ระฆังวัดแม่นางปลื้ม ย่ำบอกเวลาจะใกล้ค่ำ ด้วยบรรดาพระภิกษุลงโบสถ์ก็สี่โมงเย็น และครั้นเมื่อพ้นมาแล้ว ภิกษุทั้งหลายก็จากโบสถ์ จักคืนกุฏิจึงต่างองค์ต่างแยก และภิกษุหนุ่มซึ่งหามีผู้ใดรู้จักไม่ ว่าเป็นออกหลวงกลาโหมทหารเอกคู่พระทัยสมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์ที่ดับสูญเดิม คำนึงดุจจงกรมหรือภาวนาด้วยเงียบขรึมสงบนัก

ตราบใกล้กุฏิแล้ว เมื่อจะถึงนั้นมีร่มไม้ประดู่ ภิกษุหนุ่มออกหลวงผู้ตัดใจมาอุปสมบทจึงหยุดยืน และหาใช่อื่นใด นอกจากยินฆ้องค่ำจากราชวังจันทรเกษม ย่ำแล้ว ก็รำลึกถึงความแต่เมื่อหนหลัง จึงเพ่งไปสู่ทิศราชวังจันทรเกษมคำนึงอยู่ อ้า ฆ้องขานเมื่อยามนี้สิเราเคยขึ้นเฝ้า แล้วสมเด็จพระบัณฑูรเสด็จลงแล้วพร้อมพระญาติพระวงศ์ นี่มาสิ้นบุญทูลกระหม่อมแก้ว ข้าทาสชายหญิงก็ร้างไปคงยินแต่เสียงฆ้อง อันออกกลาโหมผู้ใดก็รู้อยู่ว่าเป็นทหารที่คู่เคียงพระองค์ท่าน แต่มาเป็นอยู่นี้ต้องหาวัดเป็นที่พึ่งเสียกระนี้ เมื่อสิ้นบุญพระองค์จึงสลดใจ

แต่ขณะนี้พระภิกษุหนุ่มยืนรำพึงอยู่ใต้ร่มเงาไม้ประดู่นั้น ก็หาทราบไม่ว่าที่พ้นวัดไปโน้น เรือจ้างแจวมาจากหัวรอทำนบ ตัดเข้าลำน้ำผ่านราชวังจันทรเกษม จักแยกเข้าคูเป็น ๒ ลำด้วยกัน แล้วลำหนึ่งจักไปสู่วัดกระโจมแต่อีกลำหนึ่งจักแยกมาสู่วัดแม่นางปลื้ม ในประทุนนั้น สามผู้เฒ่าผู้ดีกับข้าทาสนั่งมาด้วยกัน และอีกลำหนึ่งนั่นล้วนสตรีสาวนางสี่ห้าคน

“เจ้าคุณท่านไปเฝ้าเถิด พระตำหนักกุฏิท่านอยู่ท้ายโน้น และมิมีใครนอกจากมหาดเล็กคนสนิทเท่านั้น”

“ก็แล้วพระองค์หญิงเล่า”

“ฉันจะไปวัดแม่นางปลื้มอย่างที่ท่านเจ้าคุณว่า” ท่านทรงตอบ

“กลาโหมพระบัณฑูรมิได้อุปสมบทอยู่วัดนี้ จึงฉันจักต้องไปอ้อนวอนอีก จะสำเร็จหรือไม่ ก็ไม่แน่ ด้วย ๒ ครั้งมาแล้ว กลัวจะเข็ดเสีย”

“ทรงอ้อนวอนสักหน่อยเถิด” ท่านเจ้าคุณชะโงกหน้าจากประทุนเรือแล้วปรารภวิตกว่า “ออกหลวงกลาโหมเขาเป็นผู้มีน้ำใจเด็ดเดี่ยวนัก และก็หลายครั้งหลายหนมาแล้วในเรื่องเช่นนี้ จึงฝ่ายเราจะต้องอ้อนวอน นี่หม่อมฉันติดจะต้องไปเฝ้าเสด็จในกรมเสีย หากสิ้นธุระก่อนก็จักตามเสด็จไป”

พระองค์หญิงก็ทรงหนักพระทัยนักหนา เพราะครั้งหนึ่งได้ชวนหลวงกลาโหมให้จากกระท่อมมาสู่พระตำหนักเสด็จในกรมหมื่นเทพพิพิธเพื่อการนี้ แต่แล้วก็หาความสำเร็จมิได้

“ก็จะลองพูดดูนะ ท่านเจ้าคุณ และต้องอ้างพระนามเสด็จในกรมท่านจึงจะได้”

“ถ้าเช่นนั้นคงดี เพราะหลวงกลาโหมเป็นผู้ทำสิ่งไรแล้วก็ถวายชีวิตเหมือนกัน หากมาเสียน้ำใจเสียเมื่อครั้งที่แล้ว จึงเกรงว่าจะขัดเสีย มิใช่หรือ ยมโดย”

สาวข้าหลวงแม่ก็รับคำแต่เศร้านัก เพราะจำได้ถึงเมื่อกลาโหมไปบอกอำลาไว้เมื่อวันก่อนอุปสมบท จึงตอบว่า

“พี่เดือนนั้นเป็นชาติทหารทั้งกายและใจ อนึ่ง ก็มั่นอยู่ในยุติธรรม เห็นแก่สุขสมบูรณ์ของบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง แม้พระองค์หญิงจักลองทรงชี้แจงอีกครั้งแต่โดยละเอียดแล้ว ก็ว่าไม่ได้”

ทรงถอนพระทัยอีก

“ก็ถูกของแม่หรอก ยมโดย แต่เวลานี้ออกกลาโหมก็บวชเรียน ท่าจะแสนลำบากนัก เพราะเพียงแต่ก่อน เขาอยู่เป็นฆราวาส ก็ยังอ้อนวอนกันลำบาก และก็ครั้งนี้จะเอาเพศสมณะขึ้นมาอ้าง แล้วเราก็สุดจะเถียงจะเอ่ยชวน”

“แต่ความสุขสบายของบ้านเมืองและราษฎรเรานั้นเป็นใหญ่นัก พระองค์หญิง” ท่านพระยาหนึ่งแย้งอีก เพราะตระหนักอยู่ว่าแม้ได้กลาโหมทหารพระบัณฑูรมาร่วมคิดร่วมใจแล้วก็ใกล้สำเร็จ แล้วจะมิต้องพรั่นพรึงในเรื่องจะต้องเกรงกำลังทหาร จึงอ้อนวอนว่า “เชิญเสด็จเถิด เพื่อเห็นแก่บ้านเกิดเมืองนอน อย่าให้กรุงศรีอยุธยาได้เดือดร้อนเป็นจลาจลเลย และขอให้ทรงอ้างชื่อหม่อมฉันทั้ง ๓ คน ทั้งเสด็จในกรมที่จะไปเฝ้านี้ กลาโหมคงมิขัด เพราะน้ำใจเขาก็เป็นยอดทหารอยู่”

เมื่อทรงยินเช่นนั้นก็พระทัยอ่อน และปรารถนา พระองค์หญิงกับยมโดยที่มุ่งมาก็ด้วยสถานเยือนเป็นสำคัญ เพราะตั้งแต่กลาโหมมาอุปสมบทก็เกือบจะย่างครบพรรษาแล้ว ยังมิได้พบปะเลย จึงมาคิดว่าไหนๆก็มาแล้ว จักต้องลองปรารภดูกิริยาให้ตระหนัก เพราะบัดนี้หากจะคิดถึงบ้านเมืองก็น่าวิตก ยิ่งด้วยราษฎรซุบซิบกันต่างๆ ด้วยข้าราชการสองฝ่ายแบ่งแยกแตกสามัคคี ซึ่งคงจักในมิช้าก็น่าจะเกิดกบฏกันเอง เพราะบรรดาทหารข้าเจ้าสามกรมที่ต้องพระราชอาญาสละชีพนั้น ก็เข้าสวามิภักดิ์ฝักใฝ่ข้างพระยาราชมนตรีบริรักษ์และจมื่นศรีสรรักษ์ที่พระสนมเอกสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งคอยคิดแค้นอาฆาต ไหนเลยอีกฝ่ายหนึ่งจักพ้นภัย

แล้วพระธิดาพระมหาอุปราชผู้สิ้นบุญกับสาวยมโดย และมีนางข้าหลวงแม่จันทนาที่วางพระทัย ก็อำลาท่านสามพระยาให้เรือแจวตรงไปรอที่ทำนบ จักตัดข้ามไปวัดแม่นางปลื้มแต่ขณะในพลบนั้น

ฝนยังคงชุกอยู่ เป็นท้ายพรรษา แต่วันนี้ฟ้าก็โปร่งตลอดวัน นับแต่เช้าตลอดมาตราบนี้ ฆ้องค่ำครางทุ่มที่พระราชวังบวรจันทรเกษมนั้น เตือนรำลึกของพระภิกษุหนุ่มผู้สำนักอยู่วัดแม่นางปลื้มให้คิดครวญไปต่างๆสถาน ด้วยเคยสุขแต่ก่อนนั้น ตลอดชาตินี้จะหาอีกไม่ได้แล้ว จักกลางวัน กลางคืน แต่ละล้วนเพลิดเพลินจำเริญใจตลอดเพลามิเลือกเลย อันยศศักดิ์ก็เสมอหน้าเพื่อน ครั้นสิ้นบารมีพระมหาอุปราช อันเหล่าทหารแม้แต่พระโอรสธิดาก็ต้องกระจายไป และออกเดือนก็ต้องหนีเร้นออกซุ่มซ่อน ครั้นหวนเข้ารับราชการประพฤติความชอบอีก ก็บังเอิญกรรมมาซัดเสีย ให้พระเจ้าอยู่หัวที่ทรงผนวชต้องถวายราชสมบัติ จึงการใดที่หวังไว้ การนั้นก็พินาศไป ก็เห็นแต่พระพุทธศาสนาอันรุ่งเรืองเท่านั้น จักปล่อยชีวิตกลาโหมให้สงบอยู่ตลอดชีพ

ตะวันก็มัวตาแล้ว ออกเดือนกลาโหมผู้มีเพศเป็นภิกษุซิ่งยืนเยี่ยมหน้าต่างตะลึงอยู่ เมื่อได้คิดก็หัวเราะเยาะตัวเองทั้งหัวเราะโลกอันมิเที่ยงแท้แน่ได้ แม้ว่าองค์พระบัณฑูรพระมหาอุปราชซึ่งจักได้เสวยราชย์ เป็นเจ้าชีวิตคนทั้งแผ่นดินจบศรีอยุธยานี้ในเร็ววัน ยังกลับมีอันเป็นเสด็จทิวงคตเสียเพราะราชอาญาสมบัติ กษัตริย์ก็สับเปลี่ยนเวียนไป ข้าราชการที่เคยต้องโทษก็พ้นโทษ และที่ภักดีกลับมาต้องโทษหลากหลายมิเป็นที่แน่ อันฝีมือและวิชาที่ได้ก้มหน้าอุตสาหะร่ำเรียนไว้ก็เหมือนมาทิ้งเสีย ไม่อาจมาคุ้มตัว แล้วจักหาอะไรแน่อีก

เมื่อคิดไปและทอดตาไปตามถนนอิฐปูตะแคงทางเลี้ยวโน้นมิทันจะสังเกตด้วยโพล้เพล้และไกลนัก จึงเห็นเดินเลี้ยว จนอีกสักครู่หนึ่ง ศิษย์จึงเข้ามาบอกว่ามีแขกมาเยือนก็หลากใจ เพราะนับแต่อุปสมบทยังมิเคยจักมี ก็พลันให้ศิษย์เชิญ แล้วจุดโคมขึ้นในทันทีซึ่งต่างเห็นก็ต่างตระหนกหลบตา

“เชิญฝ่าพระบาทข้างในเถิด”

ภิกษุออกกลาโหมร้องเชิญ และยิ่งหลากยิ่งสงสัยยิ่งกว่าจะเป็นแขกผู้อื่น เพราะเป็นชาวรั้วชาววัง และก็ค่ำแล้ว ทั้งคิดแล้วก็เหมือนค่ำเมื่อโน้นที่ทรงพระอุตสาหะฝ่าทุ่งไปหา ชวนมาเป็นทหาร ยมโดยก็ดูแม่คล้ำ แม่เศร้าซูบ ทั้งจันทนาอีกคนหนึ่งนั่งเมียงหลัง

พระองค์หญิงตื้นพระทัยเมื่อทรงเห็นทหารทูลกระหม่อมอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์สงบนัก แต่ก่อนสิ พ่อเอ๋ย ออกหลวงขัดดาบสง่าเคียงองค์พระบัณฑูรแกล้วหาญ มิคาดว่าจักต้องมาสู่วัดเป็นที่พึ่ง แล้วพระองค์หญิงก็มิอาจรับสั่งสิ่งประการใดได้อีก เป็นแต่ประนมมือทรงนมัสการพระพุทธรูปและภิกษุกลาโหม

“เชิญกระเถิบข้างใน นั่งตามสบายเถิด ยมโดยและแม่จันทนา” ภิกษุกล่าวชี้เชิญและทักทายตลอดทุกตัวอิสตรี “พระองค์หญิงคงจะทรงพระสำราญอยู่ และนี่เสด็จไปไหนมาด้วย”

“ก็ตั้งใจมาเยี่ยม” รับสั่งเรียบๆ “นึกว่าจักจำวัดเสียแล้ว ตั้งแต่อุปสมบท ท่านคงจักสบายดี”

“ก็ค่อยสบายขึ้นเพราะได้อยู่เงียบๆ แต่วาสนาหม่อมฉันนี้ และยังมิทราบว่ากุศลจักดลตัวให้ได้บวชไปเพียงใด ช้าเร็วยังมิทราบเลย”

พระองค์หญิงก็ทรงฝืนยิ้ม ทรงเห็นร่องรอย จักเล่าเรื่องดังเช่นท่านสามพระยาเล่าให้ฟัง

“จะคิดลาสิกขาหรอกกระมัง”

ภิกษุก็ยิ้มบ้าง มองสาวแม่ข้าหลวงยมโดยซึ่งคิดจะร่วมทุกข์ร่วมสุขแก่กันคราโน้น แล้วมิสมคิด ก็ทูลตอบว่า

“เวลานี้ยังมิเคยคิดเลย ฝ่าพระบาท แต่หม่อมฉันก็ได้ทูลแล้วว่า สุดแต่กุศลตัวจักมีอยู่ แม้เมื่อสิ้นบุญแล้วนั่นจะทำอย่างไรได้ แล้วนี่ฝ่าบาทเสด็จไปเฝ้าเสด็จพระบ้างหรือเปล่า”

พระองค์หญิงเมื่อเห็นช่องสบซี่งถามเช่นนั้น จึงรีบทรงตอบ

“หญิงยังมิได้ไป แต่เจ้าคุณยมราช พระยาอภัย และพระยาเพชรบุรีนั้นไปทั้ง ๓ คน หญิงจึงแยกมาที่นี่เยือนท่าน”

ภิกษุก็หลากใจ เพ่งพักตร์พระองค์หญิงและสาวยมโดยแม่ข้าหลวง ประหนึ่งจักอ่านสีหน้าสายตาให้ตระหนักในขณะนั้น

“เอ๊ะ ท่านสามพระยาไปเฝ้าเสด็จในกรมถึงตำหนักวัดกระโจมกระนั้นหรือ แล้วพระองค์หญิงเลยเสด็จมานี่ เอ เห็นท่านสามพระยาคงจักมีธุระร้อนกระมังฝ่าพระบาท”

พระองค์หญิงทรงตรึกอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยการควรมิควร แล้วจึงตกลงพระทัยเล่าความต่างๆถวายภิกษุนั้น

“นั่นแหละ ภิกษุท่าน ที่สามเจ้าคุณลอบมาเฝ้าเสด็จอาในกรมหมื่นเทพพิพิธครั้งนี้ ก็เพราะจักเกิดเหตุใหญ่ร้ายแรงเสมือนเสวยราชสมบัติ บ้านเมืองจะเป็นกลียุค ร่มร้อนทุกหย่อมหญ้าเสมอไป ก็ด้วยเหตุสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่เอกทัศน์นี้ทรงโปรดปรานและตั้งพี่ชายพระสนมเอกท่านขึ้นเป็นใหญ่แล้ว มิชั่วแต่กดขี่ข่มเหงราษฎรประการเดียว หากแม้ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งหลายแต่ครั้งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ก็ต้องถูกดูแคลน พูดจาสามหาว ก้าวร้าว และเข้านอกออกในได้ตลอดเวลาค่ำคืน ผิว์พึงใจอิสตรีก็กระทำชู้สู่สาว มิอาจมีใครว่ากล่าวได้ อนึ่ง บรรดาข้าของเจ้าสามกรมนั้นเขาก็รับเลี้ยงแต่งตั้งให้มียศศักดิ์เสียยิ่งกว่าเดิม แล้วคนเหล่านั้นก็ผูกใจเจ็บ หวนเอาความหลังมาอาฆาตและอีกมากมายประการ ทั้งขุนนายผู้ใหญ่ก็แข่งกันเป็นสองฟากสองฝ่าย ตั้งแง่กันอยู่ จึงเหตุนี้ และท่านสามพระยาจึงเห็นการบ้านเมืองว่าจักเป็นวิปริตผันแปร เพราะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มิเสด็จว่าราชการให้เป็นที่เรียบร้อยได้ จึงเห็นสมควรเมื่อปรึกษากันว่าจักเชิญเสด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงผนวช ทั้งเป็นผู้สืบราชสมบัติแท้จริง ออกมาเสวยราชย์เสียเช่นเดิม เพราะทรงสติปัญญาลึกซึ้งพอจักให้บ้านเมืองอยู่ร่มเย็นเป็นสุขได้ จึงพากันมา ก็หมายปรึกษาเสด็จกรมหมื่น ด้วยท่านเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ทรงรอบรู้ราชการมากมาย”

ภิกษุกลาโหมก็นิ่งฟังโดยสงบ และตระหนักแล้วว่าพระธิดาพระบัณฑูรเสด็จมาคราวนี้ หาใช่อื่น นอกไปกว่าจักทรงเกลี้ยกล่อมให้คิดร่วมทำการใหญ่อีกครั้งหนึ่ง และก็สมจริง ด้วยรับสั่งอ้อนวอนในอีกต่อไป อ้างทุกข์สุขยุคเข็ญของราษฎร และภัยของพระองค์ทั้งพระประยูรญาติ สุรเสียงสั่นเครือดุจแม่รุ่นสาวนาง

ยมโดยเจ้าก็พลันเอยเสมือนน้อยน้ำใจ กล่าวว่า

“ใช่จักมากวนสงบพระท่านดอก แต่กรุงศรีอยุธยาจักปั่นป่วน ย่อมรู้กันอยู่ว่าในไม่ช้าความเดือดร้อนนั้นจักบังเกิดเป็นเที่ยงแล้ว ทั้งท่านสามพระยาก็กำชับว่าให้เล่าเนื้อความให้ฟัง ก็เมื่อจักสิ้นตัวทหาร หรือว่ากรุงศรีอยุธยาจักสิ้นคนดีเสียแล้วกระนั้นหรือ”

แล้วทั้งพระองค์หญิงและสาวยมโดยข้าหลวงก็ทรงพ้ออีกนานประการ ทั้งเฉียดอ้อมและโดยตรงกระทบใจ แม้ว่ามีศีลครองน้ำใจอยู่ ออกกลาโหมภิกษุก็จักโทสะพลุ่ง เมื่อยินคำกล่าวต่างๆ ถึงประพฤติข่มเหงของฝ่ายอริทั้งโอหังบังอาจต่างๆประการ และกระนั้นก็ดีซึ่งฝืนหัวเราะก็ยังเจื่อนสีหน้าและแหบแห้งในน้ำเสียงบอกพิรุธ ทั้งถอนใจใหญ่ จึงฝืนตอบแต่โดยสถานเป็นการด้วยเพศสมณะนั้นว่า

“อาตมาภาพก็เพิ่งจะทราบการนี้ เพราะนับแต่อุปสมบทแล้ว ก็มิได้พบปะแก่ใคร และใส่ใจแก่กิจนี้เลย อนึ่ง ที่เป็นไปเช่นนี้เห็นใช่การอื่นนอกจากกุศลเขาและกรรมเรานั่นเอง ทรงตรึกรำลึกดูเถิดว่าข้างฝ่ายเราต้องหนีร้อนหลายครั้งหลายหนักแล้ว เมื่อคราโน้นเขาริษยาอาฆาตถึงทูลกระหม่อมแก้วร่มโพธิ์เราทิวงคต แต่ครั้นสิ้นบุญเจ้าสามกรมท่านเสีย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถวายราชสมบัติอีก เขาจึงได้เจ้าคุณราชมนตรีและเจ้าหมื่นศรีสรรักษ์พีพระสนมเอกเป็นที่พึ่ง แต่หม่อมฉันฟังดูแล้วก็ดูเหมือนการจักยิ่งร้ายเสียกว่าเก่า จึงเสมือนกรรมข้างฝ่ายเรานักอยู่”

ยมโดยแม่ก็งอนค้อนภิกษุพ่อกลาโหม ซี่งกล่าวเป็นเวรกรรมมาเอ่ยอ้าง แล้วทูลพระองค์หญิงน้อยใจตัว

“ท่านปลงตกเสียแล้ว ฝ่าพระบาท ท่านจักสำเร็จไปนิพพานในเร็วนี้ เป็นพระอรหันต์แล้ว อย่ารับสั่งเลย”

“เอ๊ะ ยมโดย ไยเล่ามาโกรธประชดฉัน”

“มิได้โกรธแต่พระองค์หญิงทรงพระอุตสาหะเสด็จมาหวังปรับทุกข์ ทั้งท่านสามพระยา แต่กลับได้ยินพระท่านมาปลงสังขารปลงบุญกรรม ทั้งวาสนายมโดยเป็นว่าเรื่องที่ทรงเล่าถวายนั้น เช่นเรื่องสนุกไป”

ภิกษุออกกลาโหมก็ยิ้มระเรื่อยและยิ่งแน่ว่าตัวจักต้องเปลี่ยนเพศอีก และพักตร์พระองค์หญิงขณะนี้ก็เปลี่ยนไปดุจบึ้งขึง

“แล้วจะให้ฉันพูดอย่างไรเล่า ยมโดยเอ๋ย ออกเดือนนี้กำลังบวชเรียนรักษาเพศสมณะอยู่” พระธิดาพระบัณฑูรเห็นการสมคะเน จักควรได้ช่องโอกาส แล้วก็รับสั่งขึ้นตรงๆ “พระท่านทรงศีล ก็ใช่อยากมารบกวนสึกพระหามิได้ แต่เสด็จในกรมหมื่นเทพพิพิธท่านก็ทรงผนวชอยู่ มีศีลเหมือนกัน ก็ผิว์ท่านลาบวชแล้วมาเชิญชวน พระท่านก็คงจักอ้างบุญกรรมเทศน์กัณฑ์นี้ถวายอีกกระมัง พระท่านคงใคร่จักเฉย ชอบดูพวกเราถูกเขาคร่าไปทำเล่นต่างๆหรอกกระมัง”

“อย่ารับสั่งดังนั้นสิ พระองค์หญิง” หลวงกลาโหมโบกมือห้าม มีกิริยาแปลก แปลกจากสงบของภิกษุ แล้วด้วยตื่นใจเพราะสำนึกว่าตั้งแต่รู้จักกับพระองค์หญิงองค์นี้ประทานความคุ้นเคยตลอดมา ก็พึ่งจะได้เห็นว่าครั้งนี้แหละทรงน้อยพระทัยนัก “ที่หม่อมฉันทูล หาใช่อ้อมค้อมออกตัวเพราะสิ้นความภักดีเสียแล้ว หรือมาคิดเกรงแก่อริศัตรูก็หามิได้ หากมารำลึกอยู่ว่าตัวเป็นภิกษุเพศ และวิตกว่าการทั้งนี้ที่คิดจะเป็นผลสำเร็จแน่แล้วหรือ ด้วยผิว์เสด็จในกรมกับท่านสามพระยาจักนำเนื้อความไปกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงผนวชเพื่อเชิญเสด็จ ก็ไฉนเล่าท่านเป็นพี่น้องและก็ทรงถวายราชสมบัติเองโดยสมัครพระทัย ผิว์มิทรงเห็นชอบด้วยแล้ว พวกเรามิหัวต้องขาดหมดหรือ”

ท่านทรงนิ่งอึ้งขึง เพราะที่ออกกลาโหมกล่าวชี้แจงมานั้น สมจริงโดยสมควร โดยว่าเจ้าฟ้าอุทุมพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงผนวช ประทับอยู่วัดประดู่นั้น ก็ทรงถวายราชสมบัติโดยสมัครพระทัยเอง และเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช หากมิทรงเห็นด้วยแล้ว เพราะเกรงจะเกิดวุ่นวายอีก และนำความขึ้นกราบบังคมทูล ราชภัยก็จักพลันมาถึง จึงทรงปรารกว่า

“ก็จริงของพระท่าน แต่การครั้งนี้ แม้จักเปรียบแล้วกับคราวก่อนสิกลับยิ่งร้ายนัก เพราะพี่พระสนมเอกขณะนี้ประพฤติการมิสมควรด้วยประการทั้งปวงหลายข้อ จึงสามพระยาท่านสิเกรงว่าสืบไปแผ่นดินจักเป็นยุคเข็ญจลาจลจึงได้คิดการใหญ่ แต่เมื่อพระท่านมากล่าวฉะนี้แล้ว เกรงว่าทูลกระหม่อมพระจักมิทรงเห็นด้วย และกราบบังคมทูลมีราชภัยมาถึง ก็น่าฟังอยู่ แต่ว่าหากเสด็จในกรมที่ทรงผนวชท่านร่วมคิดให้มาปรึกษาชวน แล้วจะว่ากระไร”

ท่านก็ถอนใจใหญ่ด้วยยากจะตอบ เพราะภิกษุเพศกำชับอยู่

“ขอให้อาตมาหม่อมฉันได้ตรึกตรองสักหน่อยเกิด พระองค์หญิง”

ภิกษุออกกลาโหมผัดแบ่งรับแบ่งสู้ หัวใจสมณะที่ครองอยู่ขณะนี้ก็ค่อยคล้อยเห็นไปข้างรักชาติ เสียดายบ้านเมือง จักเกิดเป็นจลาจลวุ่นวายนัก ทั้งราษฎรไพร่บ้านพลเมืองจักมาได้เดือดร้อน ทั้งตัวเองและพระองค์หญิง พระธิดาทูลกระหม่อมมหาอุปราช และแม่ยมโดยแม่ข้าหลวงจักเกิดภัยแน่

ด้วยขณะนี้ศัตรูทั้งขุนจิตรและหมื่นสุนทรเทพข้าเจ้าสามกรมเหล่านั้นก็ฝักใฝ่ได้ดีแล้ว ทางฝ่ายจมื่นศรีสรรักษ์พี่พระสนมเอก แล้วภัยนั้นก็จักต้องมาถึงตัวสักวันหนึ่ง

“ตรึกตรองของพระท่านก็คงจักปรารถนาไปนิพพานดอกกระมัง” ข้าหลวงแม่ยมโดยกล่าวห้วนๆ สำเนียงน้อยใจ แต่ก็กระดากอยู่ว่าตัวจักมายุชักชวนผู้มีศีลให้ละเพศเป็นฆราวาส จึงออกตัวว่า “อันการใดนั้น ขอได้สุดแต่พระท่านเถิด ใช่ว่ามาครั้งนี้จักแสร้งอุบายให้พระสึกนั้นหามิได้ เพราะเกรงแก่บาปกรรมอยู่นัก”

"หาเช่นนั้นมิได้หรอก แม่ยมโดยและพระองค์หญิงท่านเอ๋ย อาตมานี้เคยเป็นข้าทหารพระบัณฑูรเสมือนทหารแผ่นดิน เมื่อเห็นว่ายุคเย็ญจักบังเกิดและมีผู้ปรารถนาดีจะระงับแล้ว ไยจักเฉยอยู่ หากเพลานี้ยังครองเพศอยู่มิอาจตอบได้ อันสวรรค์หรือนิพพานนั้น ปุถุชนสมัยนี้ย่อมหามิได้แต่สักคนเดียวก็ย่อมรู้อยู่”

แล้วภิกษุออกกลาโหมก็ทิ้งคำให้ห้วนไว้แต่เพียงนั้น ด้วยมิอาจกล่าวให้เป็นที่แจ่มแจ้งกว่านี้ไปอีกได้

ข้าหลวงแม่จันทนาอีกนางหนึ่งนั้นนั่งนิ่งอยู่ตลอดเวลา ทั้งฟังโต้ตอบสองฝ่าย แต่ก็ตระหนักในคำภิกษุนั้นแล้วแน่ จึงกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรก

“พระท่านกล่าวก็ถูกก็สมควรแล้ว ด้วยราชภัยนั้นร้ายแรงหนักหนาในเรื่องนี้ แต่หากวิสัยบุรุษผู้ชาตรีรักชาติบ้านเมืองนั้น ไฉนจักอยู่ดูชาติให้ป่นปี้เป็นจลาจลเสียก่อนเล่า พระท่านจักมามัวตรึกตรองอะไรอีกเล่า แต่เพียงเรื่องที่รู้แล้วเช่นนี้”

“แม่จันทนาเอ๋ย” ภิกษุกลาโหมกล่าวเสียงดุจหนึ่งใคร่ปลอบโยนทั้ง ๓ นาง “อันจากมา และหม่อมฉันมาอุปสมบทเซ่นนี้ หาใช่จักคิดเป็นสวรรค์นิพพานดังกล่าวแล้วไม่ หากว่าเห็นเหมาะสมควรแล้วที่จักอุปสมบทด้วยสิ้นห่วงทั้งราชการและใดอื่น จึงประการที่ผลัดเพียงขอตรึกตรอง ขณะนี้แม่ฟังความออกหรือ”

พระองค์หญิงถอนพระทัย ตระหนักแล้วว่าออกกลาโหมพระภิกษุที่กล่าวฉะนี้ หาได้ปฏิเสธไม่ หากติดด้วยเพศด้วยศีล ก็ปีติพระทัยนัก ทรงมีพระทัยแช่มชื่นและพระพักตร์ผ่องระเรื่อ แล้วก็นึกว่าคำแม่จันทนานี้แหลมหลักฉลาดกล่าว ก็ทรงเปรยๆอีก เป็นสำทับว่า

“หญิงนี้มากวนก็ด้วยเสียดายฝีมือทหารพระบัณฑูร โอ้ ทูลกระหม่อมเอ๋ย ทหารอื่นทั้งศรีอยุธยา ใครก็ย่อมเลื่องลือว่าพระบัณฑูรเลี้ยงทหารเสือยอดฝีมือ แล้วพระท่านจะมาละเสียซึ่งนามนี้จึงน่าเสียดาย พระท่านจักมาละเสียและดูดายให้เขาข่มเหงข้าพระบัณฑูรเล่น จึงน้อยใจนัก”

“พระองค์หญิง”

ภิกษุออกกลาโหมชะโงกดุจตะโกน หัวใจพล่านพลุ่งมุ่งไปสู่แต่ความหลังเพลาโน้น

อ้า กูก็ยอดทหารผลาญศึก อ้ายเดือนสิเคยรับพระโองการสมเด็จพระบัณฑูรให้ตามช้างเถื่อน เคยขัดตาทัพพม่า ตีศึกชายแดนมิให้หงสาวดีล่วงมาได้ ดูดู๋ เพียงการนี้อ้ายเดือนจักมาพ่ายแก่น้ำใจอุบายยมโดยเจ้า ศึกอื่นสิละเอียดแล้ว แม่เอ๋ย ก็เพียงเสมอนี้ ออกกลาโหมจักอาสาเอง”

แล้วพระภิกษุนั้นก็เข่นฟันกล่าวทูล มีกิริยาดังอยู่กลางศึก

“พระองค์หญิงทั้งยมโดยและจันทนา แม่เอ๋ยทั้งสาม ผิว์บ้านเมืองได้เดือดร้อนแน่แล้ว สองแขนออกเดือนนี้ขอถวายแต่แผ่นดินประเทศชาติ แม้หัวใจอาตมานี้จักถวายแก่พระแล้ว แต่ศักดิ์กลาโหมขอถวายแต่พระบัณฑูรรบถวายพระเกียรติพระบัณฑูร ว่าอ้ายเดือนนี้หัวใจทหาร”

พระองค์หญิงก็ทรงกันแสงมิอาจกลั้นได้ ทรงปีติและทรงตื้นตัน ว่าพ่อเอ๋ย ยอดทหารพระบัณฑูร แม้ละเพศมาอุปสมบทแล้ว แต่บ้านเมืองประเทศชาติต้องการหนักหนา ก็รำลึกความหลัง ทูลกระหม่อมแก้วเอ๋ย ทหารคู่พระทัยเคียงองค์นั้น จบศรีอยุธยานี้จักหาใดเหมือนได้อีก และที่กล่าวฉะนี้ก็เหมือนรับปาก ลั่นคำแล้วอ้างเกียรติพระบัณฑูร

“หญิงต้องร้องไห้” รับสั่งกระท่อนกระแท่นขาดพระสุรเสียง “พ่อเอ๋ย ทหารพระบัณฑูรมากล่าวเยี่ยงนี้ ใครเล่าจักอดรำลึกได้”

“กลาโหมสมเด็จฯ” ยมโดยแม่กล่าวขึ้นเช่นกัน เห็นทีท่าภิกษุขณะนี้แปรไปดุจทหารกล้าคราก่อน ทั้งเบิกตาโพลงและวาวน่าสะพรั่น ก็รู้ว่าโมหะเกิดแล้ว ด้วยกลาโหมเป็นผู้โทสะกล้า เมื่อยินคำทั้งหลายที่ต่างก็กล่าวมานั้น จึงคล้อยตามพระองค์หญิงที่รับสั่งไว้ “กลาโหมพระท่านกล่าวกระนี้ก็ตระหนักแล้ว และเดี๋ยวนี้ทั้งยมโดยและพระองค์หญิงหรือแม่จันทนาก็อุ่นใจนัก พระท่านจงอย่าคิดใดอื่น และขอให้จำเริญสืบไปคอยฟังเหตุการณ์เสียก่อนเถิด”

แล้วการสนทนาจึงเป็นอันรู้ คล้ายกำหนดนัดหมายแก่กัน พระภิกษุกลาโหมแม้จักกล่าวเป็นนัยแต่น้อย ก็แจ่มแจ้งแก่บรรดาอิสตรีซี่งมา ใครรักชาติฉันไร กลาโหมก็รักชาติอยู่เช่นนั้น มิได้ท้อถอย หากจำเป็นภัยกันเองจักเกิดขึ้น จึงรีรออยู่เพราะรังเกียจรบกันเอง

เพลานั้นมืดมาแล้ว จึงพระองค์หญิงเห็นการสมควรก็ทรงอำลากลับ พร้อมทั้งยมโดยและข้าหลวงแม่อื่นซึ่งตามเสด็จมา และมีพระทัยแช่มชื่น ทั้งพระพักตร์ดูเบิกบานสำราญอยู่เช่นเดียวกับแม่ข้าหลวงทั้งสองนั้น กระทั่งมาถึงเรือซึ่งจอดรับแล้วแจวล่องน้ำมา พระองค์ท่านทรงแอบประทุนเรือชะแง้เห็นราชวังร้างจันทรเกษม ก็มิวายจักทรงปรารภแก่แม่ข้าหลวงสนิทซี่งอยู่ด้วยกันมาด้วยแรมปีได้

“ใจหายไหม ยมโดยและจันทนาแม่เอ๋ย” รับสั่งเปรยๆ ชี้ราชวังอันเงียบเหงาสันโดษเห็นแต่แสงไฟเพียงน้อย ที่มีเฉพาะคนอยู่รักษาเท่านั้น “แม่เห็นทั้งพระและกลับมาเห็นราชวังกระนี้เคยสำราญแต่เมื่อก่อนๆ มิใจหายบ้างเลยหรือ”

“พิโธ่ พระองค์หญิงรับสั่งถามเช่นนี้ก็ได้” ยมโดยทูลตอบ ละอายใจเพราะยินทรงอ้างถึงภิกษุคู่กับราชวังแล้วเจ้าก็ไถลเรื่องไปอื่น “หาทรงบารมีอยู่แล้ว มิช้าก็จักเสวยราชย์ ไฉนหนอพวกเราจักมาลอยเรือว้าเหว่ลำบากอยู่เช่นนี้เล่า ว่าแต่สามเจ้าคุณท่าน ป่านนี้มิเห็นเลย”

แต่พระองค์หญิงหาได้ใฝ่พระทัยแก่คำกล่าวข้าหลวงมิได้ คงกันแสงสะอื้น ชะแง้ทอดพระเนตรราชวังอันเคยพำนักแต่ก่อน เคยมโหฬารดังเมืองฟ้า แม้ค่ำคืนก็กลาดเกลื่อนด้วยแสงประทีปและสำเนียงขับระบำรำฟ้อน ทั้งมโหรีปี่พาทย์ดังจักเปรียบได้ เสมือนวิมานเมืองฟ้าหนึ่งในศรีอยุธยานี้ หากแต่ว่าบัดนี้แม้เวียงวังและพระตำหนักทั้งหลายจักยังดุจเดิม ทั้งพุ่มไม้และถนนลานพระตำหนักนั้นก็คงอยู่ดุจก่อน แต่เหล่าชะแม่ชาววังทั้งหลาย หรือทหารสมเด็จฯ แต่สักคนหนึ่งก็หามิได้ แม้พระองค์หญิงท่านเองก็มาวิบากคร่ำครวญอยู่ในเรือกลางน้ำ

จนยมโดยและจันทนาทูลขึ้นอีกว่า เกรงท่านสามพระยาจักกลับมาเสียก่อน ก็รับสั่งด้วยวิตกพระทัยอยู่ว่า

“หรือเสด็จในกรมจักมิทรงวางพระทัยเสียแล้วก็เป็นได้ เพราะทรงเข็ดเช่นครั้งก่อน เช่นออกกลาโหมภิกษุท่านกล่าว”

“อย่าเพิ่งทรงท้อพระทัยเลย” จันทนาแม่ปลอบทูล ทั้งช่วยชะเง้อหาด้วยลำน้ำคูเมืองขณะนี้ถึงจะเพิ่งย่างค่ำก็สงัดด้วยเรือผ่านแจวพาย เพราะด้วยยามบ้านเมืองอยู่ในฉุกเฉินผันแปร แล้วจันทนาก็คะเนการไปด้วยหมายจักปลอบพระทัยเท่านั้น “หม่อมฉันเห็นอยู่ว่าเสด็จพระที่ผนวช ท่านก็เป็นทหาร โปรดทหารอยู่ อนึ่ง ยังทรงเป็นห่วงทั้งสุขทุกข์แก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน คงจะมิทอดทิ้งเสีย หากช้าด้วยสามพระยาจักมัวปรึกษากันมากเท่านั้น”

“โน่นไงเล่า มิใช่หรือ” ยมโดยเจ้าชี้มือไปอีกฟากหนึ่งตรงข้ามซึ่งเป็นท่าน้ำวัด เห็นเรือแจวเหบ่ายจากท่า บ่ายลำออก “หม่อมฉันจำเรือได้เป็นแน่แท้ทีเดียว”

ทรงทอดพระเนตรตามชี้พระหัตถ์ป้องแสงไฟส่อง อันลักษณะเรือเมื่อมานั้นมิได้มีผู้ใดจักทันสังเกตเพราะลอบมาเช่าและแปลงปลอมเป็นประหนึ่งราษฎร ก็ทรงชักค่อยดีพระทัยยิ่งขึ้น

“แม่จำได้แน่หรือ ยมโดย ว่าลำนี้เป็นเรือท่านสามพระยา”

“มิผิดเลยเพคะ”

ขาดคำทูล เรือแจวลำโน้นก็ตัดฟากข้ามมุงมาเช่นกัน ครั้นใกล้กันก็ยินแต่หัวเราะสำรวล แล้วจึงต่างแจวเข้าเทียบแต่พอพูดจาจนได้ยิน

“เห็นจักทรงสำเร็จเป็นแน่แท้แล้ว พระองค์หญิง” ท่านพระยาเพชรบุรีกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงปีตินัก “แต่ยังหากติดขัดอยู่อีกเล็กน้อยเท่านั้น”

“อย่างไร ข้อไรเล่า ท่านเจ้าคุณ”

“ทรงรับว่าเห็นชอบด้วย แต่ยังเกรงอยู่ประการหนึ่ง ผิว์ไปเฝ้าเชิญเสด็จขุนหลวงหาวัด ท่านจักไม่ทรงลาผนวชมาครองราชสมบัติเท่านั้น จึงจักต้องไปทูลปรึกษาดูก่อน แล้วออกกลาโหมข้างฝ่ายพระองค์นั้นว่าอย่างไรบ้าง”

ทรงอึดอัด จักรับสั่งพระภิกษุเดือนก็ยังมิได้รับคำที่แน่พระทัย ก็ทรงตอบว่า

“ภิกษุกลาโหมนั้นอิดเอื้อนอยู่หนักหนา ครั้นฉันเอ่ยชื่อท่านสามเจ้าคุณและเสด็จในกรมที่ทรงผนวช ทั้งอ้างบ้านเมืองจะหมดสุขเป็นยุคเข็ญ แล้วก็ดูใจค่อยโอนอ่อน”

“ทรงฉลาดแก่รับสั่ง” อีกพระยากล่าวทูลสรรเสริญพระปัญญา แล้วกำชับเรือให้ล่องตามน้ำเรื่อยตลอดไปอย่างมิมีพิรุธ “กลาโหมเขาก็เป็นทหารน้ำใจเช่นพวกเรา และบัดนี้บ้านเมืองก็แปรปรวนเต็มที่แล้ว ผิว์เราจะได้มาอีกหนหนึ่ง ทหารสมเด็จฯ อีกเหลือหลายที่แตกฉานอยู่ก็ออกมาสมทบด้วย ฝีมือพอเป็นกำลังแก่ฝ่ายเราอีกบ้าง”

ครั้นพ้นวัดกระโจมและผ่านราชวังจันทรเกษม ทั้งพระองค์หญิงผู้พระธิดาและข้าหลวงกับท่านสามพระยาก็ถวายบังคมแก่ปราสาทราชฐานซึ่งเคยเป็นที่ประทับสมเด็จพระบัณฑูรเมื่อกาลโน้น ต่างรำลึกเสียดายพระมหาอุปราชอยู่ด้วยกัน เพราะหากยังทรงพระบารมี แล้วด้วยเป็นราชโอรสพระองค์ใหญ่ และได้สถาปนาเป็นสมเด็จมหาอุปราชขึ้นครองกรุงเทพทวาราวดีฯ แล้วไฉนพระอนุชาอื่นจักมาแก่งแย่งแก่กัน ทั้งเหล่าทหารก็พรั่งพร้อมล้วนเลิศด้วยฝีมือ พระองค์หญิงก็ทรงอธิษฐานขอบารมีสมเด็จฯ จะคุ้มครองให้การที่คิดนี้จะลุล่วงสำเร็จเพื่อศรีอยุธยาจักเป็นสุขได้ และก็ขอให้ภิกษุกลาโหมจงอย่่าละทิ้งทอดแก่ธุระราชการงานเมืองนี้เสีย เพราะผิดออกเดือนแล้ว แม้ทหารอื่นก็มิวางพระทัยท่าน

แล้วก็ต่างแยกเรือขึ้นหนทางคนละท่า ด้วยเกรงชาวตระเวนด่านจักเห็นเป็นพิรุธ เพราะท่านสามพระยาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ไปลอบพบปะด้วยข้าราชการบ้านเมือง ส่วนพระองค์หญิงก็เป็นพระธิดาสมเด็จฯ ทั้งฝักใฝ่อยู่ทางเสด็จกรมหมื่นเทพพิพิธ จึงครั้นนัดหมายแก่กันแล้วสามพระยาก็แยกไปขึ้นท่าท้ายกำแพงเมืองแต่โดยเงียบ มิได้มีผู้ใดจักรู้เห็น

ครั้นค่ำอีกวันหนึ่ง กรมหมื่นเทพพิพิธกับขุนนางทั้ง ๔ คน ก็พากันไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงผนวชอยู่ ณ วัดประดู่ แล้วกราบทูลความซึ่งคิดกันทุกประการ และเชิญเสด็จให้ลาผนวชขึ้นครองราชสมบัติดุจเดิม จึงรับสั่งตอบว่าทรงเป็นสมณะ ซี่งจักร่วมคิดอ่านการแผ่นดินด้วยนั้นไม่ควร ท่านทั้งปวงจักคิดเห็นประการใดก็ตามแต่จักคิดกันเถิด แต่กรมหมื่นเทพพิพิธกับขุนนางทั้งหลายนั้นเข้าใจเสียว่าทรงเห็นชอบยินยอม ก็ทูลลากลับ

ฝ่ายพระเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงพระผนวชนั้น จึงทรงดำริว่าคนเหล่านี้คิดกบฏจะทำการใหญ่ หากสำเร็จ ข้างฝ่ายเขาจับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระเชษฐาเราได้ก็คงจักมาจับตัวเราด้วย คงจะยกกรมหมื่นเทพพิพิธขึ้นครองราชสมบัติ เรา ๒ คนพี่น้องก็จะพากันต้องตาย จะนิ่งอยู่มิได้ จำจักต้องไปทูลพระเจ้าพี่ให้รู้พระองค์จึงจะชอบ

ครั้นรุ่งขึ้นเข้าจึงเสด็จมาในพระราชวัง เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระเชษฐาธิราช ถวายพระพรถึงเหตุนั้นให้ทรงทราบทุกประการ แล้วถวายพระพรว่า

“อาตมาเป็นสมณะจักเกี่ยวข้องแก่สิกขา จึงจักขอรับพระราชทานแก่ชีวิตคนเหล่านั้นอย่าให้ถึงตาย”

แล้วจึงถวายพระพรลากลับไปพระอาราม

ครั้นทรงพระตระหนักเช่นนั้น สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินจึงมีพระราชโองการตรัสสั่งเจ้ากรม ปลัดกรม และพระตำรวจทั้งแปดกรมไปจับผู้คิดร้ายนั้น แสร้งให้ข่าวนั้นปรากฏว่ามีผู้เป็นโจทก์มาฟ้อง หาว่าคิดการร้ายเป็นกบฏ จึงได้ตัวท่านเจ้าพระยาอภัยราชา พะยายมราช พระยาเพชรบุรี นายจุ้ย รวม ๔ คน ให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนและจำไว้ แต่หมื่นทิพเสนากับนายเพ็งจันทร์นั้นหนีไป หาตัวมิได้

ฝ่ายกรมหมื่นเทพพิพิธทราบเหตุ ก็เสด็จหนีจากวัดกระโจมไปอยู่วัดพระแพนงเชิง บรรดาเจ้ากรม ปลัดกรมและข้าทั้งปวงในกรมท่านซึ่งมีความกตัญญูสวามิภักดิ์อยู่ก็มาพร้อมกันเป็นอันมาก ช่วยทั้งวางยามรักษาพร้อมด้วยเหล่าทหารพระบัณฑูรอีกหลากหลาย และครั้นเหล่าพระตำรวจทั้งแปดกรมตามไปถึง จักเข้ากุมกรมหมื่นเทพพิพิธ บรรดาข้าในกรมก็เข้ารบป้องกันไว้ มิอาจเอาตัวได้จึงพากันกลับมากราบบังคมทูลพระกรุณา

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้นได้ทรงทราบเช่นนั้น จึงแต่งตั้งข้าหลวงที่ฉลาดไปกราบทูลกรมหมื่นเทพพิพิธว่าทรงพระกรุณาดำรัสว่า เจ้าท่านนั้นเป็นผู้สัตย์ซื่อและถือผนวชอยู่ อันการทั้งนี้ ทรงพระดำริว่า เจ้ากรมและปลัดกรมจักคิดกันเอง ขอให้ทรงส่งตัวทั้งเจ้ากรมและปลัดกรมนั้นๆไปถวายแต่โดยดี จักทรงพระกรุณาแก่กรมหมื่นเทพพิพิธ มิเอาโทษแต่ประการใด กรมหมื่นเทพพิพิธกลัวพระราชอาญา ก็รับว่าจักส่งตัว จึงทั้งเจ้ากรมและปลัดกรมรู้ตัวแล้วก็เกรงแก่พระราชอาญานัก จึงหนีไปทั้งบุตรและภรรยา แต่ปลัดกรมนั้นลอบไปผูกคอตายเสีย ส่วนเจ้ากรมนั้นหนีหาย หารู้ไม่ว่าหนีไปอยู่แห่งใด ตามไม่ได้ตัว อนึ่ง บรรดาเหล่าข้าในกรมที่สวามิภักดิ์ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนชี่งมาตั้งค่ายห้อมล้อมวัดพระแพนงเชิง ทั้งเข้าต่อตีพระตำรวจทั้งแปดกรมแปดเหล่านั้น เมื่อราชภัยมาถึงก็ต่างหนีเอาตัวรอดกระจัดพลัดพรากแก่กันไปสิ้น แม้เสด็จในกรมหมื่นเทพพิพิธก็เสด็จหนี พาพระโอรสหลายพระองค์ที่ร่วมคิดหนีไปข้างฝ่ายทิศตะวันตก คงได้แต่บรรดาพระหลานเธอซี่งมิรู้พระองค์ และลูกเธอหลานเธอซึ่งมิได้ร่วมรู้แก่การ และหม่อมนายห้ามทั้งหลายให้สำนักอยู่ด้วยหวังพระกรุณาเท่านั้น

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ