ในกระท่อมปลายสวนนั้นเงียบสงัดเหมือนเมื่ออยู่ชนบท เมื่อจบสวดมนต์และพระโองการแล้ว ออกกลาโหมเก่าก็รำลึกไปต่างๆ ว่า หากแม้สมเด็จพระบัณฑูรทรงบารมีอยู่ ป่านนี้ทหารจะสะพรึบพร้อมล้อมองค์และราชวัง อันเสี้ยนหนามศึกแผ่นดินจะสักกี่หมื่นกี่แสนซึ่งคิดประทุษร้ายก็คงสนุกมือทหารพระบัณฑูรเป็นแน่ โอ้ กูกลาโหมหรือจะตกยากถึงเพียงนี้ มาซุกกายอยู่เพียงกระท่อมปลายสวน แต่ก่อนซิ เพียงออกชื่อกลาโหมทหารสมเด็จฯ ก็ครั่นคร้ามขามใจอยู่ทั่วกัน

จนรู้สึกว่าสว่างแล้ว อัจกลับและแสงเทียนบูชาหน้าพระจึงพลันดับเสียแล้ว กลาโหมก็เห็นแสงเงินแสงทองพุ่งฟ้าลอดมาในกระท่อม รำลึกถึงเสด็จทูลกระหม่อมแก้วก็ขานกาพย์ขึ้นสำเนียงเครือ

๏ แสงทองเรืองรองราง ขึ้นกระจ่างสว่างเวหา
รุ่งแล้วแก้วกัลยา สุดเสน่หาไม่มาเลย”

ก็พลันดอกไม้หลายหลาก ทั้งมณฑาและนมสวรรค์ และดอกจำปาอ่อน เข้ามาทางเบื้องหน้าต่างตกต้องหน้าออกหลวงผู้กำลังนอนเอกเขนกท่องกาพย์ และมียมโดยขว้างดอกไม้มาอีก ก็ลุกทะลึ่ง

"ยมโดยแม่หรือ” กลาโหมทักออกไปก่อนโดยคะเนตามชื่อดอกไม้ และยามเช้าหัวใจชื่นเหมือนลมพัดเมื่อตรู่ ก็คิดไปข้างเสน่หา “แม่เอ๋ย หอมเหลือเกิน กลาโหมนี้คอยแม่อยู่แต่ใกล้รุ่ง”

เสียงหัวเราะที่เบื้องหน้าต่างแต่โดยค่อยโดยอายบ้าง ขันบ้าง แสงทองส่องฟ้ากระจ่างแล้ว จึงสำคัญเสียว่า สาวแม่เร่งลงสวนเก็บดอกไม้ ก็ลุกชะโงกหน้ามองเยี่ยมหน้าต่าง จักกวาดตาหา และในพลันที่ได้เห็นนั้น

พระองค์เอ๋ย พระธิดาทูลกระหม่อมแก้วเสด็จมาทรงสวน หาใช่สาวยมโดยมิได้ พระรูปโฉมขณะนี้เป็นวรลักษณ์แสนงาม ด้วยฉลองพระองค์ชั้นในและคลุมพระภูษาแพรประทับแอบอยู่ ทรงหายคล้ำหมองดุจจันทร์จำเริญเมื่อวันเพ็ญบริบูรณ์นัก

“พุทโธ่เอ๋ย นั้นใต้ฝ่าพระบาทของหม่อมฉัน มิใช่หรือ ประทานอภัยเสียเถิด”

“อภัยอะไรกันอีกเล่า ออกหลวง” รับสั่งเป็นกันเองและพระสำเนียงยังข้องอายอยู่ “พ่อเดือนมิผิดหนักกระไร หรือจักให้หญิงนี่อภัย”

“มีสิ ใต้ฝ่าพระบาท” กลาโหมทูลประนมมือ ”เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งเสด็จกลับ หม่อมฉันจะขอเฝ้าข้างภายนอก”

แล้วประตูกระท่อมก็เปิดเร่งร้อน ทหารสมเด็จพระบัณฑูรผู้แกล้วกล้าก็เผ่นจากกระท่อม ทรุดกายถวายบังคม ชำเลืองเหลือบพระองค์หญิง เห็นพระพักตร์ระเรื่อรับแสงอรุณเมื่อรุ่ง และสดสะอาดเช่นยามเช้า แต่ปราศจากยมโดยแม่อยู่เคียง

“อ้ายเดือนนี้สำคัญผิดหนักหนาแล้ว พระองค์หญิง” เขากราบทูลด้วยนอบน้อม หัวใจก็ตื่นผิดสังเกตตัวจนน่าประหลาด “สำคัญแล้วเสียว่ายมโดยแม่มาขว้างมาซัดดอกไม้สัพยอกเข้าหน้าต่างและต้องหน้าพอดี ก็กล่าวคำ เออ พระพุทธเจ้าข้าเอ๋ย มาผิดเป็นพระองค์หญิง กระนี้ขออภัยเถิด”

ทรงเมินพระพักตร์และละอายแก่กลาโหม ทั้งตระหนักด้วยหนาวร้อนพายุยามเช้าก็เพียงปลายลมโชยสดสะอาดมาแต่ท้ายสวนต้องพระเกศาและภูษาปลิว แล้วทรงคำนึงไปต่างๆ

“พ่อเดือนช่างจำกาพย์โคลงของทูลกระหม่อมนัก” รับสั่งเปรยๆ ไปอย่างอื่นก่อน แล้วก็กลับก้มและเมินพระพักตร์ผิดกิริยาเคย “หญิงนี้ลงสวนแต่เช้า เก็บดอกไม้จักใส่พาน ทั้งจำปา มณฑาสวรรค์และยมโดย พอได้ยินกาพย์ทูลกระหม่อม ก็รู้ว่าพ่อเดือนตื่นจึงขว้างไป”

“นั่นสิ หม่อมฉันจึงต้องขออภัย เพราะกล่าวคำสำคัญผิด”

พ่อหนุ่มทหารสมเด็จทูลกระหม่อมซ้ำรอยอยู่เช่นเดิม พิศพักตร์พระองค์ท่านขณะนี้แล้วก็เศร้าใจ พระบารมีซึ่งมาตกอับด้วย ผิว์ทูลกระหม่อมยังทรงบุญ ไหนเล่าจักเป็นเยี่ยงนี้ จักงดงามเหลืองามดุจพระจันทร์เพ็ญบริบูรณ์นัก แต่กระนั้น หม่อมเจ้าชายและพระองค์อื่นอันต่างกรมก็ต่างคลั่งไคล้ใหลหลงปรารถนาอยู่ แต่ท่านทรงเจียมพระองค์มิคิดปรารถนา

“ก็ไม่เห็นผิดอย่างไรเลย ออกกลาโหม” รับสั่งดุจประทานอภัยให้ “พ่อเดือนใช่จะแกล้ง เพราะรู้ว่าเป็นหญิง ก็หามิได้ แต่หญิงนี้จับเค้าได้รู้ความเสียแล้ว”

“เอ๊ะ อย่างไรเล่าใต้ฝ่าพระบาท”

ก็ทรงพระสรวลเล็กน้อย เหลือบพระเนตรดูกลาโหมหนุ่มที่ทำกิริยาหลากใจในรับสั่ง

“พ่อเดือนแปลกใจในคำหญิงหรือ จักบอกให้”

“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันนี้แปลกใจอยู่ ที่ใต้พระบาทรับสั่งว่าจับเค้าหม่อมฉันได้ มิทราบว่าเค้าอย่างใดเลย” ทรงเมินแล้วมองอีกทาง กลาโหมผู้ทรุดนั่งประนมมือก็รับสั่งว่า “ในกาพย์คำทูลกระหม่อมนั้น ที่พ่อเดือนท่องก็บอกอยู่ว่า “รุ่งแล้วแก้วกัลยา สุดเสน่หาไม่มาเลย” ก็พอดอกไม้อื่นแลยมโดยว่อนเข้าทางหน้าต่าง พ่อเดือนซิพลันเรียกขานว่า ยมโดยแม่หรือ หอมเหลือเกิน กลาโหมนี้เฝ้าคอยจนใกล้จักรุ่งนี้ และฉันจับเค้าได้”

กลาโหมก็ประนมมือ หัวเราะเก้อ แก้ตัวไป

“ช่างทรงสังเกตหนักหนา หม่อมฉันนี้เมื่อคราอยู่ชนบทก็ท่องก็เพ้อเสียจนเคย แม้ตื่นขึ้นเห็นเดือนดาวลูกไก่กฤติกาหรือดาวไถ และใกล้รุ่งประกายพรึก ก็ฉวยเอากาพย์ทูลกระหม่อมแก้วมาเอ่ยเสมอไป จนติดมาบัดนี้แล้ว”

“คงจะท่องไว้เสียหมด”

“เป็นส่วนมากเชียวพ่ะย่ะค่ะ ที่หม่อมฉันจำได้”

ก็ทรงพระสรวล อันละอายในพระองค์ท่านก็ลดน้อยคลายลงแล้ว มิเหมือนเมื่อแรกๆ ในพระภูษาคลุมนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้หลากหลายต่างๆพรรณที่ทรงเก็บตั้งแต่เมื่อตรู่ และบัดนี้ก็สางสว่างแล้ว เสียงนกร้องคะนองปีติว่ารุ่งและฝูงกาที่ออกแต่ตรู่ หากินอันมิ่งไม้ในสวน ก็กระจ่างเห็นลายใบไม้อ่อนถนัดตา และกำหนดราชการอันฉุกเฉินก็นับว่าใกล้นัก

“วันนี้กำหนดถวายบังคมพระบรมโกศมิใช่หรือ พ่อเดือนเห็นอย่างไรมั่ง” ทรงถามพรั่นๆ และใส่พระทัยนัก เพราะที่ทรงทราบยังมิตระหนักเหมือนคำกลาโหมที่ว่าพบพระองค์ชายท่านพี่ ทั้งได้รับสั่งแก่กลาโหมเอง “สำหรับพ่อเดือนเห็นว่าการวันนี้จักร้ายดีอย่างไรบ้าง”

“หม่อมฉันก็เตรียม” กลาโหมผู้อยู่กระท่อมกล่าวทูล “วันวานยังได้พบพระองค์ชายรับสั่งทัก ก็ใคร่จักถวายพระแสงคืนเพราะเป็นของทูลกระหม่อม หากมีผู้คนมากหน้าหลายตาจึงมิอาจ ทรงรับสั่งให้รู้ตัวแล้ว”

“เจ้าพี่ทรงเตือนอย่างไรแก่กลาโหม”

“ทรงเตือนว่าวันนี้แหละเป็นวันสำคัญ ยุคเข็ญจักเกิดก็มิพ่นวันนี้ เพราะต่างองค์ก็เรียกบรรดาข้าหลวงและมหาดเล็กเข้าซ่องสุมหมดทั้งนั้น เพราะใกล้ราชาภิเษก”

“จักกราบทูลให้เป็นที่แน่ก็มิได้ เพราะก้ำกึ่งกัน”

“สำหรับเราสิ พ่อเดือน ฉันถามนี้สำหรับข้างฝ่ายเรา คือทั้งเสด็จอาและท่านเจ้าพี่ที่รับสั่ง”

ออกหลวงหนุ่มก็ฝืนหัวเราะให้เบาพระทัย

“อ๋อ สำหรับพระองค์ชายท่านทรงอยู่ข้างสมเด็จพระมหาอุปราชที่จะทรงราชาภิเษก จะเป็นไรมี และราษฎร พระญาติพระวงศ์ก็รักมาก ข้างส่วนเสด็จในกรมก็เหมือนข้าพระเจ้าอยู่หัว หากเราเตรียมไว้เพราะตระหนักกันแล้วว่า กิริยาเขานั้นคงจักทรยศ ด้วยซ่องสุมทหารและสมทบกันเป็นรั้วกำแพงพระราชวัง เข้าถือเอาพระแสงเครื่องต้นหนักหนาเป็นอุกฤษฎ์โทษ ใครก็ย่อมรู้ แต่ว่าแม้จักทรยศจริง ถึงทหารจักมากมายหลายกองก็ต้องรบกันถึงละเอียดไปเท่านั้น”

“หญิงกลัวเหลือเกิน” รับสั่ง พระพักตร์เผือดคล้ายจะหลับพระเนตรเห็นการจลาจลวุ่นวายบังเกิดขึ้นต่อหน้า แล้วรับสั่งเป็นสนิทกันเอง “พ่อเดือนเอ๋ย ทูลกระหม่อมพระมหาอุปราชองค์น้อยท่านฝักใฝ่อยู่แต่ข้างวัดเสียนาน มิมีไพร่พลจะต้านทานเขาได้ ฉันจึงวิตกหนักหนาว่าการครั้งนี้จะไม่เรียบร้อยเมื่อราชาภิเษก เกรงนักว่าเขาจักคุมทหารเข้าชิงราชสมบัติให้เป็นจลาจล”

“ก็รบกันเท่านั้น” ออกกลาโหมทูลห้วนๆ หัวเราะอยู่แต่ในคอในเสียงเสมือนคราแค้น “พระองค์ชายรับสั่งแต่เมื่อวานซืนว่าเสด็จในกรมท่านทรงขอพระราชทานโทษหม่อมฉัน และถวายให้เป็นทหารสมเด็จพระมหาอุปราชพระองค์น้อยแล้ว ถ้าการจักเกิดกระนั้นแล้วก็จักทำอะไรได้ ต้องรบกันเท่านั้นเอง ด้วยเสียนหนามแผ่นดินจะละได้หรือ”

“ทหารเรามีน้อยตัว”

“แต่ทหารพระบัณฑูรทั้งสิ้น ทหารพระบัณฑูรเหล่านี้เตรียมฝีมือไว้แต่เมื่อทูลกระหม่อมแก้ว ผิว์จักเสวยราชย์ และแต่ละคนก็คิดแล้ว เป็นที่รู้จักเลื่องลือแก่หมู่ทหารด้วยกัน อย่าตระหนกพระทัยเลย”

ทรงถอนพระทัยใหญ่ เพราะเมื่อครั้งที่พระมหาอุปราชสิ้นบุญ และถูกริบถูกจับกุมก็เพียงแต่ส่วนน้อย ยังต้องตระหนักพระทัยมิเป็นสมประดี ก็หากเป็นการแผ่นดิน ต่างฝ่ายต่างเตรียมทหารเข้ารบกันเองเป็นจลาจลแล้ว คงจะอื้ออึงคะนึงนัก ยังอีกหลายเท่าหลายส่วน มิต้องสงสัย ผืนแผ่นดินจะนองด้วยน้ำเลือด และเกลื่อนด้วยซากศพทหาร ทั้งอีกต่างๆประการที่ทรงวิตกอยู่

ขณะนั้น สาวข้าหลวงแม่ยมโดยซึ่งคู่พระทัยทั้งสุขทุกข์เมื่อยามยาก ก็พลันลงสู่สวนเที่ยวหาจักตามเสด็จ ตราบมาใกล้ปลายสวนแล้ว ออกกลาโหมชี้ทูลขึ้น

“แม่ยมโดยเพิ่งจะมาโน่นเอง คงจะเที่ยวตามหาฝ่าพระบาทเป็นแน่”

“เขานอนหลับสนิท” รับสั่ง “แต่ฉัน เมื่อนึกถึงการเรื่องนี้แล้ว ก็หลับมิลงเลย พ่อเดือน อย่างไรมิรู้ ให้หวาดแว่วไปต่างๆ ว่าการนี้ภัยจักพลอยมาถึงตัวด้วย”

ที่จริงกลาโหมก็สำนึกอยู่ดีเช่นนั้น แต่ก็จำต้องพูดไถลปลอบพระทัยไปอย่างหนึ่ง มิให้ทรงวิตก และเมื่อพิศพักตร์เป็นยามเศร้าแล้ว ก็มิวายจักสงสาร ด้วยเคยเห็นแต่ก่อนนั้นสมบูรณ์และทรงพระสำราญต่างๆ ด้วยพระอิสริยยศพรั่งพร้อมข้าหลวง ด้วยเป็นพระธิดาพระองค์น้อยสมเด็จพระมหาอุปราชและกำพร้า อยู่ทั้งฝักใฝ่ภักดีแก่สมเด็จพระบัณฑูรนัก ก็ทรงเสน่หาเป็นห่วงยิ่ง

ยมโดยแม่ดำเนินมาถึง ประแป้งขาวพราวหน้าเหลือบเห็นทหารพระบัณฑูรยังคุกเข่าเฝ้าแหน และพระองค์หญิงทรงยืน

“เสด็จหนีมาก่อนได้” ข้าหลวงเจ้ากล่าวพ้อขึ้น “หม่อมฉันซิคาดว่าจะปลุกบรรทมให้ลงสวน แต่พอตัวตื่นซิ กลับมิเห็น”

“ใครจะไปคอยปลุกแม่อยู่เล่า” รับสั่ง ทรงกระดากพระทัยที่หนีเสด็จมาตามลำพังพระองค์ถึงกระท่อมปลายสวนซึ่งเป็นหนทางที่เปลี่ยวที่กลาโหมมาเฝ้าสกัดอยู่ในระหว่างการฉุกเฉิน เพราะเคยมีคนมาคอยด้อมอยู่เสมอ นับแต่ทรงพระประชวรหนักจนเสด็จสวรรคต แล้วก็รับสั่งไปด้วยเชิงพระวิตก “ฉันหรือกลุ้มเหมือนจะตาย นอนมิใคร่หลับ เพราะบ้านเมืองก็กำลังจะยุคเข็ญ ดูหรือแม่ยมโดยสิหลับให้สำราญนัก หรือแม่จักเชื่อว่ามีทหารทูลกระหม่อมแก้วมารักษาแม่อยู่”

ข้าหลวงก็ยิ้มอายเอียง ผิว์เป็นเพื่อนแม่ข้าหลวงด้วยกันก็จักย้อนให้หากนี่เกรงอยู่ และกลาโหมก็หัวเราะชอบใจ ชม้ายมอง

“มิใช่ทหารของหม่อมฉัน มิได้” สาวยมโดยเถียงและค้อนให้ทั้งออกหลวงทหาร “ทูลกระหม่อมแก้วและพระองค์หญิงทรงเรียกหามาเอง สมควรแต่จะเป็นทหารของใต้ฝ่าพระบาทคอยช่วงใช้”

“ฟังดู แม่เอย” รับสั่งอึงและละอายพระทัย พระพักตร์ก็ระเรื่อบ่มอยู่เพราะจะแจ้งในคำข้าหลวงนั้น “กลาโหมฟังเถิด แม่ยมโดยมาย้อนฉัน พิลึกนัก ฉันก็ใคร่จะรู้ว่ากลาโหมนี้เป็นทหารผู้ใด ใครหนอ”

ยอดทหารพระบัณฑูรผู้หนุ่มก็หัวเราะสำรวล ลืมแล้วซึ่งการจักเป็นร้ายเป็นภัยในเบื้องหน้าเสียขณะหนึ่ง ด้วยเป็นอีกครั้งที่มาอยู่ร่วม

“หม่อมฉันเป็นทหารเสด็จในกรมและพระพุทธเจ้าอยู่หัว” กลาโหมตอบเป็นกลางๆ และก็สัพยอกเป็นกลางๆเช่นกัน “แม่ยมโดยก็อุตสาหะไปตามถึงบ้านนอกคอกนา และทั้งพระองค์หญิง จึงเมื่อมีภัยมาแล้ว กลาโหมก็ต้องรับใช้เป็นทหารทั้งนั้น มิเลือกใคร และยิ่งยมโดยแม่แล้วก็มิปล่อยให้ใครกล้ากรายข่มเหงได้”

“ก็แล้วพระองค์หญิงเล่า” ข้าหลวงแม่แสร้งเย้าพระทัย “พี่เดือนจักปล่อยให้พระองค์หญิงของยมโดยได้รับอันตรายกระนั้นหรือ”

“เอ๊ะ ยมโดย เช้านี้กระไรอยู่ ดูพูดพิลึกนัก” รับสั่ง ยิ่งพรั่นยิ่งอาย ชี้หน้าข้าหลวง “แม่ประแป้งพราวขาวมาแล้ว ดูหรือ เจตนามาปลายสวนนี่แล้วไถลพูดออกเลอะเทอะไปเช่นนี้ เหมือนแก้อายตัว พิลึกคนเสียจริง แน่ะ ฉันรู้นะแม่ยมโดยเจ้าเอ๋ย ว่าเมื่อรุ่ง แม่มาเยือนสวนจึงใคร่จะบอกไว้ ฉันนี่รู้เพราะยินกาพย์ทูลกระหม่อมที่พ่อเดือนขานขึ้น “รุ่งแล้วแก้วกัลยา สุดเสน่หาไม่มาเลย”” แล้วก็ทรงสรวล ถามกลาโหมให้ยืนยัน ทั้งคลี่พระภูษาที่ทรงห่อดอกไม้ แล้วก็เล่าความว่าทรงขว้างหวังแสร้งจักฟังเค้าก็รู้เค้าว่า ยมโดยคงจะเคยลอบมาขว้างจนกลาโหมรู้เพลา รู้กาล ซี่งข้าหลวงเจ้าอายนัก แต่พระองค์หญิงก็สำนึกพระทัยละอายขณะที่ทรงเล่าเช่นกัน

เพลานั้นก็รุ่งเรืองจารการแล้ว แล้วตะวันส่องอยู่ทั่วสวนเป็นเพลาสว่างใกล้โมง และมิมีใครจะคาดเลย นายภูบาลมหาดเล็กสนิทในกรมก็พลันมาถึง สีหน้าตื่น

“อ้อ ออกหลวงท่าน นึกว่าจะต้องปลุกเสียอีก มีรับสั่งให้หาและเกณฑ์ทหารเร็วเถิด”

“ฮ้า อย่างไรหนอ” กลาโหมหนุ่มเอะใจเพราะกาลกำหนดเสด็จนั้นต่อเมื่อเพลาสาย “นี่ทรงตื่นบรรทมแล้วกระนั้นหรือ นายภูบาล”

“ทรงตื่นแล้วและรับสั่งให้ออกหลวงเร่งเกณฑ์ทหารให้พร้อมไว เพราะสมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ มีพระราชบัณฑูรตรัสปรึกษาความลับกับกรมขุนอนุรักษ์มนตรี แล้วด้วยเจ้าสามกรมทรงสำแดงท่วงทีจักก่อการร้ายแก่แผ่นดิน จึงจักต้องวางคนไว้ให้พร้อมสรรพ”

พระองค์หญิงทรงสั่นพรั่นทั้งพระวรกาย

“จริงไหมเล่า กลาโหมและยมโดย ใจฉันนี่เมื่อสังหรณ์แล้วด้วยประการใด ประการนั้นก็มิค่อยจักผิดไปได้เลย โธ่ นี่จักต้องเกิดรบราฆ่าฟันกันอีกหรืออย่างไรหนอ”

“อย่าเพิ่งทรงพระวิตกเกินไปนัก” กลาโหมกราบทูล สีหน้าบึ้งถมึงขบบนฟันอยู่ เสมือนจะระงับใจเข้าสู่ศึก “อย่างไรเสีย เมื่อหม่อมฉันยังอยู่แล้ว ฝ่าพระบาทและแม่ยมโดยมิต้องทรงวิตกเลย ขอเชิญเสด็จกลับพระตำหนักเถิด เพราะตระหนกนักก็จะประชวรลำบากอีก ป่วยการแก่เวลา”

ข้าหลวงแม่ยมโดยขอเชิญเสด็จ ฉวยข้อพระกรและต่างตะลีตะลานทั้ง๒ คน และนายภูบาลมหาดเล็กก็เร่งกลับในขณะนั้น หลวงกลาโหมจึงหวนเข้ากระท่อม จัดแจงสวมเครื่องสำหรับศึก ทั้งลงเลขยันต์กันภัย และบูชาพระประจงอธิษฐานด้วยจิตสมาธิมั่น นึกแต่กตัญญูถวายชีพต่อแผ่นดินเป็นที่ตั้ง

เพียงมิถึงครึ่งชั่วยามในต่อมานั้น หน้าพระตำหนักเสด็จในกรมก็พรั่งพร้อมด้วยเหล่าทหารสมเด็จพระบัณฑูรเตรียมอยู่ และก็ทรงคอยอยู่ด้วยร้อนพระทัยยิ่ง กลาโหมจึงขึ้นพระตำหนัก กราบทูล

“พร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“อ้อ ออกเดือน” รับสั่งทักและเปรยไว้เป็นความลับ “ราชการมาถึงตัวแน่ละ วันนี้”

“พ่ะย่ะค่ะ ขอถวายกตัญญูสุดชีวิตอ้ายเดือน”

ทรงพยักหน้าพึงพระทัย เหลียวมองพระญาติพระวงศ์ซึ่งมาเฝ้าอยู่ด้วยความปริวิตกตลอดทุกพระองค์ มหาดเล็กข้าหลวง ก็มิอาจรับสั่งเปิดเผยได้

“กรมพระราชวังบวรฯ ทรงเห็นว่า แม้เร่งจัดการเสียแต่โดยเนิ่น ก็คงจะมีพิธีราชาภิเษกได้หาไม่ จักต้องเป็นปราบดาภิเษก”

ออกเดือนก็จะแจ้งในรับสั่งนั้นว่า จักต้องกำราบเจ้าทั้งสามกรมและทหารให้ราบคาบ มิฉะนั้นจักเกิดรบพุ่งกันขึ้นเป็นจลาจลแก่แผ่นดิน ด้วยต่างฝ่ายก็มีทหารเป็นกำลังอยู่มากด้วยกัน

“สุดแต่จะทรงใช้เถิด ข้าพระพุทธเจ้าก็ก้มหน้ามาแล้ว” หลวงกลาโหมกราบอยู่แทบฝ่าพระบาท” และขณะนี้ทหารทูลกระหม่อมทุกชีวิตก็พร้อมที่จะถวายกตัญญูต่อแผ่นดิน”

ทรงพระสรวลเศร้าๆ เอื้อมพระหัตถ์ลูบไล้ศีรษะกลาโหม

“คิดถึงทูลกระหม่อมแก้ว มิทรงอยู่ได้เห็นฝีมือทหาร เดือนเอ๋ย เรานี่สลดอยู่หลายประการนัก ด้วยพระญาติพระวงศ์กันเองประการหนึ่ง และแผ่นดินในเมื่อหน้าประการหนึ่ง นี่ฤกษ์ให้หรือยัง”

กลาโหมผู้ตระหนักชำนาญในมงคลศึกและรู้ฤกษ์ดีร้าย ก็ตรึกนิ่งอยู่ชั่วขณะ แล้วจึงทูลว่า

“ในครู่ข้างหน้านี้ เพียงให้ตะวันแจ่มใสหมดเมฆสักหน่อยก็เสด็จได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ด้วยเป็นจัตุรงค์โชค”

พึงพระทัยในฤกษ์นั้นด้วยทรงสอบแล้ว และในทันใด พระองค์ชายพระโอรสพระมหาอุปราชที่ดับสูญก็เสด็จมาพร้อมด้วยมหาดเล็ก เร่งร้อน ทรงทักทายกลาโหมแล้วจึงปรึกษาซุบซิบกับเสด็จกรมหมื่นเทพพิพิธ และแย้มพระสรวลพอพระทัย

“เห็นแก่ราชการเถิด กลาโหม” รับสั่งซ้ำอีก “ครั้งนี้ก็เหมือนราชการแผ่นดิน เพราะทรงพระราชทานอภัยโทษแล้ว เราเห็นออกเดือนและทหารทูลกระหม่อมแก้ว ถึงหากจะไม่พรักพร้อมเหมือนก่อนก็ยังอุ่นใจนัก”

ออกหลวงหนุ่มก็ถวายบังคม ปลดดาบซึ่งขัดหลังมา ๒ เล่มนั้น เล่มหนึ่งหุ้มผ้าพันไว้จึงฉีกออก ทั้งกรมหมื่นและพระองค์ชายก็ทรงตะลึง เมื่อทอดพระเนตรเห็นตลอดฝักและด้ามคร่ำทองกนกสิงห์และเทพพนม แล้วออกเดือนก็ชูเหนือศีรษะถวาย

“พระแสงของทูลกระหม่อมแก้วประทานไว้แต่เมื่อวันทรงรู้พระองค์จะเสด็จเข้าราชวังหลวง หม่อมฉันก็คะเนอยู่ว่าจะถวายใต้ฝ่าพระบาทอีกต่อหนึ่ง เพราะเกินแก่วาสนาตัว”

ท่านทรงทอดพระเนตร สองพระหัตถ์สั่นเทิ้ม เสด็จจากพระที่รับพระแสงเทิดขึ้นเหนือพระเศียรแล้วรับสั่งรำพัน

“ทูลกระหม่อมแก้ว พระแสงคู่พระหัตถ์ยังเป็นพยานอยู่ โอ้ ออกเดือนเจ้าได้ราชทานไว้ แต่อุตส่าห์มอบให้เรานี้ ยิ่งกว่าเราจักได้สมบัติใดๆอีก ขอบใจหนักหนา เดี๋ยวนี้มิมีอะไรเลยจะติดตัว แล้วเถิดจะสมนาคุณอีก”

พลันก็ถอดพระธำมรงค์เพชรนั้นประทานให้แก่กลาโหม และรับสั่งชอบแก่บุญคุณด้วยวิสัยชายชาตรีนักรบ แล้วก็พึงปรารถนาอาวุธคู่ใจยิ่งอื่น

“กลาโหมนี้สำคัญอยู่” กรมหมื่นรับสั่ง “มีของดียิ่งค่าใดๆทั้งสิ้น ดูหรือเจ้าซ่อนไว้ เอาผ้าหุ้มเสียจนใครไม่รู้”

“รักษายิ่งชีวิตเชียวพ่ะย่ะค่ะ นี่เพิ่งจะมาหุ้มผ้าเมื่อเร็ววัน เพราะเกรงผู้อื่นจะจับเค้าได้”

“แล้วเราจักหาที่ดีงามให้ใช้แทน”

พระองค์ชายรับสั่งและเฝ้าลูบคลำชมพระแสงสมเด็จยิ่งพระราชมรดกใดๆ

ได้ฤกษ์ ตะวันก็รุ่งเรืองสมเป็นมงคล จึงออกกลาโหมก็กราบทูลเชิญเสด็จทั้ง ๒ พระองค์ แล้วสั่งทหารห้อมล้อมพระคานหาม ทั้งนำหน้าและขบวนตามหลังเป็นสกัดกั้นกันแซงครบตำแหน่ง เหลียวพบพระองค์หญิงทรงยืนพระพักตร์เผือด ประหนึ่งหวั่นเกรงภัยร้ายใดเบื้องหน้าประทังส่งเสด็จอยู่ สาวข้าหลวงแม่ยมโดยก็มีกิริยาการวิตก และบรรดาพระโอรสธิดาในกรมหมื่นก็มีพระพักตร์และกิริยาเช่นเดียวกัน ตราบกระทั่งทหารหามพระยานพ้นประตูไปแล้ว

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ