ลุศักราช ๑๑๒๐ ปีขาลสัมฤทธิศก ฝนเริ่มประปราย ครั้นถึง

ณ วันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ เพลากลางคืน ๗ ทุ่ม สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ยิ่งประชวรหนักอีกกว่ากาลก่อน ตราบมาถึงวันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๖ เพลาเช้าก็ทรงพระเสลี่ยงหิ้วมา เสด็จออก ณ พระที่นั่งทรงปืน คำนึงอยู่ด้วยราชกิจและห่วงราชสมบัติบ้านเมืองทั้งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน จึงดำรัสให้หาพระราชบุตรผู้ใหญ่ต่างกรมขุนมาเฝ้าพร้อม แล้วจึงมีพระราชโองการมอบราชสมบัติแก่กรมพระราชวังบวรเจ้าฟ้ากรมพรพินิต และขอให้พระเจ้าลูกเธอทั้งสี่ คือ กรมหมื่นเทพพิพิธพระองค์หนึ่ง อีก ๓ องค์ คือพระองค์เจ้ามังคุดเป็นกรมหมื่นจิตรสุนทรพระองค์หนึ่ง พระองค์เจ้ารถเป็นกรมหมื่นสุนทรเทพพระองค์หนึ่ง พระองค์เจ้าปานเป็นกรมหมื่นเสพภักดีอีกพระองค์หนึ่ง เพราะทรงตระหนักว่าในเจ้าต่างกรมพระลูกเธอทั้งสี่นี้ กรมหมื่นเทพพิพิธทรงชอบพอกับสมเด็จพระมหาอุปราชพระองค์ก่อนที่ต้องพระราชอาญาถึงเสด็จทิวงคต จึงเป็นอริกับเจ้าสามกรม อันสาเหตุนั้นครั้งหนึ่ง กรมพระราชวังบวรรับสั่งให้เจ้ากรม ปลัดกรม ของเจ้าทั้งสามกรมนั้นมาลงราชอาญา ด้วยประเพณีว่าเจ้าตั้งข้าไทให้มียศและบรรดาศักดิ์เกินแก่กรม ไม่ทูลห้ามปรามโดยหน้าที่ จึงรับสั่งให้เฆี่ยน แต่นั้นสืบมาเจ้าสามกรมก็ทรงอาฆาตกล่าวโทษแก่พระมหาอุปราชว่าทรงกระทำชู้กับเจ้าฟ้าสังวาลซึ่งเป็นพระชายาอยู่แล้ว พระมหาอุปราชก็ต้องรับพระราชอาญาถึงทิวงคต จึงตำแหน่งพระมหาอุปราชก็ต้องเปลี่ยนเลื่อนมาตราบทรงพระประชวรหนัก

จึงให้เจ้าทั้งสี่กรม พระลูกยาเธอถวายสัตย์ยอมเป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาทแก่สมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตต่อหน้าพระที่นั่ง อย่าให้คิดประทุษร้ายต่อกัน แล้วเสด็จกลับพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ เพลา ๕ โมงเย็นเศษ ทรงพระเสลี่ยงหิ้วมาเข้าที่ ณ พระที่นั่งทรงปืน ถึงเพลาเที่ยงแล้ว ๕ บาท บรรทมตื่น จะเสด็จไปลงพระบังคม หลวงราชรักษา หลวงราโชหมอนวด พยุงพระองค์ให้ทรงยืนขึ้น พระเนตรวิกลกลับซ้อนขึ้น หายพระทัยดั่งเสียงกรน พระหัตถ์คว้าจับหลักชัยมิใคร่จะถูก จึงหมอทั้งสองต้องเข้าประคองให้เอนพระองค์ลงบรรทมดุจเดิม แล้วถวายอยู่งานนวดแก้พระวาตะด้วยลมกล้า

แลขณะนั้น กรมพระราชวังบวรพระมหาอุปราชพระองค์ใหญ่ เจ้าฟ้าอุทุมพรซึ่งเฝ้าพระอาการอยู่จึงมีรับสั่งให้มหาดเล็กไปเชิญเสด็จกรมหลวงพิพิธมนตรีพระราชมารดา และเจ้าฟ้าจันทวดี เจ้าฟ้ากรมขุนยี่สารเสนี และพระเชษฐภคินีทั้งปวง แล้วกับทั้งพระราชบุตรธิดาวงศานุวงศ์ ให้มาพร้อมกันสิ้นด้วยใกล้เสด็จสวรรคตแล้ว

ฝ่ายเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีพระเชษฐาธิราชพระมหาอุปราชพระองค์นี้ได้ทราบว่าทรงพระประชวรหนัก ใกล้สวรรคตแล้ว จึงลอบลาผนวชเสด็จจากวัดละมุดมาประทับอยู่ ณ พระตำหนักสวนกระต่าย และเจ้าฟ้าอาทิตย์ราชบุตรพระบัณฑูรที่ทิวงคตด้วยราชอาญานั้น ออกไปเชิญเสด็จเข้ามา ณ พระที่นั่งทรงปืน แย้มฉากทอดพระเนตรดูสักครู่หนึ่งก็เสด็จกลับไปยังพระตำหนักสวนกระต่าย

ครั้นเพลาบ่าย พระอาการสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวยิ่งทรุดหนัก บรรดาเจ้านายทุกกรมทุกพระองค์ยิ่งว้าเหว่ ร้อนพระทัยนัก วิตกนัก เพราะการต่างๆขณะนี้ได้ผันแปรหมด ไม่อาจที่ใครจักทำนายได้ว่าราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาจะเป็นประการใด ทุกกรมอันเป็นราชบุตรต่างตระเตรียมทหารทั้งล้อมพระองค์และราชวัง

แล้วการก็อึงคะนึงแทบจะเป็นจลาจลแก่แผ่นดินในขณะนั้น เมื่อข้าหลวงมาเชิญเสด็จ กรมหมื่นเทพพิพิธก็ตกพระทัยนัก

“อย่างไรเล่า หญิงน้อยหลานเรา” รับสั่งสุรเสียงตระหนก “หญิงว่าเดือนกลาโหมทูลกระหม่อมพี่จักมา ก็ป่านนี้แล้ว ทั้งการก็กะทันหันแล้ว ยังมิมาตราบนี้จะทำประการใด”

พระธิดาพระบัณฑูรก็ปริวิตกยิ่งเพราะกำหนดนั้นผิดไปดังที่ทูล และขณะนี้ก็ฉุกเฉินทั้งบ้านเมืองและภัยอื่นจะมาอีก แต่กลาโหมซึ่งทรงหวังปรารถนาอยู่ก็หาได้มาไม่ สาวยมโดยข้าหลวงก็ยิ่งหวั่นหวาดเช่นพระองค์หญิง จึงพระธิดาพระบัณฑูรก็จำกราบทุูลแก้ตัวว่า

“หม่อมฉันนัดกลาโหมเจ้า เนิ่นเพลาไปสักหน่อย แต่วันนี้ก็อย่างจะช้า เพราะมิทราบพระอาการทรงพระประชวรสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทูลกระหม่อมแก้ว”

เพลานั้นเป็นฉุกเฉินนัก เพราะเสด็จในกรมหมื่นเทพพิพิธทรงฉลองพระองค์แล้ว และทรงทราบว่ากรมอื่นได้ตระเตรียมทหารแน่นหนาทั้งฝ่ายรบจึงทรงปริวิตก

“นั่นแหละ หญิงหลานเราเอ๋ย” รับสั่งสุ้มเสียงเครืออยู่ “อานี้ก็มั่นใจอยู่แต่กลาโหมพ่อเดือนเท่านั้นที่จักปราบได้และรับศึกศรีอยุธยา มิว่าการใดหรือว่าเขาจักคิดรังเกียจว่าข้าสองเจ้า แล้วมาลืมเสีย”

“คงมิเป็นกระนั้นเพคะ เสด็จอา” พระองค์หญิงทูลแก้ “กลาโหมผู้นี้หลานเคยเห็นสัตย์จริง และคำเขาแต่ครั้งทูลกระหม่อมแก้วมิผิดเลย หากจะพลาดครานี้ก็คงไปเที่ยวกะเกณฑ์ทหารเหล่าพระบัณฑูรมิใช่อื่น”

ทรงถอนพระทัยเพราะผู้มาเชิญเสด็จก็กลับไปแล้ว จึงว้าเหว่พระทัย และขณะนั้นมหาดเล็กสนิทนายภูบาลก็เข้ามาเฝ้า

“หลวงกลาโหมมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นายภูบาลทูลสีหน้าตื่น “มีทหารพระบัณฑูรมาพร้อมด้วยสักเจ็ดแปดคน”

“เอ๊ะ นายภูบาลเจ้าเอ๋ย กลาโหมพ่อเดือนมาแล้วกระนั้นหรือ”

รับสั่งเหมือนตื่นพระทัย และพระองค์หญิงก็ตระหนักด้วยดีพระทัยอยู่หนักหนา

“หม่อมฉันได้กราบทูลแล้วว่า พ่อเดือนมิผิดคำไปได้” พระองค์หญิงพระธิดามหาอุปราชกล่าวด้วยดีพระทัย “พ่อเดือนก็รับปากแล้ว ไยจะลืมเสียเหลวไหลไปกระนั้นเล่า”

“ไปเชิญตัวเจ้าเดือนมาหาเราเถิด” รับสั่งด้วยดีพระทัยอยู่ “ไปสิ บอกเจ้าเดือนมาหาเราให้เร็วทีเดียว เพราะได้เพลาจักขึ้นเฝ้า ช้าอยู่มิได้”

เมื่อขาดรับสั่ง ในขณะครู่เดียวนั้น มหาดเล็กก็นำบุรุษหนึ่งคลานเข้าเฝ้า

“โอ กลาโหมเจ้าเอ๋ย เรานี้ร้อนใจ คอยเจ้าอยู่หนักหนา คาดว่าจักปัดปฏิเสธแล้ว ยังสุขสบายอยู่หรืออย่างไร”

กลาโหมชายชนบทซึ่งลอบมาเฝ้ามิได้แต่งร่างเช่นทหารตั้งแต่ก่อน เพราะเกรงราชอาญาและผู้คนอื่นจักจำได้ ก็หมอบอยู่ เมื่อยินรับสั่งถามเช่นนั้นก็สำนึกว่าประทานความสนิทสนมเป็นกันเอง จึงกราบทูลว่า

“พระกรุณาเป็นล้นที่สุดแล้ว สุขทุกข์ก็เสมอกันพ่ะย่ะค่ะ”

ทรงแย้มพระสรวล

“มิได้แต่งทหารมาหรอกหรือ จักได้ไปด้วยกัน ไม่มีใครสงสัย”

“สิ้นบารมีทูลกระหม่อมแก้ว ข้าพระพุทธเจ้าก็เสมือนต้องถูกถอด” กลาโหมทูลตามสัตย์ตามจริง “และขณะไปอยู่เสียชนบทฟากโน้น ก็มิได้คิดสนใจจะกลับเป็นทหารอีก หากทรงพระกรุณาแล้วก็จะแต่งเยี่ยงทหารสังกัดกรมในใต้ฝ่าพระบาท”

“เราอยากเห็นทหารพระบัณฑูรเจ้าฟ้า” ทรงพระสรวลอีก ทั้งกรากมาลูบไล้ศีรษะกลาโหม “เดือนเจ้าเอ๋ย น่าสงสารนัก ผิว์ทูลกระหม่อมแก้วพี่เราพระชนม์อยู่ ไฉนเจ้าจักมาต้องตกอับเยี่ยงนี้ และป่านนี้เล่า แต่การก็ล่วงเลยไปแล้ว บัดนี้เจ้าก็ได้มีตำแหน่งเป็นอนุราชองค์รักษ์แล้ว เอาเถิด เมื่อมิได้เตรียมมีมาจักแต่งตัวเยี่ยงทหารเราก็ได้ สุดแต่ใจ”

รับสั่งกระนั้นแล้วจึงหันบอกพระองค์หญิงให้หาชาวเครื่องชาววิเศษเลือกสรร และพาตัวออกกลาโหมหนุ่มไป

และสักครู่นั้น ทหารแกล้วในกรมหมื่นเทพพิพิธก็พลันมาเฝ้า อีกพระแสงพระบัณฑูรซึ่งได้ราชทานไว้นั้นก็ขัดหลังอยู่ ก็ทรงปลื้มพระทัยนัก จึงรับสั่งแก่พระองค์หญิงซึ่งยังเฝ้าอยู่ริมพระที่

“หญิงเอ๋ย เจ้าหาทหารให้อานี้สักหมื่นก็ไม่ดีใจเหมือนกลาโหมเขาเพียงคนหนึ่ง เพราะเสมือนจะนอนตาหลับด้วยภักดีและฝีมือถูกใจนัก เมื่อขุนจิตรมันล้อมนั้น พลสักเท่าไร”

“ร้อยกว่าพ่ะย่ะค่ะ” หนุ่มกลาโหมกราบทูล “ทั้งจุกช่องและล้อมพระราชวัง พลเขาทั้งทหารและพระตำรวจประสมกันก็เห็นจะกว่าร้อย”

“แล้วพลเจ้า”

“ยี่สิบเอ็ด ทั้งอ้ายเดือนพ่ะย่ะค่ะ”

ทรงพระสรวลสำเนียงเครือ

“ทหารทูลกระหม่อมพี่ดูเชื่อนักหนา แล้ววันนี้จักได้มาอย่างไร”

“ข้าพระพุทธเจ้าเที่ยวตามแต่ที่หนทางนัดกันไว้และฝีมือชั้นตัวนายทั้งสิ้นได้แปดคน แต่ในแปดและเก้า ทั้งข้าพระพุทธเจ้าคะเนว่าพอจะตามเสด็จใต้ฝ่าพระบาทได้ทุกสถาน”

“มีงหมายอย่างไรวะ กลาโหม” รับสั่งถามตื้นพระทัยนัก “ที่พูดนั้นเจ้ามีหมายอยู่อย่างไร บอกหน่อยเถิด”

“รบพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าหนุ่มทหารกราบทูล แล้วถวายบังคมหมอบอยู่ ชำเลืองสาวข้าหลวงแม่ยมโดยและพระองค์หญิงที่ทรงเฝ้าแย้มพระสรวล แล้วด้วยปีติพระทัย ก็ทูลอีกว่า “พระองค์หญิงทรงพระอุตสาหะเสด็จไปเยือนข้าพระบาท ก็เล่าแล้วจึงมาตรองดูเห็นว่าใต้ฝ่าพระบาทเมื่อครั้งก่อนก็ทรงเสน่หาอยู่แก่ทูลกระหม่อมแก้ว ก็เสมือนนาย จึงสุดแต่จะใช้มิเลือกการ”

ทรงปีตินักหนา ถึงเสด็จกรากตบศีรษะ

“มึงนี้ยอดทหารนัก ออกกลาโหม เออ กูอยากจะร้องไห้ คิดถึงทูลกระหม่อมเสด็จนัก แม้ทรงบารมีแล้ว ไฉนบ้านเมืองจะรุ่มร้อนถึงป่านนี้ พระญาติพระวงศ์ใครเล่าระหองระแหง”

“อ้ายเดือนมิเคยจักคิดเป็นข้าสองเจ้า การนี้หากจนใจ และมาคิดถึงพระเมตตาแต่หนหลัง และใช่ใครอื่น จึงเมื่อมาพึ่งพระบารมีแล้วก็คิดเสมือนเป็นข้าทูลกระหม่อม”

แม้ทรงพระสรวลก็จริงอยู่ แต่พระสุรเสียงนั้นแหบแห้งเครือไป

“กูนอนตาหลับแล้ว กลาโหมเอ๋ย คำคนอื่นไม่เคยจะเชื่อใคร และออกเดือนเจ้ารบ พาหลานสาวกูหักหนีมาได้ก็ชอบฝีมือนัก เออ ไปบอกพลนั้นให้มาแต่งตัวเถิด กูจักต้องเข้าเฝ้าแล้วตามรับสั่ง”

จึงออกกลาโหมให้ถอยมาสั่งพลภายนอกทั้งแปดล้วนคู่ใจ ให้ไปเลือกสรรเครื่องทหารเป็นสังกัดกรมเช่นเดียวกัน บ้างปลื้มหนักหนาด้วยต่างต้องซุ่มซ่อนมาแล้วเป็นเพลานานเกือบจะสองขวบปี เช่นเดียวกับออกหลวง แล้วบ้างก็ปีติที่ได้เห็นหน้ากลาโหม ทั้งจะได้ร่วมราชการอีก ครั้นเสร็จแต่งกายแล้ว และต่างเป็นทหารสังกัดกรมหมื่น มิอาจมีใครจำได้แล้ว ทหารล้อมพระองค์เคยมีมากสักยี่สิบเศษก็เปลี่ยนตัว และจำนวนมาเป็นเก้าทั้งออกหลวงห้อมล้อมตามเสด็จ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ