เมื่อคืนนี้ เดือนหงาย แม้ว่าจะเป็นเดือน ๙ มีฝนลงชุก แต่ขณะยามเช้ารุ่งมาแล้วนี้ ฟ้าก็ปลอดโปร่งดี เพราะฝนตกเมื่อใกล้รุ่งเหมือนขจัดเมฆ จึงยามเมื่อรุ่งอรุณทั้งต้นและปลายฟ้าก็ปลอดเมฆ เขียวโปร่งจักมีขาวสลับเพราะต้องแสงตะวันบ้างนั้นแล้วเล็กน้อย

ในราชสำนักสมเด็จพระมหาอุปราชเจ้าฟ้าธรรมธิเบศ พระราชวังบวรแห่งศรีอยุธยา กรุงหลวง ถัดพระที่นั่งหลังใต้ อันมีนามพระพิมานรัตยา ก็ถึงเขตเรือนมหาดเล็กตัวเอก ซึ่งทรงปรารถนาพระทัยไว้ว่า แม้เมื่อใดพระองค์ท่านได้เสวยราชสมบัติผ่านพิภพศรีอยุธยาแล้ว ทหารนี้อันเป็นมหาดเล็กข้าหลวงสนิทที่จงรักและกอปรด้วยฝีมือเป็นยอดทหาร ทั้งรู้พระตำรับพิขัยสงครามลึกซึ้งเกินกว่าวัยหนุ่มนั้น เป็นที่พระกลาโหมเจ้าศึก

ไม้ประดู่เคียงคู่อยู่เกินหน้าเรือนมหาดเล็กบุรุษโปรดผู้นั้น แม้จะสดชื่นได้ฝนใกล้รุ่งแต่เช้านี้ แต่ประดู่คู่ช่างยืนเหงา ยิ่งเพ่งก็ยิ่งเหงาด้วยสงัดลมอันชวนใจเจ้าหนุ่มข้าหลวงผู้เสร็จซ้อมฝีมือทหารแล้ว และนั่งเพ่งประตูอยู่ให้สังหรณ์เหมือนมีทุกข์ว่าจะเกิดแก่ตัวและราชวงศ์ท่าน โดยหวาดไปเอง คิดไปเอง และตรองไปหนักหนาว่า เมื่อคืนมีพระบัณฑูรรับสั่งว่าจักต้องตามเสด็จไปพระราชวังโดยราชโองการ ก็ศัตรูพระบัณฑูรเหลือหลาย นับแต่ลงพระอาญาแก่เจ้ากรม ปลัดกรม ตลอดนายเวรของเจ้าต่างกรมทั้งสาม พระองค์อันเป็นญาติพระวงศ์ต่างชั้นชนนีแล้ว ก็ทรงอาฆาตแก่กัน แต่กูสิ สมเด็จพระบัณฑูรทรงชุบเลี้ยงมานานนัก ครั้งเมื่อรุ่น หากจะเกิดภัยถึงพระองค์ท่าน หลวงกลาโหมราชเสนาก็ต้องรบถึงชีวิตถวายกตัญญู

แล้วหลวงกลาโหมทหารยอดฝีมือก็เลยหัวเราะขันใจตัวเองที่คิดอุตริ ด้วยพระบัณฑูรท่านเป็นราชโอรสพระองค์ใหญ่ ผ่านราชสมบัติเป็นมหาอุปราชแล้ว ภัยใดเล่าจักเกิดมิเห็นเลย ทั้งพระธิดาและพระโอรสก็เป็นที่สนิทเสน่หาแก่สมเด็จเจ้าฟ้าซึ่งเป็นพระอนุชาพระมหาอุปราชทั้งสององค์ เราสิ ก้มหน้าตามมีพระบัณฑูรไว้จักกินตำแหน่งกลาโหมเมื่อผ่านราชสมบัติ จึงจำต้องฝึกฝีมือเป็นยอดขุนพลทั้งรบและพระตำรับพิชัยสงครามให้สมแก่ตำแหน่งครองไพร่พลทั้งหลายสู้ศึก จึงอำนาจใดเล่าเว้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวราชบิดาท่านจักมาก่อภัย ที่แว่วๆ รู้อยู่ให้หนักหนาไปได้ แต่ถ้าจะมีหลวงกลาโหมก็ต้องรบจนสุดฝีมือ

ขณะนั้น เบื้องหน้าอันเป็นเขตเรือนพระราชทานท้ายสวนพระที่นั่ง มีอิสตรีหลายคนเดินล่วงประดู่คู่มาชวนฉงนใจนัก บุรุษหนุ่มกลาโหมราชเสนาจึงเพ่งสักครู่หนึ่งก็ตระหนักใจตัวพร้อมด้วยมหัศจรรย์ยิ่ง เพราะแม่ข้าหลวงพระองค์หญิงพระธิดาท่านกับนางบ่าวสามสี่คนเดินเร่งร้อนกวาดตาเหม่อไปทางสนามฝึกฝีมือ

จนอีกครู่หนึ่ง เมื่อเหลือบเห็นแล้ว ข้าหลวงงามแม่นั้นก็มุ่งมาหาโดยร้อนรน สาวเท้าเร่งจนหลวงกลาโหมหลากในกิริยานั้น พลอยกังวลใจเพราะข้าหลวงแม่มิใช่อิสตรีสาวอื่น ด้วยหมายมั่นผิว์สมเด็จพระบัณฑูรซึ่งทรงทราบระแคะระคายแล้ว จักรับสั่งถามเมื่อใดก็จะขอพระกรุณาทูลให้ทรงทราบถึงความรักปรารถนาตัว

“พี่เดือน” ข้าหลวงแม่ยกมือเคารพ ขณะถึงและเอ่ยเรียกชื่อเดิม “เสร็จกิจพี่แล้วด้วยฝึกฝีมือทหารมิใช่หรือ”

ข้าทหารพระบัณฑูรที่เพิ่งได้รับพระราชทานยศเป็นหลวงกลาโหมราชเสนา รับเคารพแล้วยังเพ่งด้วยความพิศวงใจ

“สิ้นธุระแล้วละ ยมโดย แม่เอ๋ย ธุระแม่มานี่คงจะร้อนหนักกระมัง ดูหน้าตาตื่น”

หญิงแม่ข้าหลวงค้อนให้น้อยหนึ่งด้วยสถานเคยแก่กัน เหลียวดูนางบ่าวเห็นนั่งรวมอยู่ห่าง ก็ตอบว่า

“พี่เดือน ก็ข้าพระบัณฑูรท่าน รู้ขนบอยู่ ก็ไยเล่าจะมาถามย้ำ ยมโดยนี้เป็นข้าหลวงพระธิดา ท่านพระองค์หญิง และนี่เป็นเรือนบุรุษ ผิว์ว่าไม่มีรับสั่งมาด้วยกิจ แล้วจักแส่มาเอง มิอับอายหรือ มิต้องราชทัณฑ์ท่านหรือ”

ผู้ครองตำแหน่งออกกลาโหมพระมหาอุปราชเผยอยิ้ม ด้วยรักงอนเชิงแม่นัก ลืมถึงกิริยาอันแผกชวนสงสัยเมื่อครู่ที่แรกเห็นนี้แล้ว จึงกล่าวว่า

“แม่เอ๋ย ยมโดยพกแต่โทสะเสียยามเช้า ฉะนี้ได้เคืองใจใครเล่า และที่มาด้วยกิจรับสั่งท่านด้วยข้อใด”

“พระองค์หญิงมีรับสั่ง” นางข้าหลวงตอบตรงๆ “ทรงกำชับว่าเป็นธุระร้อนด่วน แม้พี่เดือนยังภักดีแล้ว ขอจงไปเฝ้าให้ได้”

บุรุษหนุ่มข้าพระบัณฑูรยิ่งเพ่งสาวงาม แม่ชู้ซึ่งเคยสนิทซ่อนรักซ่อนใคร่นึกไปต่างๆคดี แล้วก็พึมพำแก่ตัวและย้อนนางว่า

“พระองค์หญิงมีรับสั่งให้หา เอ ก็ด้วยกิจใดที่ท่านร้อนอยู่ แม่ทราบบ้างหรือไม่ อนึ่ง สักครู่ สามสี่โมง ฉันก็จะต้องตามเสด็จพระบัณฑูรท่านไปสู่พระราชวังหลวงด้วยมีพระราชโองการ”

เจ้าจึงพยักรับเอา พักตร์แม่เผือดก็ยิ่งเผือด ตอบขาดเป็นห้วงเป็นตอน

“ทรงทราบแล้วน่ะสิ หลวงกลาโหม พระองค์หญิงจึงได้เร่งฉันมาตามเพื่อให้เฝ้าเสียก่อนโดยเสด็จ และขอให้ไปเดี๋ยวนี้เพราะร้อนพระทัยอยู่”

กลาโหมก็ยิ่งร้อนใจนัก ทั้งสงสัยคิดไปต่างๆข้อหลายประการ อันพระองค์หญิงพระธิดานี้ หากจะเป็นเสมอพระธิดาสนมหม่อมรอง ก่อนจะได้สถาปนาเป็นพระมหาอุปราช ด้อยศักดิ์กว่าพระโอรสและพระธิดาอื่น แต่ความจงรักต่อพระบัณฑูรนั้นยิ่งนักหนา และสนิทชิดชอบกับเดือนมหาดเล็กผู้เป็นตำแหน่งกลาโหมเมื่อเร็วๆนี้ มิได้ถือพระองค์ แล้วจึงกล่าวเชื้อเชิญว่า

“กระนั้น เชิญยมโดยแม่ในเรือนพักเสียก่อนสักครู่ เพราะพี่จะแต่งตัวเมื่อเฝ้าพระองค์หญิงแล้วจะเลยไปคอยเสด็จที่ประตูทิม”

“ฮึ พูดอย่างไรอยู่นะ พี่เดือน” ข้าหลวงพระองค์หญิงขำเลืองตอบด้วยมีกิริยาเขินอาย “บนเรือนกลาโหมสิ ล้วนแต่บุรุษทั้งสิ้น และนี่ก็ลอบมาเพียงรับสั่งพระองค์หญิงเท่านั้น จะขึ้นไปกระไรอยู่ ผิว์ใครพบแล้ว พี่สิจะพลอยโทษ รู้ไหมเล่า”

บุรุษก็ถอนใจใหญ่เหมือนท้อใจที่จะเอาชนะแม่ ด้วยถ้อยคำข้าหลวงแม่ช่างดักช่างรู้ไปเสียสิ้น ก็เลยได้แต่ถือหัวเราะและขยับสบตาแม่ข้าหลวง

“กระนั้นจะทำฉันใดเล่า หรือจักกลับก่อนทูลพระองค์ท่านว่า เพียงอีกสักครู่หนึ่ง พี่แต่งกายแล้วก็จะไปเฝ้าเสียโดยเร็ว”

“สมควรอยู่หนัก เพราะพระองค์ท่านทรงดูกังวลมาก และตื่นบรรทมเช้าผิดเคย พอสระเสร็จ ก็รับสั่งให้มาตามทีเดียว อย่ามัวประดิดประดอยแต่งให้ข้าอยู่นักเล่า”

กลาโหมหัวเราะร่วน ค่อยลดเสียงเกือบกระซิบ ได้ยินเฉพาะอยู่แต่แม่ข้าหลวงเท่านั้น มิถึงหูบ่าวเบื้องหลัง

“แม่เอ๋ย ช่างค่อนนัก พี่หรือเป็นผู้ชอบประดิษฐร่างโอ่ด้วยเครื่องแต่งตัวแต่ไหนแต่ไรมานานแล้ว มิเห็นหรือ ทหารหรือจักใฝ่งามมาใส่ตัวจนเสียกิจอื่น”

“โอ๋ พ่อหลวงกลาโหม” เป็นครั้งแรกที่สาวแม่ยิ้ม แม้จักซ่อนงอนดังหยันคำทหาร “ทราบแล้วว่ากลาโหมท่านเป็นทหารกล้าสมเด็จพระบัณฑูรชอบอยู่แต่ณรงค์สงคราม ก็แต่ว่าพ่อเดือนเมื่อก่อนหากไปไหนก็แต่งตัวเพียงกระนั้น ทั้งรวดเร็ว ไม่สู้โอ่ ตั้งแต่เป็นหลวงมีศักดิ์มา ใครเขาย่อมสังเกตพ่ออยู่ว่าแป้งก็ไม่ขาดหน้า และคงจะเสกเป่าเป็นเสน่ห์ด้วยพระมนตร์ขลัง จึงดักคอไว้ให้รู้ เอ้า อย่าชักช้าเลย เร่งไปแต่งกายเถิด ฉันจะกลับก่อน”

“เชิญยมโดยแม่กลับเถิด แล้วทูลพระองค์ท่านว่า สักครู่เดียว ขอแต่งตัวเพราะจะเลยไปเฝ้าสมเด็จท่านด้วย อย่าวิตกว่าจักช้าเลย เพราะแต่งตัวของกลาโหมไม่โอ่อื่น ด้วยมียมโดยแม่แล้ว เป็นที่สุดแห่งหัวใจมิแส่หา”

“แน้ พูดพิลึก” สาวพลั้งแสนอาย ด้วยกลาโหมโลมคำเสียซึ่งหน้า แต่ก็มิวายจะกลั้นยิ้มแย้มแล้วโบกมือไล่ “เร็วเถิด อย่ามัวชะล่าสิ้นอยู่ มิกลัวหลังลายหรือ ไปรีบแต่งตัวเสียดีกว่า”

แล้วสาวยมโดยแม่ต้นพระตำหนักก็หันให้หลังออกเดิน เพราะหากจะขืนยืนก็เกรงว่าหลวงหนุ่มพ่อชู้จักหลงเพลินชวนสนทนาอีกให้ป่วยการแก่เวลา แม้กระนั้น เมื่อออกเดินนำบ่าวไปแล้ว กระทั่งจะถึงไม้ประดู่คู่ ก็มิวายเหลียวอีกครั้งหนึ่ง แม้จักค้อนให้แต่โดยไกลก็ฝากยิ้มอยู่ในหน้า เพราะออกกลาโหมนั้นยังตรึงกอดอกยิ้มอยู่ มิได้กลับสู่เรือนแต่งกาย กระทั่งพ้นร่มประดู่จะเลี้ยวแล้วจึงเห็นทหารสมเด็จพระบัณฑูรให้หลังกลับขึ้นเรือนลับร่างไป ยมโดยแม่ข้าหลวงจึงเร่งสาวเท้าสู่พระตำหนัก

ยังเป็นยามเช้าแสงตะวันเพิ่งเรืองๆ มิจัดจ้า ส่องสวนท้ายพระตำหนัก ซึ่งพระองค์หญิงประทับเงียบอยู่ลำพัง พระพักตร์มีรอยเศร้าหมองด้วยปริวิตก แม้พระองค์ท่านจักเป็นแต่พระธิดาน้อยเพียงหม่อมห้าม แต่สมเด็จพระบัณฑูรก็ทรงปรานีอยู่ ด้วยเจียมพระองค์ภักดีอยู่หนักหนา ทรงตระหนักในกตัญญูของพระธิดาองค์น้อยที่กำพร้าตั้งแต่เยาว์ยังมิได้ทรงสถาปนาเป็นพระมหาอุปราช

ประทับอยู่ลำพังพระองค์ ไร้นางข้าหลวงและบ่าวไพร่ เพราะต้องพระประสงค์ให้เป็นลับแก่การ และขณะที่ทรงตรึกอยู่ด้วยข้อวิตกนั้น จึงพลันเหลือบพบข้าหลวงแม่ยมโดยเร่งร้อนมาถึง รับสั่งถามว่า

“อย่างไร ยมโดย พบพ่อเดือนกลาโหมหรือเปล่า”

แม่ข้าหลวงรับคำ และกราบทูลตอบว่า

“ออกหลวงกำลังแต่งตัว เพราะเมื่อมาเฝ้าแล้วจะต้องตามเสด็จทูลกระหม่อมแก้ว”

ทรงถอนพระทัยใหญ่ โบกพระหัตถ์ไล่บ่าวให้ไปบอกข้าหลวงอื่นนำเครื่องจัดมาถวายแล้วจึงรับสั่งปรารภในพระวิตก

“ศัตรูทูลกระหม่อมแก้วนี้มากนัก พระองค์ท่านก็ตระหนักพระทัยอยู่ดี อนึ่ง มิได้เฝ้าเหินห่างทูลกระหม่อมปู่มาช้านานแล้ว ยมโดย เจ้าจะคิดอย่างไรบ้าง ในเมื่อมีราชโองการให้เจ้าจอมจันทน์มาทูลเชิญเสด็จเช่นนี้”

“คงจะเป็นราชกิจส่วนพระองค์” แม่ข้าหลวงกราบทูลเชิงปลอบพระทัย แต่ยมโดยก็ได้แว่วๆ แก่ข่าวอยู่ “หม่อมฉันเห็นมิมีจะผิดอื่นไปกว่าทรงรำลึกถึงทูลกระหม่อมแก้ว เพราะประชวรเสียมิได้ขึ้นเฝ้า”

“ฮือ เจ้ายมโดย” ทรงขึงพระพักตร์ค้อนให้ “เราเป็นเด็กกระนั้นหรือยมโดย เจ้าจึงจักมาปลอบให้หายอ้อน แน่ะ กระเถิบมานั่งด้วยกันทางนี้เถอะจะบอกให้”

แม่ข้าหลวงยมโดยกราบขอขมา จะขึ้นร่วมที่ประทับที่ไม้ล้อมโคนต้นสารภีแล้วก็คอยฟังรับสั่งอยู่

“ยมโดยเอ๋ย ตลอดเมื่อคืนนี้ หญิงนอนมิหลับเลย ใจคอหวาดๆ หวิวพิกลไป ฝันเลือนๆ รางๆ ล้วนแต่ร้าย มิเป็นมงคลทั้งสิ้น เพราะรู้พระราชโองการให้ทูลกระหม่อมเข้า จึงวิตกนักว่า ว่าเสด็จอาในกรมทั้งสามคงจะกราบทูลสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพราะกิริยาเจ้าจอมจันทน์มาเชิญเสด็จ ดูชอบกล ปิดๆ บังๆ และสีหน้าเผือดไม่เหมือนเคย ดีร้ายคงมีใครกราบทูลเป็นคดีขึ้น”

“หม่อมฉันคิดว่ามิถึงกระนั้น เพราะทูลกระหม่อมแก้วก็เป็นสมเด็จพระราชโอรสโปรดอยู่ และทรงถึงพระมหาอุปราช ก็ใครเล่าจักกล้าใส่ร้ายกราบทูล”

“อ้าว ยมโดย ไยมาเขลาไปเสียกระนั้นเล่า แม่นึกถึงสาเหตุที่เกิดบ้างปะไร ที่ทูลกระหม่อมให้พระตำรวจของท่านไปเกาะตัวเจ้ากรมและปลัดกรมของเสด็จอาทั้งสามมาลงพระราชอาญานั้นแหละ ข้างภายนอกเขารู้กันแซ่อื้ออึงนัก ถึงลือว่าทหารทูลกระหม่อมเพลาค่ำคืนไปด้อมอยู่แถวประตูสระแก้วจนเสด็จกรมหมื่นสุนทรเทพต้องไปบรรทมที่ทิมข้างโรงเตียบหลายวันมาแล้ว มิรู้หรือ”

แม่ข้าหลวงมิรู้การ ก็เบิ่งตาจับพระพักตร์ ฉงนนัก

“หม่อมฉันมิทราบเลย และการนี้จริงอยู่หรือ”

“เราก็ไม่รู้ว่าจะจริงจะเท็จ แต่เมื่อข่าวลือมากระนี้ ผู้ใหญ่ท่านก็พี่ๆ น้องๆ ใครจะกล้าเกี่ยว มีแต่สมเด็จปู่เท่านั้น ดังนี้แหละ ยมโดยเอ๋ย เมื่อมีราชโองการเราจึงวิตกไปหลายสถานนัก”

มิทันแม่ข้าหลวงจะได้ตอบ พระองค์หญิงก็ทอดพระเนตรเห็นแต่ไกลที่จ่าโขลนนำหน้าทหารตรงมา

“แหม ดีใจ” รับสั่งเมื่อมาถึง และโบกพระหัตถ์ให้จ่าโขลนถอยไปห่างที่เฝ้า แล้วกวักพระหัตถ์เรียก “มาใกล้สักหน่อยเถิด พ่อเดือน”

ทหารยอดฝีมือรักษาองค์พระบัณฑูรก็คลานมากราบประนมมืออยู่เพ่งพักตร์พระองค์หญิง ยามนี้ให้รู้สึกประหลาดใจครัน เพราะเคยเห็นแต่ทรงเริงรื่นสำราญอยู่แต่ไหนแต่ไร

“คงทรงธุระร้อนจะใช้หม่อมฉัน”

“ก็ไม่เชิง” พระองค์หญิงทรงฝืนแย้มพระสรวล ค่อยมีพระพักตร์ชื่นด้วยออกหลวงกลาโหมบุรุษยอดทหารทูลกระหม่อมนี้ ประหนึ่งพระกรขวาพระบัณฑูรไว้พระทัยนัก จึงรับสั่งสืบไปว่า “การใดที่แล้ว กลาโหมพ่อก็รู้ดีอยู่อย่าให้พูดเลย และวันนี้จะตามเสด็จทูลกระหม่อมไปพระราชวังหลวงนั้น มีทหารแห่ห้อมพระองค์ท่านมาพอแก่การแล้วหรือ”

ทหารพระบัณฑูรเบิ่งตา เอะใจนัก

“ครบตามอิสริยยศตำแหน่งพระมหาอุปราชทุกประการ แต่ที่รับสั่งนี้หม่อมฉันฉงน”

พระพักตร์เศร้าพยักอยู่

“ถูกของพ่อเดือน ควรฉงนแล้ว แต่พ่อเดือนรู้เหตุใด ก็เหตุนั้นที่ฉันวิตก”

ข้าทหารพระมหาอุปราชก็ตรึกอยู่ขณะหนึ่งด้วยความกังวล แล้วกราบทูลว่า

“หม่อมฉันก็ทราบสาเหตุนั้น แต่เห็นมิเกี่ยวข้องที่น่าจะทรงวิตกเลย เพราะทูลกระหม่อมจะเสด็จขึ้นเฝ้า”

ทรงพระสรวลแต่น้อยหนึ่ง เสมือนจะเห็นแววประมาทของบุรุษ

“เดือน พ่อเป็นทหารพระบัณฑูร แล้วไฉนจึงมิเกิดเฉลี่ยวบ้างเล่า อันแผ่นดินแต่เก่าก่อนครั้งโบราณ มิมีหรือที่ราชโองการเชิญเสด็จแล้วก็ลอบปลงพระชนม์ทำร้ายเสีย แล้วหลวงกลาโหมจะว่าอย่างไร”

“อ๊า พระองค์หญิง” บุรุษทหารร้องเต็มเสียง ใจคอระทึก ประนมมือถวายบังคมแล้วก็ตบอกตัวเอง ทูลด้วยเหี้ยมหาญ ต้องรบให้สิ้นชีพอ้ายเดือนก่อนสิ จึงจะถึงองค์พระบัณฑูร อ๋อ เท่านี้เองที่ทรงพระวิตก การนี้หม่อมฉันก็ได้คะเนอยู่ จึงคัดทหารเราเลือกล้วนยอดฝีมือไว้ใจได้สักยี่สิบให้ตามเสด็จ เมื่อเป็นราชโองการก็จนใจอยู่ หากมีผิดมีพิรุธแล้ว หม่อมฉันให้ตั้งล้อมก็จะรบเชิญเสด็จพระบัณฑูรมาสู่พระตำหนักมิให้ทรงตระหนกเลย”

พระองค์หญิงทรงปีติ น้ำพระเนตรคลอ จบศรีอยุธยานี้ก็เลื่องลือตลบแล้วว่า ออกหลวงกลาโหมทหารกล้าของพระบัณฑูรเป็นยอดทหาร ผิว์เสวยราชสมบัติขณะใด ก็จักทรงโปรด อย่างน้อยถึงออกพระ

“ขอบใจพ่อหลวงนัก แต่หญิงนี้ อย่างไรมิรู้ ใจคอช่างสังหรณ์เป็นห่วงทูลกระหม่อมแก้วเหลือเกิน จึงเรียกพ่อหลวงมากำชับ”

ข้าพระบัณฑูรหนุ่มยิ้มปลอบพระทัย เหลือบสาวยมโดยแม่ชู้ แล้วทูลเป็นสนุกเสีย

“หม่อมฉันขอถวายชีวิตตัวเป็นประกันไว้ แต่ผิว์ภักดีนี้สืบไปเมื่อหน้าได้ประจักษ์แล้ว พระองค์หญิงคงจะประทานรางวัลบ้าง”

จับพระเนตรอยู่ที่กิริยาทหารชำเลืองสาวและข้าหลวง ก็ค้อนให้ จึงตระหนักพระทัย ทรงพระสรวลพลอยสำราญ รับสั่งตอบอ้อมๆ

“หัวใจคน ฉันให้ไม่ได้ ต้องสุดแต่พ่อเดือนจะชนะเขาเสียก่อนเถิด แล้วหญิงจึงจะประทานได้”

“ต้องปรึกษาแม่ยมโดย” หลวงกลาโหมเปรยขึ้น “หม่อมฉันปัญญาเขลาอยู่ในเชิงนี้ จึงต้องขอพึ่งปัญญาเขาอื่น”

“พิลึกนักหนาแล้ว พี่เดือน” ข้าหลวงค้อนให้อีก ผิว์หน้าระเรื่อบังเกิดอาย “ด้วยเชิงไหนเล่าที่เกิดมาให้แจ้งสักหน่อย หรือว่าเชิงใดจะปรึกษา” แล้วแม่ข้าหลวงต้นพระตำหนักก็ทูลพ้อเอาอีกคนหนึ่ง “เสด็จพระองค์หญิงก็เหมือนกัน ทรงเข้ากับพี่เดือนเสียทุกครั้งเสมอ”

“อ้าว ยมโดยมาพาลฉันอีกคนแล้ว แม่เก้อเองก่อเอง มิใช่หรือ”

เจ้าหนุ่มทหารวังหน้าก็ถือคล้อยตามรับสั่งนั้น

“จริงเชียวพ่ะย่ะค่ะ ที่รับสั่ง แม่ยมโดยก่อสำคัญนัก”

“โมโหเกิด” สาวสะบัดใส่ งอน เน้นสำเนียงเหมือนจะให้ด้วยแพ้คารม

“อยู่ๆ มายั่วกันให้เกิดโทสะ เห็นเป็นสนุกไปได้”

“โธ่ ยมโดย แม่อย่าเพิ่งให้...” หนุ่มกลับยิ่งยุพิษแง่งอนนั้นด้วยพึงใจ “แม้แม่ยมโดยมาให้แล้ว ใครหนอจักเข้าปลอบให้นิ่งได้ ด้วยเป็นข้าหลวงนางห้าม”

“ไม่เกรงพระอาญาทูลกระหม่อมจะลงหลัง ก็เชิญพ่อสิ” แม่ข้าหลวงย้อนให้บ้าง ซ้อนงอนซ้อนขันอยู่ในเชิง หมุนกำไลมือประทานไปมาแก้ขวยแล้วแสร้งหัวเราะ “ฮะ ตั้งแต่ได้ท่องกาพย์โคลงของทูลกระหม่อม พอจำได้ หมู่นี้ฉันดูกล้าฝีปากนักหนา”

ออกหลวงกลาโหมหัวเราะเชิงงอนสาว แล้วเพ่งพักตร์พระองค์หญิง ทูลว่า

“ทรงฟังเถิด ข้าหลวงฝ่าพระบาทจักให้หม่อมฉันหลังลายด้วยพระอาญา ทูลกระหม่อม อพิโธ่เอ๋ย แม่ยมโดย อันพระราชวังจันทรเกษมเรานี้มิชั่ว แต่เจ้าเดือนดอกนะที่ท่องกาพย์โคลงของทูลกระหม่อมสมเด็จฯ แม่ข้าหลวงอื่นๆ ใครๆก็หัดท่องกันอยู่ทุกคน ยิ่งรู้ว่าจะใกล้ถึงเดือน ๑๒ หน้าน้ำอีกไม่กี่เดือน บทเห่เรือของสมเด็จฯ ที่ทรงไว้ ก็เห่กันแซ่อยู่พระราชวังมิใช่หรือ แม่ยมโดย แม่ก็เคยเห่”

“ใครบอก”

ข้าหลวงแม่ค้อนควับ และพระองค์หญิงก็ทรงพระสำราญชอบที่จะเห็นออกหลวงหนุ่มกับนางข้าหลวงทะเลาะกัน จึงรับสั่งเป็นเชิงตั้งพระองค์อยู่กลาง

“ฉันไม่รู้ด้วย ใครอย่ามาอ้างหญิงนี้เป็นพยานเลย แต่ยมโดยนั้นเห่อยู่เสมอ”

“ไหมล่ะ” กลาโหมชี้นิ้ว หัวเราะร่า “พระองค์หญิงยังทรงยินแล้วยมโดยแม่จะว่ากระไร”

สาวข้าหลวงต้นพระตำหนัก และทรงโปรดประดุจเพื่อนทุกข์เพื่อนสุขกลับค้อนให้พระองค์หญิง

“ก็เห่ด้วยกันทั้งนั้น มิเลือกใคร แม้พระองค์หญิงก็ทรงโปรดกาพย์ติดพระโอษฐ์อยู่”

“กาพย์ใดล่ะ แม่ยมโดย”

ข้าหลวงสาวชำเลืองพระพักตร์แล้วหัวเราะ

“ห้าทุ่มสิเพคะ พอฆ้องห้าทุ่มคืนไร พระองค์หญิงแม้มิบรรทมเสียก่อนก็ทรงเห่ว่า

๏ เพลาห้าทุ่ม คือเพลิงรุมสุมกลางใจ
ร้อนเรียมเทียมร้อนไฟ อีกหนามรุมกลุ้มเสียบทรวงฯ”

“จำแม่นนัก”

ทหารพระบัณฑูรชี้นิ้วทางแม่ข้าหลวงแล้วเพ่งมวยผมสูดลมหายใจเข้า ประหนึ่งบอกจุมพิตแต่โดยห่างด้วยหัวใจ กล่าวว่า

ไรน้อยรอยระเบียบ เป็นระเบียบเทียบตามแนว
ริมเกล้าเพราสองแถว ปีกผมมวยรอยไรนางฯ”

พระธิดาพระบัณฑูรทรงพระสรวลกิ๊ก และแม่ยมโดย แม่ยิ่งอายเมื่อเห็นกิริยาสูดหายใจของออกหลวง และยิ่งท่องกาพย์ห่อโคลงพระบัณฑูร แม่ค้อนให้ทั้งทหารกล้าและพระองค์หญิง แล้วก็ค่อนว่า

“พิลึกนัก พี่เดือน ดูหรือมาท่องกาพย์ดุจทำเพลงยาว ช่างจำฝีพระโอษฐ์ทูลกระหม่อม พระองค์หญิงก็ช่างเมตตาเข้าด้วยดีนัก”

“แน้ ยมโดย” ทรงออกพระโอษฐ์แล้วทรงพระสรวลอีก “ฉันเป็นคนกลาง ฟังอยู่ ไฉนยมโดยจักมาถือเคืองว่าเป็นฝักใฝ่ข้างกลาโหม ผิว์ลับตาฉันสิ ยมโดยคงจะมิเคืองแท้กระมัง”

แม่ข้าหลวงยกสองมือปิดหน้า แต่ใช่จะให้ หากแสนอาย ออกหลวงก็ชอบอกชอบใจนัก แล้วขณะนั้นยามฆ้องก็ลั่นบอกเพลาทรงเครื่องเสร็จแล้ว

“เสด็จทรงเครื่องแล้ว” ทหารคู่พระทัยพระมหาอุปราชกล่าวขึ้น ยกสองมือประนมต่อพระพักตร์ “กระหม่อมฉันจะต้องทูลลาตามเสด็จ อันการใดขอเป็นพนักงานไว้พระทัยแก่หม่อมฉัน”

พระธิดาพระบัณฑูรพระพักตร์เผือดจากที่ทรงสำราญ อึ้งอยู่ รับสั่งเป็นพรว่า

“หลวงกลาโหมจงจำเริญ ที่หญิงกล่าวไว้อย่าประมาทเสีย”

“ให้ล้อมสักหมื่นหนึ่ง” หลวงหนุ่มกราบทูล ยืดกายโดยองอาจ “หม่อมฉัน อ้ายเดือน ขอให้ล้อมสักหมื่นหนึ่งหรือเรือนแสน ผิว์หลวงกลาโหมหักมิออกก็จะขอเชือดคอตัวตายเสียก่อน”

“เคยเห็นฝีมือ” รับสั่งปีตินัก “ทูลกระหม่อมเคยรับสั่งอยู่เสมอว่าทั้งแผ่นดิน ข้าหลวงกลาโหมอยู่แล้วไม่เกรงใคร”

ยมโดยแม่มองยอดทหารสมเด็จฯ คำนึงอยู่โดยปีติแทนว่า

“พ่อชู้ฉันเอง มิเสียแรงยมโดยนี้เลือกพ่อแล้ว เป็นยอดทหาร ผิว์พระบัณฑูรเสวยราชย์ พ่อหลวงสิ อย่างน้อยก็คงออกญากลาโหมแต่ยังหนุ่ม อันศึกเสือเหนือใต้ พ่อยอดทหาร พ่อคงจักล้างศึกเสียชั่วพริบตาหนึ่งโดยฝีมืออันตระหนักแล้วจบศรีอยุธยา”

เสียงฆ้องย่ำหึ่งก็เงียบหายแล้ว จึงออกหลวงก็ประนมมือถวายบังคม

“เชิญกลาโหม พ่อเถิด” พระองค์หญิงรับสั่งด้วยกิริยาทรงเศร้าและย้ำอีกถึงเนื้อความ “หลวงกลาโหม พ่ออย่าได้ประมาทเลย เพราะทูลกระหม่อมมีศัตรูเหลือหลายนัก”

ออกกลาโหมหนุ่มก็จำยิ้มปลอบพระทัยอีกครั้ง กราบทูลว่า

“พระองค์หญิงก็ได้ทรงทราบแล้ว อ้ายเดือนกลาโหมนี้เป็นข้าสมเด็จพระบัณฑูรมาแต่ไหน อย่าว่าแต่เพียงศึกกันเองกระนี้เพียงพลหมื่นแน่ะ กระหม่อมฉันขอให้หงสาวดีราชศัตรูเก่าพลแสนมาล้อมพระองค์ท่าน ผิว์อ้ายเดือนหักศึกล้อมมิได้แล้วจักขอเชือดคอตัวตาย”

“เชื่อน้ำคำพ่อนัก” รับสั่งด้วยสุรเสียงจักสะอื้นด้วยปีติ น้ำพระเนตรคลอ “ฝีมือพ่อเดือนยิ่งยอดทหาร หญิงรู้อยู่ตลอดน้ำใจแล้ว แม้ทูลกระหม่อมเสด็จพ่อท่านจึงประทานเป็นกลาโหมทหารศึก หากแต่ที่หญิงกล่าวนี้ใช่จักประมาทฝีมือและน้ำใจพ่อเดือนเลย เพราะหญิงเป็นห่วงทูลกระหม่อมนักหนา”

ออกหลวงก็กราบอีกครั้งหนึ่ง ทูลให้มั่นพระทัย ทั้งบอกยมโดยแม่ข้าหลวง

“แน่ะ พระองค์หญิงและยมโดยแม่เอ๋ย อย่าถึงองค์ทูลกระหม่อมจักอันตรายที่ทรงวิตกนี้เลย ฮะ...พระองค์หญิงและแม่ยมโดย อันราชวังจันทรเกษมท่านนั้น ผิว์ถูกทหารล้อมสักสามชั้นหรือสี่ชั้น หากอ้ายเดือนมิเชิญเสด็จพ้นอันตรายนั้นแล้ว ก็ทรงลงพระอาญาเถิด อนึ่ง ทหารสมเด็จพระบัณฑูรก็ได้คัดแล้วเป็นเยี่ยมเป็นเอก จักยอมอยู่แต่ทหารหลวงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น ผิดอื่นอ้ายเดือนขอรบสุดชีวิตทีเดียว”

พระองค์หญิงทรงสะอื้น มั่นพระทัยทั้งปีติคำออกหลวง แม่ข้าหลวงยมโดยก็ตื้นตันอยู่เต็มอก

“กลาโหมพ่อจงมีชัยเถิด” พระธิดาพระบัณฑูรทรงกล่าวพรแล้วกันแสงเพราะปีตินั้น “หญิงขอฝากทูลกระหม่อมแก่พ่อเดือนเป็นคำท้ายเท่านั้น กลาโหมพ่อจงจำเริญเถิด”

ทหารเจ้าฟ้าสมเด็จพระบัณฑูรจึงรับพรนั้น แล้วสาวยมโดยข้าหลวงแม่ ซึ่งธรรมดาถืองอนอยู่ ก็อ่อนคล้อย ทั้งกล่าวคำพรเช่นพระองค์หญิง จึงออกกลาโหมก็ปีติปลื้มนัก ถวายบังคมอีกครั้ง จึงถอยลาไปพร้อมด้วยจ่าโขลน

ก็เสด็จจากสวนขึ้นสู่พระตำหนัก แม้กระนั้นแล้วตลอดทางพระองค์หญิงก็มิวายจักหวาดหวั่นพระทัยเพราะทรงตระหนักอยู่ เหลียวครั้งหนึ่งเมื่อขึ้นพระตำหนักก็เห็นออกกลาโหมทหารกล้าพระบัณฑูรจักพ้นประตูแล้วจึงรับสั่งแก่ข้าหลวง

“ยมโดยเอ๋ย พ่อเดือนกลาโหมนี้หญิงมีอยู่แต่เขาคนเดียว ยมโดยเจ้าเห็นประการใด”

“ภักดีและฝีมือกลาโหมนั้น ยมโดยกล้าถวายชีพเป็นประกัน” สาวข้าหลวงทูลรับคำด้วยมั่นใจ “พี่เดือนเป็นข้าสมเด็จกระหม่อมท่านและยอดทหารพระบัณฑูร จึงมิควรทรงวิตก เพราะเขาก็รับคำเป็นมั่นแล้ว ซึ่งทหารเสด็จในกรมทั้งสามนั้นก็เกรงฝีมืออยู่”

ท่านทรงพระสรวลสำเนียงเครือ

“ถูกแล้ว ยมโดยเจ้าเอ๋ย ใครเล่าจักล้างกลาโหมทูลกระหม่อมได้ ฉะนี้แหละ หญิงจึงได้เชิญมาฝากอีกครั้งหนึ่งให้มั่นน้ำใจเสีย”

ครั้นแล้ว ขณะนั้นทั้งพระองค์หญิงและข้าหลวงยมโดยก็ลับกายสู่พระตำหนัก และออกหลวงก็ออกพ้นเขตไปแล้ว เป็นแต่คำนึงอยู่ตลอดทางว่า ไฉนหนอพระธิดาทูลกระหม่อมมาทรงวิตก ทั้งแม่ยมโดยด้วยเหตุนี้ อนึ่ง กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพภักดี หรือขุนจิตร ซึ่งรับพระอาญาเมื่อเร็ววัน ก็ใช่จักประเสริฐฝีมือเกินกว่ากลาโหม

เมื่อถึงพระพิมานแล้ว ก็เห็นทหารอื่นที่คัดฝีมืออยู่ครบทั้งหัวพันและนายหมู่เรียงรายคอยเสด็จลง แล้วในครู่นั้นจึงกลาโหมผู้เพิ่งมาถึงก็เร่งขึ้นสู่พระที่นั่ง เพื่อเชิญเสด็จห้อมล้อม ประจวบกับเสียงประโคม อันราชวังจันทรเกษมขณะนี้ แม้เสียงสังข์ประโคมเคยเป็นราชกิจ แต่เสียงประโคมนั้นก็ฟังประหนึ่งเป็นเสียงไห้อยู่ตลอด แล้วตราบเสด็จลง ซึ่งข้าหลวงหรือเหล่ามหาดเล็กรักษาพระองค์ สมเด็จพระมหาอุปราชและต่างพระตำหนัก พระลูกเธอภายในพระราชวังจันทรเกษม ซึ่งมาเฝ้าอยู่ต่างสังหรณ์สยองไปเอง

ออกหลวงชู้แม่ยมโดยจึงเข้าเฝ้ากราบทูลเชิญเสด็จโดยประเพณีแล้วจึงเข้าชิดพระองค์ ทูลแต่โดยนัย

“ข้าพระพุทธเจ้าจะโดยเสด็จครั้งนี้ ได้จัดทหารแล้วเสมอยี่สิบโดยฝีมือ หากเพิ่มลดอีกอย่างไร พระอาญาไม่พ้นเกล้า”

ทรงพระสรวล เอื้อมพระหัตถ์ลูบศีรษะออกหลวงหนุ่มทหารคู่พระทัย

“เดือนเอ๋ย ราชโองการทูลกระหม่อมนี้ ชะรอยจักร้ายหรือดี เรารู้อยู่ แต่ว่าเจ้าอย่าได้วิตกโดยข่าวกระซิบนั้น”

“ข้าพระพุทธเจ้าถวายอยู่ใต้ฝ่าละอองพระบาท อ้ายเดือนต้องรบสิ้นชีพ”

“เอ๊ะ เจ้าเดือน นี้เป็นราชโองการ จอมจันทน์มาเชิญเรา อย่าเลย มิว่าการใด เป็นรับสั่งแล้ว เจ้าจะระงับ”

โองการพระบัณฑูรแม้จักเพียงน้อยที่รับสั่ง แต่หลวงกลาโหมก็ยิ่งสำนึกว่า มิใช่การน้อย ทั้งรำลึกคำพระองค์หญิงที่ทรงพระวิตก รับสั่งฝาก

“อ้ายเดือนต้องกบฏ” หลวงกลาโหมกระซิบทูลเสียงสะอื้น “ผิว์ใต้ฝ่าละอองจักเกิดภัยด้วยใช้อาญาแล้ว อ้ายเดือนจักรบให้สิ้นชีพสิ้นทหาร”

ทรงพระสรวลอีกครั้งหนึ่ง ลูบไล้ด้วยปรานี ทรงดำรัสว่า

“อ้ายเดือน มึงนี้ยอดทหารพระบัณฑูร สมใจ กูเชื่อแล้วว่าศรีอยุธยาจักต้องใช้มึงยิ่งกูใช้ ฉะนั้นมึงต้องเป็นทหารศรีอยุธยา อย่าคิดอื่น”

“ทหารพระบัณฑูร” หลวงกลาโหมตอบห้วนๆ หัวใจทหารขณะนี้สำนึกแล้วว่าศึกภายในจะต้องเกิด “ชายชาตรี หาใช่จักเกิดมาเป็นข้าสองเจ้ามิได้ฉันใด ทหารพระบัณฑูรย่อมฉันนั้น”

“มึง อย่า” รับสั่ง พระเนตรคลอด้วยปีติ “กลาโหม กูเชื่อฝีมือมึง แต่ราชโองการนี้ยังมิแน่อย่างไร ฉะนั้นหากถึงราชวังหลวง ผิว์จักกล่าวคำมิชอบบ้าง จงเฉยเสีย คอยฟังแต่คำกู”

ออกหลวงหัวเราะด้วยน้ำตา

“พระอาญามิพ้นเกล้า ผิว์โองการพระบัณฑูรเสมอรบ เสียงพระดำรัสหนึ่งอ้ายเดือนจักตีเมืองถวาย”

“มึงชวนกูกบฏ”

รับสั่งเท่านั้นแล้วก็เสด็จพระดำเนินเร่งมากระทั่งชั้นต่ำพระตำหนักพิมานขึ้นประทับพระเสลี่ยง จักไปสู่เรือนพระที่นั่ง

ออกหลวงจึงประกาศทหารด้วยกิริยาฮึดฮัดผิดเคย

“ล้อมพระองค์ตลอดเพลา ผิว์ใครห่างมิเห็นแก่ราชการท่านแล้ว จักตัดหัวเสียบมิเลือกใคร”

“มึงดุเกินการแล้ว อ้ายเดือน” พระบัณฑูรทรงดำรัสทั้งทรงพระสรวล “ทหารพระบัณฑูร กูเชื่อแม้จะสักเพียงยี่สิบเศษก็รบทัพนับหมื่น”

“ให้ห้อมอยู่เรือนแสน” ออกกลาโหมถวายบังคมทูล “อ้ายเดือนแต่เพียงหนึ่งจักต้องรบหมื่น มิต้องทรงวิตกประการใด”

ขณะนั้น ทั้งแตรสังข์และกลองชนะประโคมเสด็จลงก็แซ่ด้วยศัพท์สำเนียงนฤนาท ทหารทั้งหลายเมื่อฟังประกาศต่างก็พรั่นสะท้านใจ หวั่นอยู่ด้วยอำนาจออกกลาโหม ต่างเข้าห้อมล้อมพระองค์ประชิดยิ่งกว่าที่เคยและฉงนอยู่

ตราบถึงเรือพระที่นั่งซึ่งเทียบคอยหน้าพระราชวังจันทรเกษมแล้ว ออกหลวงจึงเชิญเสด็จลงประทับและเฝ้าอยู่ประชิดพระองค์ อันรับสั่งพระองค์หญิงที่เคยฟังว่าเป็นขำขันนั้น บัดนี้ออกหลวงก็เห็นว่าเป็นการใกล้จริง เพราะตลอดเพลาขณะเมื่อเรือจอดมีทั้งข้าราชวังหลวงและเหล่านครบาลออกันหนาผิดตาอยู่นัก

แล้วเรือพระที่นั่งสมเด็จพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคลจึงล่องเลียบพระราชวังหลวง จะเสด็จขึ้นฉนวนวังหน้า อันมหาดเล็กมีฝีมือซึ่งออกหลวงได้จัดให้ล่องมาคอยรับเสด็จอยู่ก่อนนั้น จึงกราบทูลว่า ประตูเสาธงชัยปิดอยู่ก็หาเสด็จขึ้นไม่ กลับล่องลงมาประทับที่ฉนวนน้ำประจำท่า ประตูฉนวนก็ปิดอีก จึงล่องลงมาเสด็จขึ้นที่สะพานใต้ระหัดน้ำ

ขึ้นทรงพระเสลี่ยงแวดล้อมด้วยเหล่าทหารกล้า หลวงกลาโหมเข้าชิดพระเสลี่ยง รู้สึกสังหรณ์หัวใจว่า นับแต่ถวายตัวเป็นมหาดเล็กข้าพระองค์สืบมาจนบัดนี้ เป็นยอดทหารรักษาพระองค์ เป็นที่วางพระหฤทัยพระมหาอุปราช มิเคยเลยจะนึกหวาดระแวงการใดเยี่ยงกาลนี้ ทั้งตลอดทางที่ดำเนินพระเสลี่ยงตราบมาถึงศรีสำราญ แล้วเห็นฝูงคนชุมนุมหนาแน่นนัก กระทั่งถึงศาลาลูกขุนนอกพระที่นั่งทรงปืน ก็ยิ่งเห็นประชุมซุบซิบและเพ่งมององค์พระมหาอุปราช จึงรับสั่งแก่ออกหลวงหลวงกลาโหมว่า

“เดือนเอ๋ย มึงให้กลับพระเสลี่ยงกูเถิด เพราะมิชอบกลเสียแล้ว”

“พุทธเจ้าค่ะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า”

กลาโหมกระซิบทูลแล้วเขม้นตาอยู่ ขณะนั้นก็เหลือบเห็นขุนปลัดกรมและเจ้ากรมซึ่งเคยต้องพระอาญาพระบัณฑูร ยืนรายเรียงอยู่กับบรรดาทหารด้วยทีท่าประหนึ่งจักเย้ยด้วยถือแค้น และจ้องกันถมึงอยู่

“เบนพระเสลี่ยง”

กลาโหมออกคำสั่ง สำเนียงห้าวห้วน แล้วเร่งทหารทั้งหน้าหลังให้ประชิดขึ้นโดยสำนึกแล้วว่า อย่างไรเสีย รับสั่งพระองค์หญิงนั้นใกล้จริงหนักหนา

ขณะนั้นหลวงศรีภวังค์ผู้มาคอยเฝ้ารับเสด็จจึงกรากมาถึง แต่กลาโหมก็เข้าต้านหน้าไว้

“ช้าก่อน หลวงศรี ท่านมาด้วยราชกิจกระนั้นหรือ จักเข้าเฝ้าสมเด็จพระมหาอุปราช”

ทรงได้ยินจึงรับสั่งว่า

“ปล่อยเขาเถิด กลาโหม หากจะถือพระราชโองการจงปล่อยศรีภวังค์มาหาเราเถิด”

แล้วก็กวักพระหัตถ์อนุญาต จึงหลวงศรีภวังค์ก็กราบทูลว่าซึ่งประตูอื่นปิดแล้ว แต่หากมาถึง พระศรีสำราญนี้สมควรจักขอพระราชทานทูลเชิญเสด็จขึ้นเฝ้าจึงจะชอบ สมเด็จพระบัณฑูรเชิญเสด็จขึ้นไปประทับรออยู่ ณ ทิมดาบ

บัดใจจึงมีพระราชโองการตรัสสั่งมหาดเล็กให้ออกมาเชิญเสด็จไปเฝ้า ณ ตำหนักสองห้องข้างทิมสงฆ์ ขณะที่จะเสด็จจากไปประหนึ่งจะทรงสำนึกสิ่งไรขึ้นได้ ก็หวนรับสั่งกระซิบด้วยราชปรารภ พระพักตร์เศร้าคล้ำอยู่ว่า

“เดือนเอ๋ย ผิว์ล่วงเย็นล่วงค่ำมิกลับแล้ว เจ้าจงเร่งกลับราชวังเถิด จักได้เอาตัวรอด”

หลวงกลาโหมก็ตกใจ จ้องพระพักตร์ แล้วคะเนการณ์ในพระสุรเสียงและรับสั่งพระบัณฑูรด้วยพิศวงน้ำใจ

“พระอาญาเป็นพ้นเกล้า รับสั่งนั้นหลากใจอ้ายเดือนเป็นพ้นแล้ว”

“แล้วก็รู้เอง ไปเถิด อย่าลืมที่สั่งเมื่อครู่เสีย”

ทรงโบกพระหัตถ์รับสั่งแล้วบ่ายพระพักตร์เบื้องพระราชวังจันทรเกษม ถอนพระทัยบอกพระกิริยาปั่นป่วนลังเลนัก

ตราบนั้นพระตำรวจหลวงจึงเข้าเชิญเสด็จห้อมล้อมหนาแน่น กลาโหมแจ้งการนั้นก็กรากเข้าประชิดองค์สมเด็จพระบัณฑูร ฮึดฮัด

“รับสั่งสักคำเถิดพุทธเจ้าค่ะ”

“รับสั่งอะไร”

“รบ”

“จนใจกูแล้ว เดือนเอ๋ย กลับเสียเถิด”

อันหลวงกลาโหมผู้ฮึดฮัดนั้น ย่อมเป็นที่ตระหนักอยู่ตบศรีอยุธยาทั่วตัวทหาร จึงบรรดาพระตำรวจหลวงซึ่งเข้าล้อมจักเชิญเสด็จพระบัณฑูร ก็ต่างกระจัดกระจายถอยไปเองและตกตะลึงอยู่

พระตำรวจหลวงตัวนายซึ่งเป็นพวกขุนจิตรจึงกรากเข้ามา พ้อว่า

“หลวงกลาโหมท่านผิดพระราชโองการแล้ว จงถอยเสียเถิด มิฉะนั้นข้าพระเจ้าจักกราบบังคมทูล”

“ว่ากระไร”

ขุนฤทธิ์พระตำรวจจึงชี้เอา

“ท่านฝ่าล้อมวงมาฉะนี้น่ะสิ”

กลาโหมหัวเราะลั่น แลเหล่าพระตำรวจหลวงไปทั่วทุกตัวคน แล้วชี้หน้าย้อนเอาบ้าง

“อพิโธ่ ขุนฤทธิ์ท่านเอ๋ย และท่านก็รู้อยู่ว่าเรานี้เป็นข้าทหารรักษาพระองค์ทูลกระหม่อมแก้วมิใช่หรือ แม้ท่านจักมาด้วยพระราชโองการพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ดี แต่หากกิริยาท่านและเหล่าพระตำรวจทั้งหลายที่ล้อมนี้หลากใจนัก เถอะ พูดกันเสียแต่โดยตรงว่าไม่เชื่อกตัญญูท่านจักเป็นสุริต”

ทันใดนั้น ทั้งเจ้ากรมและปลัดของขุนจิตรและหมื่นสุนทรเทพก็ปราดมาถึง

“ฮ้า ดีแล้ว หมื่นสุนทรเทพ” ขุนฤทธิ์ประกาศดัง “ท่านทั้งสองจงเป็นพยานด้วย ดูเถิด หลวงกลาโหมจักหักล้อม”

“กบฏน่ะซี” ขุนจิตรกล่าวขึ้นไม่เกรงใจ “ขุนฤทธิ์ท่านถือพระราชโองการ เมื่อหลวงกลาโหมประพฤติฝ่าฝืนเช่นนี้ก็ต้องกบฏ มิมีอื่น”

“อูบ๋า กบฏ” ทหารพระบัณฑูรร้องอื้ออึงรำลึกรับสั่งพระองค์หญิงเมื่อสักครู่นี้ แล้วจึงย้อนถามเย้ยว่า “ขุนจิตรเอ๋ย มิเสียแรง ท่านก็เป็นข้ามีเจ้า ไฉนหนอมาพูดได้ดังเด็กแต่พล่อยไปเช่นนี้ ก็พระมนเทียรบาลบทใดเล่าที่อ้างมาตัดสินง่ายๆ ว่าเราเป็นกบภฏ เราเป็นข้าทูลกระหม่อมแก้ว เมื่อเห็นฝ่าละอองพระบาทจักข้องอยู่ด้วยภัยร้ายแล้วเข้ามารักษาพระองค์ไว้เยี่ยงนี้หรือ เรียกกบฏ เอ้า บอกมาสักคำหนึ่งก่อน ท่านขุนฤทธิ์ ว่าจักเชิญทูลกระหม่อมแก้วฉันใด”

“ต้องล้อมพระองค์”

“อ๋า ไม่ได้” หลวงกลาโหมกล่าวเด็ดขาด “ทหารสมเด็จพระมหาอุปราชมีพอแล้ว จักล้อมรักษาพระองค์ท่าน จักมิยอมให้ผู้อื่นล้อมเป็นอันขาด ขอให้ถอยเดี๋ยวนี้”

ขุนจิตรและกรมหมื่นสุนทรเทพ ทั้งขุนฤทธิ์กลับเรียกทหารตัวและพระตำรวจหลวง อ้างรับสั่ง

“เราถือราชโองการ ขอให้ล้อม เพราะหลวงกลาโหมเป็นกบฏแล้ว”

มิทันที่ทหารกรมหมื่นและพระตำรวจหลวงจักเข้าล้อมพระองค์ จึงหลวงกลาโหมก็ถอดดาบ ปราดตะโกนอยู่กึกก้องเช่นกัน เรียกเหล่าทหารยอดฝีมือ

“ทหารพระบัณฑูรถอดดาบถวายชีพทูลกระหม่อมแก้ว”

ขาดคำหลวงกลาโหม เสียงกรากกร่างดาบแล่นจากฝักตลอด ๒๐ ทั้งนายและพล อันเป็นข้ามหาอุปราช หลวงกลาโหมจึงเขม้นอยู่ด้วยเตรียมเชิงทั้งพยักแก่ศัตรูว่า

“ทั้งสามท่านถือราชโองการก็จงสั่งรบก่อนเถิด เราจะได้หัก มิฉะนั้นแล้วจักว่าอ้ายเดือนก่อกบฏ”

อันหมื่นและขุนทางฝ่ายพระตำรวจหลวงและเจ้ากรม ปลัดกรมนั้นเป็นแท้จริง ครั่นคร้ามฝีมืออยู่ด้วยเป็นธรรมดา ทหารพระมหาอุปราชมหาดเล็กคนสนิทจักต้องเตรียมฝีมือตัวไว้ปราบเสี้ยนหนามแผ่นดิน เมื่อทรงเสวยราชย์ทแกล้วทหารย่อมจักต้องกลั่นแต่ล้วนที่แกล้วที่หาญ อนึ่ง อันออกกลาโหมนี้ก็เป็นที่เลื่องลือหนักหนาในเชิงลึกซึ้งด้วยพระตำรับพิชัยสงคราม ตลอดฝีมือกลดาบดั้งตั้งค่าย และอาวุธอื่นแต่ยังหนุ่ม

จึงทั้งขุนและหมื่น ปลัดกรม เจ้ากรม ผู้อ้างราชโองการให้เพียงเชิญเสด็จหาใช่ห้อมล้อมพระเสลี่ยงมิได้ และยังมิทราบขัดถึงกาลข้างหน้า ก็วิตกเกรงพระบัณฑูร หากจะเสวยราชย์ ขุนจิตรจึงแสร้งหัวเราะ ว่า

“หลวงกลาโหมเอ๋ย ท่านสั่งวิวาทฉะนี้ แพ้เปรียบเรานัก แต่เราก็ถือราชการและยุติธรรมเป็นใหญ่ เพราะหลวงท่านกับเราเคยมีอริกันอยู่ก่อน แม้คดีเกิดขึ้น จักเห็นว่าขุนจิตรอาฆาต แล้วอ้างตำแหน่งในราชกิจท่านมาแก้แค้น แต่ถึงกระนั้นก็จำต้องทำไปตามราชโองการพระพุทธเจ้าอยู่หัว”

“อ๋อ แน่นักหนา” ขุนฤทธิ์พระตำรวจหลวงยืนยัน “มีราชโองการให้มาทูลเชิญเสด็จ แล้วผิว์เรามิทูลเชิญก็หัวขาด”

ออกกลาโหมรู้เชิง จึงหัวเราะเย้ยใส่หน้า

“เรารู้แล้วว่าให้มาทูลเชิญเสด็จ มิฉะนั้นทูลกระหม่อมแก้ว ไฉนจักเสด็จมาให้เสียพระเกียรติต้องล้อมฉะนี้ อพิโธ่ แม้พูดเสียสักคำหนึ่งว่าทูลเชิญเสด็จเป็นธรรมดาแล้ว ทำไมจะต้องมาทะเลาะกัน”

สมเด็จพระมหาอุปราชซึ่งประทับอยู่บนพระเสลี่ยงคงสงบพระกิริยาฟังอยู่ มิได้หวั่นไหวพระทัยแก่การนี้ เพราะเคลื่อนทหารแล้ว แม้จักน้อยตัวกว่าเพียง ๒๐ กับ ๕๐ ก็ทหารพระบัณฑูรและออกกลาโหม ผิว์ครบแล้วก็หักทัพพ่ายได้ จึงคำนึงแก่การข้างหน้าเป็นปฐม

ขุนฤทธิ์จึงสั่งพระตำรวจพลให้เข้าเรียงเป็นระเบียบเช่นเชิญเสด็จ เพราะพลนั้นแม้จะถอดดาบอยู่สิ้นก็มีท่วงถดถอยเสมือนเกรงนัก แล้วจึงนายพระตำรวจหลวงก็เข้ากราบทูลเชิญเสด็จ ก็รับสั่งแก่หลวงกลาโหมให้อนุโลมตามราชโองการ

“ข้าพระพุทธเจ้าจักคอยตราบสิ้นเพลาฆ้องที่รับสั่ง”

กลาโหมกระซิบกราบทูลสำเนียงเครือ เหลือบพระพักตร์ครั้งหนึ่งก็ใจหายนัก ด้วยองค์พระบัณฑูรมีพระกิริยากระสับกระส่าย พระหัตถ์ฉวยพระแสงดาบ รับสั่งเป็นปริศนาขณะยื่นประทาน

“จักเข้าราชวังหลวง ทูลกระหม่อมแก้วออกกลาโหม เจ้าจงถือพระแสงเราเชิญไว้เถิด แม้ผิว์เพลา เจ้ากลับแล้ว องเร่งสู่ราชวังจันทรเกษม และพระแสงนี้ก็เสมือนโองการบอกแก่พระองค์หญิง เพราะรู้การอยู่”

กลาโหมกราบถวายบังคมเบื้องพระบาท น้ำตาซึ่งคลอก็พลันหยาดลง

“พระอาญาและกรุณาเป็นพ้นเกล้า ขอถวายชีพอ้ายเดือนฉลองพระเดชพระคุณ ขอเชิญเสด็จด้วยสวัสดิมงคลกระทั่งกลับ”

ทรงแย้มพระสรวล หากฝืนผิว์รู้พระทัยแล้ว ออกกลาโหมจักตระหนักว่า มิทรงหมายเลยว่าราชวังจันทรเกษมนั้นจักมาประทับได้อีก เมื่อยื่นประทานพระแสงแล้ว ทั้งลูบไล้ศีรษะประทานพร จึงหักพระทัย มีพระโองการให้พระเสลี่ยงเคลื่อนต่อไปพ้นศาลาลูกขุนล่วงเข้าพระราชวัง

ฆ้องชัยย่ำพระสุริย์ศรีบอกเพลาอัสดงคตแล้ว ทั้งฟากฟ้าแม่น้ำเบื้องทิศทุ่งแก้วและทุ่งขวัญโน้น อันเป็นตรงข้ามกับราชวังหลวงเพียงแม่น้ำคั่น ก็เห็นแสงตะวันแต่เพียงเรื่อเหมือนแรกเมื่อขึ้นเพลาอรุณ จึงภายในพระราชวังจันทรเกษม พนักงานก็ประโคมฆ้องแซ่ด้วยศัพท์สังข์คุ้นเคยเช่นเสด็จประทับอยู่

แต่สมเด็จพระบัณฑูรหาได้ประทับอยู่ไม่ ด้วยยังมิเสด็จกลับจากราชวังหลวง พร้อมทั้งมหาดเล็กและเหล่าข้าหลวงสนิททหารคู่พระทัย อนึ่ง อันเสียงฆ้องย่ำตะวันลับปลายไม้ตกดินเพลานี้ ครวญหึ่งกว่าจะสิ้นเสียงก็เยือกเย็นแปร่งสำเนียงไป แม้แตรสังข์งอนประโคมก็ฟังแล้วประหนึ่งเสียงนางไห้ ตราบตะวันลับดวง มิ่งไม้ก็เหงาตลอดสิ้นไร้สาเหตุ

กระนั้นก็ดี พระองค์หญิงยังทรงเยี่ยมพระแกลทอดพระเนตรเพริดไปต่างๆ ฝ่ายเบื้องพระพิมานที่ประทับดังหนึ่งจักขับพระเนตรคอยดูเสด็จ กับพร้อมด้วยสังหรณ์พระทัยเองนั้นหลายครั้งหลายหน ว่ากระไรหนอ วันนี้ช่างเงียบเหงา แล้วตลอดราชวังจันทรเกษม ฟ้าก็อับลม แม้จักเพียงใบไม้ไหวก็มิได้ พุ่มแก้วไม้ประดับตามหนทางหลังพระที่นั่งเคยสว่างไสว แล้วป่านนี้ ดูหรือ เจ้าพนักงานยังหาตามประทีปไม่ ทั้งเสียงฆ้องกลองประโคมเล่า ก็ครางอยู่ดังคนต้องเจ็บปวดเป็นสาหัส

ยิ่งทรงคำนึงก็ยิ่งพรั่นพระทัยเป็นที่สุด และในขณะนั้นประทีปบนพระพิมานโน้นก็ตามขึ้น หากแต่พระประทีปหาได้รุ่งเรืองเสมือนก่อน เพียงแต่สลัว จึงดูพระพิมานสมเด็จฯ เหงายืนเสียดฟ้าตะคุ่มอยู่ แม้พระองค์เองก็ใคร่จักทรงกันแสงเสียเอง โดยมิทราบในพระทัย

“โธ่ ทูลกระหม่อมแก้ว” ทรงถอยจากพระแกล รับสั่งอยู่พึมพำ แลภายนอกมืดสนิท เหลือบเห็นยมโดยสาวข้าหลวงเป็นที่เสน่หาพระทัย ก็รับสั่งปรารภว่า “ป่านนี้ทูลกระหม่อมแก้วยังมิได้เสด็จกลับอีก ยมโดยเอ๋ย”

“น่าจะติดราชกิจกระมังเพคะ องค์หญิง” แม่ข้าหลวงชู้ใจของกลาโหมทูลตอบด้วยคะเนพระทัยถูก “หาไม่ คงเสด็จเลยไปวังในกรมหมื่นเทพพิพิธ”เพราะรับสั่งอยู่”

“ไม่น่าเชื่อ” รับสั่งเหมือนรำคาญที่ยินแก้ตัว แล้วเสด็จมาบนพระแท่นอันสาวนางข้าหลวงอื่นก็หมอบเฝ้าอยู่รายเรียงหน้า จึงรับสั่งอีกด้วยกำลังกลุ้ม “นี่แน่ะ ทุกๆคน ข้าหลวงของฉัน ใครเคยเห็นบ้างว่า ทูลกระหม่อมแก้วขึ้นเฝ้าจะช้าผิดสังเกตเช่นเวลานี้”

ต่างทูลว่ามิเคยเห็นด้วยกันทุกคน และรับสั่งถามนั้นเองตลอด พระพักตร์และอิริยาบถก็บ่งพิรุธอยู่ จึงพลอยพากันพรั่นใจเหลียวจับตากัน ยมโดยแม่ต้นพระตำหนักจึงคิดว่า พระองค์หญิงซึ่งทรงพรั่นเป็นห่วงแล้วนี่ จะหาใดอื่นมากราบทูลมิได้ดีไปกว่าอ้างทหารสมเด็จฯ ซึ่งเคยไว้วางพระทัยจึงจะสมควร

“กลาโหมก็กราบทูลแล้วว่า ได้จัดทแกล้วทหารไปเป็นอันมาก คงจะเสด็จเลยเยี่ยมเยือนหรือติดราชธุระอื่นหรอกกระมัง อย่าพระทัยร้อนนัก อีกสักครู่น่าจะเสด็จกลับเป็นแน่”

“อย่าหัดเท็จหน่อยเลย ยมโดย”

มิทันจะรับสั่งอันใดอีกก็ได้ยินฟ้าคะนองครางครืน ฟ้ากับลมอ้าว ฝนก็พลันเกิดพายุแรงร้ายกาจ ทั้งเสียงไม้โค่น ใบขาดปลิวว่อนสลอนเข้าทางพระแกลเกลื่อนพระตำหนักหมด ทรงกอดยมโดยไว้ด้วยความตระหนก รับสั่งให้ข้าหลวงปิดพระแกลและทวารประตูสนิทหมด แล้วทรงกันแสงแก่ยมโดย

“วันนี้คงเกิดเหตุร้ายเป็นแท้แล้ว ยมโดย ดูเถิด ดินฟ้าอาเพศพิลึกนัก ไม่เคยเห็นเลย”

“ตั้งพระทัยดีๆเถิด” ข้าหลวงต้นพระตำหนักปลอบไปตามการ แต่หากหัวใจยมโดยนั้นก็หวาดสังหรณ์อยู่ตั้งแต่เช้า เมื่อรับสั่งให้ไปตามทหาร “ทูลกระหม่อมแก้วทรงตำแหน่งถึงพระมหาอุปราชจักเสวยราชย์ ก็ภัยใดเล่าจะสู่ถึงพระองค์ได้”

“ราชภัยซี เจ้ายมโดยมิรู้หรือ ที่เสด็จอาทรงกราบทูลจนมีรับสั่งให้หาขึ้นเฝ้า”

“หม่อมฉันยังมิทราบ” ข้าหลวงทูลความให้ฉงนนัก “หม่อมฉันมิทราบเลย เป็นความสัตย์แท้ ด้วยข้อไรหนอ”

จึงทรงเล่าสู่ยมโดยแต่ค่อยพอได้ยินว่า

“เสด็จอาทั้งสอง กรมหมื่นจิตรสุนทรและกรมหมื่นสุนทรเทพกราบบังคมทูลกล่าวโทษทูลกระหม่อมว่าลอบเข้าสู่ราชวังหลวง ทรงชู้ด้วยเจ้าฟ้านิ่มพระสนมเอก ก็ดูหรือ ป่านนี้ยังไม่เสด็จกลับ อีกอย่าง หาไม่ คงถืออาฆาตแอบอ้างราชโองการล่อไปทำร้าย”

“ข้อนี้หม่อมฉันมิเกรง เพราะพี่เดือนคงจักถวายกตัญญูเชิญเสด็จมาได้”

“นั่นสิ ถ้าเป็นเซ่นนั้น ป่านนี้เห็นจะรบกัน เออ จะข้อไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น เพราะทูลกระหม่อมเพิ่งหายประชวร”

“ก็ดูเถิด” แม่ข้าหลวงรับคำและทูลแก้ข้อหานั้น “เมื่อประชวรแล้วไฉนจะลอบสู่ราชวังหลวงได้”

ทรงโบกพระหัตถ์ห้าม

“อย่าอึงไป ยมโดย แม้ทูลกระหม่อมจะทรงเป็นถึงพระมหาอุปราชก็ศัตรูมากนัก อันกลของศัตรูนั้นใช่น้อย”

ภายในพระตำหนักแม้จะปิดสนิทหมด มีแต่แสงประทีปสว่างไสวและอบอ้าว ก็พลันรู้สึกเยือกเย็นและเสียงซ่าภายนอกทั้งแสงฟ้าแลบ

“ฝนตกแล้ว” พระธิดาน้อยพระบัณฑูรที่ทรงกำพร้ามารดาแต่เยาว์ยิ่งรับสั่งวิตก “ดูเถิด ค่ำแล้ว ยังไม่เสด็จกลับ และฝนมาตกเสียเช่นนี้ แม้หนักตลอดรุ่งก็เหมือนจะให้เราคอยเสด็จอยู่ด้วยความทุกข์จริงๆ”

เสียงฟ้าผ่าภายนอก พายุฮือดังเสียงโห่ของเหล่าบุรุษศัตรูจนตระหนกพระทัย ทรงร้องหวีด เรียกข้าหลวงให้ล้อม แล้วสาวยมโดยก็รัดพระองค์ไว้มั่น อีกขณะหนึ่ง ก็ได้ยินแว่วๆ ดังสำเนียงปี่ประโคมรับ

“เอ๊ะ ถ้าเสด็จฝ่าฝนกลับหรืออย่างไร ยมโดย แน่ะ ฟัง” รับสั่งชี้ทางพิมานรัตยา “ช่วยกันฟังที หรือใช่ปี่และสังข์ประโคมหรือมิใช่”

ต่างเงี่ยหูฟังฝ่าเสียงฝน ก็ไม่แน่ เพียงแว่วๆ ก็ยินเสียงฟ้าคำรนกลบเสีย

“รำคาญฝนเหลือเกิน ทั้งฟ้าคะนองจนฟังไม่เป็นศัพท์แล้ว ใครก็ได้ไปแง้มหน้าต่างดูทีเถิด กลับใช่ไหม”

ยมโดยก็ทักว่า

“จะเห็นหรือ พระองค์หญิง เพราะทางโน้นเจ้าพนักงาน เขาคงปิดเปิดพระแกลเหมือนกัน เกรงฝนสาด”

ก็ตอบด้วยพระทัยร้อน

“ถึงงั้นก็ต้องตรวจดู ไปปิดเถอะ บางทีจะยินชัดขึ้นบ้าง เร็วหน่อย เดี๋ยวจะหยุดเสียง”

ข้าหลวงหนึ่งก็เร่งไปเปิดพระแกลชะโงกมอง ก็จริงดังคำสาวยมโดย เพราะพระพิมานที่ประทับปิดพระแกลตลอดหมด เห็นแต่ประทีปวับวามอยู่ทั้งสุดเสียงประโคมแล้ว ถึงกระนั้นด้วยพระทัยผูกพันอยู่ พระองค์หญิงจึงลุกผละจากยมโดย เสด็จไปชะโงกด้วยพระองค์เอง แม้หากละอองฝนจะสาดกระเซ็นมาต้องพระพักตร์และพระเกศาแทบจะชุ่ม ก็ยังจับพระเนตรเพ่งอยู่

ขณะนั้นเอง พระธิดาพระมหาอุปราชก็ฉงนพระทัยนัก ทั้งทรงตื่นตะลึงหันกวักเรียกข้าหลวง

“ยมโดย มานี่เร็วสักหน่อยเถิด โน่น แม่เอ๋ย มาดูโน่น”

ข้าหลวงยมโดยรีบลุกมาถึงพระแกล

“พระเนตรฝาดไปกระมัง”

“ดูก่อน ยมโดย อะไร ฉันหรือจะตาฝาดหวาดไปอย่างแม่ว่า”

สาวยมโดยก็ชะโงกตามที่ชี้พระหัตถ์ให้ เมื่อเพ่งอยู่อีกครู่แล้ว สาวข้าหลวงก็อึ้งตะลึงดุจพระองค์หญิงเช่นกัน ด้วยแสงประทีปวับวามซึ่งส่องจากพระพิมานนั้น แม้จะกระหน่ำอยู่ด้วยสายฝนก็พอจะเห็นชุลมุนด้วยผู้คนวิ่งวุ่น และรอบพระพิมานเบื้องหลังที่ยมโดยเจ้าเห็นถนัดเล่า มิผิดกว่าเหล่าทหารล้อมพระที่นั่ง

“ทหารและเหล่าพระตำรวจมิใช่หรือเพคะ”

“นั้นซี ยมโดยมาว่าฉันตาฝาด ดูเถิด” รับสั่งด้วยตระหนกหนักทั้งปรับทุกข์ว่า “เกิดอะไรกันหนอ หรือทหารสมเด็จทูลกระหม่อมท่านเพิ่งกลับ แต่มิเคยจะเห็นต้องห้อมล้อมให้ฉุกเฉินเช่นนี้เลย โอ้ ยมโดย ชะรอยร้ายจะเกิดแล้ว”

สาวข้าหลวงยิ่งสั่นพรั่นพลอยวิตกนัก และขณะที่จ้องขึงตะลึงด้วยกันทั้งข้าหลวงและพระองค์หญิงก็ตระหนกตกใจหวีดร้อง

“ปิดหน้าต่างเร็ว ยมโดย” รับสั่งแล้วผละถอยจากพระแกล บอกแก่ข้าหลวงอื่น “ปิดประตูมั่นดีแล้วหรือเจ้า ผิว์ใครเรียก ขออย่าได้เปิดเป็นอันขาด โธ่เอ๋ย ราชวังจันทรเกษม กรรมมาถึงแล้ว”

ยมโดยยังตะลึง ก็เห็นถนัดว่ามิใช่ทหารทูลกระหม่อมมหาอุปราช เพราะมีเหล่าพระตำรวจหลวงผสมมาและซ้ำยังได้ยินเสียงสั่ง

“ล้อมเร็ว อย่าปล่อยให้ใครเข้านอกออกในหนีได้เป็นอันขาด”

พลัน แม่ข้าหลวงก็หับบานพระแกลสนิทแน่น ถลาออกสู่พระองค์หญิง

“ขุนจิตรแล้วเพคะ พระองค์หญิงจะเสด็จหนีไปไหนพ้นเล่า เพราะเขาสั่งล้อมพระตำหนักสิ้นแล้ว”

“โธ่ ภัยเกิดแก่ทูลกระหม่อมแก้ว” ทรงกันแสง รับสั่งแล้วรำลึกถึง “ทหารทูลกระหม่อมไปไหนเสียหมดเล่า ดูหรือ ทั้งพระพิมานและพระตำหนักน้อยสารภีต้องถูกเขาล้อม”

แต่ยมโดยแม่มีสติจึงคว้าข้อพระหัตถ์เข้าสู่ห้องบรรทมอีกชั้นหนึ่ง พร้อมด้วยเหล่าข้าหลวงอื่นทุกตัวนางเข้าห้อมล้อม เสียงไห้มิเป็นศัพท์ รำพันถึงชีพตัว ทุกข์ภัยต่างๆ ตลอดเพลา กระทั่งเสียงฝีเท้าระทึกกระเทือนพระตำหนัก

และข้างภายนอกนั้นเล่า ฝนยิ่งตกกระหน่ำหนักพร้อมพายุ แม้กระนั้นทหารขุนจิตรประจำวัยก็วิ่งวุ่น ทั้งล้อมและจุกช่องทางตลอดในสวน ขุนจิตรผู้คุมมาถึงนั้น ถอดดาบพาทหารคู่ใจขึ้นสู่พระหนักเข้าทุบประตู

“ทรงเปิดเดี๋ยวนี้ พระองค์หญิง” ขุนจิตสุนทรออกคำสั่ง สันดาบก็กระทุ้งเร้านัก ทั้งอำนาจ “หม่อมฉัน...ขุนจิตรถือรับสั่งเป็นราชโองการมาเชิญเสด็จเดี๋ยวนี้ ต้องเปิดเดี๋ยวนี้”

คงเงียบเสียงตอบ ขุนทหารกรมหมื่นก็ยิ่งร้อนใจนัก จึงระดมทหารให้ทุบประตูเรียก ประหนึ่งจะทลายลงด้วยความสะเทือน จึงสักครู่ แล้วเบื้องพระแกลเหนือประตูนั้นก็ยินเสียงเปิด ข้าหลวงสาวหนึ่งชะโงกหน้ามาถาม ยังมีเสียงไห้

“ใคร นั่นใครทุบประตูพระตำหนักเล่น”

“ทุบจริงซี แม่เอ๋ย จะเล่นทำไม” ขุนจิตรแหงนหน้าตะโกนฝ่าเสียงฝน

“ทูลพระองค์หญิงให้เปิดรับเดี๋ยวนี้ เร็วเถิด”

“ทรงบรรทม”

“ปลุก บรรทมก็ต้องปลุก เราถือราชโองการมา มิฉะนั้นจะให้ทหารพังประตู”

กลับเห็นข้าหลวงนั้นหลบหน้าหาย อีกสักครู่ก็โผล่พระแกลมารับหน้า อีกคนหนึ่งป้องปากถามลงมา

“ใครก็ไม่ทราบเลย นี่ค่ำคืนและทรงบรรทมแล้ว”

ฟ้าแลบแสงปลาบ ขุนจิตรได้สังเกตเพียงขณะฟ้าแลบก็จำได้ ทั้งน้ำเสียงแค้นหลังและริษยาก็ประดังขึ้นแก่หัวใจทหารหนุ่ม

“อ้อ ยมโดยรูปสวยของฉันหรอกหรือ แม่เอ๋ย นี่ขุนจิตร แม่จำมิได้หรือ แม่เปิดประตูเถิดเพราะเราถือราชโองการมาเชิญเสด็จพระองค์หญิงและหน่อพระบัณฑูรทุกองค์ก็เชิญไปหมดแล้ว ไม่เหลือสักพระตำหนักเดียว”

“เรื่องอะไรจะให้เปิด”

“แล้วกัน แม่ยมโดย ไยจะต้องให้ฉันมาเล่าเรื่องอยู่กลางฝนเล่า ก็ราชโองการนี่แหละจะบอกเรื่อง หากข้าจะให้ทหารพังประตูเดี๋ยวนี้แล้ว จะเกิดผิดทุกคนที่ขืนราชโองการ”

ยมโดยก็กลับพระแกลหายไปขณะนั้น มินานอีกชั่วครู่ก็เสียงกุกกักถอดสลักประตู แต่เป็นข้าหลวงสาวอื่นมิใช่แม่ยมโดยออกมาเชิญ ขุนทหารกรมหมื่นจึงสั่งพลให้ตามตัวไปแต่สถานนอกนั้น จุกล้อมไว้แล้วขึ้นสู่พระตำหนัก

ท่ามกลางข้าหลวงห้อมไว้ดุจดาวล้อมเดือนหน้าห้องบรรทมนั้น ท่ามกลางแสงประทีปซึ่งจับพระพักตร์ที่เคยงามยิ่งของพระธิดาสมเด็จฯ แต่บัดนี้ทรงกันแสงจับพระเนตรอยู่ แม่ยมโดยก็เคียงพระกายไห้เช่นกันตลอด ทุกตัวนางข้าหลวงอื่นๆ ขุนจิตรจึงคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์และยิ้มเย้ยหาได้เคารพดังแต่ก่อนๆไม่

“กระหม่อมฉันถือรับเสด็จในกรม ให้เชิญเสด็จพระองค์หญิงพร้อมข้าหลวงไปสู่พระตำหนักเดี๋ยวนี้”

ทรงฉงนพระทัย เบิกพระเนตรจ้องทหารกรมหมื่น แล้วรับสั่งว่า

“เอ๊ะ ขุนจิตร เสด็จอาท่านมีอำนาจรับสั่งอย่างไรหนอจึงให้ผู้คนมาล้อมพระตำหนักและขับฉัน”

“อ๋อ มีซี” แล้วขุนจิตรก็หัวเราะเย้ยอีก “เพราะเสด็จในกรมทรงถือพระราชโองการ แล้วจึงมีรับสั่งหม่อมฉัน อย่าว่าแต่พระองค์เลย แม้แต่พระสนมนางห้ามตัวโปรด ทั้งพระโอรสธิดาและพระหน่อองค์อื่น ขุนจิตรมันก็กุมส่งไปสิ้นแล้ว ฝ่าพระบาทจะฝืนราชโองการกระนั้นหรือ”

ยมโดย แม่ยิ่งแค้นเพราะขุนนี้เคยชอบรักตัวและเกาะเกี้ยวเสมอมา อนึ่ง เมื่อก่อนขุนนี้ผิว์จักพบเห็นหรือมาเฝ้าก็โดยนบนอบและเคารพนัก เมื่อมาสิ้นเคารพลงจึงพูดแทนพระองค์หญิงเสียเอง

“ขุนจิตรอ้างแต่ราชโองการขึ้นมากล่าว แต่หาได้ทูลให้ทรงทราบไม่ว่าราชโองการนั้นเป็นข้อใด เรื่องไร”

“ก็ได้ซี ยมโดยแม่เอ๋ย” ขุนหัวเราะด้วยทะนงใจ “ เมื่ออยากจะทรงทราบก็เป็นไรเล่า บัดนี้ทูลกระหม่อมมหาอุปราชต้องจำแล้วด้วยราชอาญาชู้สาวจึงมีราชโองการสั่งริบทุกสถาน และยังอีกหลากหลายที่ไม่ควรทูล”

ทรงกันแสงสำเนียงกรีด ทอดพระองค์อิงสาวข้าหลวงแม่ยมโดยรำพันทุกข์

“โอ้ทูลกระหม่อมสิ้นบุญแล้วพระพุทธเจ้าข้าเอ๋ย มิรู้องค์ ลูกนี้สังหรณ์ใจอยู่ ดูหรือ ทั้งฟ้าฝนก็ยังบอกอาเพศกระหน่ำหนักเสียเกินการ ผิว์ทูลกระหม่อมของลูกสิ้นบารมีแน่ หญิงก็จักขอตายตามเสด็จ”

เหล่าข้าหลวงก็ไห้ขึ้นพร้อมกันเสียงแซ่ยิ่งฝน อันแสงอัจกลับและประทีปก็วับแวมดุจสิ้นน้ำมันหมดลง พระตำหนักน้อยสารภีก็ยิ่งวิเวกวังเวงด้วยเสียงนางไห้ ราชวังจันทรเกษมซึ่งเคยสนุกสำราญดังเมืองฟ้า มีพระพิมานเป็นเอกแลเหล่าพระตำหนักน้อยทั้งพระโอรสธิดา ข้าหลวง นางห้ามเคยสำราญระรื่นนั้น พุ่มไม้ใบเขียวทั้งไม้ดอกบานกลางคืน และประทีปส่องแสง ทุกสิ่งก็นับวันจักสูญ

ฝนซาเม็ดแต่ยังพร่ำเรื่อยอยู่ ขุนทหารกรมหมื่นแม้จะพลอยเศร้าไปขณะหนึ่งเพราะเหล่าสำเนียงนางไห้ แต่แค้นหลังของขุนนั้นกับความภักดีต่อพระคุณเจ้านายของตนเป็นเหตุสิ้นกรุณาที่จักให้ช้าอีก

“ทรงทราบแล้วก็เชิญเสด็จพระองค์หญิงเถิด” ขุนจิตรกล่าวแล้วจึงถวายบังคม ลุกยืน ทูลเชิญเสด็จ “เพลาจักชักช้าอยู่อีกนั้นมิได้แล้ว เพราะหม่อมฉันจะต้องพลอยผิด แม่ยมโดยก็จะชักช้าอยู่อย่างไรเล่า เชิญเสด็จซี”

“ต้องสุดแต่พระทัยท่าน” สาวแม่ข้าหลวงตอบทั้งที่กำลังไห้ สิ้นยำเกรง “ขุนก็รู้อยู่ว่ากำลังตกพระทัย จะเร่งรัดกันถึงไหน”

“ชะ แม่ยมโดย” ขุนจิตรหัวเราะก้องพระตำหนัก “นี่ราชโองการพระพุทธเจ้าอยู่หัว มิใช่ฉันจะมาเร่งเอง รู้ไหมเล่า ไงล่ะ ฝ่าพระบาท”

“คอยสักครู่ พอฝนหายก่อนมิได้หรือ ขุนจิตร” รับสั่งวิงวอนและปรับทุกข์ว่า “ฝนกำลังตกหนักเช่นนี้ก็หนาวตายกลางทางเท่านั้นเอง”

“หม่อมฉันทูลแล้วว่าอย่าให้หม่อมฉันต้องพลอยผิดด้วยหน่อยเลย ต้องเสด็จเดี๋ยวนี้แหละ เอ้า ทหาร” ขุนจิตรทูลแล้วหันเรียกทหารที่มาด้วย และยืนอยู่เบื้องหลัง “เมื่อข้าหลวงไม่เชิญเสด็จก็ต้องถือพระราชโองการเป็นใหญ่”

เสียงกรีดแซ่ทุกตัวนาง แม้พระองค์หญิงเองก็ทรงถลาลุก

“ไปเดี๋ยวนี้ อย่าต้องฉุดเลย โอ้ทูลกระหม่อม แต่เกิดมาเพิ่งจะครั้งนี่ที่ลูกจะต้องถูกคร่า” แล้วก็จะหวนเข้าห้องบรรทม “ขอเก็บของสักเล็กน้อยเถิด”

“เป็นพระราชทรัพย์หลวงแล้ว” ขุนจิตรย้ำ “มีรับสั่งให้ริบราชทรัพย์พระบัณฑูรสิ้นทุกสถาน”

ก็ทรงพระกันแสงโฮ ทรงยืนซวนไปประหนึ่งจะล้มลง แล้วทรงรำลึกป่านนี้ทหารทูลกระหม่อมคงจะถูกเขาพิฆาตสิ้น หาไม่ก็จำไว้หมด และสาวยมโดยเห็นกระนั้นก็ผลักประตูห้องบรรทม แล้วประคองมาสู่หว่างกลางข้าหลวงแล้วทูลว่า

“ฝืนพระทัยให้กล้าเถิด หม่อมฉันขอตามเสด็จมิเลือกแล้ว แม้จะต้องตายเสีย”

“ไม่ตายหรอก แม่ยมโดยเอ๋ย” ขุนจิตรกล่าวเมื่อได้ยินทูลเช่นนั้น “แม้จักต้องพระมนเทียรบาลลงเป็นอิสตรีในเรือนทาสแล้ว ฉันจะทูลขอยมโดยเสียเอง”

“ลวนลามใหญ่แล้ว” สาวแม่ชี้หน้า หัวเราะแค้นทั้งน้ำตา “หรือขุนจิตรเห็นว่าเราถึงกาลจะพูดหยามกันเล่นก็บอกเถิด”

เขาหัวเราะ โบกมือให้ทหารเข้าต้อนเบื้องหลังกลุ่มข้าหลวง ทั้งกำกับซ้ายขวาออกประตูพระตำหนัก อันสายฝนซานั้นก็ยังหาสิ้นทีเดียวไม่ ขุนจิตรรอนำเสด็จฝ่าฝนซึ่งกระหน่ำหนาวพ้นพระตำหนักจักลุสวนออกประตูน้อย สารภีหักเกลื่อน ทั้งมิ่งไม้ผลตลอดหนทางก็ทรงเหลียวดูพระตำหนัก รับสั่งว่า

“ลาก่อนพระตำหนักแก้วสารภี และราชมนเทียรทูลกระหม่อม”

ฟ้าแลบปลาบเข้าพระเนตร แล้วขุนจิตรจึงสั่งให้หยุดประทับอยู่ สั่งรวมทหารและพระตำรวจทั้งสิ้นพร้อมกันเข้าห้อมล้อมเป็นขบวนเสร็จ ครั้นแล้วจึงพาเสด็จจากที่ร่มไม้ที่กำบังฝนจะออกประตูพระตำหนักน้อย ก็พลันฟ้าคะนองขึ้น และอีกสักเพียงแปดเก้าวาจักถึงประตู จึงเห็นทหารที่จุกซ่องสามสี่คนวิ่งวุ่น และทันใดนั้น หมู่หนึ่งของทหารก็ตามติดมา

“ใคร นั่น ขุนจิตรตะโกนถาม “ใครสวนทางมานั่น จงหลีกทางเสด็จพระองค์หญิง”

แต่กลับเงียบเสียงตอบ เป็นแต่ทหารหนึ่งปราดขึ้นหน้า ก็ฉงนใจแก่ขุนจิตร จึงตะโกนถามซ้ำอีกด้วยโทสะ

“ใคร เฮ้ย ถามมิตอบ”

“ทหารพระบัณฑูร” เสียงตอบห้วนๆ แล้วก็เข้าประจันหน้า ห่างอยู่สักสามวา “นี่อ้ายเดือนกลาโหมทหารพระบัณฑูร ก็เจ้า ใครเล่า”

ขุนจิตรก็ชะงักลงทันใด เพราะทั้งอริและรุ่งเรืองด้วยฝีมือพร้อมทหารมาทันก็เกรงความจะแตก แต่เห็นการเกินแล้วก็จำปล่อยไปตามการนั้น

“ใครนะ”

ขุนจิตรแสร้งถามตะโกนอีก ขณะนี้เหล่าข้าหลวงก็พากันตื่นใจ เมื่อได้ยินแว่วๆ

เสียงตอบเป็นเสียงหัวเราะครื้นเครงปะปนในน้ำเสียง

“ขุนจิตรท่านจำเสียงอ้ายเดือนกลาโหมมิได้หรือ”

ก็พลันฟ้าแลบอีก และเสียงตอนนี้ก็ยินถนัดพระกรรณแล้ว พระองค์หญิงซึ่งอ่อนพระทัยจะสิ้นแรงนั้นก็พลันตื่นพระทัยนัก ลืมพระองค์และยศศักดิ์สิ้นแล้วก็รับสั่งเป็นตะโกน

“หลวงกลาโหมช่วยหญิงพระองค์น้อยด้วยเถิด”

“พี่เดือนเอ๋ย” แม่ข้าหลวงต้นพระตำหนักซ้อนเสียงรับสั่ง “ยมโดยและพระองค์หญิงถูกเขาคร่าแล้ว”

“ฮ้า พระองค์หญิงและยมโดย แม่หรือนั่น” กลาโหมพระบัณฑูรร้องลั่น “เสด็จมาเถิด พระองค์หญิงและยมโดย เมื่ออ้ายเดือนอยู่นี่แล้วไม่ต้องพรั่น”

“เดี๋ยวก่อน ออกหลวง” ขุนจิตรโบกมือกล่าวขึ้น “เราถือราชโองการมาเชิญเสด็จองค์หญิงไปตามหน้าที่ ก็การซึ่งท่านกล่าวนั้นจะขัดพระราชโองการ เป็นกบฏหรือ”

“บ๊า ขุนจิตร หลวงกลาโหมไฉนเล่าจักเป็นกบฏ แน่ะ ขุนจิตรควรบอกสักคำหนึ่งเป็นไร ว่าราชโองการเรื่องอะไร ว่ากระไร”

“พระบัณฑูรต้องพระราชอาญาแล้วมิรู้หรือ” ขุนจิตรชะโงกหน้าถามเสียงเย้ย “ท่านสิตามเสด็จพระบัณฑูร ก็ไฉนเล่าจักแสร้งมิรู้ว่าการใดเสมือนกบฏ”

“พูดเป็นบ้าแล้ว ขุนจิตร เรานี้ตามเสด็จก็เสมอศาลลูกขุน ไฉนจักรู้การเล่า เถอะน่ะ ขุนจิตร ผิว์ทูลกระหม่อมต้องราชอาญาก็ส่วนหนึ่ง ไฉนท่านจักคุมทหารมาล่วงเกินพระธิดาท่าน หมิ่นพระเกียรติกันดังนี้ หือ”

“อ๋อ พระโองการรับสั่งรีบ”

“บ๊ะ ริบพระราชทรัพย์พระบัณฑูรหรือว่าริบคน ถ้าริบคนก็ต้องริบอ้ายเดือนไปด้วย”

“ท่านหลีกทางเถิด” ขุนจิตรกล่าวง่ายๆ โทสะค่อยเกิด เลี่ยงออกประตูน้อยแล้วก็ยังพบเข้าอีก “ขอให้หลีกเดี๋ยวนี้ หาไม่จักว่าเป็นกบฏ”

“ยอมละ อ้ายเดือนไม่เป็นข้าสองเจ้าแล้ว” กลาโหมก้าวปราดเข้ามา อีกซ้ำตะโกนทูลพระองค์หญิง และบอกเหล่าข้าหลวงให้ทราบด้วยโทสะกล้ามิคิดแก่การอื่น “ชาตินี้ของอ้ายเดือนนั้นยากนักจะเป็นบุรุษข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย และเมื่อกล่าวหาว่ากบฏ ก็เอาละ แต่ใช่กบฏแผ่นดินเป็นการใหญ่ ขอเพียงรักษาเกียรติพระธิดาทูลกระหม่อมและข้าหลวงมิให้ใครหยามได้ กลาโหมจักเชิญเสด็จเดี๋ยวนี้ ตั้งพระทัยไว้”

พระองค์หญิงทรงตื่นพระทัยในคำภักดีของทหารสมเด็จพระมหาอุปราช และขุนจิตรเมื่อฟังเช่นนั้น ก็รู้ว่าจักต้องการเลยตามเลยแล้ว

“อ๊ะ หลวงกลาโหมจะถืออำนาจเช่นนั้นมิได้เป็นอันขาด จงถอยหลีกทางเราเสียเถิด”

ขุนทหารกรมหมื่นโบกมือสกัดห้าม

“บอกว่าไม่ถอย” กลาโหมขึ้นเสียงแหว “มีหรือ คำอ้ายเดือนเมื่อลั่นแล้วจักคืนเสีย เราจะถอยต่อเมื่อได้เชิญเสด็จพระองค์หญิง”

“เช่นนั้นก็ฝืนพระราชโองการ”

“ฝืนก็ฝืน เราไม่เชื่อว่าเป็นพระราชโองการพุทธเจ้าอยู่หัว นอกจากรับสั่งกันเอง”

“เอ๊ะ แล้วกัน นี่หลวงกลาโหมมิว่าเสด็จในกรมกระมัง

ทหารเอกพระมหาอุปราชก็หัวเราะ

“สุดแต่ท่านจะคิดเถอะ ขุนจิตร แน่ะ เพื่อนเอ๋ย ก็ท่านอ้างว่าเป็นราชโองการนั้น และเราจะอ้างบ้างว่า รับราชโองการมาเดี๋ยวนี้เอง ให้เชิญเสด็จพระองค์หญิง แล้วท่านจะว่าอย่างไร ฮะ ขุนจิตรท่านสินึกว่าเป็นผู้รู้เห็นแต่คนเดียว ทำไมเล่า อ้ายเดือนมิได้เรียนรู้แก่การเช่นนี้เตรียมไว้มั่งหรอกหรือ เมื่อเพียงรับสั่งเสด็จในกรมท่านจะถือเป็นการใหญ่ ก็สมเด็จพระมหาอุปราชนั้นข้าพเจ้าจะถือเป็นรับสั่งบ้างเล่า จะว่ากระไร”

“ท่านหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนักแล้ว กลาโหม”

ทหารขุนจิตรชี้หน้า เพราะออกกลาโหมดื้อดึงนัก และเสมือนจะรอบรู้การนี้มาต่างหาก ครั้นจะปล่อยพระองค์หญิงและข้าหลวงที่กุมไว้ก็เกรงจะสมจริงและได้อับอาย เหลียวดูทหารห้าสิบเศษและเหล่าพระตำรวจหลวงกันเองของขุนฤทธิ์ที่ให้มาพอเป็นพยาน เห็นหลากหลายยากจะถอยแล้ว ก็ตกลงปลงใจ

“เราพูดอีกคำเดียวเป็นสุดท้ายนะกลาโหม ว่าท่านต้องหลีกทาง”

“พุทโธ่ ช่างพูดเล่นเป็นเด็กไปก็ได้” ออกหลวงรำคาญใจ “เราจะถอยต่อเมื่อได้เชิญเสด็จพระองค์หญิงเอง หาไม่ ก็บอกกันคำเดียวว่าไม่หลีก รบเป็นรบ”

“ทหาร” ขุนจิตรตะโกนก้อง “กบฏขวางหน้าแล้ว ถอดดาบ แม้พระองค์หญิงหรือข้าหลวงใดหนี เจ้าจักเป็นโทษ”

เสียงร้องกรีดเซ็งแซ่ท่ามกลางฝน

“กลาโหมอย่าทิ้งหญิงให้เขาคร่าเสียเกียรติเลย ขอตายดาบข้างหน้าเถิด”

พระองค์หญิงทรงตระหนักแล้วว่า การนี้เป็นเพียงรับสั่งกันเองต่อๆหาใช่ราชโองการเป็นแน่นอนไม่ หากผู้ถือราชโองการนั้นประพฤติเกินไป

แม่ยมโดยก็เรียกหา

“พี่เดือน ชีวิตยมโดยสุดแต่พี่และพระองค์หญิงเถิด”

“อย่าพูดมาก” ขุนจิตรตวาด ถอดดาบเแล้วจึงสั่งซ้ำ “ทหารทุกคนใครถอยจะถือว่าเป็นใจกบฏ”

ออกหลวงกลาโหมราชเสนาจึงถอยไปสี่ห้าก้าว พระแสงดาบทูลกระหม่อมที่พระราชทานก็ชูร่าแก่เหล่านายหมู่นายกองของตัว

“นี่พระแสงทูลกระหม่อมพระราชทานไว้ ทหารพระบัณฑูรทุกชีวิตโน่น พระธิดาทูลกระหม่อมจักไร้พระเกียรติแล้ว ถอดดาบ ผิว์ไม่ได้พระองค์หญิงตายเสียให้หมดในราชฐานสมเด็จฯ เจ้าตามหลังเราสิ”

เหล่าทหารพระบัณฑูรแม้จักเพียงยี่สิบเศษก็ล้วนแต่สรรแล้วด้วยตัวนายหมู่นายกองมีฝีมือและคั่งแค้นอยู่ ครั้นยินคำออกกลาโหม ทั้งยี่สิบเศษก็สะพรึ่บพร้อมเพรียง เสียงรบก็ตะโกนขึ้นจากกลาโหม

ขาดคำอีกครั้งหนึ่งว่าตะลุมบอน แล้วกลางฝนกลางมืดซึ่งเคยอร่ามรุ่งเรืองด้วยแสงประทีปทั้งพระตำหนักและซุ้มไม้งามและถนนทางเดินซึ่งมีเหล่าข้าหลวงหลายพระตำหนักเดินสรวลเสระริกล้อเป็นคู่ และบ้างเล่นซ่อนหาเอาเถิดตามพุ่มแก้ว พื้นหญ้าที่สะอาดอ่อนโล่งเตียนมโหฬารดุจราชวังหลวงนั้น บัดนี้ก็กลายแล้วเป็นสมรภูมิของข้าต่างกรมแล่นเข้าปะทะกัน โดยฝ่ายหนึ่งหมายใจด้วยอำนาจจะล้างศัตรูให้สมแค้น และไม่มีหนทางจะหลีกเลี่ยง ส่วนอีกฝ่ายนั้นถือกตัญญูและห้าวหาญน้ำใจ แม้จักสิ้นบุญนายแล้วก็จะขอตอบแทนกตัญญูด้วยชีวิตตัว

เพราะความคะเนของขุนทหารกรมหมื่นผิดไป ด้วยสำคัญว่าเมื่อสมเด็จพระมหาอุปราชต้องกุมตัวแล้ว หลวงกลาโหมคงจะเฝ้าคอยอยู่ตราบสว่างหรือถูกจับกุม แต่ก็หาทราบไม่ว่ามีรับสั่งพระบัณฑูรไว้เมื่อจะเสด็จเข้าในราชวังหลวงให้เร่งกลับในเมื่อค่ำ ขุนจิตรจึงลอบมาโดยประมาท อนึ่ง ฝีมือทหารซึ่งเตรียมมาเล่าก็ล้วนแต่เพียงพอรักษาวังกรมหมื่น แม้จักมากก็กระนั้นเอง แต่ทหารพระมหาอุปราชเหล่า ยี่สิบนี้ล้วนแล้วด้วยฝีมือขั้นขุนพลที่ตระเตรียมเสวยราชสมบัติทั้งสิ้น อันออกกลาโหมนั้น ผิว์จักหนุ่มอยู่แต่แกล้วหาญนักหนา ทั้งน้ำใจและฝีมือเป็นที่ครั่นคร้ามลือแล้วจบศรีอยุธยา ทั้งรอบรู้พระตำรับพิชัยสงครามลึกซึ้ง

ออกกลาโหมรบตะลุยมาตราบประชิดพระองค์หญิง ศพเกลื่อนและที่บาดเจ็บลำบากอีกเหลือหลาย ทั้งทหารล้อมพระองค์นั้นกระจายสิ้น

“พ่อเดือนของทูลกระหม่อมแก้วฉันเอ๋ย” รับสั่งกันแสงด้วยปีติเมื่อเหลือบเห็น “ยอดทหารพระบัณฑูรพ่อเอ๋ย ชีวิตฉันขอฝากไว้แก่กลาโหมแต่คนเดียว”

"ฆ่าให้หมด” กลาโหมตะโกนกึกก้องเมื่อได้ยินรับสั่ง “นี่เฮ้ยพระแสงสมเด็จฯ กลาโหมถือมาแล้ว ใครจักตัดหัว”

“จับอ้ายกบฏ”

ขุนจิตรตะโกนสั่งอยู่เช่นกัน แต่ทหารกรมหมื่นซึ่งแตกพ่ายนั้น เพราะเหล่าแม่กองและหัวหมู่ทหารพระมหาอุปราชล้วนเข้มแข็งทุกคน และออกหลวงเล่าก็เคยขึ้นประจัญด่านตีศึกพม่าพ่ายแล้วหลายครั้ง

พอยินคำเรียกกบฏ ออกหลวงก็เดือดน้ำใจ

“พระองค์หญิงของทูลกระหม่อมแก้วทอดพระเนตรทหารท่านเถิด จักรบให้แหลกเดี๋ยวนี้ ถวายกตัญญูเป็นครั้งสุด”

“พี่เดือนอย่าประมาทนัก” สาวข้าหลวงแม่ยมโดยร้องไห้เตือน “กลาโหมพี่จงระวังตัวสักหน่อย พลาดแล้วพระองค์หญิงและยมโดยจักเห็นใคร”

“อุบ๋า แม่เอ๋ยยมโดย แน่ะ พลหมื่นอ้ายเดือนยังเคยหักมา ก็สำมะหาอะไรเล่ากับเพียงกระหยิบมือนี้ ทหารพระบัณฑูรยี่สิบนี้ล้วนคัดแล้วจักตีทัพได้”

ฟ้าแลบอีกครั้งหนึ่ง เห็นขุนทหารกรมหมื่นถนัดตา จึงออกหลวงกลาโหมก็โผนเข้าใส่

“ขุนจิตร เรานี้กบฏแล้วดังท่านกล่าว อ้ายเดือนจึงขอรบท่าน”

ขุนทหารกรมหมื่นถอยกรูด สำนึกตัวดังเห็นเพชฌฆาตทะลวงฟันอยู่เบื้องหน้าแต่ก็จำใจนัก หากเห็นด้วยกลว่ากลาโหมมัวเผลอเพราะโทสะจึงชิงเข้าฟันก่อน

“ชะช้า ขุนจิตร” หลวงกลาโหมยก ๒ ดาบ ป้องประกายไฟรับแวบ และยมโดยทั้งพระองค์หญิงร้องสุดเสียง แต่กลาโหมนั้นแสร้งถอยมาตราบใกล้พระองค์ กล่าวโดยหัวเราะ “ลอบกัดนัก ขุนจิตร อ๋อ ฝีมือขุนแต่เพียงกระนี้เอง เอ้า รับบ้างสิ อ้ายเดือนจะรุกบ้าง”

ขาดคำ ๒ ดาบของกลาโหมอันพระบัณฑูรราชทานไว้ก็ควงลิ่วดังหนึ่งฝีมือจักรรับแสงฟ้า ฟันตะลุมบอนทั้งตัดฉานฝานบวบกลับกลภาพ บัดใจ ขุนทหารกรมหมื่นซึ่งถอยสะดุดศพก็ล้มลง

“กลาโหม พ่ออย่า”

พระองค์หญิงเห็น ตกพระทัย ทรงวิ่งเข้ายึดแขน เพราะพระแสงมหาอุปราชกำลังเงื้อง่าจะตัดศีรษะ

กระนั้น ขณะเมื่อหลวงกลาโหมจิกศีรษะขุนทหารให้เงยขึ้นจะตัดนั้นก็หวดเสียแล้วแผลหนึ่ง

“ล้างพระบาทเสียเถิด” กลาโหมวางดาบเอาฝ่ามือรองเลือดล้างหลังพระบาทพระธิดาสมเด็จฯ แล้วเขย่ามือที่จิกอยู่ “ถวายบังคมขอขมาเสียจะไว้ชีวิตท่าน เร็วสิ”

ขุนจิตรใกล้จะสิ้นสติด้วยบาดเจ็บบาดแผล ทั้งไพร่พลก็กระจายพินาศแล้ว และแสงพระบัณฑูรก็เงือดเงื้อ ชีวิตจักแหล่นนักจึงยกมือประนมถวายบังคมขอขมาตามคำขาดของออกหลวง

แต่กระนั้นหลวงกลาโหมก็ยังหาเพียงพอแก่โทสะมิได้ เพราะขุนจิตรนี้ ผู้หนึ่งถูกต้องโทษได้รับอาญาพระบัณฑูรแล้วผูกใจเจ็บเพ็ดทูลเสด็จในกรมจนเกิดอริ กราบบังคมทูลด้วยข้อผิดร้ายต่างๆ ตราบสมเด็จพระมหาอุปราชถูกกุมตัวรับพระราชอาญา จึงเงื้อดาบสับอีก กระทั่งขุนจิตรสิ้นสมประดี

“อย่า พ่อเอ๋ย กลาโหมของหญิง” ทรงยึดแขนไว้ “พ่อเดือนไว้ชีวิตเขาเถิด เสมือนยกให้เป็นกุศลแก่ฉันสืบไป ทหารทูลกระหม่อมแก้วเอ๋ย อย่าฆ่าเขาเพราะสลบแล้ว”

“อยากตัดหัวโยน” หลวงกลาโหมยืนฮึดฮัด “เพราะมันหลอกพระองค์หญิงทูลกระหม่อมแก้ว และข้าราชวังจึงเดือดร้อน ยังอีกวังหนึ่งทหารในกรมหนึ่งที่หม่อมฉันจักต้องล้างให้สมใจ”

“พ่อยอดทหารทูลกระหม่อม จงเชื่อคำหญิงเถิด”

“พี่เดือนถวายเถิด อย่าล้างชีวิตเขา เพียงฝืนราชโองการประหารผู้คนและทหาร ท่านก็ผิดหนักหนาแล้ว เร่งคิดเอาตัวรอดเถิด”

กลาโหมจึงได้สติ ปล่อยตัวขุนแล้วจึงดูเหล่าทหาร เห็นกระจัดกระจายหนีเตลิดหมด เหลือแต่องค์รักษ์พระบัณฑูรจึงกวักดาบเรียก

“พี่น้องกูมานี่”

พลัน เหล่าทหารกองและหัวหมู่ซึ่งดาบฉาดฉานแดงอยู่ด้วยเลือด ก็ปราดมาจับแถวกลุ่มอยู่ต่อหน้ากลาโหมและพระธิดาสมเด็จฯ

ท่ามกลางมืดและฝนฟ้าคะนองทั้งพายุกล้า ออกหลวงกลาโหมจึงประกาศขึ้น

“พี่น้องเราทั้งหลายอันเป็นข้าสมเด็จทูลกระหม่อมแก้วพระบัณฑูร บัดนี้เราทั้งหลายก็เสมือนกบฏแล้ว ดูเถิด บรรดาศพทหารกรมหมื่นที่กลาดเกลื่อนนั้นจักฟ้องเราเสมือนโจทก์ และนับจากนี้สืบไปก็สิ้นบุญทูลกระหม่อมแก้ว เราจักต้องพลัดพรากจากกัน ต้องซ่อนเร้น เมื่อข้าวของใครมียังห่วงอยู่ ทั้งบุตรภริยาก็จงเร่งไปจัดเสีย แล้วก็หนีเอาตัวรอดเถิด เพราะเรายังจักต้องเชิญเสด็จหนีอีกสืบไป”

“เราจักตามกลาโหม” เสียงแซ่ประดังขึ้นคล้ายๆทำนองกัน “ทหารพระบัณฑูรมิชอบเป็นข้าสองเจ้าอีก หลวงกลาโหมท่านองนำเราเถิด สุดแต่จะไปสารทิศใด หรือจักรบไหนก็รบกัน”

“ขอบน้ำใจพี่น้องเรานักหนา” ทหารกล้าพระมหาอุปราชกล่าวด้วยตื้นตันใจนัก “แต่เราจะทำฉะนั้นมิชอบ อยู่ด้วยเป็นข้าแผ่นดินท่าน ผิว์จักไปอยู่รวมกัน กระนี้ หนไหนแล้วก็เสมือนเรานี้ร่วมการคิดกบฏ จึงขอห้ามเสีย ขอพี่น้องจงเชื่อเราและไปจำเริญเถิด มิตายแล้วก็คงจักได้พบเห็นกันเป็นแท้”

พลันบังเกิดเสียงซุบซิบปรึกษา บ้างสะอื้นและไห้อยู่ด้วยน้ำใจรักและอาลัยแก่ความหลังในทูลกระหม่อมมหาอุปราช และออกหลวงกลาโหมชักช้าอยู่ กระทั่งพระองค์หญิงต้องรับสั่งปลอบโยน จึงต่างเข้ามาประนมมืออำลาและบอกชื่อตำแหน่งทั้งสถานที่อยู่เดิมซี่งจักกลับไปสู่นั้นแล้ว ต่างคนก็เร่งกลับสู่สำนักเก็บข้าวของค้นคว้า แต่บรรดาผู้มิโสดมีบุตรภริยา ส่วนครัวเรือนนั้น ถูกขุนจิตรให้ทหารคุมไปสิ้นแล้ว

พระองค์หญิงยังทรงยืนลังเลพระทัยอยู่ ตราบได้พระสติแล้วก็รับสั่งถาม

“ฉันจะทำอย่างไรดีเล่า ออกหลวงกลาโหมเอ๋ย ทูลกระหม่อมก็เหมือนสิ้นพระบารมีแล้ว ป่านฉะนี้จะอย่างไร ก็ยากจะคะเนได้ และศพทหารเหล่านี้ คงจะเหมือนโจทก์ฟ้องเราเช่นพ่อเดือนว่า”

“หนี” ออกหลวงกลาโหมกล่าวทูลห้วนๆ กวาดตามองหมู่ทหารกรมหมื่นซึ่งนอนก่ายกัน กระทั่งขุนจิตรผู้สิ้นสมประดีสลบอยู่ แม้มิมีฝนตกชะแล้ว ลานพระราชวังจันทรเกษมจักนานอยู่ด้วยเลือดคะนองแผ่นดิน แล้วออกหลวงจึงกราบทูลเศร้าๆ “ถึงหม่อมฉันก็อยู่หาได้ไม่ เพราะการครั้งนี้นับเป็นผิดใหญ่หลวงนัก ยิ่งกบฏด้วยฆ่าฟันผู้คนท่าน ไหนเลยเสด็จในกรมจะละไว้ ก็จำต้องไป แต่จะเชิญเสด็จให้ประทับเรียบร้อยเสียก่อน สุดแต่จะต้องพระประสงค์ประทับแห่งใด”

“อื่นเห็นมิพ้นพระราชอาญาและศัตรูแล้ว ผิดจากพระตำหนักสวนกระต่ายทูลกระหม่อมอา เดี๋ยวฉันจะให้ยมโดยช่วยเก็บของสักครู่เดียว”

สิ้นรับสั่ง พระองค์หญิงก็เรียกสาวยมโดยและข้าหลวงอื่นหวนกลับไปสู่พระตำหนัก ทรงรวบรวมข้าวของล้วนเครื่องประดับอาภรณ์มีค่า นอกกว่านั้นก็แจกจ่ายแก่เหล่าข้าหลวงบ้าง เพื่อแก่กาลข้างหน้า หลวงกลาโหมและแม่กองอีกสามสี่คนที่เป็นโสดและมิยอมกลับไปเก็บเข้าของก็ซุ่มระวังภัยอยู่ตามมืดและเชิงบันได ตราบรวบรวมข้าวของเสร็จจึงเสด็จลงมา เหล่าทหารพระบัณฑูรก็เข้าห้อมล้อมให้กลาโหมนำขึ้นหน้าเชิญเสด็จออกเบื้องหลังพระตำหนักน้อยสารภีแต่เพลานั้น

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ