึงแบกไป” ว่าแล้วลงนอนบนเตียงให้ลูกสมุนแบกย้อนไปทางที่มา แบกมาได้สักครู่หนึ่ง กิ่งไม้ระต้องตัวนายโจร จึงร้องบอกลูกสมุน “หยุดโว้ย วางลงตรงนี้ ไอ้ต้นนี้เอง อีนั่นคงหนีขึ้นไปซ่อนอยู่”

ลูกสมุนวางเตียงลง นายโจรลุกขึ้นสั่งให้ปีนขึ้นไปตรวจดูบนต้นไม้ ค้นกันทั่วต้นไม่เจอ เวลานั้นหญิงสาวหมอบแต้อยู่ในโพรง กลัวก็แสนกลัว เพราะรู้อยู่ว่าพวกโจรกลับมาค้นจับตัว เงี่ยหูฟัง เสียงมันปีนป่ายไปกิ่งโน้นมากิ่งนี้ ในใจวิตกภาวนาขออย่าให้มันปะ.

พวกโจรหาไม่พบ ลงมาจากต้นไม้ทีละคนสองคน ส่วนเจ้าหัวหน้ายืนอยู่ที่โคนต้น เหลือคนสุดท้ายเจ้ากรรมเอามือแหย่ลงไปในโพรง ถูกตัวผู้หญิงเข้า ดีใจ อ้าปากจะร้องบอกพวกกัน ทันใดนั้น นางเอามือปิดปากห้ามไว้ กระซิบพูดแต่เบาๆ “อย่าๆ พี่ อย่าบอก ขืนบอกพี่ก็ไม่ได้อะไรกับเขาด้วย ถ้านิ่งเสียทำตามฉันบอก ซํ้ากลับจะได้ลาภ”

โจรประหลาดใจ “นี่เอ็งพูดว่าอะไร?”

หญิง- “อะไร! ถ้าพี่บอกว่าฉันอยู่นี่ นายของพี่จะให้ฉันไปเป็นของตนเอง พี่ไม่ได้อะไร ถ้าพี่นิ่งเสียไม่บอก ฉันจะยอมเป็นเมียพี่”

โจร- “ชิ! ใครเขาจะเชื่อถือไว้ใจผู้หญิงอย่างเจ้า แล้วเป็นคนละสกุล[๒๗] เป็นเมียผัวกันได้ที่ไหน”

หญิง- “พี่ละเซ่อดังนี้แหละ มันจะต้องถือสกุลสแกนอะไรนี่นา ยอมเป็นเมียยังจะพิถีพิถันถือโน่นถือนี่ ถ้าไม่เชื่อ แลบลิ้นออกมาซิ ฉันจะทำลายสกุลเดี๋ยวนี้แหละ[๒๘]

โจรโง่สำคัญว่าจริงก้มหน้าแลบลิ้นให้ นางเอามือหนึ่งจับลิ้น อีกมือหนึ่งเอาดาบตัดลิ้นปราดขาดออก โจรพลัดตกแอ๊กลงมาดังตุ้บ ร้องหมายจะบอกเพื่อนให้รู้ว่าผู้หญิงอยู่บนต้นไม้นั้น แต่เสียงบอกไม่เป็นภาษา[๒๙] กลิ้งเกลือกไปมาอยู่บนดินด้วยเจ็บเหลือทน เจ้าพวกเพื่อนสำคัญผิดเข้าใจว่าถูกภูตผีที่ดุร้ายอะไรสิงอยู่บนต้นไม้โกรธทำเอาต่างคนต่างตกใจหนีเอาตัวรอดไม่คิดชีวิต ไปคนละทางสองทางดังออกลั่น หญิงสาวรอนิ่งฟังอยู่ในโพรง พอเสียงฝีเท้าพวกโจรที่หนีหายเงียบไป ก็ออกจากโพรงไม้ค่อยไต่ต้นลงมา พอถึงดินก็วิ่งห้อกลับมาบ้าน ตรงเข้าห้องนอนได้อีกครู่ใหญ่ก็รุ่งสว่าง พ่อแม่ตื่นนอนเห็นลูกสาวอยู่ในห้องคนเดียว ก็ซักถามว่า “นี่พ่อนั่นหายไปไหน (พ่อลูกเขย)? ไหนบอกจะพาเจ้าไป? นี่ทำไมจึงอยู่คนเดียว?”

หญิงสาวแก้ไข “เปล่าค่ะ ฉันอ้อนวอนเขาเองขอให้ฉันอยู่นี่ก่อน เขาก็ยอมกลับไปคนเดียวแล้วจึงจะมารับทีหลัง” สองเฒ่าเชื่อลูกสาว ตั้งแต่นั้น ก็อยู่ด้วยกันเป็นสุขตลอดมาเหมือนเดิม.



[๑] Keyastha = กายัสถ (สํ. กายัสถ) “สถิตในกาย” ว่านเครือกายัสถ หรือสกุลเสมียน บิดาเป็นกษัตริย์มารดาเป็นศูทร ; ดูเหมือนคนสกุลนี้เองที่เป็นเสมียนและคนทำบัญชีในอินเดีย, ทุกวันนี้ยังมีมากในเมืองเบงคอล เป็นจำพวกที่มีหน้ามีตาอยู่สักหน่อย.

[๒] พราหมณ์หนุ่มคนนี้เห็นจะเป็นคนชั้นต่ำในวรรณพราหมณ์ เช่นพวกภารัทวาชโคตร ซึ่งพราหมณ์ชูชกในมหาเวสสันดรชาดกก็สืบเนื่องมาจากโคตรนี้ เพราะมิฉะนั้นคงหาเมียสวยและมั่งมีได้ ด้วยขึ้นชื่อว่าพราหมณ์ ถึงจะประพฤติชั่วก็ยังมีผู้เต็มใจยกลูกสาวให้.

[๓] Sari = สาฤ เป็นผ้าผืนยาว มักเป็นผ้าขาวบางสำหรับผู้หญิงคลุมตั้งแต่ศีรษะ พันกับตัวเป็นเสื้อแล้วห้อยลงมาถึงข้างล่าง.

[๔] “คำว่า บาบู = Babu เป็นคำยกย่อง เท่ากับฝรั่งเรียก มิสเตอร์ แต่ฝรั่งใช้ไว้ข้างหน้าประกอบกับนามสกุล, ฝายเบงคลีใช้พูดต่อกับชื่อตัว เช่นชื่อตัว ‘ราเมศร’ นามสกุล ‘จักรพรรดิ’ ต้องเรียกว่า ‘ราเมศร บาบู;’ ทำนองเดียวกับ ‘ชี’ ดูในวิษยาบุกiม หิโตปเทศ ตอน ๑ มิตรลาภ

[๕] พวกฮินดูที่ถือลัทธิเคร่ง ไม่ยอมให้ญาติพี่น้องขาดใจตายในบ้าน เห็นว่าจวนเจียนจะหมดลม ก็รีบกุลีกุจอแบกหามคนเจ็บทั้งที่นอนไปไว้ข้างนอก แต่มักนำไปถึงแม่คงคากะเวลาให้คนเจ็บไปสิ้นใจเอาใกล้ฝั่งนํ้าอันศักดิ์สิทธิ์ได้เป็นบุญอย่างวิเศษ บางทีก็ทำให้เลื่อมใสความศักดิ์สิทธิ์มั่นยิ่งขึ้น โดยที่คนเจ็บร่อแร่จะตายมิตายแหล่ ถูกหามกะร่องกะแร่งไปได้กระทบอากาศแม่คงคา เลยฟื้นหายเจ็บไข้ รอดชีวิตกลับได้ก็มี; ดูคำพรรณนาแม่คงคาในปัจจุบัน ในหิโตปเทศ ตอน ๑ มิตรลาภ.

[๖] จักกัตติ มศัย – Chokkotti Moshay เป็นคำเรียกสั้นๆ จากคำว่า ‘Chokroborti Mohashay = จักรพรรติ มหาศัย; มหาศัย สํ. เป็น ‘มหาศย’ แปลว่า ‘ผู้มีอัชฌาสัยใหญ่, ใจสูง’ ฯลฯ ใช้เป็นคำเรียกแก่ผู้ที่ตนเคารพ เท่ากับคำว่า ‘ท่าน’ สูงกว่าคำ ‘บาบู’ ในที่นี้กายัสถ เฃาปลอมเป็นบ่าวมา ต้องยอมใช้คำนั้นกะราเมศรบาบู พราหมณ์เฒ่า.

[๗] เพราะเป็นคนสกุลพราหมณ์กับสกุลกายัสถ-ไม่กินร่วมกัน; (หรือในเวลานั้น กายัสถกำลังปลอมเป็นบ่าวเขา, จำเป็นอยู่เองที่บ่าวต้องกินทีหลังนาย)

[๘] ชาวฮินดู เรื่องผัวเมียจะเรียกชื่อตัวไม่ได้ ชั้นแต่คำว่า ‘เมีย’ ก็มักจะหาคำอื่นพูดแทน ชาวเบงคลีจะเรียกเมียว่า ‘Poribor’ = บริพาร’ แปลว่า ‘ครอบครัว’

[๙] ตามทางซึ่งไม่ใช่ถนนดี ต้องขึ้นคานหามแทนรถ.

[๑๐] ชายชาวเบงคลี ถือว่าถ้าจะให้หญิงชอบใจ อะไรไม่ดีเท่าให้เครื่องแต่งตัว (ท่าจะจริงของเขา !)

[๑๑] แสดงว่ามีความนับถือจนถึงเอาฝุ่นที่เท้าใส่บนศีรษะได้ (ทูนละอองธุลีบาท)

[๑๒] สํ - ภควัต = ‘มีโชค, ควรคบ, ควงบูชา’ หมายเอาพระเป็นเจ้า ว่าโดยเฉพาะ คือ พระวิษณุกฤษณ (นารายณ์)

[๑๓] ลักษมี นามชายาของพระวิษณุ เทพกันยาประจำโชคลาภและความงาม คำเบงคลีเรียก ‘Loqhi’

[๑๔] คำเหล่านี้เป็นคำพูดแสดงความรักของชาวเบงคลีพูดติดปาก

[๑๕] กำไลนี้ทำด้วยเหล็ก ให้เจ้าสาวสวมในวันแต่งงาน ถ้าเป็นม่ายต้องหักกำไลนั้นเสีย

[๑๖] ทำไมจึงหาขนมมาให้กินก่อนข้าว? เพราะเวลากินข้าวของพวกนี้ออกจะล่ามาก ต้องกินอะไรรองท้องแก้หิวพอให้ถึงเวลา, ถ้าไม่ถึงกำหนดเป็นกินไม่ได้ ข้าวเช้ากว่าจะได้กินก็ร่วมบ่าย เวลากินข้าวเย็นบางทีไปกินเอา ๔ ทุ่มหรือ ๕ ทุ่ม, เด็กเล็กที่นอนหลับแล้ว ถึงกับต้องปลุกมากินข้าวเย็น; ถ้าใครถูกเชิญไปเลี้ยงเวลาเย็น ถ้าเป็นงานใหญ่กว่าจะยกข้าวมาเลี้ยงกัน อาจจะเป็นเวลา ๗ หรือ ๘ ทุ่มก็ได้.

[๑๗] เพราะเป็นหญิงม่าย กินข้าวให้อิ่มได้เพียงวันละมื้อ เพราฉะนั้นต้องกินอะไรหนุนท้องแก้หิวไว้
เป็นประเพณี ถ้าหญิงม่ายไม่ขึ้นบนกองเพลิง (ทำสตึเผาทั้งเป็นไปด้วยกับผัว) จะต้องอยู่ในระวางทุกข์และถือพรหมจรรย์ (Asceticism) อยู่ตลอดอายุ ในแว่นแคว้นเบงคอลมีธรรมเนียมให้หญิงม่ายถอดเครื่องประดับกาย แต่งไม่ได้ให้ห่มผ้าสาฤไม่มีขอบ กินอาหารได้แต่ที่เป็นมูลผลาผล วันหนึ่งเพียงมื้อเดียว และเดือนหนึ่งต้องอดข้าวและน้ำทั้งกลางวันกลางคืน ๒ ครั้ง (Farquhar’s A Primer of Hinduism หน้า ๑๓๖)

[๑๘] เอาศพเข้ามาในบ้านเขาถือ ต้องทำพิธีแก้เสนียดกันยุ่ง

[๑๙] ภาษิตเบงคลีมักพูดติดปาก,

[๒๐] ธรรมเนียมไว้ทุกข์ที่บิดามารดาตาย.

[๒๑] แม่พราหมณ์หนุ่มพึ่งตาย กินข้าวได้เพียงวันละครั้ง แต่จะกินอะไรรองท้องได้บ้างไม่ห้าม ถ้าทำพิธีศราทธ์ (บุรพเปตพลี) เสร็จแล้วจึงจะกินก้าวได้ตามเดิม พิธีศราทธ์จะอธิบายโดยพิสดารในภาคผนวก.

[๒๒] พวกโจรมักชอบตั้งซ่องชุมนุมกันที่ป่าช้า เพราะไม่มีใครกล้ามารบกวน ขึ้นชื่อว่าป่าช้าชองพวกอินเดีย เขาลือเป็นสถานที่น่ากลัว เต็มไปด้วยอศุภและกระดูกเกลื่อนกลาดมืดตื้อ มีแต่เสียงภูตผีและเพตาลกู่ก้องแย่งกันกินศพ พวกโจรไปถึงป่าช้าถ้าเห็นศพอยู่ซ้ายมือเป็นถูกโชคดีและไม่กลัวภัยจากฝูงภูตผี เพราะถือว่าพระแม่เจ้ากาลีโปรดปรานตนรักษาภัยให้

[๒๓] พระแม่เจ้ากาลี เป็นนามของพระอุมาภควดีมเหษีพระศิวะคราวเมื่อลงมาปราบอสูรทารุณ ชื่อรักตะชีวะ พระนางแผลงฤทธิ์ร้ายกระทืบแผ่นดินแทบถล่มทลายลง ทวยเทพตกใจห้ามไม่ได้ ร้อนถึงพระศิวะเทพสวามีต้องลงมาที่สมรภูมิ รองให้กระทืบ พอนางรู้ว่าเหยียบอยู่บนพระสวามีก็มีความอาย แลบลิ้นออกมายาว ตอนนี้แขกมักชอบวาดรูปมีกายสีเขียว ทรงรัดเกล้า สยายพระเกศห้อยลงมา แลบชิวหาแดง สามเนตร สี่กร กรหนึ่งทรงพร้าขอติดโลหิตแดง กรหนึ่งถือเศียรอสูร อีกสองกรมีโลหิตฉาบเปื้อนแดง สวมลูกประคำทำด้วยหัวคน และร้อยมือคนซึ่งตัดมาสดๆ ต่างผ้าทรง บาทเหยียบอยู่บนพระกายพระศิวะ ถัดไปมีพวกอสูรนอนตายอยู่เกลื่อนกลาด บ้างหัวขาดมือหลุดโลหิตนองพื้นดิน พระเทวีทรงโปรดปรานการเห็นเลือดและคนตาย วิธีที่ชาวเมืองบูชาร้ายกาจลามกมาก มีบูชายัญเป็นต้น ดูความพิสดารในพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องศกุนตลา.

[๒๔] การเวียนรอบสิ่งที่นับถือ เป็นพิธีซึ่งถือกันว่าได้ผลานิสงส์มาก

[๒๕] พระแม่สยายผม (มุก์ตเกศี) เป็นพระนามของนางกาลี

[๒๖] ดังได้อธิบายไว้ข้างต้น [เชิงอรรถ หน้า ๓๐] ถ้าเห็นศพข้างซ้ายเป็นโชคดี แต่ว่าได้ศพมาเป็นสิ่งตรงกันข้าม ตอนโจรได้ศพนี้มีนิทานของไทยเราเรื่องหนึ่งเล่ากันติดปาก มีเรื่องขบขันพิสดาร แต่ไม่จำเป็นต้องเล่า เพราะคงทราบกันดี เนื้อเรื่องตลอดไปนับว่าคล้ายคลึงกันมาก.

[๒๗] แต่งงานนอกสกุลหรือโคตรเดียวกันไม่ได้ ห้ามขาด ถ้าไม่เชื่อฟังต้องถูกไล่ออกจากหมู่จากคณะ

[๒๘] วิธีจะทำลายชาติสกุล ใช้เลียลิ้นกัน ในนิทานของเราไม่อย่างนั้น ผู้หญิงบอกว่ารัก ไม่เชื่อแลบลิ้นมาจะกลืนน้ำลายให้เห็นว่ารักจริงแล้วกัดลิ้นขาด อุบายชนิดนี้มักมีในนิยายต่างๆ ในกถาสริตสาครฉบับอังกฤษของตอนนี้ เล่ม ๑ หน้า ๘๘ เรื่องของนางสิทธิกรีหญิงฉลาดลักทองของนายหนีเข้าป่า ปีนขึ้นไปซ่อนบนต้นไทร เมื่อเห็นนายกับพวกคนใช้ไล่ตามมา คนใช้คนหนึ่งปีนต้นไทรขึ้นไปดู พบนาง ถูกอุบายนางทำเป็นรัก และเข้ากอดจูบคนใช้ ได้ท่าก็กัดลิ้นคนใช้ขาด ฯลฯ

[๒๙] นิทานของเรา พอโจรลิ้นขาดพลัดตกลงมา บอกเพื่อนว่าผู้หญิงอยู่บนต้นไม้ แต่ไม่ชัดแปร่งเป็นเสียงแขกว่า “อีนียูนี!” บางแห่งว่าเจ๊ก เป็น “กูเลง กูเลง!” พวกโจรเข้าใจว่าแขก (หรือเจ๊ก) มาตามจับตัว ก็พากันตกใจหนีไป เพราะถูกนางพาไปหลอกขายไว้กับแขก (เจ๊ก ?) เพิ่งหนีมาได้

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ