ธิดาของทัณฑนายก

พระราชาประเทศหนึ่งมีโอรสองค์เดียวทรงรักใคร่มาก เหตุที่จะได้เป็นผู้สืบราชสมบัติ วันหนึ่งราชกุมารพร้อมด้วยบริวารเสด็จประพาสผ่านทางบ้านนายทัณฑนายก ทอดพระเนตรเห็นนางงามสยายผมผึ่งอากาศอยู่บนพื้นหลังคาบ้าน[๑] บังเกิดความปฏิพัทธ์ ไม่บอกเล่าแก่ใคร พอเสด็จกลับพระราชวัง ก็ตรงไปตำหนักหลังหนึ่งงับทวารแน่น ประทับนิ่งอยู่ในนั้น.

พระราชาไม่เห็นโอรส ทรงตามหาทุกแห่งไม่ได้ร่องรอย พระราณีทราบว่าโอรสหายไป เสียพระหฤทัยทรงกรรแสง ในพระราชวังเกิดกาหลกันใหญ่ ภายหลังมหาดเล็กคนหนึ่ง สังเกตเห็นห้องตำหนักห้องหนึ่งปิดผิดปกติ จึงนำความมาทูลพระราชา พระองค์รีบเสด็จไปที่นั้น ร้องเรียกโอรสแต่โอรสไม่เปิดประตู ก็เสด็จกลับ ร้อนถึงพระราณีเสด็จมาเอง ทรงร้องเรียกอ้อนวอนอยู่นาน โอรสจึงเปิดประตูออกมาเฝ้า.

พระราณีทอดพระเนตรโอรสมีฉวีเศร้าหมอง จึงตรัสถาม “ลูกรักของแม่ ไม่สบายเป็นอะไรไปหรือ ทำไมจึงปิดประตูไปอยู่ในนั้นคนเดียวเล่า หรือลูกอยากได้อะไร บอกแม่เถิด จะหาให้เดี๋ยวนี้”

โอรสทูลเรื่องตลอด พระราณีเล้าโลมให้เสวยกระยาหาร แล้วพามาเฝ้าพระราชา ทูล “มหาราชพระองค์ไม่ทรงคิดอะไรบ้างเลย ลูกเราเดี๋ยวนี้เติบโตเป็นหนุ่มสมควรจะมีเหย้าเรือน จะตรัสเรื่องนี้สักนิดก็ไม่มี ดูเหมือนว่าลูกยังเด็กเล็กเพียงห้าหกขวบ ไม่คิดบ้างเลยว่าเรามีลูกอยู่คนเดียว ขอทรงตรึกตรองเรื่องนี้ให้มาก”

พระราชา- “เรื่องเท่านี้ไม่สมควรวิตกวิจารณ์ให้มากมาย ฉันจะส่งคนไปเที่ยวสืบหาหญิงงามไม่ช้า ได้แล้วจะสั่งให้พาตัวมาให้ลูก”

พระราณี- “ไม่ได้ มหาราช จะทรงทำอย่างนั้นไม่ได้ ลูกชายไปเห็นหญิงสวยในเมืองเรานี่เอง เกิดชอบใจอยากได้ผู้หญิงคนนั้น คนอื่นไม่ได้เป็นอันขาด”

พระราชา- “ก็ยิ่งสะดวกใหญ่” เสด็จออกมาถามพวกมหาดเล็ก “ลูกสาวใครที่ลูกเราเห็นอยู่บนหลังคาเมื่อวันนั้น?”

พวกมหาดเล็กออกไปสืบ สักครู่กลับเข้ามาทูล “ผู้หญิงที่พระโอรสทอดพระเนตรเห็น พวกข้าพระเจ้าเข้าใจว่าจะเป็นธิดาของทัณฑนายก”

พระราชารับสั่งให้หาตัวทัณฑนายกเข้ามาเฝ้า ตรัส “ทัณฑนายก เราจะขอลูกสาวท่านให้ลูกเรา จะคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”

ทัณฑนายก- “ข้าแต่มหาราช ที่ทรงพระกรุณาดังนี้ พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ แต่ข้าพระเจ้าขอไปถามเจ้าตัวก่อน”

พระราชา- “เออ! ทำอย่างนั้นก็ดี รีบไปซิ จะได้กลับมาบอกให้รู้เร็วๆ”

ทัณฑนายกลับบ้าน เล่าความให้ลูกสาวฟัง

ลูกสาว- “ทำไมเป็นอย่างนี้เล่า พ่อก็รู้อยู่ว่าตั้งแต่ลูกเกิดมาชั้นแต่หน้าตาผู้ชายก็ไม่อยากพบอยากเห็น จะให้มีผัวอย่างไร?”[๒]

ทัณฑนายก- “ลูกเอ๋ย! ถ้าเจ้าขัดขืนไม่ยอม พระราชาคงพิโรธพ่อลงโทษถึงตาย เจ้าจงคิดดูให้ดี” จะอ้อนวอนประการไร บุตรีหายินยอมด้วยไม่[๓]

ทัณฑนายกจำเป็นต้องเข้าไปทูลพระราชา “ข้าแต่มหาราช พระอาชญาเป็นล้นพ้น ข้าพระเจ้าได้พูดกับบุตรีแล้ว นางไม่ยอมจะมีเรือนอ้อนวอนเท่าไรก็ไม่ยอม เหตุทั้งนี้เพราะนางตั้งแต่เกิดมา นอกจากข้าพระเจ้าคนเดียวแล้ว ขึ้นชื่อว่าผู้ชายเพียงแต่เห็นนางก็ไม่ปรารถนา การเป็นเช่นนี้ สุดแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรด”

พระราชา- “เจ้าไม่ต้องการอยากให้ลูกสาวจึงพูดแก้ตัวดังนี้ ถ้าแม้ไม่ยอมยกลูกสาวให้ อย่านึกว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป กลับไปบอกลูกสาวเจ้าให้รู้ตามนี้”

ทัณฑนายกตกใจ หน้าซีดกลับมาบ้านเล่าความทุกข์ให้ภรรยาฟัง ภรรยาสะดุ้งวับไม่รอช้า รีบไปพูดกะลูกสาว “ลูกเอ๋ย! นี่เจ้าจะฆ่าพ่อฆ่าแม่หรือ ขัดขืนไม่เชื่อถ้อยฟังคำ ถ้าเจ้าไม่ยอมจะถูกทำโทษตายทั้งครัวเรือน” ใช่แต่เท่านั้น นายทัณฑนายกยังมาอ้อนวอนอีก ถึงกับผัวเมียทั้งสองพูดพลางน้ำตาไหลพลาง จนบุตรีเห็นว่าจะขัดขืนต่อไปไม่บังควร จึงตอบ “ลูกยอมตามใจพ่อ แต่ต้องให้ข้างเจ้าชายปฏิบัติตามคำร้องขอของลูกบางอย่าง”

ทัณฑนายกดีใจ “ให้สัญญาอย่างไรลูกรัก?”

นาง- “คือในระหว่างทำพิธีและต่อไปลูกขอเอาผ้าผูกตาเสียเจ็ดชั้น และจะอยู่ในพระราชวังแต่กลางวัน ถึงเวลาเย็นขอกลับบ้าน ถ้าหากข่มขืนใจลูกไม่ทำตามสัญญา ลูกจะเฉือนคอตายเสีย”

ทัณฑนายกกลับไปทูลพระราชา ตามสัญญาของลูกสาว

พระราชารับสั่งให้โอรสมาเฝ้า ตรัสถามว่า จะยินยอมตามนี้หรือไม่ โอรสทูลว่ายินดียอมตาม เพราะฉะนั้นต่อมาไม่ช้าถึงวันฤกษ์ยามตามที่โหรคำนวณกำหนด พระราชาทรงทำพิธีอาวาห์เป็นการเอิกเกริกทั่วทั้งพระนคร ในเวลาเย็นมีการสโมสรสันนิบาตในพระราชวัง.

นายทัณฑนายกนำธิดามีผ้าผูกตาเจ็ดชั้นเข้ามาร่วมพิธีอาวาห์ เสร็จแล้วนางก็กลับบ้าน รุ่งเช้าขึ้นวอเข้ามาอยู่ในพระราชวัง เย็นยังไม่ทันมืดก็กลับไป เป็นดังนี้มาหลายเวลา.

เมื่อการเป็นไปผิดธรรมดาผัวเมียดังนี้ ก็ย่อมเดือดร้อนแก่เจ้าชายโอรสพระเจ้าแผ่นดินมิใช่น้อย จะได้เห็นนางผู้เป็นชายาแต่ในเวลากลางวัน กระนั้นยังมีผ้าพันหน้าพันตาเสียหลายชั้น จะหาเวลาปลดผ้าพันออกสักพริบตาเดียวก็ไม่มี ซ้ำถึงเวลากลางคืนก็ไม่อยู่เสียด้วย ทรงนึก “นี่เราจะทำประการไรดีหนอ จึงจะปราบนางให้หายใจแข็งได้? ฮึ ผู้หญิงคนเดียวเท่านั้น ถึงกับหมดปัญญาละหรือ?” เสด็จออกจากพระราชวัง แสวงหาวิชาความรู้ทำให้นางหายใจแข็ง ตะบึงไปจนถึงป่าใหญ่ พบอาศรมน้อยหลังหนึ่ง มีมุนีบำเพ็ญพรต เจ้าชายตั้งพระหฤทัยว่าจะประทับอยู่ณที่นั้น เพราะฉะนั้นถึงเวลาเช้าตรู่ตื่นบรรทมจัดแจงปัดกวาดอาศรม หาเครื่องใช้ไม้สอยอันเนื่องด้วยการบำเพ็ญตบะบูชามาตั้งวางไว้ครบทุกอย่าง ทำดังนี้เป็นนิตย์ทุกเช้า แต่ระวังมิให้มุนีแลเห็น เพราะความเกรงกลัว.

ฝ่ายมุนีกลับมาอาศรม เห็นสะอาดเรียบร้อยมีเครื่องบูชาตั้งไว้พร้อมทุกวัน แต่ไม่เห็นหรือรู้ว่าใครเป็นผู้ทำให้ วันหนึ่งอดใจไม่ไหว ตะโกนถามออกไปลอยๆ “ใครที่มีแก่ใจปฏิบัติเราทุกๆ วัน ขอเชิญมาพบสักหน่อย จะต้องการพรอย่างไรจะให้”

เจ้าชายได้ยินมุนีประกาศ ดีพระหฤทัยเสด็จเข้าไปนมัสการ มุนีแลไปเห็นเจ้าชายก็รู้เรื่องพูด “เจ้าชาย เรื่องของท่าน รูปทราบทางฌานตลอดแล้ว ที่มานี่ก็เพราะอยากจะให้หญิงซึ่งเป็นชายาท่านหายใจแข็ง ดังนี้ถูกไหม? เอาเถอะรูปจะให้ยาอย่างหนึ่งไป นี่แน่ะ ถ้าเสวยเพียงเม็ดเดียวจะหายตัวได้ อาจเห็นการที่เป็นไปได้ทุกอย่าง โดยไม่มีใครเห็นใครรู้ ทำอย่างนี้จึงจะสำเร็จความปรารถนา”

เจ้าชายดีพระหฤทัย รับยาวิเศษจากมุนี ทำการเคารพแล้วก็ออกจากอาศรมตรงมาพระราชวัง

ครั้นถึง มีรับสั่งแก่มหาดเล็กส่วนพระองค์ “พรุ่งนี้เวลาเขาพานางซึ่งเป็นบุตรสาวของทัณฑนายกเข้ามา เราคงจะยังคงไม่ตื่นนอน แต่เจ้าจะต้องเข้ามาปลุก พอเรารู้สึกตื่นจะด่าว่าเองต่างๆ เจ้าจะโกรธให้ถามเราว่าเหตุใดจึ่งด่าเจ้า แล้วเราจะตอบว่ากำลังฝันสนุกไม่ควรจะมาปลุกให้ตื่นเลย เจ้าต้องถามเราว่าฝันเรื่องอะไร แล้วเราจะเล่าให้ฟัง ทำอย่างที่สั่งนี้ อย่าลืม”

มหาดเล็กสนองรับสั่ง ว่าจะปฏิบัติตามนั้นให้ถูกต้องทุกประการ.

เวลาเย็นจวนจะค่ำ ธิดาของทัณฑนายกขึ้นวอกลับ เจ้าชายก็รีบเสวยยาวิเศษ เสด็จไปคอยดักที่ประตูบ้าน.

นางมาถึงบ้านลงจากวอเดินตรงเลยเข้าไปห้องชั้นบน เจ้าชายก็ตามไปด้วย ถึงห้องมีสาวใช้สองคนออกมาช่วยถอดเครื่องแต่งตัว เอาน้ำมันมาขัดสีกายประคองให้อาบน้ำ เสร็จแล้วนั่งทำบูชา เจ้าชายพึ่งได้แลเห็นนางถนัดเป็นครั้งแรก ให้พิศวงลานตะลึง ด้วยรูปโฉมงดงามเกินความคาดหมาย นางทำบูชาเสร็จก็กินอาหาร ในระหว่างนี้เจ้าชายตรวจดูห้องจนทั่ว แล้วกลับวังเข้าบรรทม.

รุ่งเช้าพอธิดาของทัณฑนายกมาถึงวัง มหาดเล็กเข้าไปปลุกเจ้าชาย เจ้าชายตื่นบรรทมทำเป็นดุมหาดเล็กต่างๆ มหาดเล็กทำตกใจ ทูลถาม “ข้าพเจ้ามาปลุกบรรทมดีๆ มิได้ทำผิดอะไร เป็นไฉนจึงกริ้วข้าพเจ้า?”

เจ้าชาย- “ก็กูกำลังฝันอย่างประหลาด กำลังสนุก ไม่ควรจะทำให้ตื่น”

มหาดเล็ก- “ทรงสุบินเรื่องอะไร พระเจ้าข้า?”

เจ้าชาย- “อยากรู้ก็เล่าให้ฟังได้ ฝันว่าเมื่อวานนี้ได้ไปบ้านนายทัณฑนายก พร้อมกับธิดาของเขา ไปถึงบ้านนางลงจากวอเดินตรงเข้าไปในห้อง เราตามไปด้วย พอเข้าไปในห้องมีหญิงสาวใช้สองคนนำน้ำมันออกมาขัดถูนางแล้วอาบน้ำให้ ต่อมานางนั่งทำบูชา เสร็จแล้วนั่งลงกินอาหาร ในระหว่างนั้นเราแลไปเห็นมีของนั้นๆ ตั้งอยู่ในที่นั้นๆ” ทรงจาระไนสิ่งของทุกอย่างที่มีอยู่ในห้อง- “ฝันได้เท่านี้เจ้าก็เข้ามาปลุกตกใจตื่นขึ้น ช่างชั่วชาติแท้ๆ ถ้าไม่เข้ามาปลุก ป่านนี้ก็คงเห็นอะไรต่ออะไรอีกมาก”

บุตรสาวทัณฑนายกได้ยินเจ้าชายตรัสก็นึกประหลาดใจ “นี่อย่างไรหนอ เมื่อวานนี้ก็ไม่เห็นใครไปด้วย ทำไมจึงพูดถูกต้องทุกอย่าง ฝันได้จริงดังนี้เจียวหรือ วันนี้จะคอยระวังดูให้ดี”

ตกเวลาเย็นนางกลับบ้านตามเคย เจ้าชายเสวยยาวิเศษอีกเม็ดหนึ่ง รีบเสด็จล่วงหน้าไปก่อน นางถึงบ้านเข้าไปในห้องถามสาวใช้ว่า มีใครแปลกหน้าเข้ามาหรือเปล่า สาวใช้ตกตะลึง ตอบ “ก็ไม่เห็นใครเข้ามา จะเข้ามาได้อย่างไรถึงในห้องในหับ?”

นาง- “ช่างเถอะ แต่คืนนี้ระวังให้ดี” ชำระร่างกายแล้วนั่งทำบูชา ในระหว่างนี้เจ้าชายเสด็จไปหยิบอาหารว่างซึ่งตั้งไว้สำหรับนาง[๔]ขึ้นเสวยสองสามคำ นางทำบูชาเสร็จก็มากินของว่าง พอเปิดฝาเห็นใครกินแหว่งไว้ ร้องเรียกสาวใช้มาถาม “นี่ใครกินของข้า?”

สาวใช้- “ไม่ทราบ จัดมาเต็มเหมือนแต่ก่อนทุกวัน”

นางนิ่งไม่ตอบว่ากระไร ไม่แตะต้องกินของที่มีใครทำออจอแล้ว สั่งให้ยกข้าวมากินทันที ถึงตอนนี้เจ้าชายเสด็จกลับ.

รุ่งเช้าบุตรสาวทัณฑนายกไปในวังตามเคย มหาดเล็กเข้าไปปลุกเหมือนคราวก่อน เจ้าชายทำโกรธเหมือนเมื่อวานและเล่าเรื่องที่เป็นมาประหนึ่งว่าทรงสุบินเห็น.

นางได้ยินตลอด ตกตะลึง- “นี่อย่างไรหนอพิลึกจริง เรื่องที่เล่าถูกต้องทุกอย่าง ฝันเห็นได้จริงดังนี้หรือ นึกดูไม่น่าเชื่อ วันนี้จะระวังให้กวดขัน ดูซิว่ามีใครไปแอบดูบ้าง” เพราะฉะนั้น เมื่อนางกลับบ้างเวลาเย็น ไปถึงก็สั่งให้คนปิดประตูทันที แต่เจ้าชายลอบเสด็จเข้าไปอยู่ในห้องเสียก่อน พอนางขึ้นบันได เจ้าชายเสด็จตามไปด้วย คราวนี้ถึงคราวนางกำลังทำบูชา เจ้าชายลอบเสวยใช่แต่ของว่างอย่างเดียว ยังเสวยข้าวและแกงในชามทองเสียหมด เสร็จแล้วเสวยหมากสูบมะระกู่ของนางด้วย.

นางทำบูชาเสร็จ เดินไปหมายจะกินของว่าง พอเปิดฝาเห็นแต่จานเปล่าตะโกนเรียกสาวใช้มาดุ สาวใช้หน้าตาตื่นตอบว่าไม่รู้เรื่อง เวลานางเข้ามาขนมก็ยังมีอยู่เต็มจาน ไม่เห็นใครเข้ามากล้ำกลายเลย นางโกรธแต่ไม่รู้จะโทษใคร เลยจัดแจงจะกินข้าวเสียทีเดียว เปิดฝาดูข้าวก็ไม่มี แกงก็หมด แค้นเคืองมาก หวนจะไปกินหมาก ๆ ก็หมด ชิ้นเดียวก็ไม่มีเหลือ หมดปัญญาดุว่าสาวใช้เสียยกใหญ่ เวลานั้นเจ้าชายเสด็จออกจากบ้านมา.

รุ่งเช้าพอนางมาถึงพระราชวัง มหาดเล็กเข้าไปปลุกเจ้าชาย ๆ ก็ทรงดุมหาดเล็กเหมือนครั้งก่อน และทรงเล่าความฝัน จับเดิมแต่นางไปถึงบ้านจนนางดุสาวใช้ ทรงเล่าดังๆ ให้นางได้ยิน นางนิ่งฟัง ตกตะลึง- “นี่ทำไมจึงรู้เรื่องในบ้านเราได้ตลอด หรือเจ้าชายเป็นเทวดาไม่ใช่มนุษย์? ถ้าเป็นมนุษย์คงไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา อย่างไรก็ต้องนิ่งดูไปก่อน”

เย็นวันนั้น เจ้าชายเสด็จตามนางไปบ้าน คราวนี้ไม่เสวยอาหารเสียหมด ทรงเหลือไว้ให้บ้าง ซึ่งนางยังคงมีความยินดีกิน เพราะไม่กินก็จะหิว สักครู่ใหญ่ๆ มีหญิงสาวสามคนเข้ามาในห้อง พูดกะนาง “แม่นฤตกาลี คืนนี้ไม่ไปด้วยกันหรือ?”

นางตอบรับว่าไป จัดแจงแต่งตัวพากันออกไป เจ้าชายเสด็จตามไปด้วย ถึงสวนนางทั้งสามและธิดาของทัณฑนายกปีนขึ้นต้นไม้ต้นหนึ่ง แล้วนางคนหนึ่งดีดนิ้วขึ้นสามที ทันใดนั้นต้นไม้ลอยขึ้นบนอากาศ เจ้าชายทอดพระเนตรเห็นตลอดเวลาแล้วเสด็จกลับ.

รุ่งเช้านางนฤตกาลีมาถึงพระราชวัง พอมหาดเล็กเข้าไปปลุกบรรทม เจ้าชายก็เล่าเรื่องที่ต่างว่าทรงสุบินเห็นไป ตั้งแต่นางกลับบ้าน จนถึงขึ้นต้นไม้ไปกับนางทั้งสาม บุตรสาวนายทัณฑนายกได้ยินเรื่องที่ทรงเล่าจนตลอด ยิ่งนึกพิศวงเป็นที่สุด “เอ๊ะ! เจ้าชายชะรอยจะไม่ใช่คนธรรมดาแน่แล้ว มิฉะนั้นคงไม่รู้เรื่องของเราที่ไปทุกๆ คืน จะลองดูไปให้ช้าอีกสักหน่อย ดูซิ จะรู้เรื่องอะไรอีกหรือไม่”

ตกกลางคืนนางกลับบ้าน เจ้าชายก็เสด็จตามไปด้วย คราวนี้เสวยอาหารเสียเกือบหมด พอนางอาบน้ำทำบูชาและกินข้าวเสร็จได้สักครู่ หญิงทั้งสามก็มาหา เจ้าชายรีบเสด็จออกไปที่สวนขึ้นบนต้นไม้ พอหญิงทั้งสี่ออกมาที่สวนขึ้นต้นไม้เสร็จ คนหนึ่งดีดนิ้วขึ้นสามครั้ง ต้นไม้เลื่อนลอยขึ้นไปในอากาศโดยเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ ข้ามมหาสมุทรเจ็ดห้วง แม่น้ำสิบสามสาย ถึงสวนงดงามแห่งหนึ่ง ต้นไม้หยุด นางทั้งสี่ลงจากต้นไม้ เจ้าชายเสด็จลงด้วย สักครู่เสด็จมาถึงไพชยนต์กำลังในสวรรค์มีเทพสโมสรสันนิบาต เจ้าชายประทับอยู่ด้วยโดยใครมิสามารถเห็นพระองค์ ในไม่ช้าก็มีการจับระบำ นางนฤตกาลีและนางเพื่อนทั้งสามเป็นผู้ระบำ แต่พวกที่ทำดนตรีไม่คล่องแคล่วตามจังหวะ นางทั้งสี่จึงเต้นระบำให้งามไม่ได้ บรรดาพวกที่มาประชุมต่างเสียใจ ตรงนี้ขอบอกให้แจ้งด้วยว่า อันการดนตรีเจ้าชายทรงชำนิชำนาญมาก เมื่อเห็นไม่ได้เรื่องจึงเสด็จลุกขึ้นฉวยรำมะนามาตีเสียเอง ได้จังหวะเหมาะเจาะ นางทั้งสี่รำได้ดีงาม พระอินทร์พอพระทัยเป็นที่สุด ประทานมาลัยดอกปาริชาต[๕] แก่นางทั้งสี่ เหล่านางรับพวงมาลัยหันมาโยนเป็นรางวัลแก่ผู้ที่ตีรำมะนาดี พอโยนมา เจ้าชายรับไว้หมดทั้งสี่พวง สิ้นเวลาประชุม นางทั้งสี่กลับจากสวรรค์มาขึ้นต้นไม้ เจ้าชายเสด็จขึ้นด้วย ทันใดนั้น ต้นไม้ลอยละลิ่วล่วงมหาสมุทรและแม่น้ำมาจนถึงบ้าน นางทั้งสามต่างคนต่างกลับบ้าน นางนฤตกาลีเข้ามาสู่ห้องของนาง เจ้าชายเสด็จกลับพระราชวัง

รุ่งเช้านางนฤตกาลีกลับไปพระราชวังตามเคย มหาดเล็กเข้าไปปลุกบรรทมเจ้าชายอีก เจ้าชายทำเป็นกริ้วมาก - “นี่มึงไม่จำหรืออย่างไร กำลังฝันสนุกเป็นเข้ามาปลุกให้ค้างทุกที คราวนี้ฝันอย่างวิจิตรพิสดาร ไม่ควรเลยจะมาปลุกให้ค้างได้”

มหาดเล็กทำเป็นหน้าตาตื่น- “ข้าพระเจ้าดูพระองค์ทรงสุบินทุกวันและแปลกทุกที คราวนี้ทรงสุบินเรื่องอะไรพระเจ้าข้า?”

เจ้าชายตั้งใจตรัสให้ได้ยินถึงนางชัดทุกคำ ทรงเล่าเริ่มแต่ต้นจนนางทั้งสี่ไปถึงสวรรค์ แล้วนางกับเพื่อนทั้งสามรำถวายพระอินทร์ แต่รำไม่ได้งาม เพราะคณะดนตรีตีไม่ได้จังหวะ พระองค์กรากเข้าไปตีเอง นางจึงรำได้งาม พระอินทร์โปรดมากที่รำดี ประทานพวงมาลัยดอกปาริชาตเป็นรางวัล นางทั้งสี่มารางวัลเราๆ รับไว้ ถ้าไม่เชื่อจงดูพวงดอกปาริชาตนี่แน่” ตรัสแล้วทรงหยิบพวงมาลัยซ่อนอยู่ใต้เขนยออกมา.

บุตรีนายทัณฑนายกได้ยินเรื่องตลอด ยิ่งฟังยิ่งพิศวงมากขึ้นทุกที พอเห็นพวงมาลัย (?) ก็มิสามารถจะนิ่งได้ต่อไป ตรงเข้ามาฟุบตัวลงแทบพระบาท พลางทูลขอโทษ “หม่อมฉันรู้สึกตัวแล้ว ที่ได้ทำผิดต่อพระองค์ไว้มาก ขอได้ประทานอภัยหม่อมฉันด้วย ที่ถือทิษฐิมานะไม่อ่อนน้อมพระองค์มาแต่เดิม”

เจ้าชาย- “ฉันรู้แล้วว่านางเป็นชาวสวรรค์ ฉันเป็นแต่ชาวมนุษย์ ที่ไหนนางจะเห็นควรสมาคมด้วย ชั้นแต่มองนางก็เห็นว่าไม่ควร” ถึงตรงนี้นางร้องไห้อ้อนวอนขอโทษต่างๆ ด้วยเข้าใจว่าเจ้าชายโกรธ แท้จริงมิใช่เช่นนั้น เจ้าชายทรงแกล้งทำเช่นนั้น พอนางอ้อนวอนได้หน่อย ก็ทรงทำหายโกรธประทานโทษแก่ชายา.

ถึงเวลาเย็นนางกลับบ้านตามเคย เจ้าชายเสด็จตามไปด้วย คราวนี้ไม่ต้องเสวยยาวิเศษ ถึงบ้านนางเชิญเจ้าชายให้เสวยอาหารร่วมกัน อิ่มแล้วสนทนาเป็นที่เบิกบานสำราญใจด้วยกัน เมื่อนางสหายทั้งสามเข้ามา นฤตกาลีแนะนำสหายให้รู้จักกับพระสามี ทั้งสองฝ่ายปราศรัยกันตามธรรมเนียมแล้วทั้งห้าพากันขึ้นต้นไม้วิเศษไปบนสวรรค์ นางทั้งสี่เป็นคนรำ เจ้าชายเป็นผู้ตีจังหวะดนตรี เผอิญเคราะห์บันดาลให้นางนฤตกาลีมองไปสบตาสามี นางตกประหม่าย่างเท้ารำพลาดจังหวะ พระอินทร์ทอดพระเนตรเห็น ก็ทรงทราบทันทีว่ามีมนุษย์ปลอมขึ้นมาด้วย กริ้วตรัสเรียกนางนฤตกาลีเข้ามาเฝ้าเฉพาะ รับสั่ง “เจ้าชะล่าใจพามนุษย์ขึ้นมาบนนี้มิได้มีความเกรงกลัวเรา ตั้งแต่นี้ไปเราสาปให้ลงไปเกิดเป็นนางค้างคาวอยู่ในมนุษยโลก”

นางนฤตกาลีตกใจขวัญหาย กรรแสงพลางทูลขอโทษพลาง ร่ำพิไรต่างๆ นานา จนพระอินทร์คลายพระโกรธ ทรงกำหนดเวลาสาปว่า “ต่อเมื่อไร มีใครรื้อเทวาลัยที่เจ้าจะไปเป็นค้างคาวอาศัยอยู่นั้นและไถพื้นดินที่รื้อเทวลาลัย แล้วหว่านข้าวปลูกผัก ให้ได้ผลเลี้ยงพราหมณ์ให้ทันในคืนเดียวกัน ณ บัดนั้นเจ้าจะสิ้นกำหนดสาปกลับมาสวรรค์ได้อีก” ตรัสแล้วโปรดให้เลิกประชุม.

นางนฤตกาลีแสนโศกล่ำลาสามีด้วยอาลัย บัดใจร่างก็กลายเป็นนางค้างคาวตัวน้อยบินหายไปลับตา.

เจ้าชายให้อาดูรที่ต้องพรากจากชายายอดรัก แต่มิสามารถจะป้องกันด้วยสถานไร เสด็จกลับมายังมนุษยโลกก็มิได้เสด็จกลับพระราชวัง ตั้งหฤทัยว่าถ้าช่วยนางยังไม่ได้จะไม่กลับ เสด็จพเนจรอาธวาข้ามประเทศเขตป่ามาหลายแห่งจนลุอาศรมหนึ่งกลางดงทึบ เห็นมุนีนั่งเข้าฌานนิ่งไม่กระดุกกระดิก เจ้าชายทรงกระทำกิจปัดกวาดอาศรมอยู่หลายเวลาจนมุนีลืมตาเห็นเจ้าชาย ก็แจ้งเรื่องโดยทางฌาน จึงพูดด้วยเมตตา “เสด็จมานี่มีธุระอะไรรูปแจ้งตลอดแล้ว ขออย่าเพิกเสียใจ รูปจะช่วย จงเอาของสองสิ่งนี่ไป สิ่งหนึ่งเรียกชื่อว่า ‘รัชชุพนธน์’[๖] นี่เรียกว่า ‘พหลทัณฑ์’[๗] จะสั่งให้มันทำอะไรได้ทุกอย่าง”

เจ้าชายปลื้ม กราบมุนีลามา สักครู่ใหญ่ก็หยุดพักวางเชือกและไม้วิเศษลงข้างหน้า ตรัส “เจ้ารัชชุพนธน์และพหลทัณฑ์ บัดนี้เจ้าอยู่กับใคร?”

รัชชุพนธน์ พหลทัณฑ์- “เดิมข้าพเจ้าอยู่กับมุนี บัดนี้มาอยู่กับท่าน”

เจ้าชาย- “เช่นนั้น จงพาเราไปยังที่ซึ่งธิดานายทัณฑนายกอยู่”

ทันใด รัชชุพนธน์และพหลทัณฑ์ ก็พาเจ้าชายไปเทวาลัย ที่นางนฤตกาลีถูกสาปเป็นค้างคาวอยู่.

เจ้าชายไปถึ ทรงเที่ยวหาค้างคาวต่อหลายวัน จึงเห็นค้างคาวน้องอาศัยอยู่ในนั้น ตรัสกะรัชชุพนธน์ พหลทัณฑ์ “จงรื้อเทวาลัยนี้ลงให้เกลี้ยง แล้วไถที่นั้นปลูกข้าวและผัก ให้ทันได้เลี้ยงพราหมณ์หมื่นรูปในคืนวันนี้” ตรัสขาดคำ รัชชุพนธน์และพหลทัณฑ์ ก็จัดการรื้อเทวาลัย ปราบดินแล้วไปนำชาวนามาไถ โดยผูกมัดตีต้อนพวกชาวบ้านในแถบนั้นบังคับให้พากันมา นับด้วยจำนวนตั้งแสนๆ ในไม่ช้าก็ได้ไถเสร็จ รัชชุพนธน์และพหลทัณฑ์จัดการหว่านข้าวปลูกผักอันงอกงามขึ้นมาได้ทันใจ แล้วรัชชุพนธน์และพหลทัณฑ์ไปนำพราหมณ์มาเลี้ยงหมื่นรูปด้วยข้าวและผักที่ปลูก พอพวกพราหมณ์กินเลี้ยงเสร็จ รูปค้างคาวตัวน้อยก็กลับร่างเป็นนางงามโผเข้ามาหาเจ้าชาย ความรู้สึกของคู่รักทั้งสองที่จากกันไป โดยต้องทนทุกข์แทบเลือดตากระเด็น แล้วกลับมาพบกันเหลือวิสัยที่จะสรรหาคำมากล่าวว่าทั้งสองมีความโสมนัสเพียงไร ครั้นแล้วเจ้าชายบังคับให้รัชชุพนธน์และพหลทัณฑ์ พาพระองค์และนางกลับประเทศของพระองค์ ตรัสขาดคำในพริบตาเดียว ทั้งสององค์ก็มาถึงพระราชวังไม่ทันรู้สึก แต่นั้นมาพระองค์ก็เสวยสุขเกษมเปรมหฤทัยด้วยนางนฤตกาลีชายายอดชีวิต ตลอดอวสาน.



[๑] ‘หลังคาตัด’

[๒] ‘หญิงที่สมควรมีเรือนแล้ว แต่ยังไม่มี เช่นบุตรีของทัณฑนายกนี้ ถ้าจะพูดตามหลักประเพณีของฮินดู ก็เป็นคนผิดธรรมดาเกือบจะไม่มีทีเดียว หญิงฮินดูต้องมีเรือนก่อนอายุจะย่างเข้าสู่ความเป็นสาว ในเบงคอลกำหนดขีดให้หญิงมีเรือนตั้งแต่ ๑๒ ถึง ๑๓ ขวบ ถ้าเลยขีดนี้ตกเป็นสาวเท้อ ไม่มีใครต้องการซ้ำพ่อแม่เสียชื่อด้วย’ - Eastern Romances and Stories by W.A. Cloustan

แต่ในเรื่องนิยายของอินเดีย ผู้หญิงที่มีอายุเกินขีดกำหนดมีเรือนของเขา มักปรากฏบ่อยๆ นิยายในกถาสริตสาครเป็นมีมาก แต่อธิบายว่าไม่ใช่เป็นหญิงสามัญ เป็นนางสวรรค์ถูกสาปจุติลงมาเกิดเป็นนางมนุษย์

[๓] ตามความเห็นของพวกฮินดู ลูกชายและลูกสาวขัดพ่อแม่ด้วยเรื่องการแต่งงานก็ไม่ให้ผู้ใหญ่บังคับข่มขืน : ทีจะยกว่าเป็นพวกสวรรค์ลงมาเกิดกระมัง?

[๔] ของว่างกินรองท้องแก้หิว จนกว่าจะถึงเวลากินข้าว.

[๕] ‘ปาริชาต หรือ กัลปทรุม เป็นต้นไม้ทิพย์ ใครนึกขออะไรได้สมความปรารถนา เกิดจากเกษียรสมุทรคราวทวยเทพกวนน้ำทิพย์ พระอินทร์นำไปปลูกไว้บนสวรรค์ แต่พระกฤษณ์แย่งจากพระอินทร์มาปลูกไว้ในนครทวารกา เมื่อพระกฤษณ์ล่วงไปแล้ว ต้นปาริชาตจึงได้กลับไปอยู่บนสวรรคือย่างเดิม’ - Vishnu Purana I 144. v 98, 155

[๖] เชือกมัด

[๗] ไม้ใหญ่

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ