ตั้งแต่มีพระราชโองการตรัสรับสั่งมหาดเล็กให้ออกมาเชิญเสด็จพระมหาอุปราชไป ณ ตำหนักสองห้องข้างทิมสงฆ์ แล้วดำรัสตรัสสั่งพระมหาเทพให้ลงพระอาญาจำห้าประการแล้ว จึงให้มีกระทู้ถามคำฟ้องและพิจารณาเป็นสัตย์

ครั้นถึงวันแรมค่ำ ๑ ในเดือน ๕ ปีกุนนั้น มีพระราชโองการรับสั่งให้ผูกกรมพระราชวังบวร แล้วจึงให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนได้ ๒๐ ที ลมจุก กรมหมื่นสุนทรเทพก็กราบทูลว่า จุกหนักจักขอพระราชทานแก้เสีย ครั้นวันแรม ๒ ค่ำ รับสั่งให้เฆี่ยนอีกสองยกเป็น ๖๐ ที แล้วให้นาบพระบาทด้วย แลให้กระทู้ต่อว่ากรมพระราชวังบวรว่า อ้ายปิ่นกลาโหมคบทาทำชู้กับมารดาเจ้ามิตรเป็นเมีย ให้เฆี่ยนถึง ๗๐๐ ตายอยู่กับคา แต่นี่คบทาทำชู้กับสามีเมียเจ้าทั้งสองพระองค์ แล้วก็มีพระราชบุตรด้วยสามสี่พระองค์ และ ๗๐๐ นั้นโปรดให้แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน จะให้เฆี่ยนแต่ส่วนหนึ่ง ๒๓๐ จะว่าประการใด

กรมพระราชวังบวรก็ให้การกราบทูลว่า จักขอรับพระราชอาญาสุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเถิด กรมหมื่นเทพพิพิธจึงเอาคำให้การขึ้นกราบบังคมทูล ดำรัสถามว่าเฆี่ยนได้เท่าไรแล้ว กรมหมื่นเทพพิพิธก็กราบบังคมทูลว่าลงพระอาญาได้ ๖๐ ทีแล้ว จึงดำรัสสั่งว่าให้เฆี่ยนยก ๓๐ ทีไปกว่าจะครบ ๒๓๐ ที แล้วให้เสนาบดีแลลูกขุนพิพากษาโทษว่าจะเป็นประการใด จึงท้าวพระยามุขมนตรีก็พร้อมกันปรึกษาโทษต้องด้วยพระราชกำหนดกฎมนเทียรบาล จึงกราบทูลพระกรุณาว่า กรมพระราชวังบวรโทษเป็นมหันต์ถึงประหารชีวิตเป็นหลายข้อ จักขอพระราชทานสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ตามขัตติยราชประเพณี จึงทรงพระกรุณาตรัสขอชีวิตไว้ แต่ให้นาบพระนลาฏถอดเสียจากเจ้าเป็นไพร่ และเจ้าฟ้าสังวาลนั้นให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนยกหนึ่ง ๓๐ ที ให้ถอดลงเป็นไพร่จำไว้กว่าจะสิ้นชีวิต และเจ้าฟ้าสังวาลนั้นอยู่ได้ ๓ วันก็สิ้นพระชนม์ แต่กรมพระราชวังบวรสมเด็จพระมหาอุปราชนั้น ต้องรับพระราชอาญาเฆี่ยนอีก ๕ ยก เป็น ๑๕๐ ที ก็ถึงดับสูญสิ้นพระชนม์ จึงรับสั่งให้เอาศพทั้งสองไปฝังไว้ ณ วัดไชยวัฒนาราม

เมื่อกรมพระราชวัยบวรฯ สิ้นพระชนม์ในระหว่างโทษแล้ว แต่นั้นมาเจ้าฟ้าอีก ๒ องค์ ซึ่งเป็นพระอนุชาธิราชก็เป็นอริกับเข้าต่างกรมทั้ง ๓ พระองค์ตลอดมา จนลุปีฉลูนพศก เดือน ๕ กรมหมื่นเทพพิพิธจึงปรึกษาด้วยเจ้าพระยาอภัยราชาที่สมุหนายก และเจ้าพระยามหาเสนา พระยาพระคลัง พร้อมกันแล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า จะขอพระราชทานให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตขึ้นประดิษฐาน ณ ที่มหาอุปราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคลสืบไป จะได้บำรุงรักษาแผ่นดิน ฝ่ายเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตนั้นแม้จักทรงเฉลียวฉลาดแต่ด้วยเสด็จไปศึกษาขณะสมัยอยู่ในสำนักสงฆ์แต่ยังทรงพระเยาว์ จึงนิยมทางพระศาสนาเสียมาก ก็ทรงมักน้อย ทั้งเห็นท่วงทีว่าพระราชวงศ์มิสู้จะปรองดองกัน จึงทรงทำเรื่องราวกราบบังคมทูลพระกรุณาว่าสมเด็จพระเชษฐาธิราชเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรียังมีอยู่ ขอพระราชทานให้เป็นกรมพระราชวังบวรจึงจะสมควร ก็มีพระบรมราชโองการตรัสว่า กรมขุนอนุรักษ์มนตรีโฉดเขลาหาสติปัญญาและความเพียรมิได้ ถ้าจะให้ดำรงฐานาศักดิ์สำเร็จราชการกึ่งหนึ่งนั้น บ้านเมืองจะเกิดภัยพิบัติฉิบหายเสีย เห็นแต่กรมขุนพรพินิตกอปรด้วยสติปัญญาฉลาดหลักแหลม สมควรจะครองเศวตรฉัตรรักษาแผ่นดินสืบไปได้เหมือนดังคำปรึกษาท้าวพระยามุขมนตรีทั้งปวง จึงดำรัสสั่งเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีให้ไปบวชเสีย อย่าอยู่ให้กีดขวาง จึงเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีเกรงพระราชอาญา ก็มิอาจฝืนพระราชโองการ ต้องจำพระทัยทูลลาไปทรงผนวช แล้วเสด็จไปจำพรรษา ณ วัดละมุดปากจั่น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีอุปราชาภิเษก ณ พระที่นังสรรเพ็ชญ์ปราสาท อัญเชิญเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตเถลิงถวัลย์ราชย์ ณ ที่กรมพระราชวังบวรฯ แต่มิได้เสด็จขึ้นประทับ ณ พระราชวังบวรจันทรเกษม คงประทับอยู่ ณ พระตำหนักสวนกระต่ายเช่นเคยแต่ก่อนมา

ครั้นลุปีขาล ย่างเดือน ๖ แล้ว นานอกพระนครเพิ่งจะได้ฝนแผ่นดินอ่อนพอจะลงไถตามฤดูกาล ทุ่งแก้วและทุ่งขวัญฟากแม่น้ำทุ่งภูเขาทองโน้น ตลอดจนลุมพลีอันเป็นย่านทำกิน และนับเป็นเมืองเอก ก็ต่างไถดะและบ้างไถแปรจักเริ่มหว่านแลดำ

ศาลาตระเวนท่าสิบเบี้ยนั้น ขณะนี้เรือตรวจด่านยิ่งกวดขันเสมือนยามศึก ด้วยเป็นขณะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประชวรหนัก ถึงตรัสมอบราชสมบัติแล้วแก่กรมพระราชวังบวรมหาอุปราช ทหารก็เข้าจุกช่องล้อมวังอยู่ตลอดเวลา เจ้าต่างกรมทุกพระองค์ก็คอยสดับแต่เหตุว่าจักเกิดการณ์ใดมิแน่ เมื่อสวรรคตแล้วเหล่าข้าราชบริพารก็เตรียมกันพร้อมอยู่เสมอ

จวบกับเวลาน้ำขึ้น เรือเก๋งสี่แจวจึงตามน้ำล่องลิ่วเข้าปากคลอง พันแคว้นหมู่บ้านชาวเมืองเข้าสู่ย่านชนบทเอกนาเหนือพันเขตตระเวนด่านจึงแยกเข้าคลองน้อยใต้วัด แล้วเก๋งนั้นก็จอดเทียบท่า มหาดเล็กนายหนึ่งก็เข้ายึดกราบไหว้ ขณะอิสตรีสาวทั้งสองสามคนก้าวขึ้นจากเรือ

“พระองค์หญิงรับสั่งบอกตำแหน่งเถิด หม่อมฉันจักไปตามหลวงกลาโหมมาเฝ้าเอง ประทับคอยอยู่ดีกว่า”

“อย่าเลย” รับสั่งแก่มหาดเล็กนั้น “ฉันอยู่นี่ลำพัง ผิว์ใครมาพบแล้วมิลำบากหรือ และฉันเป็นห่วงหลวงกลาโหมเหลือเกิน โธ่เอ๋ย ตั้งแต่สิ้นบารมีทูลกระหม่อมแล้ว ก็เกือบ ๒ ปี ไม่พบเลย พ่อเดือนคงลำบากมากนะ ยมโดย”

นางข้าหลวงก็รับเสียงเครือ

“พระองค์หญิงเป็นเจ้านาย ได้พึ่งพระประยูรญาติยังทรงลำบากย้ายสถานพระตำหนักไม่หยุดหย่อน ก็พี่เดือนจะปานไหน หม่อมฉันเกรงจะไม่อยู่ที่เก่าตามบอกไว้ด้วยซ้ำ”

รับสั่งว่า “คงอยู่จริงนะ ยมโดย หลวงกลาโหมและทหารเสด็จพ่อฉันไม่ไว้ใจใครเหมือนหลวงกลาโหมนี้เลย โธ่ ป่านนี้จะทุกข์ยากสาหัสอย่างไรไม่รู้กัน”

ด้วยเป็นเพลาเกือบค่ำ พวกชาวบ้านชาวนาต่างคืนบ้านกันเกือบสิ้น จึงหามีผู้ใดจะเอาใจใส่แก่การเสด็จหรือจักติดตามสงสัยแต่สักคน จักมีบ้างก็แต่เพียงชะเง้อมอง แล้วก็สำคัญว่าอิสตรีในกรุงคงมาเยี่ยมเหล่าญาติเช่นธรรมดา จึงรับสั่งให้แฝงเรือไว้ แลมีมหาดเล็กตามเสด็จไปเพียงคนหนึ่งกับนางข้าหลวงเท่านั้น แม้กระทั่งพระทัยพระองค์หญิงก็ระทึกหวาดไหวไปหลายสถาน เพราะนอกจากจะลอบมาแล้ว หลวงกลาโหมยังมีโทษเป็นสถานร้าย ฝืนพระราชโองการฆ่าฟันทหารในกรมหมื่นทั้งสองนั้น อันเป็นอุกฤษฎ์โทษและบัดนี้ก็เสมือนถูกถอดแล้ว เพราะแม้แต่สมเด็จพระมหาอุปราชก็ยังมีพระราชโองการให้ถอดลงเป็นไพร่ และรับพระราชอาญาถึงดับสูญสิ้นพระชนม์ระหว่างโทษ

ถึงหน้าพระอุโบสถซึ่งมีพรรณไม้ประดู่ขึ้นครึ้มอยู่เรียงราย จึงพระองค์หญิงรุ่นงาม พระธิดาสมเด็จฯ ก็ทรุดพระองค์สไบเฉียง ทรงประนมอธิษฐานขอคุณรัตนตรัย ทั้งทรงรำลึกไปถึงพระบัณฑูรซึ่งดับสูญไปแล้ว ขอบารมีให้คุ้มเกรงรักษา และถ้าพบยอดทหารสมเด็จพระมหาอุปราชผู้บันลือฝีมืออันจักได้ช่วงใช้เป็นกำลังของบ้านเมืองสืบไปอีก และทรงตั้งสัตยาธิฐานอีกต่างๆประการแล้ว จึงเสด็จทรงพระดำเนินต่อไป

อาทิตย์อัสดงคตแล้วจักสู่เพลาค่ำ เมื่อพ้นท้ายวัดเห็นแต่แสงเพียงรอนๆ ยมโดยและมหาดเล็กนั้นจำตำแหน่งไว้จะแจ้ง มิสู้ลำบากนัก แม้จะต้องเดินหลีกเลี้ยวหลายครั้งหลายหน สักครู่ก็เห็นกระท่อมปลายนามิสู้ไกลนัก จึงต่างเร่งฝีเท้าจักให้ถึงในก่อนพลบ เพราะหากผิดกระท่อมนี่แล้วก็จำต้องรีบกลับ ด้วยเพลามืดมาถึง

พระทัยก็สั่นหวั่นไหว เมื่อขณะถึงประตูอันปิดสนิท เสียงสาธยายมนตร์และอ่านโองการตลอดพิธียุทธและพระพิชัยสงคราม...พ่อเอ๋ย ใช่แล้ว ทหารพระบัณฑูรมาซุ่มอยู่...แล้วทั้งพระองค์หญิงและสาวนางข้าหลวงยมโดยก็นิ่งฟังตราบสาธยายมนตร์นั้นจบ

สักครู่เดียวที่เงียบก็พลันได้ยินเสียงอ่านฉันท์และกาพย์ห่อโคลงสำเนียงครวญ ซึ่งเป็นนิราศที่สมเด็จพระบัณฑูรทรงพระนิพนธ์ไว้

๏ ย่ำฆ้องค่ำแล้วเจ้า เพลาเล่าเข้าสนธยา
จุดเทียนเวียนส่องหา เจ้าแห่งใดไม่เห็นเลยฯ
๏ ราตรีรวีเลื่อนเลี้ยว ลับตา
มัวมืดมนสนธยา ค่ำแล้ว
ถือเทียนเวียนส่องหา นางทั่ว
อยู่แห่งใดน้องแก้ว ห่อนได้เห็นเลยฯ

พระองค์หญิงหวิวพระทัย แล้วทรงกันแสง รับสั่งแก่ข้าหลวง

“ฟังเถิด ยมโดยเอ๋ย คิดถึงทูลกระหม่อมนัก โอ้ ผิว์มิสิ้นป่านนี้ก็ต้องล้อมวงเตรียมประทับเศวตฉัตร แล้วพวกเราคงมิต้องมาอยู่ทุ่งเดินนาให้ลำบากเยี่ยงนี้ พระพุทธเจ้าข้าเอ๋ย สู่สวรรคาลัยแล้วแต่พระองค์เดียว”

รับสั่งให้มหาดเล็กค่อยเคาะประตูเรียก แม้จักได้ยินเสียงขานรับก็ยังกุกกักค้นสิ่งใดอยู่ เมื่อมหาดเล็กเรียกซ้ำอีก ขณะนั้น ประตูกระท่อมก็พลันแง้มแล้วผลักออกเต็มแรง บุรุษซึ่งเคยกำยำล่ำสันหน้าสะอาดนั้น ผ่ายผอมซูบไป ทั้งผมเต้ารุงรังเสมือนไม่ไยดีแก่ร่างกาย และถอดดาบพระบัณฑูรถือง่าเตรียมอยู่

“หลวงกลาโหม”

ตรัสเรียก สุรเสียงสะอื้น แล้วนางข้าหลวงเจ้าก็ซ้อนเสียงว่า

“พี่เดือนเอ๋ย จำมิได้หรือ ยมโดยและพระองค์หญิงเสด็จมาเยือน”

ยอดทหารพระบัณฑูรก็ชะงักดังถูกตรึง ครั้นได้สติก็ทรุดกาย วางดาบประนมมือถวายบังคม กล่าวเสียงเครืออยู่

“กุศลอ้ายเดือนนักหนา ทรงจำเริญเถิด ไม่ตาย เราก็พบกันอีก โธ่ ยมโดย แม่ซูบไป”

แม่ข้าหลวงก็เมินซ่อนน้ำตา แม้พระองค์หญิงก็ถอนสะอื้น ไม่วายรับสั่งว่า

“พ่อเดือนผอมผิดตานัก จะเข้า ๒ ปีแล้ว ไม่เห็นเลย คิดถึงครั้งทูลกระหม่อมแก้วเมื่อทรงพระจำเริญอยู่”

“หม่อมฉันร้องไห้เกือบสิ้น ๒ ปี” หลวงกลาโหมกราบทูล “คิดถึงทูลกระหม่อมและใครต่อใคร ทั้งระลึกถึงพระองค์หญิงไม่วาย ยิ่งคิดก็ยิงแน่ใจว่าเห็นจะตายจากยมโดยเสียเปล่า ไม่พบเห็นกันอีกแล้ว เออ ก็เป็นวาสนาอยู่บ้างยังได้มาพบกันอีก คงจะทรงใช้กิจใดหม่อมฉันกระมัง อุตส่าห์เสด็จมา”

ทรงพยักรับ ขณะนั้นค่ำสนิทแล้ว หลวงกลาโหมจึงเชิญเสด็จเข้าประทับภายในกระท่อม พร้อมด้วยมหาดเล็กแลข้าหลวงสาวใช้สิ้นทุกคน จัดแจงจุดเทียนมาปัก ทั้งลงกลอนประตูมั่น จึงกลับมาเฝ้าสถานเดิม

แล้วพระองค์หญิงก็รับสั่งขึ้นว่า

“สักครู่ เมื่อมาถึงนึกจะไม่ใช่กระท่อมนี้ หากได้ยินพ่อเดือนสาธยายมนตร์อยู่ ฉันใจจะขาดเสียให้ได้ เมื่อได้ยินพ่ออ่านกาพย์ของทูลกระหม่อมแก้ว เลยต้องร้องไห้”

ทหารสมเด็จพระมหาอุปราชก็หน้าเศร้า ชำเลืองดูพระพักตร์และแม่ยมโดยนางข้าหลวง แล้วกล่าวว่า

“ท่องไปด้วยเคยเพลาเสียแล้ว ผิว์หม่อมฉันรำลึกในทูลกระหม่อมครั้งไร ก็ไม่วายจะท่องกาพย์โคลงของท่านได้ ครั้นจะสร้างเป็นกุศลอุทิศถวายก็กำลังยังยากแค้นขัดสนนัก อนึ่ง เมื่อท่องกาพย์พระนิพนธ์นี้ นอกจากได้รำลึกถึงสมเด็จฯ แล้ว หม่อมฉันยังได้รำลึกถึงใครเขาอีกคนหนึ่ง ถูกไหม แม่ยมโดย”

“พูดพิลึก” แม่ข้าหลวงรู้ตัวดีว่าถูกกลาโหมหวนเกี้ยว “พระองค์หญิงเสด็จมาเยี่ยมยังจะพูดเป็นเล่นอยู่อีก”

“อ้าว แล้วกัน” หลวงกลาโหมซึ่งถูกถอดไปแล้วหัวเราะ มองตาค้อนของสาวยมโดย แล้วทูลพระองค์หญิงเป็นเชิงสนุกว่า “เกือบจะ ๒ ปีแล้วหม่อมฉันมิถูกค้อนเลย แต่ก่อนเมื่อยังอยู่ในราชวัง พอถึงเพลาฆ้องก็ท่องกาพย์ไปตามเสียงฆ้อง ถึงจะถูกค้อนถึงข่วนบ้างก็พอจะทนอยู่ แต่ว่าขณะเดี๋ยวนี้เห็นแต่ไร่แต่นา และมาอยู่เสียสุดเสียงฆ้องแล้ว ยินแต่เสียงระฆังวัดชั่วรุ่งครั้งหนึ่งและค่ำครั้งหนึ่งเท่านั้น”

“แล้วพ่อเดือนคิดถึงยมโดยของฉันบ้างหรือเปล่าล่ะ”

พระองค์หญิงรับสั่งถามขึ้นตรงๆ อย่างพลอยสนุก

“หม่อมฉันร้องไห้ถึงทุกเพลาระฆังทั้งเช้าเย็นเกือบ ๒ ปีแล้ว”

“มุสาพูด” สาวยมโดยแม่ชี้หน้า “ปากนี้ของพี่เดือนเมื่อครั้งอยู่ราชวังใครๆเขารู้กันออกแซ่”

“ว่ายังไง แม่เอ๋ยยมโดย เขารู้ว่ายังไง ไหนแม่บอกสักหน่อยเถิด”

แม่ข้าหลวงก็อดหัวเราะมิได้ อันทุกข์ถึงเดือน ๒ ปี เพียงได้สัพยอกกันครั้งหนึ่งก็พอจะคลายบ้าง จึงตอบว่า

“อยากจะรู้งั้นรึ พี่เดือน ว่าปากตัวเป็นที่เลื่องลือทั้งชาววังด้วยเรื่องอะไรแน่ะ ข้าหลวงพระองค์หญิงทุกๆคนแน่ะ พี่เดือนเว้นใครมั่งที่ไม่ลองเกี้ยว”

“ตายจริง ฉัน” ออกหลวงกลาโหมหัวเราะเก้อ เสว่า “ใครหนอพับผ่าเถอะ อยากรู้ตัวจริงเชียวที่พูด”

“ยมโดยนี่แหละพูด”

“เออ ยันเข้าเถิด ยมโดย” รับสั่งหนุน เกิดสนุกพระทัย “ฉันไม่ได้ยินทะเลาะกันมานานแล้ว อยากรู้ว่าใครจะแพ้ชนะเหลือเกิน”

ออกกลาโหมก็ขึงขังแสร้งขู่

“อ๋อ ยมโดยแม่รู้พูด ว่าไงล่ะ”

ข้าหลวงแม่ยิ้มละไม เดาะนิ้วเสมอหน้า

“อย่าอายนะจะบอกให้ อวดดีนักเถอะ จะนับให้ฟัง แม่ดวงขวัญหนึ่งละ จันทนาอีกใช่ไหมล่ะ แล้วก็รำพันเสียด้วยซีเพคะ พระองค์หญิง”

“ว่าไง ไหนบอกเถอะ ฉันอยากฟังคำรำพัน”

ยมโดยแม่จึงเอ่ยขึ้น

“จันทนาเขากระซิบแก่หม่อมฉันว่า ทหารทูลกระหม่อมแก้วไปประจบเขาว่า แม้ทูลกระหม่อมเสวยราชสมบัติแล้ว ออกกลาโหมจะไม่เลี้ยงให้เป็นน้อยเลย ขอให้รับคำเถิด”

“พอ แม่” หลวงกลาโหมโบกมือระรัวห้าม สารภาพ “แพ้แล้วแม่เอ๋ย ยอมแพ้แล้ว เอาความไม่จริงมาพูด ใครเลยจะสู้ได้”

“แน่ะ ฟังว่า” ยมโดยหัวเราะเชิงชนะ “ทรงฟังเถิดพระองค์หญิง บอกว่ายอมแพ้ แต่กลับหาว่าหม่อมฉันเอาเรื่องเท็จมาปั้นขึ้น ถ้ากระนั้นจะยอมแพ้ทำไมเล่า”

“ไม่จริงนี่ แม่เอ๋ย ใครเล่าไปคุยจักให้จันทนาแม่เป็นน้อยเป็นหลวงประหลาดนัก”

“พี่เดือนนั่นแหละคุย เขามาบอก มิเชื่อ กลับไปนี่ พระองค์หญิงลองรับสั่งเรียกตัวมาซักดูเถิด”

“เอ๊ะ แม่ยมโดย” ออกหลวงเบิ่งตาโพลง จักยิ้มจักขีดสีหน้าดูไม่ใคร่ออก แล้วก็พูดอ่อนลงว่า “เราล้อเล่นกันเพียงสนุก แม่ก็อย่าให้เดือดร้อนถึงพระองค์หญิงต้องไปซักถามจันทนาเขาอีกเลย แต่ว่า...” แล้วออกหลวงก็สำนึกอย่างหนึ่งจักเย้านางข้าหลวง จึงยิ้มๆ “นี่เพลาก็มืดนานแล้ว จะใกล้ทุ่ม แต่พอถึงทุ่มฉันก็อยากจะอ่านกาพย์ทูลกระหม่อมอีกสักบทหนึ่ง”

ยมโดยแม่เหมือนต้องสะกิดหัวใจ อายจนผิว์หน้าระเรื่อ ชี้นิ้วห้าม

“อย่านะ พี่เดือนจะอวดดีใหญ่แล้ว นานๆได้พบกันจะมายั่วให้เกิดโมโห”

“เอ๊ะ ยังไงกันนี่” รับสั่งฉงนพระทัย เพราะมิรู้เรื่องแต่เดิมมา ทั้งมองหน้าข้าหลวงก็เห็นเจื่อนอายนัก จึงรับสั่งถาม “เป็นยังไงนะ ยมโดย กลาโหมเขาจะอ่านกาพย์ทูลกระหม่อมแก้ว และหญิงก็ใคร่จะฟังอยู่ แต่ยมโดยมาห้ามเสียฉะนี้ ประหลาดนัก”

“เขายั่วหม่อมฉัน” ข้าหลวงแม่ทูลความยังค้อนกลาโหม ทั้งฉิวทั้งอาย “พี่เดือนจะแกล้งล้อหม่อมฉัน”

“เอ๊ะ พิลึกละ ยมโดย ทำไมเล่า ก็ฉันเพียงจะอ่านกาพย์ของทูลกระหม่อมเมื่อทุ่ม ไหนจะไปล้อแม่ยมโดยได้เล่า พิลึกแท้”

แล้วหลวงกลาโหมทหารยอดฝีมือก็สำรวลสนุก ลืมทุกข์สิ้น เสมือนอยู่ใกล้สวนพระตำหนักสารภี

“อย่าห้ามเขาเลย ยมโดยเอ๋ย” รับสั่งสืบไปอีก “ตั้งแต่สิ้นบุญทูลกระหม่อมแล้ว มิได้ฟังเลย เพราะจะหาใครท่องจดจำก็ได้น้อยนักหนา เชิญเถิดพ่อเดือน ฉันอยากฟังนัก ด้วยกาพย์เพลาครบทุ่มนี้ หญิงก็ลืมเสียแล้ว จำมิถนัด”

ยมโดย แม่อายแต่มิอาจฝืนรับสั่งได้ ความจริงนั้นเค้าความของกาพย์กลอนเมื่อครบทุ่ม สาวข้าหลวงแม่ยังจำได้แม่นยำ หากแต่ยังอายขายหน้าอยู่และยิ่งนาน ครั้นได้มาพบกระนี้แล้ว อายเก่าก็คุขึ้นเสมือนรัก

จึงออกกลาโหมก็ชม้ายตาชำเลืองนางข้าหลวงยิ้มละไมอยู่ แล้วประนมมือทูล

“หม่อมฉัน นานๆจักได้ท่องก็เกรงจักเลอะเลือนเสียบ้าง เมื่อยามอื่นแต่ยามทุ่มนี้ดูเหมือนจะแม่นยำนัก”

“เถอะน่ะ ออกหลวง ใช่ฉันปรารถนาฟังมากเมื่อไรเล่า แต่เพียงเมื่อครบทุ่มก็ฟังแต่กาพย์ทุ่มเท่านั้นเอง ยมโดยแม่อย่าขัดคอนะจะบอกให้”

สาวนางข้าหลวง แม่เจ้าจักรุ่นกำดัดคราวเดียวกับชันษาพระองค์หญิง แต่ก็ยังเคารพนบนอบเสมือนนายและผู้ใหญ่ จึงเพียงแต่ค้อนให้แล้วก็ทูลประชดให้

“พระองค์หญิงจะทรงแต่พระสำราญ ชอบให้พี่เดือนนี้เฝ้าเย้ยแก่หม่อมฉันเท่านั้น”

“เอ๋ แม่ยมโดย กระไรเล่า ก็เป็นแต่กาพย์ของทูลกระหม่อมแก้วท่าน ฉันอยากจะฟัง ก็เหตุไฉนยมโดยถึงจะมาว่าฉันนี่จะยุจะหนุนแก่กลาโหมให้มาเย้ยแม่เล่า พิลึกแล้ว”

หลวงกลาโหมเห็นสบช่อง จึงหยิบยามวน ยิ้มละไม แล้วทั้งชำเลืองนางและพระองค์หญิง พลางเอยกาพย์โคลงเป็นทำนองครื้นเครงหัวใจ

๏ ทุ่มหนึ่งย่อมคลึงเคล้า เนื้อพี่เจ้าเข้าแนบเนียน
สาวลม่อมย่อมจุดเทียน ถือเทียนไว้ให้สูบยาฯ”

“นึกออกแล้ว” พระองค์หญิงรับสั่งและพระสรวลกิ๊ก “อ้อ กระนี้เอง มิน่าเล่า ยมโดยถึงได้ออกปากห้าม ออ จริงซี กลาโหม ฉันนึกได้ละ แต่ก่อนยมโดยข้าหลวงฉัน เพลาสักทุ่มหนึ่งละก็เป็นหายหน้าเสมอ เห็นจะมัวถือเทียนสูบยากันนี่เอง”

“อะไรเสียอีกเล่า ฝ่าพระบาทเอ๋ย” ยอดทหารสมเด็จพระบัณฑูรหัวเราะขรึมๆ “หม่อมฉันติดนิสัยมาตราบนี้ เรื่องสูบยา เพลาทุ่มก็จะไรเสียอีก แต่เดี๋ยวนี้จะหาคนถือเทียนจ่อยามิได้แล้ว”

ยมโดยแม่แทบจะผุดลุกขึ้นมาหยิกข่วนเจ้ายอดทหารคู่พระทัยสมเด็จพระบัณฑูรเสียด้วยอับอายนัก

“รับสั่งธุระของฝ่าบาทเถอะ” ยมโดยทูล ทั้งฉิวทั้งอับอาย “ทรงฟังแต่คนเพ้อกาพย์เพ้อกลอน แล้วทูลกระหม่อมก็ทรงไว้ตลอดรุ่ง มิไม่ได้กลับรึเพคะ”

“อ้าว ฟังซี กลาโหม ฉันไปรู้เรื่องรู้ความอย่างไรด้วย ยมโดยถึงมาพลอยเคืองแก่ฉันหนอ” แล้วก็ทรงพระสรวลอีก และความจริงนั้นทรงตระหนักพระทัยมานานว่า ผิว์ไม่สิ้นบุญพระมหาอุปราชแล้ว ยมโดยก็จักต้องถูกสู่ขอ หาไม่ก็คงมีพระบัณฑูรสมเด็จพระมหาอุปราชพระราชทานแก่ออกหลวงกลาโหมเป็นแน่ “ฉันก็มีธุระจะพึ่งพ่อเดือนอยู่มาก” รับสั่งขรึมเฉยๆ “แต่ว่า เวลานี้ฉันก็ขัดสนอยู่ ไม่มีอื่นจะกำนัล จึงขอผัดแต่ว่าต้องยืมยมโดยไว้อยู่เป็นเพื่อนไปพลางๆก่อน ต่อเมื่อเสร็จธุระ พ่อเดือนทำสำเร็จแล้วก็จะคืนให้”

“แน้ ฟังรับสั่งดูซี จักยืมหม่อมฉันไว้” ข้าหลวงแม่ค้อนเคือง “หม่อมฉันเป็นเข้าของสมบัติพี่เดือนมาแต่เมื่อครั้งไหร่ พระองค์หญิงจะได้ออกปากทรงยืม”

กลาโหมหนุ่มก็ชิงหัวเราะแล้วทูลว่า

“หม่อมฉันถวายไว้ ยามทุกข์ได้เป็นเพื่อน แต่ถ้าทรงสำราญ บ้านเมืองเป็นปกติก็ใคร่จะขอประทานไว้เป็นเพื่อนหม่อมฉันบ้าง”

แล้วก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน แม่ยมโดยเอง หากว่ายามนี้จักแวดล้อมอยู่ด้วยสารพัดภัย ด้วยโทษเสมือนกบฏ และต้องทุกข์ยากตรากตรำมานานร่วมจะ ๒ ปีแล้ว แต่เมื่อยามใกล้ สาวแม่ข้าหลวงซึ่งเคยแอบรักใคร่สัพยอกกันทั้งต่อพระพักตร์พระองค์หญิง อันทุกข์เก่าก็คลายไปชั่วขณะหนึ่ง ทั้งข้าหลวงและพระองค์หญิงแม้ตลอดอนนางทาสและมหาดเล็กที่ตามเสด็จมาเมื่อแรกจะใจคอหวั่นไหวอยู่ แต่เมื่อตระหนักอยู่ต่อหน้าหลวงกลาโหมนี้แล้วก็อุ่นใจแม้จักมีบุรุษสักร้อยมาห้อม เพียงเห็นทหารพระบัณฑูรและถอดดาบถือ ก็จะพากันพ่ายเอง ด้วยพรั่นแก่ฝีมือออกหลวงกลาโหมผู้ยอดฝีมือเป็นที่รู้กันทั่วทั้งกรุงศรีอยุธยา

ครั้นเห็นการสมควร พระองค์หญิงจึงรับสั่งเปรยๆ ขึ้นว่า

“พ่อเดือนไม่คิดจะกลับไปอยู่ในกรุงอีกหรือ”

“พุทโธ่ คิดอยู่ใจจะขาดแล้ว พระองค์เอ๋ย” ทหารหนุ่มยกมือขึ้นประนมไหว้ “ทุกวันนี้มีเพียงแต่แอบเห็นกำแพงกรุงและฟากแม่น้ำโน้นก็พอหายเหงาไปบ้าง แต่จะดื้อไปให้ต้องประหารนี้ยังเกรงอยู่”

ทรงพระสรวลเรียบๆ แล้วรับสั่งอีก

“คงจะสมคิดสักวันหนึ่ง ด้วยเพลานี้กำลังประชวรหนัก ทั้งสมเด็จพระมหาอุปราชพระองค์ใหม่ก็ยังทรงขึ้นเฝ้าตลอดเวลา พระอาการเป็นที่วิตกนัก แม้เสด็จสวรรคต พ่อเดือนก็จะพ้นโทษ”

แต่กลาโหมกลับส่ายหน้า

“เจ้าสามกรมท่านยังทรงอยู่ หม่อมฉันจะแคล้วราชอาญาได้อย่างไร ทั้งขุนจิตรและหมื่นสุนทรเทพก็อาฆาตนัก แม้ทูลกระหม่อมแก้วยังต้องพระราชอาญาถึงทิวงคต ประสาอะไรแก่หม่อมฉันจักพ้นได้”

พยักคล้อยด้วยเหตุผลนั้น แต่หากยังมิละมานะที่ทรงมุ่งมา จึงขึ้นแจงอีกสืบไปว่า

“ทุกวันนี้พ่อเดือนคงมิสู้รู้เรื่องราวตลอดนัก เพราะจากมาเสียก็ร่วม ๒ ปี ฟังหญิงเถิด คือทูลกระหม่อมพระมหาอุปราชเจ้าฟ้าอุทุมพรจักรับพระราชสมบัติ และทูลกระหม่อมที่ทรงผนวชก็ลาเพศแล้วเข้าประทับอยู่ในพระตำหนักสวนกระต่าย และเจ้าสามกรมขณะนี้ก็ทรงตั้งพระองค์เป็นอิสระเข้ายึดถือเอาเครื่องราชูปโภคเก็บรวบรวม ทั้งให้ผู้คนเข้ายึดถือศัสตราวุธในโรงแสงนอก เสมือนจะคิดการใหญ่ในแผ่นดิน ทางเสด็จในกรมหมื่นเทพพิพิธท่านก็ทรงวิตกนักหนาด้วยเกรงภัย ท่านทั้งว้าเหว่ เพราะผู้คนเก่าแกล้วทหาร ขณะนี้ก็พากันเกรงภัยเจ้าสามกรมสิ้นทั้งนั้น นี่แหละ ที่ฉันเล่าให้ฟังเป็นจริงอยู่เช่นนี้ จึงได้กราบทูลเสด็จในกรมหมื่นท่านขอมาตามพ่อเดือน ก็ทรงปีตินัก รับสั่งว่าทรงมั่นพระทัยยิ่งคนอื่น เพราะคุ้นอยู่แต่ครั้งทูลกระหม่อม ทรงประจักษ์ตลอดน้ำใจและฝีมือ และการเมื่อเกิดคืนนั้น ก็ทรงชมเชยว่าผิดพ่อเดือนแล้ว ใครอื่นจักกล้ารับพาหญิงหักล้อมไปได้”

ทหารกล้าพระบัณฑูรก็เอะน้ำใจ นี่จักศึกกลางเมืองรบกันเองให้เดือดร้อนกระมังหนอ ผิว์สมเด็จเจ้าฟ้าธรรมธิเบศพระราชโอรสพระองค์ใหญ่มิชิงทิวงคตเสียด้วยราชอาญา ก็ใครเล่าจะกล้าคิดการเติบประการนี้ แผ่นดินจะได้เดือดร้อนก็เพราะต่างสิ้นที่กีดเกรงแก่กัน

“แล้วทรงฝักใฝ่อยู่ทางไหน”

หลวงกลาโหมถาม ดูขึงขังด้วยกิริยาใส่ใจอยู่

พระองค์หญิงค่อยมีพระทัยยิ้มแย้มขึ้นบ้าง

“พ่อเดือน ที่ถามนี้ หมายว่าใคร หรือเสด็จอากรมหมื่นเทพพิพิธ”

“ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านมิอาจรับสั่งได้ แต่ความจริง ไพร่บ้านพลเมืองก็เห็นสมยกย่องบารมีพระมหาอุปราชแล้วทั้งสิ้น ส่วนพระองค์ท่านทรงหวาดภัยอื่นอยู่มาก เพราะคุ้นอยู่ข้างฝ่ายทูลกระหม่อมแก้ว ก็เกรงจะต้องได้รับภัยเมื่อผลัดแผ่นดินใหม่”

ออกหลวงกลาโหมทหารยอดฝีมือก็ตรึกอึ้งอยู่ นึกขัดแค้นน้ำใจ จักรับปากไปทันทีทันใดเพราะชังทุจริตที่ไม่คิดถึงเดือดร้อนของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน นึกใคร่จักแก้แค้นถวายกตัญญู แต่แล้วก็สลดใจนักเมื่อหวนคิดอีกครั้งหนึ่งว่ากันเองใช่ใครอื่น หรือพม่าราชศัตรู

“ก็น่าเกรงเขาอยู่มาก” กลาโหมตอบเรื่อยๆ พลอยวิตก “ทั้งสามกรมนีก็มีกำลังใหญ่หลวงพออยู่ หาไม่คงมิบังอาจเข้าฉวยพระแสงบนพระที่นั่งไปโดยพลการ แต่ฝ่าพระบาทเอ๋ย กตัญญูของหม่อมฉันนี่ถวายสิ้นแล้วแด่ทูลกระหม่อมแก้วพระองค์เดียว แลกตัญญูก็พลอยสูญสิ้นเหมือนจะตามเสด็จทิวงคตพระองค์ท่านไปแล้ว จึงยากใจตัวและอับอายหนักหน้าที่จะไปเสนอเฝ้าแหนอยู่แก่เจ้านายพระองค์อื่น ให้ข้าอื่นมาดูแคลน”

พระพักตร์สลดเหมือนจะสิ้นมานะ น้ำพระเนตรคลอๆ รับสั่งเช่นจักทรงกันแสง

“พ่อเดือนเอ๋ย การนี้ฉันก็รู้ว่าใช่กิจ และท่านก็มิใช่อื่น ล้วนเป็นพระญาติพระวงศ์สนิททั้งสิ้น แต่ราชสมบัตินี้ประหารญาติมาเสียหลากหลายชั่วอายุคนแล้ว เราเห็นภัยเบื้องหน้าแล้ว ฉันจึงบากหน้ามาหา ทุกวันนี้ฉันเสมือนตัวคนเดียว แม้เสด็จอาเพลี่ยงพล้ำลง เจ้านายอีกพระองค์หนึ่ง พ่อเดือนก็ย่อมจะต้องรู้เรื่องว่าอย่างไรเสียฉันก็ต้องป่นปี้เขา”

แล้วทรงนิ่งอั้นไม่อาจรับสั่งให้ตลอดไปอีกได้ แต่กลาโหมหนุ่มเคยได้ทราบความมาก่อนเป็นระแคะระคายนานแล้ว แต่คราโน้นว่าเจ้าชายพระองค์หนึ่งทรงเสน่หาใฝ่ใจมาทอดสนิท ก็ทูลว่า

“หม่อมฉันเคยทราบ”

“นั่นแหละ” ทรงพยักพระพักตร์ พระเนตรคลอๆอยู่ “เพราะการนี้เกี่ยวข้องกันหลายคน ที่ฉันต้องมาออกปาก ผิว์สืบไปเมื่อหน้าถึงคราวเขาแล้วได้มีอำนาจ แม้เสด็จอาในกรมที่หญิงอาศัยอยู่บัดนี้ก็ไม่อาจขัดเขาได้ และฉันคงถูกข่มเหงเป็นหนักหนา”

“ฮ้า” ทหารข้าพระบัณฑูรขึ้นเสียง เอะน้ำใจ แม้ปรารถนาตัวไม่มีแก่ราชการ แต่เมื่อทราบไกลไปถึงเช่นนั้นก็ขัดใจ “เมตตาพระองค์หญิงและทูลกระหม่อม ทั้งเสด็จในกรมท่านประทานหม่อมฉันไว้แต่เก่าก่อนนั้นมากมายนัก เมื่อว่าจะกรากมาข่มเหงกันเห็นปานนี้ อ้ายเดือนก็ถวายชีวิต ขอถวายกตัญญูไว้ในใต้ฝ่าพระบาท โดยมิพึงประสงค์แก่รั้วงานราชการใดๆเลย”

ทรงกันแสงประหนึ่งอิสตรีรุ่นด้วยความปีติ และก็ทรงพระสรวลพร้อมกันไป เอื้อมพระหัตถ์แตะมือกลาโหมแล้วรับสั่งว่า

“กระนี้หญิงก็นอนใจ สักร้อยปากร้อยพลอื่น หญิงมิเคยวางใจใครเลย ด้วยผิดทหารทูลกระหม่อมแล้ว ใครจะไปสู้เขาได้ หญิงจักทูลเสด็จในกรมให้ทรงทราบไว้ เพราะวันขึ้นราชาภิเษกเสวยราชสมบัติจักขึ้นเฝ้า แล้วถวายทหารอันต้องทุกข์โทษของพ่อเดือน มิว่าจักผิดแล้วด้วยประการใดๆ ก็จักได้รับพระราชอภัยโทษ”

หลวงกลาโหมหนุ่มก็ประนมไหว้ นึกเห็นช่องทางซึ่งตนจะพ้นโทษอันร้ายเป็นสถานกบฏนั้น ก็มีน้ำใจเพราะแสนจะเมื่อหน่ายที่ต้องมาซุ่มซ่อนอยู่สันโดษเช่นนี้ แสนจะคิดถึงมิตรสหาย หมู่ชาวเกลอ ตลอดแม่ข้าหลวงยมโดย จึงเจตนาเมื่อแรกที่จะมิยอมรับก็พลันสิ้นไปจากหัวใจ

“สุดแต่จะทรงดำริเป็นพระกรุณาเถิด เมื่อหม่อมฉันได้พันโทษมีอิสระแก่ตัว แม้พระองค์ท่านจักเมตตาทรงใช้สอย มิว่าการใด การนั้นก็ต้องถวายด้วยชีวิตหม่อมฉัน”

“อ๋อ ทรงปีติจะชุบเลี้ยงเสียอีก ด้วยทุกวันนี้ใครก็ประจักษ์แล้วว่ากรมอื่นกรมใดหาได้ตระเตรียมทแกล้วทหารเหมือนทูลกระหม่อมแก้วมิได้ หากกรรมมาล้างเสีย ฉะนั้นทหารใจกล้าใครอื่นจึงมิถึงทหารพระบัณฑูรท่านเตรียมไว้ อนึ่ง แม้เมื่อคราที่แล้วโทษของเช่นนี้ สถานฝืนพระราชโองการพาหญิงหนีมา แต่บัดนี้กลับเป็นการเลื่องลือ เสียดายทหารพระบัณฑูรอยู่ด้วยกัน ก็หากเป็นสมเหมาะเคราะห์ดี แล้วจักเฉยเสียไยเล่า พ่อเดือนเอ๋ย”

แล้วก็ทรงพร่ำรับสั่งว่า แสนเสียดายฝีมือทหารกล้าพระบัณฑูรมาทิ้งเสียประหนึ่งละเพชรอันรุ่งโรจน์ให้หมองเสียด้วยเลนตม ทรงโสมนัสในความภักดีกตัญญูนัก อันเป็นที่รู้ที่ลือกันตลอดแซ่ทั่วพระราชวังจันทรเกษมและพระราชวังหลวงแล้วว่า หลวงกลาโหมพ่อเดือนหนุ่มนี้ดุจพระกรขวาของสมเด็จพระบัณฑูรมหาอุปราช เป็นยอดชายชาติทหาร

“กลาโหมของทูลกระหม่อมแก้วเอ๋ย การนี้หาใช่ดำริหญิงมิได้ หากเสด็จอากรมหมื่นทรงเล่าประทานไว้ว่า แต่ชั้นเดิม ทูลกระหม่อมแก้วทรงตระหนักอยู่ว่า เจ้าสามกรมนั้นมีพระทัยริษยากำเริบแก่ราชสมบัติ และต่างองค์ก็เตรียมบรรดาทแกล้วทหารทั้งคนดีมีวิชาไว้มาก เพื่อก่อการร้ายแก่แผ่นดิน จึงทูลกระหม่อมแก้วก็ทรงเกรงอยู่ เพราะผิว์ขึ้นเสวยราชแล้วมิมีทหารพร้อมด้วยฝีมือแกล้วหาญก็จักเกิดอันตราย นี่แหละ พ่อเดือนเอ๋ย หลวงกลาโหมทหารของพระบัณฑูรเมื่อโน้นจึงยังเป็นที่ขามเกรงแก่ประดาทหารหรือกรมใดมาจนตราบนี้ และตัวของหญิงก็ขอฝากชีวิตไว้”

น้ำตาก็คลออยู่ อันออกหลวงมีอายุครบ ๒๕ ต้องเบญจเพสขณะนี้ หากว่าอ่อนเยาว์แต่ก็มีเชิงรอบรู้เพราะเป็นผู้ขวนขวายเล่าเรียนสรรพวิทยาคมกลบ้านกลเมือง ทั้งกฎพระมนเทียรบาลและตำรับพระพิชัยสงครามอันลึกซึ้งเจนจบ กลดาบหรือง้าวทวนเสโลโตมรนั้นเป็นฝีมือเอก ทั้งตั้งค่ายคูจู่โจมศึก ด้วยสำนึกตัวอยู่ว่า ผิว์พระมหาอุปราชได้เสวยราชสมบัติแล้ว ศึกเสือเหนือใต้จักมาติดกรุงศรีอยุธยาเล่า กลาโหมก็จักต้องประจัญศึกนั้น จึงมานะร่ำเรียนแม้มนตร์ดลและเวทไสยที่เคารพอยู่ จึงเป็นเอก เกรงกันนักในบรรดาหมู่ทหารกล้าทุกทัพทุกกอง หากกรรมหลังตามทันมาล้างบารมีสมเด็จพระมหาอุปราชเสียก่อน

“ทูลกระหม่อมแก้วพระพุทธเจ้าข้าเอ๋ย” หลวงกลาโหมยกมือถวายบังคมไปเบื้องพระแสงดาบที่ประทานซึ่งเทอดไว้หน้าพระที่บูชา แล้วก็ร้องไห้เสมือนทหารที่แตกทัพเสียน้ำใจ มิใส่ใจแก่ข้าหลวงหรือแม้พระองค์หญิง และกล่าวขึ้นอีก ดังมีชอกช้ำแก่หัวใจ “พระพุทธเจ้าข้าเอ๋ย ผิว์มิเสด็จสวรรคาลัยเสียก่อนแล้ว ผู้ริษยาจักให้แผ่นดินใต้ฝ่าละอองเป็นจลาจล อ้ายเดือนนี้จักรบสุดฝีมือถึงเข้าตะลุมบอน แต่บัดนี้พระบารมีสิ้นเสียแล้ว เศวตฉัตรมาสูญแล้วด้วยเล่ห์เขา เหลืออยู่แต่ข้าพระบัณฑูรก็ต้องหลบซ่อนอยู่เสมือนโจร และเขาจะก่อการร้ายอีก ทูลกระหม่อมแก้วเหนือหัว อ้ายเดือนจะรบอีกโดยมิปรารถนาแก่ลาภยศใดอื่น เพราะพระธิดาทูลกระหม่อมจักสู่ภัย จักรบฝากฝีมือทหารพระบัณฑูรให้กระเดื่องแผ่นดิน จักกู้พระเกียรติทุกสถาน ขอข้าพระพุทธเจ้าจงชนะเถิด”

ทรงกันแสงดังประหนึ่งจะโฮเช่นข้าหลวงแม่ยมโดยร้องไห้ แล้วเหลือบดูพระแสงมหาอุปราชที่ประทานไว้ ประดิษฐานอยู่หน้าพระก็ยิ่งสลดพระทัย ยมโดยข้าหลวงก็ให้แล้วปีติ

“ขอให้สมปรารถนาพี่เถิด” ยมโดยกล่าวด้วยสะอื้นไห้ “เดชะทูลกระหม่อมแก้วแม้เสด็จสู่สวรรคาลัย ก็จงประทานพระเดชคุ้มเกรงข้าไพร่ให้คิดการสำเร็จเถิด”

“ทหารพระบัณฑูรพ่อจงรุ่งเรืองด้วยฤทธิ์และฝีมือสมปรารถนา” พระองค์หญิงทรงประนมสองพระหัตถ์ต่อหน้าพระพุทธรูปและพระแสงดาบ “พระพุทธเจ้าข้าเอ๋ย ทูลกระหม่อมแก้ว ผิว์ทรงบุญอยู่ไฉน แผ่นดินจะเดือดร้อนเยี่ยงนี่ และการนี้แผ่นดินก็เสมือนร้อนแล้วทั่วหย่อมหญ้า อันเหล่าพระธิดาและพระโอรสเบื้องหลัง บัดนี้เสมือนอยู่กลางเพลิงสุม จักขอบารมีเพียงให้คุ้มเกรงไว้และการที่คิดจงสมปรารถนาเถิด”

เมื่อยินแล้ว ทั้งคำข้าหลวงและพระองค์หญิงที่ทรงกล่าว ทหารกล้าพระบัณฑูรก็ปีติน้ำใจนัก เพราะความหวังใดๆ ทั้งทุกข์สุขสารพันในราชวังหน้า บัดนี้ก็เห็นกันอยู่แต่เพียงสาม และเป็นเวลานานนับขวบปีได้ย้อนมาเห็นกันอีกและสืบไปเมื่อหน้า

“หม่อมฉันว้าเหว่เหลือเกิน” หลวงกลาโหมกล่าวขึ้นอีกลอยๆ น้ำตาก็คลอแทบจะหลั่งลงแก้ม คิดถึงเมื่อยามขึ้นเฝ้าสมเด็จทูลกระหม่อมทุกเพลาเสวยและเสด็จออกท้องพระโรง แล้วหัวใจกลาโหมก็บังเกิดฮึดฮัด “อ้ายเดือนนี้เคืองตัวเองนักหนาแล้วที่เขลาไปเสียอย่างหนึ่ง แทบจะเฉือนคอตาย จริงหนอพระองค์หญิง ผิว์วันนั้นทูลกระหม่อมแก้วพระราชทานพระแสง หากหม่อมฉันจักไม่ยอมให้ขึ้นเฝ้าในพระราชวังหลวง ก็ยังคงหาเป็นอันตรายไม่ และจักทรงจำเริญพระชนม์อยู่ แต่พระพุทธเจ้าข้าเอ๋ย จักกราบทูลสิ่งไรก็มิทรงยอม”

“เกรงหาว่าเป็นกบฏ” พระองค์หญิงพระธิดาพระมหาอุปราชรับสั่ง แต่ก็สะกิดพระทัยอยู่ตามเหตุและผล “เพราะมีพระราชโองการรับสั่งให้ขึ้นเฝ้าจึงจำไป แม้มิเฝ้าก็ต้องเป็นเสมือนวังหน้ากบฏ”

“ถูกแล้ว ฝ่าบาท แต่หากจะถือเสียเอาการบ้านการเมืองเมื่อหน้าเป็นใหญ่ คิดเห็นแก่ไพร่บ้านราษฎรจะว่าอย่างไร” กลาโหมเถียงอื้ออึง ทั้งชี้แจงสืบไปอีก “อันข้อกล่าวหานั้นก็เป็นของเจ้าสามกรม จะทรงรับเป็นสัตย์หรือไม่ ไม่แจ้ง เป็นแต่มากราบทูลพระกรุณาเองว่ารับเป็นสัตย์ จึงต้องพระราชอาญา อนึ่ง หม่อมฉันจักใคร่ทูลสักอย่าง คือว่าทูลกระหม่อมแก้วเป็นพระราชโอรสผู้ยิ่งใหญ่ เป็นมหาอุปราชจักทรงแก่เอกฉัตรแล้ว เป็นที่เกรงแก่สมเด็จเจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์ คือกรมขุนอนุรักษ์มนตรีและกรมขุนพรพินิต แม้มิสิ้นบารมีพระมหาอุปราช บ้านเมืองหรือจักยุ่งเหยิงดังเห็นอยู่ ใช่ว่ากราบทูลฉะนี้ หม่อมฉันจักลำเอียงใจว่าตัวได้ลาภยศนั้น หามิได้ แต่ผิว์แผ่นดินนี้เป็นของพระบัณฑูรแล้วมาเกิดการฉะนี้ ก็ลองดู มิแหลกด้วยพลพระบัณฑูรก็อย่าหมาย ฝ่าพระบาทหม่อมฉันเอ๋ย ผิว์อ้ายเดือนจะว้าเหว่ คิดแล้วตัวสิ้นที่พึ่งมิปรารถนาแก่ลาภยศใดอื่น แต่เมื่อรู้ว่าการนี่เขาตระเตรียมกันมาไว้แต่เนิ่นนาน จนทูลกระหม่อมของอ้ายเดือนต้องเสด็จทิวงคตพ้นทางเขา และเพื่อเขาจักก่อร้ายแก่แผ่นดินไพร่บ้านพลเมืองไทยทั้งหลายจักต้องเดือดร้อนเป็นมิคสัญญีแล้ว ซึ่งหม่อมฉันก็เหมือนเป็นข้าแผ่นดินท่านอยู่ จึงขอถวายความภักดีทุกประการ กองทุกหยดเลือดที่จะหลังเสียจากร่างเพราะประจัญบาน”

ทรงสั่นเทิ้มตลอดพระกาย น้ำพระเนตรอันเคยคลอก็หลั่งสู่ปรางปลื้มปิติด้วยทรงโสมนัสหรือโทมนัสก็ยากแก่สังเกต

“ยอดทหารทูลกระหม่อมแก้ว พ่อเอ๋ย” รับสั่งขาดสุรเสียงเป็นห้วงตอนเพียรจักฝืนให้เป็นพระสรวลก็จืดชืด แล้วก็ประนมสองพระหัตถ์ทรงอธิษฐาน “พระพุทธเจ้าข้าเอ๋ย ทูลกระหม่อมแก้วของลูกนี่ น่าเสียดายนักที่มีทหารกล้าอยู่หลากหลาย ทั้งขุนพลพ่อเดือน มิน่าเลย จักยอมให้ต้องราชอาญาที่เขากล่าวโทษ แต่พ่อเดือนเอ๋ย ป่านนี้แล้ว แม้ใครอื่นทั้งหลายจักรู้ว่าบารมีทูลกระหม่อมแก้วมาสิ้นเสียแล้ว ใครเขาเหล่านั้นก็หาอาจลืมมิได้ว่า ทัพพระบัณฑูรนั้นมหึมาด้วยทหารหาญรุ่งโรจน์ด้วยฝีมือขุนพล ขุนศึก จึงครานี้เสด็จอาในกรมก็จะทรงปีตินักที่หลวงกลาโหมจักถวายตัวไปเทอดพระเกียรติให้กระเดื่องอยู่ หญิงเองก็แสนจะยินดี”

หลวงกลาโหมชายชาตรีก็หัวเราะครื้นครั้น ประหนึ่งเห็นศึกใช่หวั่นใช่เกรง แต่หากแค้นหัวใจ

“พักตร์พระองค์หญิงก็เสมือนเตือนหม่อมฉันว่าได้เห็นทูลกระหม่อมแก้ว แล้วเป็นความจริง ขอจงกราบทูลเสด็จในกรมเถิดว่า หม่อมฉันจักถวายตัวเป็นข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณอีกครั้งหนึ่ง ศึกเสือเหนือใต้ แม้ยังมิเชื่อแล้ว อ้ายเดือนจักอาสา”

“ใครหนอไม่เชื่อฝีมือพี่” ข้าหลวงแม่ยมโดยกล่าวขึ้นเป็นคำแรก ตั้งแต่สนทนากันมาด้วยกิจธุระ “พระองค์หญิงทรงอุตสาหะเสด็จมานี่ก็เป็นการลับ เสี่ยงพระบารมีอยู่ หากผิดพี่แล้ว มิพรั่นพระทัยจะเสด็จมาหรือ”

“เป็นพระคุณแก่อ้ายเดือนแล้ว ยมโดยเอ๋ย ฉันนี้เมื่อแรกมุ่งมาก็คิดอยู่สถานเดียวว่า ชาตินี้ตลอดไป ข้าสองเจ้ามิมีแล้วในตัวอ้ายเดือน ชาตินี้จะถวายแก่พระ ขอบวชเรียนก้มหน้าไปตามเคราะห์ตามกรรมตัว แต่บัดนี้ก็เจ็บหัวใจนัก เพราะมิชั่วแต่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจักเดือดร้อนประการเดียว แม้พระธิดาทูลกระหม่อมแก้วและพระประยูรญาติก็พลันต้องเดือดร้อน เพราะใครมีอำนาจและกำลังพลก็เข้าชิงเอาฉันท์นั้น ด้วยเชื่อฝีมือนัก เพราะเขาทำประหนึ่งว่าสมเด็จพระบัณฑูรสวรรคาลัยแล้ว ทหารท่านจักสูญเสียหมดสิ้นกระนั้นหรือ อา ยมโดยแม่เอ๋ย และพระองค์หญิงขณะนี้ และผิว์หม่อมฉันพอจะมิต้องซุ่มซ่อนแล้ว ทัพพระบัณฑูรน่ะหรือ จักเรียกมารบมิเลือกศึก”

ทรงกันแสงอีกครั้งหนึ่งด้วยปีติ และมั่นพระทัยนัก เพราะเพียงพลหยิบมือกับออกหลวงเจ้าหนุ่มเข้ารบชิงก็ปรากฏฝีมือแล้ว ด้วยทหารกรมหมื่นและพระตำรวจหลวงซึ่งผสมมาก่ายกองมากกว่าหลายเท่าก็พินาศสิ้นพ่ายแพ้ไปจนลือกระฉ่อนทั่วกรุงศรีอยุธยาแล้ว เมื่อยินคำรับเป็นมั่นสัญญาขณะนี้ก็ทรงปีติ ที่เคยปริวิตกต่างๆประการก็คลายไป

จนล่วงทุ่มยามมาอีกจะเข้าครบสามเป็นยามต้น จึงพระองค์หญิงพระธิดาสมเด็จพระมหาอุปราชพระองค์ก่อน จึงนัดหมายเป็นการเรียบร้อยแน่นอน แล้วรับสั่งพระพักตร์เศร้าๆ

“หญิงต้องลาพ่อเดือนก่อน พุทโธ่เอ๋ย เพลานานนับเป็นขวบปี จากและเพิ่งมาพบกันแต่เพียงชั่วครู่หนึ่งเท่านั้น แต่พ่อเดือนคงมิลืมที่พูดสัญญาไว้”

“วางพระทัยเถิด” เจ้าหนุ่มทหารพระบัณฑูรประนมมือทูลตอบ “ใดที่หม่อมฉันกล่าวคำนั้นก็เสมือนชีพอ้ายเดือนมิเปลี่ยนได้ ฝ่าพระบาทเอ๋ย จบศรีอยุธยานี้ ผิดทูลกระหม่อมโพธิ์แก้ว ก็มีพระพุทธเจ้าอยู่หัวอีกพระองค์หนึ่งที่อ้ายเดือนจักสวามิภักดิ์ เมื่อพ้นนี้ ผิว์มิรักแล้วก็รบ ฉะนั้นพระองค์หญิงจงวางพระทัยเถิด สิ้นบารมีพระร่มโพธิ์แก้วเหลือแต่พระธิดา กระนี้หม่อมฉันก็ไม่เห็นหน้าใคร”

แทบจะทรงกันแสงอีกด้วยคำกลาโหม อันสนิทสนมแต่ก่อนเมื่อครั้งมหาอุปราชทรงพระบารมีอยู่ ก็เพียงกระนั้นมิเหมือนทรงเอื้อมพระหัตถ์ตบแต่โดยเบาแก่ไหล่กลาโหม รับสั่งว่า

“ขอบใจเหลือหลายแล้ว พ่อเดือนเอ๋ย ข้าพระบัณฑูรทั้งหลายนับหมื่นก็มิเห็นใครอื่นอีกจักวางใจ” แล้วก็ทรงกำชับเสมือนเป็นการลับว่า “บัดนี้เป็นเสมือนกาลใกล้จะยุคเข็ญ ขอฝากชีวิตหญิงนี้แก่ทหารพระบัณฑูร”

“ถวายชีพอ้ายเดือน” กลาโหมเร่งตอบ “เมื่อหมดทัพพระบัณฑูรท่านหรือจะสิ้นชีพหม่อมฉันแล้วก็จนใจ ผิว์ว่ายังเหลืออยู่แม้แต่สักคนหนึ่ง เพียงหม่อมฉันก็จักรบจนสุดชีวิตตัว”

ทรงอาลัยที่จากกลาโหมข้าสมเด็จพระมหาอุปราช แต่ทรงปีติยิ่งที่เสด็จมาครั้งนี้ ได้แก่ราชกิจอยู่มิเสียเพลา สมดังพระทัยมุ่งแล้ว แม่ข้าหลวงยมโดยก็น้ำใจรอนๆอยู่นักด้วยจากกันมานาน ได้พบแต่เพียงครู่ และออกหลวงกลาโหมก็ดูเศร้าหมองแผกตาไป แต่ก็นึกยินดีว่ามิช้าที่ทหารแกล้วพระบัณฑูรจักไปร่วมสำนักอีก ผิว์สวรรคตแล้ว

เขาแต่งกายมั่นคงเช่นบุรุษชนบท สะพายดาบและถือพระแสงดาบพระบัณฑูรถอดเปลือยมิมีฝัก เข้าเชิญพระองค์หญิง หับกระท่อมและดับแสงเทียนอยู่บูชาสิ้น เชิญเสด็จจากกระท่อมฝ่าท้องไร่ท้องนาหลายเลี้ยวลำบาก กระทั่งลัดวัดมาสู่เรือประทับที่จอดอยู่ ก็รับสั่งด้วยเหงาว่า

“พ่อเดือนกลาโหมทูลกระหม่อมแก้วจงเป็นสุขเถิด มิช้าเราจักพบกันอีกตามที่นัดหมาย”

เขาเอื้อมแขนทอดถวายให้ทรงเกาะ

“หม่อมฉันขอถวายพระพรอยู่เช่นกัน ขอทรงพระจำเริญทุกสถาน ทั้งแม่ยมโดย”

สาวข้าหลวงก็เข้าเกาะอีกแขนหนึ่ง เมื่อเสด็จลงประทับเรือแล้ว

“พี่เดือนคงมิลืมแก่คำทูลนั้นเสีย”

สาวแม่กล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่ง ทั้งชำเลืองจะจับตา แต่หากแสงเดือนเพลามืดไม่อาจสังเกตได้ด้วยกิริยาของออกหลวง และด้วยซูบผอมเพราะนานนักจักได้พบเห็นกัน ก็พลอยเศร้าแก่น้ำใจ

“มิลืมหรอก ยมโดยเอ๋ย” เขาตอบด้วยละม่อมละไมเป็นที่ยิ่ง ทั้งเชิญมือแม่ข้าหลวงลงสู่เช่นพระธิดา “เกือบจะ ๒ ปีแล้วสินะ ยมโดย เรามิพบกัน ก็ไฉนเล่าจักไม่ยินดีที่เราจักได้ไปอยู่ใกล้ หรือร่วมเจ้านายกันอีก ทั้งพระองค์หญิง”

ยมโดยหัวใจเจ้ารอนๆ ขณะจักเข้าประทุนเรือ เกือบ ๒ ปีที่จากกันแต่ได้มาพบเพียงสักครู่หนึ่งก็จะต้องจากเสียอีก แล้วก็นึกเสียดายแก่ความหลังซึ่งต่างได้เคยใฝ่ฝันอยู่ หากเป็นวาสนาแล้ว พระมหาอุปราชได้ครองแก่ราชสมบัติ ออกหลวงจักถึงออกญาและสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจักทรงพระราชทานน้ำพระสังข์

พระจันทร์เพิ่งพ้นขอบฟ้าเป็นครึ่งเสี้ยว ดาวไถและกฤติกาลูกไก่ดาวฤกษ์ขึ้นเห่ไปตะวันตก และท้องฟ้าก็มืดมน อันดาวประจำเมืองนั้นก็หรุบหรู่เสมือนจะบอกเหตุการณ์ต่างๆ ออกกลาโหมยังแหงนดูด้วยวิตก กระทั่งเสียงแก้โซ่หัวเรือ ทรุดกายลงริมตลิ่งฝั่งน้ำ ประนมมือถวายบังคม

“เสด็จโดยจำเริญเถิด หม่อมฉันขอถวายพระพร ยมโดยแม่จงกลับโดยจำเริญ แล้วมิช้าจักพบกันอีก”

พระธิดาสมเด็จพระมหาอุปราชทรงแหวกม่าน เมื่อยินคำและเห็นกิริยาบุรุษหลวงกลาโหมฉะนี้ ก็ตื้นพระทัย รับสั่งพระสุรเสียงเครือดังจักกันแสงไห้

“ยอดทหารพระบัณฑูรพ่อเอ๋ย ขอจงสิ้นเคราะห์สิ้นโศกแต่บัดนี้เถิด และจงรุ่งเรืองตบะเดชะได้ช่วยราชการแผ่นดิน”

“ขอให้สมดังพระพรเถิด ข้าพระบัณฑูรนี้ถวายชีพแล้วแก่ใต้ฝ่าพระบาททุกสถาน”

ทรงสะท้านพระทัย ออกหลวงกลาโหมแม้จักหนุ่มแน่นก็กราดเกรี้ยวอยู่ด้วยฝีมือและน้ำใจจงรัก ทั้งรอบรู้แก่ราชกิจสมตำแหน่ง หากกรรมมาดลเสียแล้ว สาวแม่ยมโดยข้าหลวงก็ออกปากเป็นมงคลว่า

“ขอพี่เดือนจงสมปรารถนาทุกสถานเถิด มิว่าการใด ขอพี่จงสิ้นบาปสิ้นเคราะห์ เสมือนหลวงกลาโหมเมื่อก่อน ยมโดยจักลาแล้ว”

“เชิญแม่ และสมพรปากยมโดย” หลวงทหารหนุ่มตอบคำด้วยตื้นน้ำใจ และรับคำว่า “ยมโดยอุตส่าห์มาแล้วกับพระองค์หญิง ก็จงวางใจเถิด ในการนี้มิต้องตระหนกน้ำใจเลย ไว้พนักงานพี่เถิด”

แล้วเรือก็ผละจากท่า เสียงนายภูบาลมหาดเล็กสนิทของกรมหมื่นเทพพิพิธกล่าวอำลาและยกมือไหว้ออกหลวง แล้วพระองค์หญิงก็ชะแง้ดูมิหลบเข้าม่านได้ บนตลิ่งนั้นเป็นนามืดมน ตลอดไปทั้งสองฟากฝั่งและยังมีต้นไม้พงรกเตี้ยๆขึ้นอยู่ชายตลิ่ง เห็นโบสถ์วัดกำแพงไกลลิบตะคุ่มๆ แต่ที่ใกล้ริมฝั่งคลองน้ำซึ่งเรือเพิ่งล่องจากมานี้ ก็ยังคงเห็นทหารสมเด็จฯ ยืนถือดาบรับวาวทอแสงเดือนแรกขึ้น ก็ทรงรำพึงว่า หากแต่ก่อนแล้ว ทหารนี้ก็จักยืนกระหนาบใกล้รักษาองค์พระบัณฑูร มิเลือกจะเสด็จทางใด ทั้งเสด็จประพาสและประจำราชวัย ก็บัดนี้เล่า เดือนพ่อเอ๋ยมายืนอยู่เดียวไร้เจ้าจักประทับเป็นเสมอ ชายหนุ่มชนบทผู้ยากไร้สินศักดิ์แล้วจักหาผู้ใดหนึ่งเขาจักเฉลียวถึงก็หามิได้ ผิว์มิสิ้นบุญสมเด็จฯ ได้เสวยราชสมบัติแล้ว ชายชาตรีพ่อนี้จักเป็นพระสมุหกลาโหมแน่แท้ มิต้องมายืนเหงาเศร้าทุกข์อยู่กลางมืด

แล้วเรือก็เลี้ยวคุ้งน้ำ ต่างลับตาแก่กัน ทั้งพระองค์หญิงและกลาโหมหนุ่มผู้ยืนแลด้วยใจคอหายรอนๆ ด้วยคิดเศร้าหลายสถาน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ