๔
ครั้นเพลาบ่าย ๔ โมงเศษ ณ วันขึ้น ๗ ค่ำ ในเดือน ๘ นั้นเป็นปีขาลสัมฤทธิ์ศก สมเด็จพระมหาธรรมาธิราชพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคต พระชนมายุได้ ๗๘ พรรษา เสด็จดำรงราชสมบัติอยู่ได้ ๒๗ ปีเศษ จึงในขณะนั้น เจ้าต่างกรมทุกพระองค์ซึ่งต่างตระเตรียมและบ้างก็ระวังพระองค์อยู่ด้วยเกรงภัย และเหล่าทหารทั้งล้อมราชวังหลวง และส่วนพระองค์ทุกคนคอยสดับแก่คำสั่งอยู่เสมอ
จึงกรมหมื่นเทพพิพิธก็เข้าเชิญพระแสงดาบ พระแสงกระบี่ พระแสงง้าว ข้างพระที่นั่งนั้น ส่งให้ขุนพิพิธรักษา ชาวที่ เชิญตามเสด็จกรมพระราชวังบวรมหาอุปราชไป ณ พระตำหนักสวนกระต่าย โดยออกกลาโหมและเหล่าทหารพระบัณฑูรทั้งแปดกรากเข้าคุมกรมหมื่นสุนทรเทพและกรมหมื่นเสพภักดีนั้นเสด็จเข้าไปข้างใน เชิญเอาพระแสงบนพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์เอาไปตำหนักศาลาลวดทั้งสิ้น แลกรมหมื่นเทพพิพิธจึงตรัสสั่งเจ้าพระยาอภัยราชา พระยาพระคลัง พระยารัตนาธิเบศให้ปิดประตูพระราชวังตามธรรมเนียม พอเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีเสด็จมาตรัสเรียกกรมหมื่นเทพพิพิธออกไปสั่งให้เชิญหีบพระแสง ณ โรงแสงเอาไปสวนกระต่ายทั้งสิ้น กรมหมื่นจิตรสุนทรเห็นดังนั้นก็ตกพระทัย รีบเสด็จไปตำหนักศาลาลวดซึ่งประทับอยู่
ครั้นเพลาใกล้จะพลบค่ำ ภายในพระราชวังขณะนี้ต่างตระหนกอยู่ทั่วกันทุกพระตำหนัก ด้วยหวั่นเกรงการจลาจลจักเกิดขึ้น เพราะทุกหมู่และกรมก็สั่งเตรียมทหารพร้อมแล้ว และกรมพระราชวังบวรฯ ก็มีพระบัณฑูรให้หาท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาท ผู้ใหญ่ผู้น้อย ซึ่งประชุมกันอยู่ ณ ศาลาลูกขุนให้ไปเฝ้าณ พระตำหนักสวนกระต่ายที่ประทับ เพื่อทรงปรึกษาราชการแผ่นดิน
แต่ขุนอนุรักษ์ภูธรซึ่งเป็นข้าหลวงในกรมหมื่นสุนทรเทพนั้นมีจิตริษยากำเริบอยู่ จึงพาเอาคนในพระตำหนักสระแก้วประมาณร้อยเศษ ปีนข้ามกำแพงวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์และกำแพงโรงราชรถเข้ามาสมทบบรรจบกับทหารในกรมหมื่นจิตรสุนทรในตำหนักศาลาลวด อนึ่ง ขุนพิพิธภักดีข้าหลวงในกรมหมื่นจิตรสุนทรนั้นก็ซ่องสุมพาคนหลากหลายแล้วจึงไปกระทุ้งทำลายบานประตูโรงแสงนอก และเมื่อทะลายแล้วก็ยึดเอาปืนนกสับและศัสตราวุธมาถือเป็นอันมาก
ในเพลานั้น เจ้าอาทิตยวงศ์ก็เสด็จมาถึง พระองค์ท่านคุ้นอยู่กับเหล่าทหารด้วยเป็นราชโอรสสมเด็จพระมหาอุปราชที่ทิวงคต จึงสนิทสนมมากแก่ทหารเหล่านี้ แต่หาได้ทราบการไม่
“เอ๊ะ นั่นออกเดือนหรือ” รับสั่งหลากพระทัย ยังมิรู้เรื่อง ทั้งไม่แน่ว่าจักใช่ “พ่อเดือนทูลกระหม่อมแก้วใช่ไหม”
“พระเจ้าค่ะ” กลาโหมซึ่งคุมทหารอยู่หน้าพระตำหนักถวายบังคมพระองค์ท่าน ยิ่งเห็นพระพักตร์ละม้ายแม้นสมเด็จพระบัณฑูรแล้วก็สะอื้น “เสด็จมาใกล้สักหน่อย”
เสด็จมาด้วยปีติพระทัยและตื้นตันจนน้ำพระเนตรคลอ เมื่อขณะเข้าประคองทหารพระบัณฑูรยอดฝีมือแล้วรับสั่งว่า
“ออกเดือนเอ๋ย ไม่รู้ว่าไปอยู่แห่งหนใด เที่ยวตามหา อพิโธ่ เห็นออกเดือนแล้วก็คิดถึง ทูลกระหม่อมประทับไหน ออกเดือนก็เข้าเคียงข้าง เจ้าเอ๋ย ออกเดือนทูลกระหม่อมสิ้นบุญเสียในพลันเช่นนี้เสมือนบาปแก่พวกเรา”
ออกกลาโหมร้องไห้ น้ำตาพรากจากหน่วยตาด้วยรำลึกถึง
“ข้าพระพุทธเจ้ารบจนสุดฝีมือ เมื่อขุนจิตรพาทหารไปล้อมราชวังและจะกุมพระองค์หญิง หม่อมฉันเจตนาจักฆ่ามิให้เหลือ เพราะดูแคลนเกียรติพระบัณฑูร หากทรงห้ามไว้”
ทรงเข้าประคองให้ลุกนั่งแล้วก็กันแสง
“ออกเดือนเอ๋ย ทหารทูลกระหม่อมแก้วไม่มีใครอื่นเลยที่ชายนี้จักวางใจและสลดใจนักที่น้องหญิงเรามาบอกว่าออกเดือนยากแค้นนัก แต่เสียดายฝีมือและกตัญญูหนักหนา จึงกราบทูลเสด็จในกรมอาท่านให้รำลึกถึงพ่อเดือน คาดว่าจักไม่สำเร็จเสียอีก เมื่อมาพบทหารทูลกระหม่อมแก้วเช่นนี้แม้สักร้อยศึกก็มิพรั่น”
“อ้ายเดือนก็ถวายชีวิต” กลาโหมตอบห้วนๆ และสำเนียงตอบก็คลุมเครือประหนึ่งข้นแค้น จักร้องไห้ และทูลว่า “ทูลกระหม่อมก็สิ้นบุญแล้ว จึงหม่อมฉันก็เห็นอยู่แต่ใต้ฝ่าพระบาทซึ่งเป็นพระราชโอรส ก็เสมือนได้เห็นได้เฝ้าสมเด็จพระบัณฑูร อนึ่ง พระองค์หญิงทรงอุตสาหะเสด็จไปตามหม่อมฉัน และทรงชี้แจงด้วยข้อต่างๆ จึงใต้ฝ่าพระบาทเอ๋ย ศัตรูซึ่งคิดเป็นเล่ห์เป็นกลประหารทูลกระหม่อมแก้ว แล้วด้วยอุบายเขานั้น ผิว์มากหลายหมื่น หม่อมฉันจักรบเอง และยิ่งมาก่อเดือดร้อนกระนี้ให้แผ่นดินเล่า ก็ต้องรบให้สิ้นฝีมือ”
“เราเชื่อน้ำใจและฝีมือกลาโหมแล้ว” พระองค์ชายทรงชี้แจงสืบไป “เขาก่อเดือดร้อนแล้ว ณ บัดนี้ถึงตระเตรียมผู้คนพรักพร้อม และให้ปีนราชวัง คือขุนอนุรักษ์ภูธร ข้าหลวงในกรมหมื่นสุนทรเทพ และขุนพิพิธภักดี ข้าหลวงกรมหมื่นจิตรสุนทร กับขุนจิตรซี่งวิวาทกับพ่อเดือนนั้นแหละ เป็นหัวหน้าเข้าโรงพระแสงราชรถ จนเสด็จอามหาอุปราชองค์น้อยต้องตระหนกนัก เพราะยำเกรงแก่ภัยเขา อนึ่ง กรมหมื่นเทพพิพิธเมื่อเข้าเฝ้าถวายสัตยาธิษฐานก็ทูลถวายออกเดือน และทรงพระราชอภัยโทษแล้ว รู้ไหม เป็นหลวงกลาโหมพระบัณฑูรน้อยแล้ว จะรู้ตัวหรือยัง”
“เปล่า มิได้พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันเพิ่งจะตามเสด็จครานี้เองเป็นครั้งแรก”
ก็ทรงพระสรวล มองเหล่าทหารสมเด็จพระบัณฑูรที่ทรงคุ้นเคยแล้วล้วนยอดฝีมือทแกล้วหาญก็แทบจะทรงพระกันแสบ รำลึกถึงกาลหลัง ด้วยผิว์ทูลกระหม่อมแก้วทรงพระชนมายุอยู่ขณะนี้ก็เหมือนกษัตริย์ จักผ่านศรีอยุธยา การใดซึ่งจักเกิดเป็นการยุ่งจลาจล เมื่อผลัดแผ่นดินนี้ก็เหล่าทหารทูลกระหม่อมนี้เองจักกำราบเสี้ยนหนาม แต่ครั้นเมื่อสิ้นบารมีพระองค์แล้ว แม้ยอดทหารที่เคยไว้พระทัยให้คู่เคียงก็ต้องสันโดษอยู่ หามีผู้ใดจะรู้จักไม่ ก็ทรงสลดสังเวชพระทัย รับสั่งว่า
“ออกเดือนเอ๋ย ฉันเห็นออกเดือนขณะนี้อยากร้องให้ เพราะก่อนผิว์เห็นออกเดือนก็ต้องเห็นทูลกระหม่อมแก้วประทับมิว่าที่ใด”
แต่ทหารแกล้วพระบัณฑูรกลับคลอน้ำตา
“รับสั่งเช่นนี้ ข้าพระพุทธเจ้าใจหายเสียเหลือเกิน แม้ขณะนี้เพียงเห็นพระอัฐิพระบัณฑูรก็คงจะต้องรบกันวอดวาย พระองค์เอ๋ย อย่าให้ใครสำคัญว่าสิ้นทูลกระหม่อมแก้วนั้นจักหมายถึงสิ้นเกียรติพระบัณฑูรมิได้ แม้จักน้อยคนน้อยตัว ทหารเหล่านี้...” กลาโหมชี้ปราดไปเหล่าทหารเก่า “เหล่านี้หากจะน้อยแต่หักด่านได้ เพราะทรงให้ฝึกซ้อมมาหลากหลายชำนาญนัก ก็คิดถึงพระเมตตาปรานีนักจึงเสียดายครัน ทูลกระหม่อมแก้วเอ๋ย แม้วันนั้นจักทรงเชื่ออ้ายเดือนกลับเสีย ถึงหากจะต้องหาเป็นกบฏเพราะเขาริษยา ก็ได้รบกันถึงละเอียด ใต้ฝ่าพระบาทรงดำริเถิดว่ามีอยู่หรือ ว่าเยี่ยงสมเด็จพระบัณฑูรจักต้องราชอาญานาบพระบาทและพระนลาฏ ทั้งเฆี่ยนเป็นยกๆ หลายครั้งหลายหนถึงดับสูญ อ้ายเดือนจึงแค้นนัก น้อยใจว่าพระบัณฑูรศรีอยุธยาทิวงคตสิ้นพระเกียรติฉะนี้แล”
ฟังรำพันกลาโหมออกเดือนแล้วก็ทรงตื้นพระทัย คิดถึงราชบิดาและทรงน้ำตาคลอ กริ้วอยู่ในพระทัยหันหวน
“กลาโหมพ่อเดือน คำพ่อเดือนชวนเรานี้ร้องไห้ ภักดีของออกเดือนนี้วิญญาณของทูลกระหม่อมแก้วจงยินเถิด จงคุ้มพ่อเดือนให้ตลอดเถิด เมื่อคราวรบหักทัพขุนจิตรนั้น และพาพระองค์หญิงน้อยหนีก็เลื่องลือนัก และพรั่นทหารพระบัณฑูรอยู่ตามกัน นี่ออกเดือน พ่อตามเสด็จในกรมอาเทพพิพิธมิใช่หรือ”
“หม่อมฉันตามเสด็จและยินรับสั่งว่าวันนี้เป็นวันร้าย เพราะเขาก็เตรียมผู้คน”
“ใครรู้ไหมเล่า ว่าเสด็จอาได้ทหารพระบัณฑูรมารักษาพระองค์”
“เปล่าเลย หม่อมฉันมาแต่โดยเงียบ และแต่งเป็นทหารเสด็จในกรม” กลาโหมทูลตามจริง “อันรบหักกันนั้นอยู่ที่น้ำใจและฝีมือ หาใช่อื่นไม่”
ทรงพระสรวลครั่นเครือ มองทหารเพียงหยิบมือ ไม่ถึงยี่สิบ ทั้งของกรมหมื่นก็เหมือนเห็นทหารพัน ทรงฝากพระทัยพระชีพยิ่งเสียกว่าทหารอื่นเป็นพันเป็นกอง
“ฉันจะเฝ้าเช่นกันอีก และเมื่อกลับจะตามเสด็จอาเพราะมีทหารทูลกระหม่อมแก้ว”
กลาโหมหัวเราะสำรวล
“ทหารพระบัณฑูรนี้เป็นดุจผงแล้วนั่นแหละ พระองค์เอ๋ย ก็ตามทีเขา แต่ผิว์อ้ายเดือนจะประกาศชื่อทหารพระบัณฑูรออกกลาโหมแล้ว ใครหนอจะอาจรบ ให้ตั้งทัพเป็นจัตุรงค์หรือเบญจเสนา อ้ายเดือนจะหักเพียงพลยี่สิบ ขอเชิญเสด็จเถิด”
ทรงตื้นพระทัยด้วยปีติ แม้นานครั้งจะได้พบเห็นออกเดือนทูลกระหม่อมแก้ว แต่เมื่อทรงรำลึกถึงกรณีหลังโน้น จนศรีอยุธยาต่างประหวั่นครั่นคร้าม แม้ราชศัตรูหงสาวดีก็มิอาจด้วยเกรงฝีมือทหารแกล้ววังหน้า จึงเมื่อทรงนัดแนะสั่งความแล้วก็เสด็จเลยไป กลาโหมก็แลท่วงทีกิริยาเสด็จเหมือนพระบัณฑูรมิเห็นแผกก็ยิ่งเศร้าใจตัว แล้วก็ตั้งใจแน่อยู่ว่า ผิว์จักรบกันเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแล้วจึงคอยเพลาล้อมเสด็จในกรมหมื่นเทพพิพิธจักกลับอยู่
เพิ่งข้างแรม ย่าง ๖ ค่ำ จึงเจ้าสามกรมซึ่งทรงทราบว่าจักสรงนำพระบรมศพอัญเชิญเข้าพระบรมโกศ แต่หากยังกริ่งเกรงพระทัย และทรงระแวงต่างๆ ก็รับสั่งจัดเตรียมทหารไว้
จึงขุนอนุรักษ์ภูธรข้าหลวง และหมื่นอนุรักษ์มหาดเล็กซี่งหายป่วยรอดชีวิตจากเมื่อครั้งวิวาทกับออกกลาโหมแล้ว ก็คิดอาฆาตอยู่ จึงสมทบกับขุนพิพิธภักดี ข้าหลวงในขุนจิตร และขุนจิตรผู้พ่ายฝีมือยับเยินมาและเจ็บใจออกกลาโหมเป็นที่ยิ่ง ก็ต่างเกณฑ์ทหารด้วยรู้ว่าสาวยมโดยและพระองค์หญิงมาอยู่พระตำหนักต้นจันทน์ในเขตกรมหมื่นเทพพิพิธโดยปรารถนา ผิว์การใหญ่ที่ทรงคิดนั้นสำเร็จแล้วจะต้องแก้มือให้สำเร็จ ทั้งนี้เพราะมีเจ้าชายองค์นั้นทรงเสน่หาพระองค์หญิงมาแต่แรก เมื่อสมเด็จพระมหาอุปราชยังทรงพระชนม์อยู่จึงมิกล้า ทั้งพระองค์หญิงก็หาพึงพระทัยไม่ จึงทรงแค้นอยู่ตลอดมา
อันพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์นั้น ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมศพ อยู่ด้านทิศตะวันตกพระวิหารสมเด็จ มีสระล้อมรอบ และพระที่นั่งทรงปืนอยู่ข้างท้ายสระ ทางด้านทิศตะวันตกเป็นห้องพระโรงที่เสด็จออก และขณะนี้ทหารของเจ้าสามกรมนั้นสะพรึบพร้อมอยู่ และเจ้าต่างกรมพระองค์อื่นแม้สมเด็จพระมหาอุปราชซึ่งจักราชาภิเษกก็ตระเตรียมทหารแล้ว
จึงพอยามเช้า พระตำหนักน้อยต้นจันทน์ท้ายสวนเสด็จกรมหมื่นเทพพิพิธนั่น พื้นหญ้าและพื้นสวนยังชุ่มด้วยน้ำค้าง ด้วยเพิ่งรุ่งอรุณสักครู่นี้ เสียงพระมนตร์โองการและกลค่ายกล ทั้งพระตำรับพิชัยสงครามอันลึกซึ้งเพิ่งจะเงียบไป และพระองค์หญิงก็ทรงพระดำเนินเล่น แสวงดอกไม้บานยามเช้าใกล้กระท่อม ทรงได้ยินพระมนตร์และพระโองการนั้น ก็จับใจถึงทูลกระหม่อมและความหลัง แล้วก็ทรงรำพึงว่า วันนี้ก็ยามฉุกเฉินสำคัญของกรุงศรีอยุธยาและพระญาติพระวงศ์ทั้งหลาย แล้วด้วยทรงพระตระหนักตั้งแต่เมื่อคืนว่า เจ้าทั้งสามกรมสมทบทหารเตรียมไว้ แล้วยังเจ้าฟ้าที่ทรงลาผนวชมาอีก เพราะเป็นวันถวายบังคมพระบรมโกศ