ใต้คลองแกลบถัดมาอีกคลองหนึ่ง อีกคนละฟากแม่น้ำหนึ่งของฝั่งพระนครซึ่งเห็นอยู่ไกลโน้น แม้จะเป็นเพลาเพิ่งรุ่งได้สักครู่ ที่ชานกุฏิของภิกษุเฒ่าแห่งวัดไชยวัฒนาราม มีบุรุษหนึ่งซึ่งปลงผมที่ยาวเกินต้นคอเสร็จแล้วเป็นผมทหาร นั่งประนมมืออยู่ต่อหน้าหมู่สงฆ์และภิกษุเฒ่าซึ่งเคยเป็นอาจารย์กำลังอุ้มบาตรน้ำมนต์ตรงมา

“เดือน” ท่านพูดเสียงแหบด้วยตื้นตันใจ “เอ็งก็ถูกถอดจากยศถาบรรดาศักดิ์แล้ว หลวงตาเคยได้บอกเอ็งไว้แต่ก่อนนานแล้วครั้งพระบัณฑูรว่า อันวาสนาเอ็งนั้นมีอยู่เพียงเหมือนนอนหลับฝันไปเท่านั้น แต่ว่าเคราะห์เอ็งก็สิ้นละทีนี้ อย่าเสียใจเลย หลานเอ๋ย อันเกิดมาเป็นลูกผู้ชายนั้น แม้จะไม่ได้สิ่งตอบแทนในเมื่อหน้า แต่เมื่อนี้มีชีวิตอยู่ก็ต้องก้มหน้าฉลองคุณแผ่นดินไทยให้สมทหาร เอ็งคิดถูกนักที่จะอาสาศึกคราวนี้ เอ็งจงชนะศึกเถิด เดือน ฝากฝีมือทหารไว้แก่ข้าศึก ให้เขาสำนึกเถิดว่า ศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี”

แล้วพระภิกษุเฒ่าก็วักน้ำมนต์โรยศีรษะ มือท่านตบศีรษะ และยกบาตรขึ้นสูง ค่อยรด ภิกษุองค์อื่นที่มาประชุมพร้อมก็สวดชัยมงคลคาถาสะเดาะเคราะห์กรรมของพวกกลาโหมผู้พลอยพ้นโทษกับสามพระยา ทหารพระบัณฑูรผู้ประนมมืออยู่ก็รับบาตรดื่ม สองหูแซ่ด้วยสำเนียงสวดชยันโตอยู่ต่อหน้าสงฆ์ น้ำใจเกิดผยอง น้ำมนต์และน้ำตาอันปีตินั้นก็หลั่งอยู่เสมอกัน แม้จะสิ้นทูลกระหม่อมพระบัณฑูรแล้ว บาปตามหลังเดือนมานักแล้วก็ดี แต่ก็วาสนาเอ็งแต่เก่าก่อนสร้างสมไว้ บัดนี้ยามศึกศรีอยุธยาจักใช้ทหาร อายเดือนก็จะถาายชีพแก่บ้านเกิดเมืองนอน ถึงจะมิได้ดิบได้ดีก็คงจักได้ชื่อสืบไปในเมื่อหน้า แล้วบาตรน้ำมนต์ซึ่งตั้งครบตามจำนวนอีกห้า ก็ลดเรื่อยไปเป็นแถวข้างหลังทีละคน นังเรียงตัว นับแต่หมู่แทน นายภูบาลมหาดเล็ก และตามั่นที่ล่ำสัน เพียงพ้นโทษมาพร้อมๆกับทหารลูกหมู่อีก ๒ คน กระทั่งเสร็จพิธี

จนผลัดเสื้อผ้าแต่งกายใหม่เรียบร้อย ห้าทหาร ทั้งออกกลาโหมผู้ถูกถอดก็ไปรับพรอีกครั้งหนึ่ง แล้วภิกษุเฒ่าจึงปราศรัยถามถึงความเก่าค่อยๆ ว่า

“มันเรื่องอย่างไรเล่า เดือนเอ๋ย พวกเอ็งถึงได้ต้องเป็นโทษทัณฑ์”

เดือนจึงเล่าความหลังที่ท่านสามพระยาและกรมหมื่นเทพพิพิธกับสมัครพรรคพวกจะอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรให้ลาผนวชมาเป็นกษัตริย์ แล้วภิกษุอาจารย์ก็ซักไซ้เสียงค่อยยิ่งกว่าเดิม

“ได้ยินว่าสมเด็จกรมหมื่นถูกจับได้ที่พระแท่น และฝากกำปั่นไปปล่อยลังกา จริงหรือ”

“ก็ได้ทราบอย่างนั้นแหละ พระคุณ” เดือนตอบตามจริง “กระผมต้องโทษอยู่ไม่นานเท่าไรก็ได้ข่าวเช่นนั้น แต่ว่าเดี๋ยวนี้เสด็จหนีจากลังกาขึ้นมฤทแล้ว เพราะเข้าพระทัยว่าเสียกรุงแก่พม่า จึงคิดจะกลับมากู้ พอทรงทราบก็เลยสั่งข้าหลวงทหารไปคุมพระองค์ไว้ที่ตะนาว”

ท่านพยักหน้าเข้าใจความ ครั้นเห็นสมควรแก่การสนทนาแล้ว เดือนจึงกราบลงแทบฝ่าเท้าท่าน

“จะต้องกราบลาพระคุณไปก่อน เพราะเพลานี้มีน้อยนัก”

“แล้วจะไปไหนกันอีก หรือข้ามเข้ากรุงเลย”

“ยังก่อน พระคุณ เพราะตั้งใจจะไปถวายบังคมพระศพสักครู่ก่อน จึงอยากจะนิมนต์พระคุณไปช่วยชี้ตำแหน่งให้”

“ได้ซี” ท่านรีบรับคำ “ก็ฝังไว้วัดนี้ด้วยกันทั้งนั้นแหละ ทั้งพระบัณฑูรและเจ้าฟ้า เออ ถ้าอย่างไร สักพรุ่งนี้หรือมะรืน หลวงตาและพระภิกษุอื่นว่าจะข้ามไปอาศัยกรุงบ้าง”

“เหมาะนักแล้ว พระคุณเอ๋ย” เดือนยกมือไหว้ยินดี “อย่างไรก็ชิงเข้ากรุงเสียก่อน เป็นสิ้นห่วง เพราะศึกนี้เขาว่าหนักนัก ทัพเราแตกเรียงกันเรื่อยๆ ตลอดมา และน่ากลัวกรุงจะถูกล้อมด้วยซ้ำ”

ท่านคงสงบเช่นสมณะผู้เฒ่า คว้าจีวรครองแล้วออกเดินนำหน้าลงบันไดกุฏิ พาศิษย์และเหล่าทหารข้าบัณฑูรตรงไปยังสถานฝังพระบรมศพสมเด็จพระมหาอุปราชองค์แรกซึ่งทิวงคต เพราะราชอาญาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

เมื่อถึง พระภิกษุเฒ่าถวายบังสุกุลแล้ว เดือนก็กราบถวายบังคมประนมมือ สี่ทหารซ้ายขวาก็ประพฤติตาม แม้พระองค์ท่านจักสิ้นไปนาน แต่เมื่อได้มาถึงต่อหน้าพระศพนี้ เดือนก็รำลึกเสมือนหนึ่งได้เฝ้าอยู่ใกล้ชิดท่าน น้ำใจแน่วเป็นสมาธิดังเห็นพระพักตร์ท่านพร่ำทูลด้วยน้ำจิตอันกตัญญูของข้าทหารเก่า ตาพร่างด้วยน้ำตา พระธำมรงค์ในนิ้วที่เพิ่งสวมยังเตือนความหลังเป็นหนักหนา

“โอ้ พระทูลกระหม่อมของอ้ายเดือน สิ้นบุญเสด็จหนีอ้ายเดือนไปก่อนแล้ว หากสืบไปเมื่อหน้า จักเสด็จจุติมาเกิดในภพใด เป็นกษัตริย์หรือเจ้านายองค์ใด ด้วยอธิษฐานของอ้ายเดือนนี้ ขอให้ได้ตามเสด็จเป็นข้าทุกชาติ อนึ่ง พระธำมรงค์เพชรวงนี้ซึ่งประทานแก่พระองค์หญิงเล่า อ้ายเดือนก็ได้ประทานต่อมาแล้ว และบัดนี้กรุงศรีอยุธยาก็เกิดศึก หากทูลกระหม่อมไม่ทิวงคต และเป็นรัชกาลของพระองค์ อ้า ทหารออกหลวงกลาโหมจะอาสาตีศึกให้ยับ ตั้งแต่มฤท ตะนาวศรี มิให้ฝ่าเท้าพม่าข้าศึกมาล่วงเกินแม่ธรณีเขตไทยได้จนสักฝีก้าวเดียว แต่จวบด้วยเกล้าต้องสิ้นบุญบารมีแล้ว ก็ขอเฝ้าประทานพร ขอประทานพระธำมรงค์อันประทานแก่พระองค์หญิงบุตรีรักขอดชายประเจียดไปศึก ขอเคารพเสมือนหนึ่งพระเดชแห่งพระบัณฑูรได้เสด็จไปคุ้มรักษาอ้ายเดือน”

แล้วก็กราบนิ่งนาน ทั้ง ๕ ทหารแม้ภิกษุผู้สงบแล้วด้วยสมณเพศก็ยังมิวายจะเศร้าใจ สงสารสลดแทนทหารพระบัณฑูรผู้กตัญญู และนอกจากภิกษุนั้นแล้ว ทั้ง ๕ ทหารผู้หมอบนิ่ง จะมีใครสักคนหนึ่งก็หาไม่ที่ได้แลเห็นกลุ่มพระตำรวจหลวงและกรมวังเดินมาเป็นขบวนสัก ๑๐ คน

“เดือน เร็วเถิด” ท่านตรงเข้าเขย่าไหล่ งันงก “เงยดูทีรึ เขามาทำไมโน่น”

ทั้งห้าก็ถลันยืนพร้อมกัน ดาบสักเล่มเดียวก็ไม่มีติดตัวเพราะฝากขุนพิชัยไว้เสียหมด แต่มานึกเสียว่าตัวได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานโทษแล้ว หรืออีกประการหนึ่ง เขาคงจะพากันมาป่าวร้องต้อนครัวให้อพยพหนีศึกเข้ากรุงก็อาจเป็นได้

“อ้ายมั่นจะยอมตายก่อน เข้าแย่งดาบนั้นให้พ่อหลวง” ตามั่นเข้ากระซิบ “เราได้สักเล่มสองเล่มพอจะสู้กันได้นี่นา”

“เดี๋ยวก่อน ตามั่น” เดือนบอกห้าม ตายังจับอยู่ กระทั่งเหล่าพระตำรวจและคนอื่นๆ เลี้ยวปรางค์องค์เล็กมาใกล้ก็หลากใจ “เอ๊ะ มีกรมวังมาด้วยทำไมนั่น หือ”

พออีกสักครู่หนึ่งที่หลากใจก็เป็นที่ตื่นเต้นไปด้วยกัน เดือนออกวิ่งปราดไปหา

“ขุนพิชัย”

“ถูกแล้ว ที่ต้องตามมาก็เพราะรู้ว่าพ่อหลวงจะไปรับดาบคืนที่บ้าน” ขุนพระตำรวจตอบตามตรงแล้วกระซิบให้รู้ “หลวงกลาโหมก็รู้อยู่แล้วสอดส่ายดูเราอยู่ ใช่ ข้าพเจ้าจะเกรงแก่สิ่งไรเลย นอกจากข้างหน้าต่อไป เขาจักเพ็ดทูลขึ้นอีกว่า ขุนพิชัยมันร่วมคิดด้วยครั้งโน้น จึงให้ขนมาเสียเองและก็พอเหมาะ ได้ตามเสด็จ”

“เอ๊ะ”

เดือนจ้องดูหน้ามิตร แต่ขุนพิชัยกลับยิ้มเมินเสีย แล้วบอกพระตำราจหลวงและกรมวังให้แยกเป็นแถวแอบข้างทาง

พอเห็นถนัดตา ทหารข้าเก่าพระบัณฑูรกกรากไปคุกเข่า เรียกได้เพียงคำ “พระองค์หญิง” แล้วก็ร้องไห้ จนถวายบังคมเสร็จก็ยังไม่อาจทูลสิ่งไรได้อีก

พระองค์ท่านก็เยี่ยงเดียวกัน แม้จะถือมานะเชื้อกษัตริย์เช่นไรก็มิอาจกลั้นสะอื้นได้ และหากมิมีสนมกรมวังล้อมมาด้วยแล้ว พระองค์หญิงก็ทรงทายมิได้ว่าจะต้องก้มสองพระหัตถ์ลงประคองทหารพระบัณฑูรให้ลุกยืนหรือหาไม่ จึงเพียงแต่รับสั่งว่า

“ยืนเถิด หลวงกลาโหม ยืนพูดกับฉันได้ ผอมไปมาก น่าสงสาร”

ทหารหนุ่มยอดฝีมือกราบแล้วถอยไปยืนห่าง

“หม่อมฉันมารดน้ำมนต์เลยแวะถวายบังคมพระศพทูลกระหม่อม ก็ตั้งน้ำใจอยู่ว่า มิวันก็พรุ่งจะไปเฝ้าพระองค์หญิง”

“ขอบใจนักแล้ว” ท่านรับสั่งตอบเป็นธรรมดา เหล่ากรมวังและพระตำรวจก็แยกเป็นสองแถว นิ่งเงียบ แต่พระเนตรท่านจ้องเดือนอยู่ ครั้นเมื่อเหลือบพบพระธำมรงค์ในนิ้ว ดูเหมือนจะต้องซับพระเนตรอีก หากแต่พระพักตร์ดูอิ่มปีติ แล้วจึงรับสั่งต่อไปอีก “พอได้ข่าวว่าโปรดพระราชอภัยโทษ ฉันดีใจเหลือเกิน ให้คนไปสืบหาที่บ้านเจ้าพระยาอภัยราชา ก็ว่ามานี่ ฉันก็เลยตั้งใจมาเฝ้าถวายบังคมพระศพเหมือนกัน และรับสั่งเสด็จพี่กรมหมื่นที่วังมาด้วย จึงพอเหมาะกับขุนพิชัยหอบดาบมาทั้ง ๕ เสม ท่านให้ไปเฝ้าค่ำวันนี้”

“พระคุณท่านล้นเกล้า” ทหารพระบัณฑูรรับคำ ลอบชำเลืองผู้อื่น ทั้งแลพระธำมรงค์และองค์หญิง กังวลใจไปถึงนางข้าหลวงแม่ยมโดยซึ่งมิมาด้วย แต่ครั้นจะทูลถามข่าวคราวใดเล่า ก็เกรงเป็นที่ละเมิดแก่ราชอาญา ถึงเช่นนั้นก็ทูลถามเป็นนัย “เสด็จพระองค์เดียวหรือ ข้าหลวงอื่นทำไมไม่เห็นตามเสด็จ”

พระพักตร์ท่านเศร้าลง

“มีมาเหมือนกัน แต่เขายังเดินโอ้เอ้ชมปรางค์กัน ทางโน้น ฉัน...โธ่เอ๋ย ฉันไม่ได้ข่าวดีเลย ไว้รู้วันหลังเถอะ”

น้ำใจทหารรู้สึกรับเหมือนแสงตะเกียงดับ ถึงจะรับสั่งแต่เพียงสั้นเท่านั้น ก็เดาได้ตลอดทั้งสิ้นว่า อย่างไรเสียก็คงเสียยมโดยไปแล้ว เหลือบมองพระพักตร์องค์หญิงก็เศร้าหมองเป็นที่สุด

ความหลังโน้น แต่ครั้งพระบัณฑูรทรงชีพก็ผุดอยู่ในใจ ยมโดยเอ๋ย ใครเล่าจะรู้วาสนาตัวข้างหน้า แม้สมเด็จทูลกระหม่อมพระมหาอุปราชซึ่งทอดพระเนตรแลเห็นพระราชบัลลังก์อยู่แล้วยังเป็นไปได้ เออ แม่ทัพหลวงแห่งกู เราก็มุ่งหมายกันไว้นักว่า ชาตินี้คงจะได้เป็นสุขเสมอหน้าเพื่อน แล้วมาเกิดเข็ญไปฉะนี้แล อ้ายเดือนก็ต้องจำคุกทรมานหนักหนา เพิงพ้นโทษ เจ้าก็พลัดมือหาย เมื่อยามศึกย่างมาใกล้พระนครแล้ว

พระองค์หญิงมิอยากจะกวนใจ จึงเสด็จหลีกไปทางที่ฝังศพพระมหาอุปราชพระราชบิดา ทรงจุดธูปเทียนที่เตรียมมาแล้วตั้งจิตอธิษฐานถวายพระกุศลแผ่ไป ทรงกันแสงไปตลอดเวลา อธิษฐานทูลทุกข์ยากอันสาหัส ทูลถึงพระเกียรติยศที่ถูกดูแคลนเพราะสิ้นบารมีท่าน แล้วรำพันทูลขอตามเสด็จเกิดเป็นพระธิดาเสมอทุกชาติ สุดท้ายก็ทูลอีก แก่วิญญาณเจ้าฟ้าสมเด็จพระบัณฑูร และนั้นว่า ธำมรงค์เพชรวงที่รักใคร่ประทานนั้น ได้ประทานต่อไปแล้ว แก่ทหารทูลกระหม่อมเป็นบำเหน็จ แล้วทรงลุกขึ้นยืน และเสด็จมาที่ขุนพิชัย รับสั่งถามว่า

“จงเอาดาบพระบัณฑูรมาคืนออกหลวงเสีย”

ตรัสแล้วทรงชำเลืองเดือน พระเนตรสบพระธำมรงค์ที่ประทาน

“ศึกต้องแหลกแน่ เพราะดาบพระบัณฑูร และพระองค์หญิงประทานด้วยพระหัตถ์ หม่อมฉันก็ใช่จะช่างพูดหรอก หากแต่ทูลก็ชอบตรงไปตรงมา อยากริ้วเลย”

รับสั่งสวนควันว่า

“โกรธ”

“ถ้างั้นอ้ายเดือนจะตายเสียกลางศึก”

“พูดเป็นบ้า จะตามข้าหลวงฉันหรือ”

“เอ๊ะ พระองค์หญิง ” เดือนสะดุ้ง ใจคิดเกินไปถึงสาวยมโดยนางข้าหลวงที่รับสั่งเมื่อสักครู่ว่า “ได้รับแต่ข่าวร้าย” จึงเฉลียวใจ “ฝ่าบาทหมายรับสั่งไปถึงยมโดยกระนั้นหรือ”

“เปล่าหรอกน่ะ” แล้วแย้มพระโอษฐ์แต่เพียงเล็กน้อย รู้พระองค์ว่าพลั้งไป “เรื่องนั้นไว้รู้กันอีกทีหลังเถอะ ค่ำนี้ เมื่อเข้าเฝ้าเสด็จพี่แล้ว หญิงจะเล่าให้ฟัง”

แต่ทหารกล้าของพระบัณฑูรก็หน้าสลด กระวนกระวาย เศร้าหัวใจอยู่เกือบจะเช่นเดิม

เมื่อแรกได้พบพระองค์หญิง และดีใจไปอีกประการหนึ่งที่การสำแดงสีหน้าเศร้านั้นเป็นการเสรอยยิ้มมิให้เหล่าสนมกรมวังคะเนผิดไปได้ ขณะเมื่อเขากล่าวทูลและรับสั่งค่อยประหนึ่งจะซุบซิบ ทั้งมีพระพักตร์ยิ้มระเริง

เมื่อฝืนพระทัยดังเดิมแล้ว พระองค์หญิงก็รับดาบทีละเล่ม ถามหาเจ้าของและประทานให้ทุกๆคน รับสั่งอำนวยพร ทั้งถามทุกข์สุขด้วยคนละหลายคำ เพราะทหารเหล่านี้ทรงคุ้นรู้จักดี และยิ่งไปกว่านั้นเล่า ก็เคยเป็นทหารล้อมระวังองค์แต่ครั้งหลวงกลาโหมเข้าชิงป้องพระเกียรติยศถึงสองคราว

พระภิกษุชราคงยืนเป็นดุษณีภาพ ท่านมองแล้วรำลึกถึงวันเดือนปีเกิดของหลวงกลาโหม สานุศิษย์ผู้เป็นที่รักใคร่ และก็ยิ้มอยู่ในหน้า

“ทหารข้าพระบัณฑูรเดียวกับพ่อเดือน มิใช่หรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ขุนตำรวจรับคำแล้วหันไปกวักมือให้พลผู้หอบดาบทั้ง ๕ เล่มนำมา เมื่อรับมาแล้วจึงถวายพระองค์หญิง ทูลว่า

“หลวงกลาโหมก็จะต้องไปราชการศึก และใต้ฝ่าพระบาทก็เป็นพระธิดาทูลกระหม่อม จึงสมควรนักแล้วที่จะประทานดาบด้วยพระหัตถ์เอง ต่อพระพักตร์พระบรมศพแก่ทหารของพระบัณฑูรจะสมควรยิ่ง”

ทรงปีติและเต็มพระทัยอยู่ก่อนหนักหนาแล้ว จึงรับสั่งถามว่า

“ขุนพิชัยเห็นเช่นนั้นหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

จึงทรงรับดาบ เลือกดาบโดยจำได้มานานนักแล้วว่าเป็นดาบสมเด็จพระบัณฑูรประทานแก่ทหารคู่พระทัยเล่มไหน ก็ทรงหยิบเล่มนั้นยื่นประทานแก่เดือน ย่อพระองค์ต่ำ รับสั่งว่า

“ดาบทูลกระหม่อมประทานแล้ว หลวงกลาโหมจงรับไปฉลองพระเดชพระคุณแก่บ้านเมืองเถิด”

ยอดทหารพระบัณฑูรหันคุกเข่าถวายบังคมทางพระศพ แล้วหันมาสู่พระองค์หญิง ประนมมือไหว้และยื่นรับสองมือ พอสบพระเนตรท่าน ก็กล่าวพูดเป็นความนัยความหลังครั้งก่อน

“ดาบพระบัณฑูรนี้เคยถวายกตัญญูแต่พระธิดาท่านแล้ว บัดนี้จักต้องถวายแก่ชาติด้วยความรัก ขอจงสำเร็จเช่นกันเถิด”

ทรงยิ้มด้วย รับสั่งตอบดังจะกระซิบว่า

“ช่างพูด จักให้ฝีปากเหมือนฝีมือกระมัง”

แล้วประทานดาบยื่นใกล้ไปอีก แต่ก็เหมือนได้ประทานพระหัตถ์ เพราะต้องแก่สองมือทหารกล้าของพระบัณฑูร เดือนแบมือรับตรงกับสองพระหัตถ์

จากนั้นเดือนก็นำขุนพิชัยให้รู้จักพระภิกษุชรา และพระองค์หญิงก็ได้ทรงทั้งฝากฝังถึงเรื่องอาหารบิณฑบาต ในเมื่อท่านจะอพยพหนีศึกเข้าจำพรรษาในกรุง

จนใกล้เพลาแล้ว ทั้งห้าทหารและพระธิดาสมเด็จพระบัณฑูรก็อำลาพระภิกษุตรงสถานนั้น ถวายบังคมอำลาพระศพอีกครั้งหนึ่งด้วยน้ำใจสลดอาลัย เหล่าสนมกรมวังก็เข้าล้อมพระองค์หญิงตามพระเกียรติ ออกกลาโหมยอดทหารฝีมือดีกับพลสมุนนั้นเป็นกองระวังหลัง แวดล้อมพระองค์ตามเสด็จไปพร้อมกันแต่เพลานั้น

คืนหลังข้างแรม ทั้งมืดมนสนิทเพียงชั่วยามหนึ่ง เมื่อเสด็จกรมหมื่นพิทักษ์ภูเบศร์ทรงเสวยแล้ว รับสั่งข้อราชกิจและส่วนพระองค์แก่ผู้เฝ้าแหนเรียบร้อย ก็เสด็จเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่ ที่เสด็จลาผนวชมาทรงว่าราชการแผ่นดินและบัญชาการศึกแทน ทั้งข้าหลวงมหาดเล็กและพระญาติพระวงศ์ที่มิได้ตามเสด็จ จึงต่างหันหน้าเข้าปรึกษาบ้าง ปรับทุกข์บ้าง และตระเตรียมหรือคิดเดาไปต่างๆ ถึงเรื่องศึกพม่าซึ่งยาตราทัพเรื่อยเข้ามาทุกตำบลแล้ว ทั้งกำแพงพระนครก็มีพระราชโองการให้ก่อเสริมขึ้นอีก สำเร็จแล้วทั้งปืนแล่นปืนหลักก็ขึ้นประจำป้อมพร้อมกันหมด ทหารทุกหมวดกองประจำเรียบร้อย ยังเหลือแต่เหล่าอาสาที่จะออกตั้งค่ายรับนอกพระนคร หรือเป็นกองแล่นออกซุ่มโจมตี

จึงซึ่งใดอื่นในปัจจุบัน ก็มิสู้มีใครคิดใครสนใจนัก นอกจากภาวนาแต่ให้กรุงศรีอยุธยาเกิดทหารยอดดีออกต่อต้านชนะศึก ทั้งบนและบวงสรวงพระเสื้อเมืองหลักเมืองและหอพระกาฬ ทั้งเทวรูปพระนเรศวรเจ้าศึกให้ทรงคุ้มเกรงรักษา ให้ประทานอำนาจจักรพรรดิของพระองค์ที่เคยเป็นที่ครั่นคร้ามทั้งตองอูตลอดพม่าหงสาวดี

ฉะนั้น พอพระตำหนักน้อยต้นจันทน์ซึ่งเป็นที่ประทับแห่งพระองค์หญิงพระน้องเธอในกรมหมื่น จึงมีข้าทหารเก่าพระบัณฑูรซึ่งเสร็จจากการเฝ้าแล้ว หากยังคงคอยอยู่อีกจะเฝ้า พระองค์หญิงกำลังประทับอยู่บนไม้ล้อมโคนต้นจันทน์ ใต้เงามืดของต้นจันทน์คืนข้างแรมสงบอยู่ เหล่าทหารร่วมใจคู่ทุกข์คู่ยากก็กรายไปอยู่ห่าง โดยนึกเข้าใจเอาเองว่าหลวงกลาโหมทหารเอกผู้เป็นนาย คงจะมีเรื่องลับเกี่ยวแก่ราชการหรือส่วนพระองค์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแท้

ตัวออกกลาโหมเองนั้นอิงโคนไม้มองไปบนต้นจันทน์ที่เป็นร่มและครึ้มมืด คอยจะฟังข่าวยมโดยด้วยใจหวั่น และยิ่งคิดถึงยมโดย แล้วก็เหมือนกับว่าตัวเองนี้ใกล้ประหารหรืออย่างไร ก็บอกไม่ถูก แต่เมื่อคิดถึงเมตตาของพระองค์หญิงอีกประการหนึ่ง ก็ค่อยคลายใจ แต่มาสุดคิดเอาเมื่อนึกถึงศึกที่กำลังเคลื่อนมาแต่ใต้และตะวันตก ทัพใดอื่นที่แต่งไปถึงจะคะเนว่ามากแล้ว ก็คงแตกล่ากลับทุกครั้งเสมอมา แล้วรำลึกถึงคืนวันแสนจะวิบาก ก็ถอนใจ คิดถึงยามตี ๔ สิบทุ่ม แล้วก็ตี ๕ สิบเอ็ดทุ่ม เมื่อวันเข้าเชิญเสด็จพระองค์หญิง แขนซ้ายป้องพระองค์ เหลือเพียงแต่มือขวาควงดาบป้องท่าน พระองค์ท่านหวีดหวาดเสียวเบียดพระองค์สู่อก แขนของอ้ายเดือนเบื้องซ้ายนี่ก็ต้องรัดระวังพระองค์ท่าน จึงเมื่อนึกนี้ก็เกิดจิตประหวัดไปถึงพระนิพนธ์เป็นกาพย์นิราศของทูลกระหม่อมพระบัณฑูรที่ทรงไว้ ก็ขับขึ้น ขอฟังคนเดียว

๏ สามยามความรักกัน เร่งโศกศัลย์หวั่นใจถึง
ยามค่ำร่ำรำพึง ถึงสามยามตามกรุณา

ฯลฯ

๏ สิบทุ่มเจ้าพี่เอ๋ย เมื่อไรเลยจะพบพาน
งามนักพักตรเบิกบาน จะหาได้แต่ใดมาฯ

ฯลฯ

๏ ตีสิบเอ็ดเสร็อกครวญหา แต่เข้ามาคุ้มราตรี
จวนจะพระสุริย์ศรี เสด็จรถทองส่องสากลฯ

ฯลฯ

๏ แสงทองเรืองรองราง ขึ้นกระจ่างสว่างเวหา
รุ่งแล้วแก้วกัลยา สุดเสน่หาไม่มาเลยฯ

แล้วเดือนก็ถอนใจใหญ่ เมื่อขับจนมือหมุนพระธำมรงค์ในนิ้ว คิดถึงเพลาครั้งแสงทองขึ้นเมื่อโน้น ไม่รู้เลยว่าอีกคนหนึ่งชะงักฟังอยู่เมืองหลังเป็นดุษณี พอได้คิดจึงแอบเอื้อมมาสัพยอกฉาดใหญ่ มิทันรู้จนสะดุ้ง

“ว่าใคร”

เดือนรีบลงจากไม้ล้อมต้นจันทน์ที่นั่ง

“โธ่ พระองค์หญิงนั่นเอง เชิญประทับข้างบนเถิด”

ท่านทรงพระสรวลและจะซักเอาผิดให้ได้

“เมื่อตะกี้หลวงกลาโหมว่าใคร ตั้งแต่ตี ๓ ถึงย่ำรุ่งแสงทองขึ้น”

เจ้าตัวเกิดใจคอประหวั่นนึกเกรง และชมพระปัญญาว่าลึกซึ้งนัก เพียงฟังกาพย์ที่ขับ มิได้ฟังโคลงขยายความก็ทรงปฏิภาณแล่นตลอด เมื่ออ้ำอึ้งอยู่สักครู่ แล้วจึงตอบว่า

“หม่อมฉันจำไว้ได้”

รับสั่งว่า

“ก็รู้ว่าจำได้ แต่ทุ่มอื่นโมงอื่น ทูลกระหม่อมท่านทรงไว้ถึง ๒๔ ทั้งวันเดือนปีและฤดู ก็ทรงไว้ถมไป ทำไมจะจำเพาะมาท่องเอาเมื่อยามปลาย หญิงจึงถามว่า ว่าใคร”

“เปล่าพ่ะย่ะค่ะ”

“ริปดหญิงละซี พ่อเดือน” ทรงบึ้งเหมือนจะกริ้วทหารฝีมือดี แล้วรับสั่งว่า “นี่หรือ ทหารคู่พระทัยทูลกระหม่อม ขลาดเหมือนอย่างอะไรดี ถ้าหญิงเป็นผู้ชายเยี่ยงทูลกระหม่อม ทหารขลาดเช่นนี้ ไม่น่าจะเอาไว้รักษาพระองค์เลย”

“หม่อมฉันไม่ขลาดที่จะทูล” เดือนแข็งใจทูลตอบ นึกเสี่ยงดีเสี่ยงร้าย แล้วจึงทูลซ้ำอีกว่า “แต่หากหม่อมฉันขลาดแก่อาญา แล้วแต่จะโปรด”

“เอ๊ะ” ทรงแปลกพระทัย ถอนพระองค์อิงพนักโคนไม้จันทน์ “ทำไมกับขับกาพย์ก็ต้องเกรงพระอาญา หรือเห็นว่ากาพย์ของทูลกระหม่อมกลัวจะพลอยผิด”

“หามิได้ ราชอาญาหม่อมฉันก็ได้รับแล้ว”

“แล้วเกรงอาญาอะไรอีก”

“แล้วแต่จะทรงโปรด” ออกหลวงหนุ่มผู้ถูกถอด ยกมือถวายบังคม หนักใจจะกราบทูลให้ตลอดทุกข้อคำต่อไปอีก แล้วก็หักใจ “หม่อมฉันรำลึกถึงทุกข์ยากของพระองค์หญิง คืนนั้น แต่หากจะประดิษฐ์เป็นกาพย์โคลงเอง เป็นเนื้อทำนองอื่นก็มิเป็น และจำได้ของทูลกระหม่อมแต่อย่างนี้ขับขึ้น พระอาญาไม่พ้นเกล้า”

ทรงนิ่งงัน พระทัยเต้นยิ่งกว่าครั้งใดอื่นทั้งหมด นับแต่จำความได้จนป่านนี้ และพลอยทรงระลึกถึงเมื่อค่อนรุ่งตี ๕ ที่ทหารเอกพระบัณฑูรพาหนีหักออกมา ทรงตกพระทัยและเบียดองค์แอบทหาร เสียงดาบฟาดดาบกระทบกัน ทรงสิ้นสติ และหลวงกลาโหมพาอุ้มหนีมา แล้วจากกันเมื่อแสงทอขึ้น แต่มิกล้ารับสั่งประการใด นอกจากทรงห้ามโดยมิตั้งพระทัย

“มิใช่ในวังเสด็จทูลกระหม่อม ทีหลังอย่าขับอีกนะ แล้วทำไมพ่อเดือนจะต้องคิดเลยไปถึงยามนั้นด้วย น่ากลัวออกจะตาย”

“หม่อมฉันเป็นทหารยาม ไหนได้ถวายกตัญญูแก่เจ้านาย ก็ขอคิดตลอดชาติ”

“แน้ งั้นก็ต้องตื่นขึ้นขับทุกๆเช้ามืดน่ะซี”

เขาหัวเราะ นึกสบายใจที่มิได้กริ้วกราดสิ่งไร จึงหัวเราะ สองมือเชิญพระบาทน้อยพระองค์ท่าน

“ชีวิตอ้ายเดือนถวายอยู่แทบพระบาทแล้ว ถ้ารับสั่งใช้สิ่งไรก็สิ้นชีพด้วยสิ่งนั้น และเมื่อรับสั่งอนุญาตสิ่งใดก็จะประพฤติสิ่งนั้น”

“แต่หญิงไม่อนุญาตให้พ่อเดือนขับเช่นยามใกล้รุ่งนี้อีก”

ท่านทรงรู้ทันและห้ามเสีย

“รับสั่งฉลาดนัก” ออกหลวงกลาโหมบ่นพึมพำ ประคองพระบาทท่าน รำลึกทั้งภักดีและกาลข้างหน้า “ เถอะ เมื่อรับสั่งห้ามแล้ว เดือนก็จะเชื่อรับสั่งด้วยความเสียดาย แต่หม่อมฉันเป็นข้าพระองค์ ได้ขับอยู่เสมอเมื่อครั้งต้องเป็นโทษจำอยู่”

ทรงชักพระบาทหนี อันน้ำพระทัยท่านเล่า แม้พระองค์เองก็ยากจะเข้าพระทัยว่า สำนึกอยู่เช่นไร เดือนนี้จากหน้าไป มิเห็นกันเป็นเวลานานด้วยราชอาญา และก็เพราะพระองค์นั่นเองเป็นผู้ช่วยเขาให้ฝักใฝ่จนต้องโทษ ถึงเช่นนั้น กตัญญูเขาก็มิได้เสื่อมถอยน้อยไป และดูเหมือนจะยิ่งสนิทภักดีขึ้น เพียงชั่ว ๒ ครั้งที่คุมทหารหักเชิญเสด็จหนีภัยมา และครั้งหลังเป็นครั้งสำคัญยิ่ง เพราะนับตั้งแต่วันประสูติจนเพลาป่านนี้ พระชนมายุท่านก็ยี่สิบเศษแล้ว มิเคยเลยที่บุรุษใดจะเข้าเชิญเสด็จได้ชิดสนิทดังออกกลาโหมผู้นี้ อีกประการหนึ่ง ขณะได้พบกันเป็นครั้งใหม่เมื่อเช้า ก็ดูกิริยาทหารของทูลกระหม่อมแสดงภักดีประหลาดอยู่นัก

ออกกลาโหมปล่อยพระบาทแต่โดยดี สังเกตกิริยาของพระองค์หญิงบัดนี้แล้ว ความคร่ำครวญแต่หนหลังก็เกิดขึ้น หวนคิดแต่ความหลังก็ทำให้ระลึกได้ จึงประนมมือเคารพท่าน

“พระอาญามิพ้นอ้ายเดือน” เขาทูลมิสู้เต็มเสียงนัก “ขอกวนพระทัยสักครั้งเถิด”

“อะไรอีกล่ะ จะขอขับกาพย์ทูลกระหม่อมอีกหรือ ไม่ฟังแล้ว”

“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ที่รับสั่งไว้เมื่อเช้าว่า จะประทานเล่าสิ่งไรแก่หม่อมฉันนั้น ก็ทรงกรุณาเสียเถิด”

“เอ๊ะ อะไร” ท่านทรงนึกแต่ก็นึกไม่ออก “หญิงมิรู้เลย พ่อเดือนว่าเรื่องอะไร หมู่นี้เต็มทีจริง ขี้หลงขี้ลืมแท้ๆ”

“ทรงชรามากแล้วกระมัง”

“ย่ะ ฉันแก่มากทีเดียว” สุรเสียงรับสั่งเหมือนดรุณีเมื่อเกิดงอน “ถ้ามิใช่คนแก่ก็เลี้ยงข้าหลวงสาวๆไว้มากมิได้ แต่ถึงกระนั้น...”

“นั่นแหละพ่ะย่ะค่ะ” เดือนรีบทูลมิทันได้รับสั่งจบ “ที่รับสั่งว่าเลี้ยงข้าหลวง ก็เรื่องข้าหลวงนั้นแหละพ่ะย่ะค่ะ”

จึงทรงรำลึกได้ถึงแม่ข้าหลวงยมโดย แล้วรับสั่งเหมือนทรงตระหนกพระทัยว่า

“เออ จริงซี หญิงก็ลืมเสียสนิท เมื่อเช้าผู้คนมาก และหญิงก็ไปตามประเพณีธรรมเนียม ทั้งสนมกรมวังเขาก็ไปด้วย” แล้วทรงถอนพระทัยตรึกตรองหาต้นเรื่องเค้าความต่างๆ สำแดงพระกิริยาเหมือนมิอยากจะเล่า หากเดือนเร่งทูลเตือนกระกรุณา ท่านก็ทรงอึดอัดแล้วก้มพระพักตร์ ตรัสสำเนียงสั่น “พ่อเดือนเอ๋ย เรื่องนี้เหมือนกับนอนหลับฝันไปแท้ๆ หญิงจึงมิอยากจะเล่าให้เดือนฟัง แต่คิดเสียว่าธรรมดามนุษย์ เมื่อสิ่งใดยิ่งปิดก็ยิ่งเพิ่มกระหายใคร่รู้ให้แก่มนุษย์ อนึ่ง พ่อเดือนก็เป็นทหาร ถึงหากจะได้รู้แล้วก็คงหักใจไว้ได้”

“พ่ะย่ะค่ะ ประทานเรื่องเถิด”

พระองค์หญิงรับสั่งอ้อมแอ้ม พระพักตร์เศร้า

“ยมโดยออกเรือน ได้สามีไปแล้ว”

“โธ่ ยมโดย” ทหารกล้าพลั้งปาก แล้วทูลถามอีก “ยมโดยได้สามีทั้งที่ถูกคุมตัวต้องโทษกระนั้นหรือ พระองค์หญิง”

ทรงพยักพระพักตร์ ผิว์ว่าเพลานี้เดือนจักหงายเป็นข้างขึ้น ต่างฝ่ายก็จะเห็นหน่วยตาคลอน้ำตาด้วยกัน ทั้งพระองค์หญิง และทหารพระบัณฑูรแล้ว พระองค์ท่านจึงทรงเล่าประทานถึงสาเหตุของนางข้าหลวงแก่ออกกลาโหม

“อโหสิแก่เขาเถิด พ่อเดือน หญิงเลี้ยงเขามาย่อมจะรู้ใจยมโดย เขาจำเป็นเหลือเกินจริงๆ เพราะหลวงภักดีเป็นคนของจมื่นศรีสรรักษ์ที่พระสนมเอกพระองค์ก่อน เมื่อเขากุมตัวไปนั่นแหละ พ่อเดือนก็ไปชิงหญิงมา เพราะเพื่อความนี้ ทั้งพ่อแม่และครัวของยมโดยก็ถูกกุมมาหมด แต่พ่อเดือนก็รู้อยู่แล้วว่า หลวงภักดีสงครามเคยรักใคร่ข้าหลวงของฉันอยู่ใช่ไหมเล่า จึงมีหนทางเดียวที่จะพ้นโทษฐานกบฏที่เขาอ้างจะให้จมื่นกราบบังคมทูล คือยอมออกเรือนเป็นภริยาเขา พ่อเดือนอย่าน้อยใจเลย”

ยอดทหารพระบัณฑูรกลับกล่าวสาธุ ยกมือไหว้

“ประพฤติเขาชอบแล้ว ยมโดยทดแทนกตัญญูแก่พ่อแม่ สมเป็นบุตรีในสกุลแล้ว แต่อ้ายใยหลวงภักดีประพฤติมิชอบเลย อ้างราชการบังหน้าข่มเหงน้ำใจกัน”

แล้วยอดทหารฝีมือของพระมหาอุปราชพระองค์ก่อนก็เงียบเสียงหาย ดวงใจหวิวเหมือนตะเกียงแสงน้อยถูกลมแรงเต้นรับๆ เกือบจะวอด รักใคร่ที่พากเพียรกันมานักต่อนัก สัญญากันก็มากหลาย แต่ครั้นจะจู่หาความว่านางข้าหลวงแม่ผิดคำมั่นสัญญาเล่า ก็ยากหัวใจอยู่นั่น เพราะการนำเนื้อความกราบบังคมทูลแต่ฝ่ายเดียวนั้น ก็มิมีอะไร นอกจากจะพลอยให้ครอบครัวสิ้นชีพไปตามกันโดยมิรู้ตัว เขาก้มหน้าหลบพระองค์หญิง แต่พระองค์ท่านก็ทรงหลบเมินไปอื่นเสียเช่นกัน เมื่อฝืนหัวใจได้แล้วอย่างยากเย็น เดือนจึงทูลถามขึ้นอีก

“ยมโดยได้เข้าเฝ้าพระองค์หญิงบ้างหรือเปล่า เมื่อจะออกเรือนกับหลวงภักดีสงคราม”

“เขามาเฝ้าหญิงก่อน และร้องไห้หนักหนา และยมโดยยังได้เล่าให้ฉันรู้ว่าหากการนี้มิสำเร็จ หญิงเองก็จะต้องถูกกราบบังคมทูล แล้วพ่อเดือนก็จะต้องประหารชีวิต เพราะ...” ทรงก้มมาใกล้รับสั่งฐานเป็นกระซิบ “ฆ่าพระตำรวจหลวงตาย ๓ คนนั่นแหละ เขาพบศพ” รับสั่งต่อไป “หลวงภักดีเขาอ้างข้อนี้เป็นสำคัญ ยมโดยจึงขออนุญาตมาเฝ้าบอกกับหญิงว่า เขาคนเดียวได้แทนคุณบิดามารดาและตัวหญิง ทั้งได้พรางโทษพ่อเดือนไว้ ถึงหากจะได้ชื่อหรือจะถูกตำหนิว่าเป็นหญิงหลายน้ำใจ ก็ไม่ว่าเลย”

เดือนถอนสะอื้น เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าที่รอดชีวิตมาได้นี่เพราะแม่ข้าหลวงนางเดียว ก็หากหลวงภักดีมิฝากใจถึงกระนั้นแล้ว ไฉนเล่าจะได้รอดอยู่เป็นคนถึงป่านนี้ ทั้งพระองค์หญิงและเหล่าทหารพระบัณฑูรทั้งหลาย ก็ทูลไปด้วยเสียงสะอื้น

“พระองค์หญิง แม้ว่าหม่อมฉันเสียยมโดยไปแล้ว ทั้งที่ยังรักอยู่ แต่เมื่อยิ่งทราบการนี้ก็ยิ่งรักเขานักหนา เขาประพฤติชอบหลากมากข้อ เขากตัญญูทั้งบิดา และถวายกตัญญูต่อฝ่าพระบาท ก็นับเป็นหญิงประเสริฐหายาก ทั้งการนี้ก็โปรดชีวิตมาถึงพวกหม่อมฉันถึง ๕ คน แม้ว่าหลวงภักดีเอยก็เถิดควรรักน้ำใจสัตย์ชื่อเขานัก เพราะหากว่าเขามิถือสัตย์โดยเมื่อได้ยมโดยเป็นภริยาแล้วไซร้ แต่หม่อมฉันก็เป็นเสมือนก้างขวางคอหรือปลายหนามที่คอยยอกเขาอยู่ จะคิดกำจัดแล้ว อ้ายเดือนคงจะตายเสียด้วยราชอาญาเป็นแน่ ที่รับสั่งว่าเหมือนนอนหลับฝันไปก็จริงหรอก เออ แต่นี้ไป หม่อมฉันก็สิ้นห่วง จะขอก้มทำศึกถวายกตัญญูแก่แผ่นดิน”

ทรงพระสรวลลั่นสัพยอกว่า

“หลวงกลาโหมก็สิ้นห่วงหญิงเหมือนกันกระนั้นหรือ ยกพระญาติอื่นท่านเสียแล้ว เหล่าทหารพระบัณฑูรก็ได้หวังแต่กตัญญูพ่อเดือนเท่านั้น”

“หามิได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” ข้าพระบัณฑูรรีบตอบ “พระเกียรติและพระคุณองค์หญิงนั้นอยู่เหนือเกล้าอ้ายเดือน อันการที่หม่อมฉันทูลว่าสิ้นห่วงนั้นก็ด้วยสถานหนึ่ง สำหรับชายเช่นอ้ายเดือน จะมิต้องห่วงกังวล จักทะยานใจหาความดีอีกเท่านั้น เพราะเมื่อแสวงมาได้แล้วก็มิได้เกิดปลื้มด้วยสถานใด แม้ว่าวาสนาจักส่งหลังได้เป็นออกพระหรือสมุหกลาโหมสืบไปเมื่อหน้า ก็มิทราบที่จะปีติอย่างไรได้ เพราะผู้พลอยปีติไม่มีแล้ว”

“น่าสงสาร” สุรเสียงรับสั่งยิ่งสั่นเครือกว่าเก่า แล้วยังทรงปรารภว่า “จริงนะ เมื่อทูลกระหม่อมยังทรงชีพได้เป็นพระมหากษัตริย์ แม้ใครๆ ถึงพระองค์เองก็เคยรับสั่งว่า พ่อเดือนมิพ้นตำแหน่งออกกลาโหม หญิงก็พลอยปีติกับยมโดย ยังสัพยอกเขาว่า ท่านผู้หญิงกลาโหมอยู่เสมอ ก็แล้วใครบ้างเล่าจะนึกว่าการอาจจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้”

ทหารหนุ่มของพระบัณฑูรมิเอ่ยว่ากระไร เมื่อก่อนถึงแม้สิ้นพระมหาอุปราชแล้ว แต่น้ำใจออกกลาโหมก็ยังมีมั่นนึกอยู่เสมอว่าตัวจะแสวงดีสืบไป และก็พอจะแลเห็นหน้าสนมกับพระองค์หญิงพอเป็นเพื่อนว้าเหว่ แต่กาลบัดนี้เล่า นางแม่ข้าหลวงก็มาจากพลัดมือไปแล้ว คงเหลือแต่พระธิดาทูลกระหม่อมเจ้านายผู้เคยได้เป็นที่คุ้นเคยแก่เดือน แต่พระองค์ท่านก็เป็นฝ่ายในที่ทรงศักดิ์ยากแก่การจะเฝ้าหาได้เสมอไป จึงต้องนับวันว่าจะมีแต่จะเหงา เหมือนทหารพระบัณฑูรนี้เกิดมาในกรุงศรีอยุธยาแต่ผู้เดียวเท่านั้น

พระธิดาสมเด็จพระมหาอุปราชองค์ก่อนก็ทรงเหงาพระทัยแทน ทั้งเมตตาสงสารออกหลวงกลาโหมผู้ชาตาตกเป็นที่ยิ่ง แต่ครั้นจะรับสั่งปลอบโยนก็ผิดวิสัยและมิบังควรแก่ศักดิ์พระองค์ท่าน จึงจำนิ่งเป็นดุษณี ทรงแหงนพระเนตรไปสู่ครึ้มเงาไม้จันทน์ยอดมืดแล้วถอนพระทัย ทรงคำนึงแก่พระองค์เองว่า อันกำเนิดมาเป็นเหล่าพระบรมวงศ์นี้ ก็สูงประเสริฐอยู่ สตรีทั้งแผ่นดินธรรมดา แต่เมื่อถึงยากแค้นฉะนี้แล้ว ถึงจะทรงศักดิ์อยู่ก็เสมือนหนึ่งหญิงสามัญ ทั้งหนักพระทัยยิ่งกว่ามากนัก

จนสักชั่วทุ่มหนึ่ง ที่ทหารยอดดีของพระมหาอุปราชพระองค์ก่อนเข้าเฝ้าได้ทูลถามทุกข์สุขและเล่าความส่วนตัวทั้งหลายลำบากยากเข็ญเมื่อต้องโทษแล้ว จึงเวียนมาเรื่องพระธำมรงค์

“หม่อมฉันรำลึกกราบไหว้เสมือนได้อยู่เฝ้าทูลกระหม่อมและพระองค์หญิงทุกเพลาเช้าเย็น ก็เพราะพระธำมรงค์เพชรวงนี้เท่านั้น ก็พอลืมทุกข์ยากได้บ้าง”

“พ่อเดือนจะริปดใหญ่ละซี” รับสั่งขัดคอขึ้น “คนกับแหวน ไฉนเล่าจักเปรียบให้เสมือนกันได้”

“โธ่ เสด็จพระองค์หญิง ถ้ากระนั้น ของต่างหน้าที่เคยรับสั่งก็ไม่มีหรือ”

“มีย่ะ แต่เพราะเป็นข้าวของ มิใช่ตัว จึงเรียกว่าต่างหน้าแทนตัว ไม่ใช่อย่างคำพ่อเดือน”

หลวงกลาโหมเพิ่งจะยิ้มคลายทุกข์ และทูลคล้อยตามพระทัย

“หม่อมฉันทูลหนักเกินไปสักนิดหนึ่ง ก็ทรงจับเอาเป็นผิด เมื่ออ้ายเดือนผิดแล้วก็ขอถวายพระอาญา”

ท่านทรงพระสรวลกิ๊ก และรับสั่งอภัยโทษเหมือนเวทนาแก่ข้าทหารเก่าของสมเด็จพระบัณฑูร

“เท่านี้ก็น่าสงสารอยู่มากนักแล้ว ผู้หญิงเขาทิ้งขว้างร้างหย่าไปเท่านี้ก็สมควรแก่โทษปากอยู่แล้ว ครั้นหญิงจะทำโทษลงอาญาอีก ก็สงสารว่าจะตายเปล่า เสียดายฝีมือทหารกรุงศรีอยุธยา เผื่อกลับจากทัพศึกได้ดี หญิงจะได้พึ่งบ้าง”

“อนิจจาเอ๋ย ถ้ายิ่งสิ้นใจอ้ายเดือนด้วยฝีพระหัตถ์แล้วสิจะกลับไปสวรรค์ และที่รับสั่งว่าจะพึ่งฝีมืออ้ายเดือนนั่น ถึงมิต้องรับสั่งก็จะเต็มใจถวาย แม้จะต้องอุ้มองค์หญิงว่าสักร้อยโยชน์ ยิ่งกว่าเมื่อค่อนรุ่งคืนนั้นก็ยิ่งเต็มใจ”

ทรงละอายพระทัยด้วยพระองค์ท่านสิ้นสติ จึงมิรู้ความอื่น จึงเสถามกลบเกลื่อน

“ทำไมหญิงสิ้นสติถึงปานนั้นก็หารู้ไม่ น่าอายจริง ที่ต้องให้พ่อเดือนอุ้มมา ดังหญิงเป็นเด็กๆ แล้วอย่าพูดไปล่ะ ขายหน้าเขา”

“พูดไป อ้า พระองค์หญิง” เดือนเงยหน้าชะเง้อทูล “พูดว่าอุ้มพระองค์หญิง ผิว์หลังอ้ายเดือนมิลาย ก็คงจะคอขาดด้วยพระมนเทียรบาลที่ท่านตราไว้ เมื่อแรกก็คาดว่าจะเหลือแรงหม่อมฉัน เพราะพระองค์จำเริญมาก มิแน่งน้อยอย่างยมโดย แต่ครั้นพอตกใจหนักก็ทุนไว้บนบ่าอ้ายเดือนจนตลอดมาจนกระทั่งถึงนี่”

พระทัยท่านสั่นหวิว หากใต้ร่มไม้จันทน์มืดนี้จะตามประทีปแต่เพียงเห็นแสงน้อยหนึ่งเท่านั้นเอง เดือนก็ต้องลั่นปากถวายพระพรว่าทรงเจริญยิ่งด้วยพระพักตร์บ่มโลหิต ถูสองพระหัตถ์และทรงดัดทุกองค์คุลีลั่นกรอบ ถอนพระทัยใหญ่ เมื่อก่อนเคยทรงแต่วอตามเสด็จหรือแคร่หามสี่ ครั้นสิ้นบุญทูลกระหม่อมท่านแล้วเล่า เมื่อยามภัยมาถึงซิ อ้อมแขนทหารกล้าและไหล่เขานั้นก็เป็นที่ทรงแก่ท่าน ยิ่งคำนึงหนักก็ปรารถนาจะให้เนื้อความนี้เงียบสูญไปเป็นการลับหนักขึ้น ถึงกับทรงห้ามปรามและอธิ ษฐาน

“อย่าพูดถึงอีกเลย ฉันคิดแล้วใจหาย กลัวจริงๆ เจ้าประคุณ ขออย่าให้ได้พบเช่นนั้นอีกต่อไปเลย”

“แต่หม่อมฉันขอให้เป็นเช่นนั้นทุกวัน” แล้วออกหลวงผู้ถูกถอดเพราะกตัญญู ก็ประนมมือเป็นเชิงอธิษฐานยืนคำ “เจ้าประคุณทั้งเสื้อเมืองทรงเมือง ขอให้อ้ายเดือนได้ถวายกตัญญูเจ้านายเช่นนั้นเสมอไปเถิด”

“พิลึก” ทรงเอื้อมพระหัตถ์ลงอาญา “คนยิ่งกลัวนี่จะยิ่งแกล้ง อยากรบก็รบไปคนเดียวซี ทำไมจะต้องให้หญิงเกี่ยวด้วย หรือเมื่ออยากจะซ้อมเรี่ยวแรงก็นั่นแน่ะ ไปอุ้มเมียหลวงภักดีนั่นแน่ะ เป็นได้เรื่องเขียว”

“ตัวเบาไปพ่ะย่ะค่ะ” เดือนทูลซึ่งๆ “กายแม่ยมโดยมิจำเริญเหมือนพระองค์หญิง และก็...”

“ก็อะไรยะ”

“เขามิได้เอ่ยปากให้อ้ายเดือนช่วยพ่ะย่ะค่ะ”

ทรงค้อนทั้งมืดๆ

“แน้ นี่หญิงเอ่ยปากงั้นรึ”

“โอษฐ์พระองค์ประทานแก่อ้ายเดือนเชียวพ่ะย่ะค่ะ”

นอกจากลงพระอาญาแก่ทหารพระบัณฑูรแล้ว ก็มิได้รับสั่งประการใด อีกครู่นั้น โดยเหตุที่เป็นยามศึกเมื่อครบ ๕ ทุ่ม ย่ำฆ้อง ก็มีเหล่าพระตำรวจรักษาวังต้องออกตรวจตราทุกชั่วทุ่มชั่วโมง จึงเป็นเพลาสมควรที่เดือนจะรีบทูลลา จึงคุกเข่ากราบบนไม้นั่งล้อมโคนจันทน์ สำแดงความเคารพข้างพระองค์

“ดูซี พ่อเดือน บาปกรรม หญิงเด็กกว่า และเราก็รักกันเอง อย่าต้องกราบไหว้บ่อยนักเลย” รับสั่งแล้วจึงทรงตบไหล่ออกกลาโหม “ใจหาย นานๆได้คุยกันก็ต้องไม่เห็นอีกนาน”

ทหารเอกพระบัณฑูรหนุ่มเหงาใจลงชั่วขณะนั้นทันที มือที่ยังประนมอยู่ก็ยกมือไหว้

“อ้ายเดือนก็ถวายตัวแก่ฝ่าบาทแล้ว ได้มาเฝ้าครั้งนี้ จึงนึกเป็นกุศลตัวยิ่ง จึงอาลัยนักที่จะต้องทูลลา มะรืนนี้ก็ไปศึกแล้ว ประทานพระพรแก่หม่อมฉันเถิด”

ท่านทรงกันแสงเพราะเมตตาและตื้นพระทัย เพียงเอื้อมพระหัตถ์ก็ตบแขน รับสั่งพร

“หลวงกลาโหมจงชนะศึก ศัตรูของศรีอยุธยากรุงไทยจงพินาศด้วยฤทธิ์ทหารพระบัณฑูร หรือ...”

“ข้าพระองค์หญิง”

เดือนต่อรับสั่งเสียงเครือ ถวายบังคมแล้วกราบลงต้นพระเพลาเหนือตัก รู้สึกพระองค์เสมือนหนึ่งภูษาสะอาดที่ตรงกราบนั้นคมคาย ๑๐ นิ้ว ดั่ง ๑๐ เล่มดาบทหารเอกพระบัณฑูรปักไว้เป็นแผลซึ่งมิอาจหายได้

ถึงจะเป็นสักครู่ แสนเร็วของเดือน แต่ก็แสนนานนักของพระองค์หญิงที่ทรงอึกอัก จึงทรงช้อนหัตถ์ประคองขึ้น

“เราจะพบกันอีกนะ หลวงกลาโหม ” ท่านรับสั่งด้วยถือลางเป็นสำคัญ “หญิงจะคอยรับเฝ้า เมื่อพ่อเดือนกลับจากศึกเสมอทีเดียว”

“พระคุณล้นแล้ว พระองค์หญิงจงทรงพระจำเริญทุกสถาน“ เดือนเงยหน้า กังวลใจ และยิ่งกังวลหนักเมื่อสังเกตพักตร์ท่าน “เดชะ ด้วยสัตย์และกตัญญูของหม่อมฉัน แม้เมื่อตื่นหรือหลับใหลเหลือแต่เจตภูตเฝ้ากาย หากพระองค์หญิงต้องพระประสงค์แล้ว เมื่อภัยมาถึง ขอฤทธิ์ภูตของอ้ายเดือนจงรับพระภาระนั้นเกิด และหม่อมฉันขอทูลลาแต่บัดนี้ จักนึกแต่บัดนี้เสมอว่า ในศรีอยุธยามีพระองค์แต่หนึ่งเดียวที่คอยปรบหัตถ์ชนะ ประทานแก่หม่อมฉันอ้ายเดือน”

จึงประทานพระหัตถ์แก่ไหล่เดือน รับสั่งคำพร ทั้งทรงกันแสงแล้วอำลารีบไป กว่าจะถึงพระตำหนักก็ทรงเหลียวทอดพระเนตรบุรุษอีกเป็นหลายครั้ง จนเสด็จขึ้นพระตำหนักน้อยต้นจันทน์ เมื่อจะลับพระองค์นั้นออกกลาโหมก็จะใจหาย ยืนสะท้อนอยู่ รำพึงอยู่แก่ใจว่า

พระองค์เอ๋ย อาภัพหนัก สิ้นบารมีทูลกระหม่อมแล้ว ชีพของพระองค์หญิงก็เสมือนเมื่อแรมข้างเดือนดับ ผู้คนหลากหลาย ทั้งข้าทาสเคยเคารพก็หลีกหนีเสียสิ้น และการเมื่อหน้าจะเป็นประการใดอีก ก็ยากจะเดาได้”

แล้วทหารเอกพระบัณฑูรก็ถอนหายใจ ตบมือสัญญาณเรียกนายหมู่และทหารเก่าพระบัณฑูรผู้เคยร่วมสุขร่วมทุกข์ให้มารวมพร้อม แล้วเดินผ่านยามตระเวนไปเป็นหมู่ด้วยเปิดเผย

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ