เดือน ๑๐ จุลศักราช ๑๒๕๓

วันที่รัชกาล ๘๓๓๒ วัน ๕ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๓ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลาเช้า ๒ โมงเสด็จพระราชดำเนินทางประตูพรหมโสภา เสด็จขึ้นบนพระที่นั่งอาภรณ์พิโมขปราสาท ทรงจุดเทียนเครื่องนมัศการแล้วเสด็จประทับโรงพิธีหลังพระที่นั่งอาภรณ์พิโมขปราสาท เจ้าพนักงานช่างหล่อยกเบ้ามาตั้งถวายทรงวางทองคำใบลงในเบ้าหลอมทองแล้ว ทรงเทลงในคิมหล่อ เจ้าพนักงานก็ประโคมคุริยางค์ดนตรีแล้วเสด็จขึ้น โปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายสมมติวงษ์วโรทัย ทรงประเคนอาหารบินฑบาตรพระสงฆ์

เวลายามเศษเสด็จออกพระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาทประทับที่ออกขุนนาง พระศรีเสนานำบอกพระพิเรนทรเทพข้าหลวงประจำหัวเมืองลาวกลางเมืองนครราชสีห์มาขึ้นกราบบังคมทูล ๖ ฉบับ ๆ หนึ่งว่าเจ้าอธิการดีวัดบ้านจอก ฃอพระราชทานผูกพัทธสีมาวัดบ้านจอก ที่ยาว ๘ วาศอก กว้าง ๕ วาสองศอก

ฉบับ ๒ ว่าพระครูอินทรีย์สังวร วัดโพเมืองปักธงไชย ขอพระราชทานผูกพัทธสีมาวัดปักธงไชยที่ยาว ๑๐ วาศอก กว้าง ๕ วา ๓ ศอกคืบ

ฉบับ ๓ ว่าหลวงบุรีรักษ์เมืองนางรอง ขอพระราชทานผูกพัทธสีมาวัดไร่โคก ยาว ๑๐ วา ๒ ศอก กว้าง ๙ วา ๒ ศอก

ฉบับ ๔ ว่าเจ้าอธิการคำวัดทุ่งงิ้วแขวงเมืองจัตุรัส ขอพระราชทานผูกพัทธสีมาวัดทุ่งงิ้วที่ยาว ๘ วา ๒ ศอก กว้าง ๖ วา ๒ ศอก

ฉบับ ๕ ว่าขอพระราชทานพระนราบริรักษ์ บุตรพระพรหมบริรักษ์ยกรบัตร เป็นที่พระศรีสิทธิสงครามผู้ช่วยราชการ

ฉบับ ๖ ว่าเกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่บ้านตึกพระภักดิสุวรรณ์ ลามไหม้โรงทหารแตที่พักพระยาราชเสนาไหม้หอนั่งที่ประชุมปฤกษาราชการแลตึกเรือนราษฎร ได้ถามปากคำอีทองทาษพระภักดิสุวรรณ์ผู้ต้นไฟ ให้การสารภาพว่าเดิมอีทองก่อเพลิงหุงเข้าแล้วไปตลาดกลับมาเห็นไฟติดขึ้นตรงกับเตาถึงหลังคา

พระสุรินทรามาตย์นำบอกกรมพระกระลาโหมขึ้นกราบบังคมทูล ฉบับ ๑ ว่าพระยารัษฎานุประดิษฐเมืองตรัง ได้ขอเงินซื้อเข้าสารที่เมืองปินังมาจำหน่ายแก่ราษฎรเมืองตรัง เป็นราคากระสอบละ ๕ เหรียญตามที่พระราชทานให้ลงทุนซื้อนั้น

แล้วพระศรีเสนา นำพระนราบริรักษ์ผู้จะเป็นที่พระศรีสิทธิสงครามผู้ช่วยราชการเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาททูลเกล้า ฯ ถวายขี้ผึ้งหนัก ๑ หาบ มีพระราชดำรัสถามกรมหมื่นนเรศรวรฤทธิว่า คนโทษนั้นย้ายคุกไปแล้วฤๅยัง กรมหมื่นนเรศรกราบบังคมทูลว่าย้ายไปแล้ว มีพระราชดำรัสถามต่อไปว่า ที่คุกเก่านั้นจะทำอย่างไร กรมหมื่นนเรศรกราบบังคมทูลว่าจะต้องรื้อ แล้วดำรัสถามว่าคุกใหม่นั้นพอกันอยู่ฤๅไม่พอ กรมหมื่นนเรศรกราบบังคมทูลว่าพอ

แล้วรับสั่งกับกรมหมื่นประจักษ์ว่าไฟฟ้านี้เป็นการดีจริง เกือบจะทรงสัพพีได้เพราะเวลาที่ไม่มีไฟฟ้า จะพระราชทานสัญญาบัตรต้องเพ่งพระเนตรจึ่งจะเห็นตัวหนังสือได้ กรมหมื่นประจักษ์กราบบังคมทูลว่าไฟฟ้าจะจุดถวายในคืนที่ ๓ กันยายนนี้คืนเดียว จึ่งรับสังถามว่าขัดข้องอย่างไร กรมหมื่นประจักษ์กราบทูลว่าเงินยังหาพอไม่ขาดอีกสองพันชั่ง แล้วรับสั่งกับกรมหมื่นสมมตว่าให้มีหนังสือไปเตือนกรมหมื่นนราเพราะท่านเป็นผู้มีแชร์มาก

แล้วรับสั่งถามพระยานครไชยศรีว่า พลับพลาที่พระปถมเจดีย์นั้นยังดีอยู่ฤๅชำรุดหักพังไป พระยานครไชยศรีกราบบังคมทูลว่าชำรุดบ้างเพราะหลังคากระเบื้องหักฝนตกลงถูกพื้นพาพื้นชำรุดผุไปบ้าง เพราะพื้นนั้นไม่ใช่กระดานไม้สักเป็นกระดานไม้กระแบก จึ่งรับสั่งว่าให้จัดซ่อมเสียให้ดี จะโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จไปพระราชทานพระกระฐินวัดพระปถมเจดีย์ แล้วรับสั่งต่อไปว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวชเณร ต้องไปพระราชทานพระกระฐินวัดพระปถมเจดีย์แลวัดเมืองเพชรบุรี แต่สมเด็จพระบรมโอรสนี้ เสด็จแต่วัดพระปถมเจดีย์วัดเดียวก็เป็นการพอได้

แล้วรับสั่งกับกรมหลวงเทวะวงษ์ถึงอาการประชวร สมเด็จพระบรมโอรสว่าไข้ก็หายแล้ว ยังเป็นแต่ทรงแน่นพระนาภี แลทรงพระดำเนินให้วิงเวียนเท่านั้น แล้วพระราชทานอาการสมเด็จพระบรมโอรสที่ทรงพระอักษรมาให้กรมหลวงเทวะวงษ์ทอดพระเนตร

แล้วรับสั่งถามพระยามนตรีสุริยวงษ์ว่าจะกลับออกไปชำระผู้ร้ายเมืองราชบุรีฤๅไม่ต้องกลับออกไป พระยามนตรีกราบบังคมทูลว่าจะต้องกลับออกไป แล้วรับสั่งถามถึงน้ำฝนต้นเข้าเมืองราชบุรี พระยามนตรีกราบบังคมทูลว่าปี ๑๑๐ นี้ราษฎรไถหว่านปักดำได้ดี

แล้วโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสัญญาบัตรข้าราชการ ๔ นาย คือ ๑ ให้พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร เป็นพระยามหานิเวศนานุรักษ์ศักดิ์วรานุกรม อุดมพฤฒาธิคุณ มีตำแหน่งราชการในกรมวัง ถือศักดินา ๓๐๐๐ ๒ ให้จมื่นจงภักดีองค์ กรมพระตำรวจวังขวา เป็นพระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร กรมพระตำรวจวัง ถือศักดินา ๑๐๐๐ ๓ ให้นายจ่ายงมหาดเล็กเวรศักดิ์ เป็นจมื่นจงภักดีองค์ กรมพระตำรวจวังขวา ถือศักดินา ๘๐๐ ๔ ให้หลวงสวามิภักดิ์ภูวนารถ เป็นพระพิบูลย์พัฒนากร มีตำแหน่งราชการในกรมท่าซ้าย ถือศักดินา ๘๐๐ เวลา ๔ ทุ่มเศษเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๓๓ วัน ๖ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๔ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลายามเศษเสด็จออกขุนนางตามเคย พระศรีเสนานำบอกในกรมมหาดไทยขึ้นกราบบังคมทูล ๔ ฉบับ

ฉบับ ๑ บอกพระพิศณุเทพข้าหลวงที่สอง รักษาราชการหัวเมืองลาวฝ่ายตวันออกเมืองนครจำปาศักดิ์ ลงวันที่ ๖ มีนาคม ๑๐๙ ว่าอุปฮาดราชวงษ์เมืองอัตปือ จัดได้ทองคำทรายหนัก ๒๐ บาทมอบให้ท้าวอินทกุมารลงมาสมโภชโสกันต์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช

ฉบับ ๒ บอกพระพิษณุเทพแลลงวันๆเดียวกันว่าอุปฮาดท้าวเพี้ยได้หาตัวขุนล่ามข่ามาเร่งทองคำส่วย ฃุนล่ามฃ่าว่าเมื่อแต่งให้ ท้าวอัคฮาดท้าวเปลื้องคุมทองคำส่วยลงมาทูลเกล้า ฯ ถวายยังหาได้ ปัศตู ผ้าลาย ลูกปัดหอย เบี้ยชาม ของพระราชทานตอบไม่

ฉบับ ๓ บอกเมืองสุวรรณภูม ลงวันที่ ๒๘ เมษายน ๑๑๐ ฃอพระราชทานท้าวไชยกุมาร เป็นที่หลวงรัตนวงษาผู้ช่วยราชการ

ฉบับ ๔ บอกเมืองยะโสธร ลงวันที่ ๒๘ เมษายน ๑๑๐ ฃอพระราชทานท้าววรบุตร เป็นที่ราชบุตร ท้าวจันตรีสุราช เป็นที่พระศรีวรราชผู้ช่วย

แล้วพระสุรินทรามาตยนำบอกกรมพระกระลาโหมขึ้นกราบบังคมทูล ฉบับ ๑ บอกเมืองสงขลา ลงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๑๑๐ ว่าเจ้าอธิการหนูวัดแม่เบี้ย ขอพระราชทานผูกพัทธสีมาวัดแม่เบี้ย ที่ยาว ๕ วา ๒ ศอก กว้าง ๓ วา ๒ ศอก

จึงดำรัสถามพระยามหาอำมาตยว่าพวกข่าเหล่านี้จะไม่ยอมเสียทองคำส่วยอย่างนั้นฤๅ พระยามหาอำมาตยกราบบังคมทูลว่าไม่ใช่อย่างนั้นมิได้ เป็นแต่ไปเร่งเก็บทองคำส่วยใหม่พวกข่าจึ่งร้องขอของที่เคยพระราชทานตอบแทนที่ยังไม่ได้ จึ่งดำรัสถามต่อไปว่าทำไมจึ่งยังไม่ได้ตอบแทน พระยามหาอำมาตยกราบบังคมทูลว่าเวลานั้นพระยามหาอำมาตยขึ้นไปอยู่เมืองนครจำปาศักดิ์ แล้วดำรัสกับพระยามหาอำมาตยต่อไปว่าการที่ฝรั่งเสศเข้ามาในพระราชอาณาเจตรสยามครั้งนี้ เห็นจะเป็นเรื่องที่พระยามหาอำมาตยบอกลงมา การที่ีผู้กล่าวโทษพระยาราชเสนาว่ากดขี่ข่มเหงราษฎรๆอพยบหลบหนีไปนั้น ทรงหวังพระราชหฤไทยว่าพระยาราชเสนาก็รักษาราชการมานานแล้ว การที่โลภโมโทสันนั้นเห็นจะไม่มี แต่ท้าวเพี้ยกรมการนั้นจะเป็นบ้าง แต่พระยาราชเสนาแกร่มเสียว่าถึงท้าวเพี้ยกรมการก็ไม่เป็นเลย แล้วรับสั่งกับกรมหลวงพิชิตว่าให้กรมหลวงพิชิตเสด็จขึ้นไปพร้อมกับพระยาราชเสนา ให้ทรงตรวจดูว่าพระยาราชเสนากดขี่ฤๅท้าวเพี้ยกรมการกดขี่ ถ้าจริงก็ให้บอกลงมาจะโปรดเกล้า ฯ ให้ลงโทษต่อภายหลัง แล้วรับสั่งกับกรมหลวงเทวะวงษ์ว่าการที่หลวงสากลไปทำแผนที่บนเฃาที่ต่อกับญวนเป็นการเปลืองอายุเปล่าๆ ควรจะบอกให้กลับมาเสียก็ได้ถึงไม่บอกก็คงกลับแล้ว ที่หลวงสากลจะบุกป่าฝ่ารกขึ้นไปทำนั้นเห็นจะไม่เป็นเพราะทางก็ไม่มี แล้วรับสั่งกับพระยาราชเสนาว่า การที่คิดจะทำเมล์เรือไฟจากเมืองอุบลนั้นจะเป็นการทำได้แน่ฤๅไม่ พระยาราชเสนากราบบังคมทูลว่าคงจะทำฉลองพระเดชพระคุณ } ได้เป็นแน่ แล้วรับสั่งต่อไปว่าที่ทรงพระยาราชเสนานั้นพอจะทำได้ แต่บุตรพระยาราชเสนานั้นคิดทำการอไรก็ไม่สำเร็จหลายหนหลายครั้งมาแล้ว ไปวิวาทกันจนกัมปนีแตก พระยาราชเสนากราบบังคมทูลว่าคิดจะทำฉลองพระเดชพระคุณ } จนสิ้นชีวิตร เวลา ๔ ทุ่มเสศเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๓๔ วัน ๗ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๕ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

วันนี้พระสงฆ์ ๑๐ รูป มีกรมหมื่นวชิรญาณเป็นประธานเจริญพระพุทธมนต์ที่ตำหนักเจ้าจอมมารดาพร้อม ในการสมโภชเดือนพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิง ซึ่งประสูต ณ วันที่ ๒๕ มิถุนายน ร.ศ.๒๔ ๑๑๐

เวลา ๔ ทุ่มเศษเสด็จออกขุนนางตามเคย พระศรีเสนานำศุภอักษรเจ้านครเมืองน่านฉบับ ๑ ใบบอก ๒ ฉบับขึ้นกราบบังคมทูล ในศุภอักษรเจ้านครเมืองน่าน ลงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๑๑๐ ว่าในวันที่ ๕ พฤษภาคม ว่า เจ้าอนันตวรฤทธิเดชแลเจ้านายบุตรหลานพระยาท้าวแสน ได้พร้อมกันถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาแล้ว ใบบอกฉบับ ๑ บอกกรุงเก่า ลงวันที่ ๕ สิงหาคม ๑๑๐ ว่าน้ำฝนในราษีกรกฎปี ๑๑๐ น้อยกว่าปี ๑๐๙ สิบเบตเซน น้ำท่าในราษีกรกฎปี ๑๑๐ น้อยกว่าปี่ ๑๐๙ สองศอกห้านิ้ว ราษฎรไถนาทุ่มได้ส่วนหนึ่งยังส่วนหนึ่ง ราคาเฃ้าเปลือกตวงด้วยสัด ๒๕ ทนานเกวียนละ ๙ ตำลึง

ฉบับ ๒ บอกเมืองอ่างทอง ลงวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๑๑๐ ว่าน้ำฝนในราษีกรกฎปี ๑๑๐ น้อยกว่าปีร้อยเก้า ๔ นิ้ว ๔ ทสางค์ น้ำท่าในราษีกรกฎปี ๑๑๐ น้อยกว่าปี ๑๐๙ หนึ่งนิ้ว ราษฎรกำลังไถหว่านราคาเข้าเปลือกตวงด้วยสัด ๓๐ ทนานเกวียนละ ๙ ตำลึง

พระสุรินทรามาตยนำบอกเมืองนครเขื่อนขันธ์ ลงวันที่ ๔ กันยายน ๑๑๐ ขึ้นกราบบังคมทูลฉบับ ๑ ว่ามีตราพระคชสีห์ไปให้สืบจับโจรผู้ร้าย ได้แต่งให้กรมการแยกกองกันออกสืบจับยังหาได้ตัวไม่

จึ่งมีพระราชดำรัสแก่พระสุรินทรามาตยว่าบอกเมืองนครเขื่อนขันธ์รกพระกรรณนัก จับตัวผู้ร้ายไม่ได้ฤๅ พระสุรินทรามาตยกราบบังคมทูลว่าไม่ได้ตัว รับสั่งว่าที่จับตัวได้ก็ไม่จริง ที่จริงก็จับไม่ได้

แล้วรับสั่งถามกรมหลวงพิชิตปรีชากรว่า การที่จะเสด็จขึ้นไปเมืองนครจำปาศักดิ์นั้น ได้ทรงกะเอศติเมตเงินเดือนแล้วฤๅยัง หน่อยกรมมหาดไทยจะอิจฉา กรมหลวงพิชิตกราบบังคมทูลว่ากะเสร็จแล้ว แล้วดำรัสต่อไปว่ากรมหลวงพิชิตเห็นจะยังไม่ทรงทราบ กรมมหาดไทยเขากล่าวโทษว่ากรมหลวงพิชิตให้มีตราไปเกณฑ์เจ้าเมืองกรมการมาคอยเฝ้าเป็นการเดือดร้อนนัก จึ่งโปรดเกล้า ฯ ให้เรียกต้นหนังสือกรมหลวงพิชิตมาทอดพระเนตรที่กะเกณฑ์เจ้าเมืองกรมการ เจดวันถึงได้ต้นหนังสือ ได้ทรงตรวจในหนังสือกรมหลวงพิชิตมีแต่ให้พระพิศณุเทพลงมาเฝ้าสักหน่อย แลฃอบาญชีเสบียงอาหารหัวเมืองตามรายทางจะมีมากน้อยเท่าใด กรมมหาดไทยอ่านหนังสืออย่างไร จึ่งเข้าใจไปได้คนละความ

แล้วพระยาศรีสิงหเทพ นำหลวงเทศาจิตรวิจารณ์ นายเฮงนักเรียนซึ่งขึ้นไปราชการแผนที่กับพระวิภาคภูวดล กลับลงมาเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทมีพระราชดำรัสไต่ถามตามสมควร แล้วโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสัญญาบัตรข้าราชการ ๑๑ นาย ให้พระยาดำรงค์ราชพลขันธ์ เป็นพระยามหาโยธาจางวางกองมอญคงถือศักดินา ๓๐๐๐ ให้หลวงสาตราธิกรณฤทธิ เป็นพระประสิทธิศัลการมีตำแหน่งราชการในกรมทหารบก ถือศักดินา ๑๐๐๐ ให้นายร้อยโทนายเหลี่ยมเป็นหลวงอนุมัติมนูกิจ สารวัดใหญ่กรมกองตระเวรฝ่ายกองรักษา ในกรมพระนครบาล ถือศักดินา ๖๐๐ ให้นายสิทธิมหาดเล็กเวรศักดิ์ บุตรพระยาเสนานุชิต (นุช) เป็นพระนรเทพภักดีศรีราชยกรบัตรเมืองตะกั่วป่า ถือศักดินา ๘๐๐ ให้นายพลอยมหาดเล็กเวรศักดิ์ บุตรพระยาเสนานุชิต (นุช) เป็นพระพลพยุหสงครามจางวางด่านเมืองตะกั่วป่าถือศักดินา ๑๐๐๐ ให้หลวงภักดีสมบัติเมืองกระบี่ เป็นหลวงโภคาพิพัฒน์ปลัดเมืองกระบี่ ขึ้นเมืองนครศรีธรรมราช ถือศักดินา ๘๐๐ ให้ราชวงษ์เมืองสกลนคร เป็นอุปฮาดเมืองสกลนคร ให้ราชบุตรเมืองสกลนคร เป็นราชวงษ์เมืองสกลนคร ให้ท้าวสุริยเมืองสว่างแดนดิน เป็นพระสิทธิศักดิ์ประสิทธิ์ เจ้าเมืองสว่างแดนดิน ขึ้นเมืองสกลนคร ให้ท้าววรบุตรเมืองวานรนิวาศน์ เป็นพระประชาราษฎร์รักษา เจ้าเมืองวานรนิวาศน์ ขึ้นเมืองสกลนคร เวลา ๕ ทุ่มเศษเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๓๕ วัน ๑ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๖ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลาเช้าพระสงฆ์ ๑๐ รูป ซึ่งเจริญพระพุทธมนต์ที่ตำหนักเจ้าจอมมารดาพร้อมรับพระราชทานมีเครื่องไทยทานตามสมควร

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษเสด็จออกพระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัย พระยาศรีสิงหเทพนำบอกถวายต้นไม้เงินทองเครื่องราชบรรณาการ ในกรมมหาดไทย ขึ้นกราบบังคมทูล ๒ ฉบับ

ฉบับ ๑ บอกเมืองบริคัณหนิคม ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๑๐๙ ว่าพระวิเสศสุรฤทธิ์ได้ทำต้นไม้ทองเงินสิ่งละ ๔ ต้น ๆ หนึ่งสูงศอกหนึ่ง ทองหนักต้นละ ๒ ตำลึง ต้นไม้เงินสูงต่ำเท่าต้นไม้ทองเงินหนักต้นละ ๒ ตำลึง จำนวนปีรกาสัปต๑๘ศก ปีจออัฐ๑๙ศก ปีกุนนพ๒๐ศก ปีชวดสัมฤทธิ๒๑ศก } ปีละ ๒ ต้นรวมเป็นต้นไม้ทองเงิน } ๘ ต้นอย่างละสี่ต้น เครื่องราชบรรณาการ กำยานหนัก ๑ หาบ ขอพระราชทานทูลเกล้า ฯ ถวาย

ฉบับ ๒ บอกเมืองมุกดาหาร ลงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๑๐๙ ว่าได้จัดต้นไม้ทองเงินเครื่องราชบรรณาการ จำนวนปีมแมเบญจ๑๖ศก ปีวอกฉ๑๗ศก ต้นไม้ทองสองต้นๆหนึ่งสูงสองศอกทองหนัก ๓ ตำลึง ต้นไม้เงินสองต้น สูงต่ำเท่ากับต้นไม้ทองเงินหนัก ๓ ตำลึง เครื่องราชบรรณาการจำนวนปีมแมเบญจ๑๖ศก หนัก ๓ ๖๐ สลึง นรมาต ๒ ยอดหนัก ๑ สลึง ๑๔ เฟื้อง จำนวนปีวอกฉ๑๗ศก ขี้ผึ้ง งาช้าง นรมาตเท่ากัน กับได้เก็บเงินแทนส่วยผลเร่ว เมืองมุกดาหารแลเมืองขึ้น ปี ๑๐๘ ๓๓ ชั่ง ๑๕ ตำลึง ปี ๑๐๙ ๒๓ ชั่ง ๑๗ ตำลึง รวมเป็น ๕๗ ชั่ง ๑๒ ตำลึง

แล้วพระยาศรีนำพระวิเสศสุรฤทธิเจ้าเมือง ๑ ท้าวขัติย ๑ เพี้ยรองวัง ๑ เพี้ยมหาเสนา ๑ เมืองบริคัณหนิคม ๔ นาย เมืองมุกดาหาร ราชบุตรผู้ว่าราชการเมือง ๑ ท้าวเผือก ๑ ท้าวแสง ๑ ท้าวสุริย ๑ ท้าวมาตยสุริยวงษ ๑ รวม ๕ นาย เฃ้าเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท มีพระดำรัสราชปฏิสันฐารตามสมควร

แล้วพระยานรินทรราชเสนี นำบอกต้นไม้ทองเงินเครื่องราชบรรณาการในกรมพระกระลาโหมขึ้นกราบบังคมทูล ๒ ฉบับ ฉบับ ๑ บอกเมืองตรังกานู ว่าจำนวนปี ๑๑๐ ได้แต่งให้ศรีตวันกรมการ คุมต้นไม้ทองต้นหนึ่ง สูง ๓ ศอกคืบเก้านิ้ว มีชั้นห้าชั้นหกชั้นทั้งยอด มีกิ่ง ๒๖ กิ่ง ก้าน ๒๖๐ ก้าน ดอกตามก้านกลีบชั้นเดียว ๔๐๕ ดอก ดอกพุดตานปลายยอดกิ่ง ๒๗ ดอก ใบโพห้อย ๘๙๕ ใบ ต้นไม้เงินสูงกาบกิ่งเท่าต้นไม้ทอง เครื่องราชบรรณาการ พิมเสนหนัก ๔ ชั่งจีน ผ้ายกทองอย่างแขก ๒ ผืน ผ้าขาวกาษามีดอก ๔ พับ ผ้าขาวยาว ๕๐ ศอก สิบสองพับ ผ้าเจะโปะ ๔ พับ หวายตะค้าตามธรรมเนียม ๒๐๐ กำ หวายตะค้าแทนสาคู ๒๐๐ กำ หวายหิน ๔๐๐ ขต ไม้พลองก้ามขอ ๔๐๐ ดุ้น หอยมุข ๔๐๐ ตัว กันแชงเตย ๑๐๐ ผืน ฃอพระราชทาน ทูลเกล้าฯ ถวาย

ฉบับ ๒ บอกเมืองกลันตัน ว่าจำนวนปี ๑๑๐ ได้แต่งศรีตวันกรมการ คุมต้นไม้ทองต้นหนึ่งสูง ๖ ศอก ๕ นิ้ว กึ่ง ๓๒ กิ่ง ก้าน ๑๘๐ ก้านดอก ๒๑๒ ดอก ใบโพห้อย ๙๖๐ ใบ กาบรองชั้น ๑๐ กาบ ใบปรีห้อย ๓๖ ใบ นกจับ ๘ นก งูต่าย ๔ งู ดอกพุดตาน ๑ ภู่ห้อย ๑ ต้นไม้เงินต้นหนึ่งสูงต่ำกาบกิ่งนกงูเท่าต้นไม้ทอง เครื่องราชบรรณาการแหวนดอกมพร้าว ๒๐ วง หอกปลอกทองคำ ๑๐ คู่ ผ้าฃาวยาว ๕๐ ศอก ๔๐ พับ ขอพระราชทานทูลเกล้าฯถวาย

แล้วพระยานรินทร์นำศรีตวันกรมการ เมืองตรังกานูอุรังกายอเดหวาสุรอ ๑ เจะอิตำ ๑ เจะอาลี ๑ มกัดมหมัด ๑ นายเมืองกลันตัน หวันดาเด ๑ หวับยุโสบ ๑ หวันหมุดตาฟา ๑ หวันดาเร ๑ สี่นายเข้าเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท มีพระราชปฏิสันฐานตามสมควรแล้วเสด็จขึ้นทรงเปลื้องเครื่องแต่งพระองค์เปลี่ยนใหม่แล้วเสด็จออกทรงรถพระที่นั่งพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จพระราชดำเนินไปวัดบวรนิเวศวิหาร ในการทรงนำสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทูลลาพระเจ้าบรมวงษเธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ทรงผนวชเณร แลเชิญเสด็จเปนพระอุปัชยาจารย์ เวลาทุ่มเศษเสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง

เวลา ๒ ทุ่มเศษพระบรมวงษานุวงษ์แลข้าราชการผู้ใหญ่ที่ควรจะไปเฝ้าในที่สมโภชได้ ไปคอยเฝ้าอยู่ที่ตำหนักเจ้าจอมมารดาพร้อมพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงเจ้าพนักงานแต่งพระองค์พระเจ้าลูกเธอ พระเจ้าหญิงตามขัติยราชกุมารีเสร็จแล้ว โปรดเกล้า ฯ ให้แว่นเวียนเทียนสมโภชตามเคย แล้วโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระนามพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิง

เวลายามเศษเสร็จการสมโภชเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๓๖ วัน ๒ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๗ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลา ๔ ทุ่มเศษเสด็จออกขุนนางตามเคย พระศรีเสนานำบอกในกรมมหาดไทยขึ้นกราบบังคมทูล ๔ ฉบับ

ฉบับ ๑ บอกเมืองสระบุรี ลงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๑๑๐ ว่า ขุนวงอาษาฃอพระราชทานผูกพัทธสีมาวัดบ้านหนองนกชุมที่กว้าง ๕ วา ยาว ๙ วา

ฉบับ ๒ บอกเมืองสาลวัน ลงวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๑๐๙ ว่าได้เก็บเงินส่วยที่ค้างอยู่ ๔ ชั่ง มอบให้อุปฮาดผู้ว่าที่พระเอกราชาเจ้าเมืองคุมลงมา

ฉบับ ๓ ว่าขอพระราชทานอุปฮาดเป็นที่พระเอกราชาเจ้าเมืองสาลวัน ฉบับ ๔ บอกพระพิเรนทรเทพข้าหลวงประจำหัวเมืองลาวกลางเมืองนครราชสีหมา ลงวันที่ ๒๙ เมษายน ๑๑๐ ฃอพระราชทานหีบศิลาน่าเพลิงเผาศพพระครูสีหราชสมาจาริย์มุนี

พระสุรินทรามาตยนำบอกพระยาศรีสรราชภักดีข้าหลวงประจำหัวเมืองฝ่ายทเลตวันตก ลงวันที่ ๓ สิงหาคม ๑๑๐ ขึ้นกราบบังคมทูลฉบับ ๑ ว่ามีตราพระราชสีหโปรดเกล้า ฯ ออกไปว่าได้ตั้งพระยศภักดีเป็นผู้ว่าราชการเมืองถลาง หลวงนากรมการเป็นที่พระยศภักดียกรบัตรเมืองภูเกต ให้มอบถาดหมากคนโทเงินกาไหล่ทอง ตำแหน่งที่พระยศภักดีคนเก่า ให้พระยศภักดีคนใหม่นั้นได้มอบให้เสร็จแล้ว มีพระราชดำรัสกับกรมหลวงเทระวงษ์ว่า กรมหลวงพิชิตจะไปในวันที่ ๑๖ กันยายนเห็นจะไม่ทัน เพราะคิดดูในระหว่างตราขึ้นไปถึง ๑๐ วันเท่านั้น ที่ไหนจะทำที่ประทับพลับพลาไว้ทัน แล้วรับสั่งต่อไปว่าเจ้าพระยารัตนบดินทร์ให้พระยาศรีตีโทรเลขขึ้นไปถึงเมืองพระตบอง ให้จัดสะเบียงอาหารไว้คอยส่งกรมหลวงพิชิตเมืองพระตบอง ให้พระมหาดไทยตีตอบลงมาว่าสะเบียงอาหารไม่มีที่จะซื้อ เพราะเจ้าพระยารัตนบดินทร์ไม่ได้ตีโทรเลขขึ้นไปเอง ให้พระยาศรีตีโทรเลขขึ้นไปเมืองพระตบองจึ่งให้พระมหาดไทยตีตอบลงมา ทำเล่นกับเขมร่ไปเถิดเขมรจะเคยตัว ถึงจะไม่ถือก็เสียเกียรติยศในกรมมหาดไทย แล้วรับสั่งถามกรมหมื่นประจักษว่าจะขึ้นไปเมื่อไร กรมหมื่นประจักษกราบบังคมทูลว่า จะถวายบังคมลาต่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทรงผนวชเณรแล้ว จึ่งรับสั่งถามต่อไปว่าได้จัดให้ใครไปประจำอยู่ที่วัดบ้าง กรมหมื่นประจักษกราบบังคมทูลว่า กรมวัง ตำรวจ มหาดเล็ก ราชยาน นาฬิกา ทหาร แต่มหาดเล็กกับตำรวจนั้นให้คนวังน่าไป แล้วรับสั่งถามกรมหลวงเทวะวงษ์ว่า พระยาราชประสิทธิ์เจบอย่ฤๅดี กรมหลวงเทวะวงษ์กราบบังคมทูลว่าไม่ได้ป่วยมิได้ แล้วรับสั่งว่าพระยาราชประสิทธิเป็นผู้ชำนาญวัดบวรนิเวศให้ไปอยู่เป็นเพื่อนสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชด้วย กรมหลวงเทวะวงษ์กราบบังคมทูลว่า พระยาราชประสิทธิคิดจะไปฉลองพระเดชพระคุณ } เหมือนกัน แล้วรับสั่งกับกรมหมื่นประจักษต่อไปถึงการที่สมเด็จพระบรมโอรสจะทรงผนวชนั้น

แล้วพระศรีเสนานำอุปฮาดผู้ว่าที่พระเอกราชาเจ้าเมืองสาลวันเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท จัดได้งาช้าง ๒ กิ่งหนัก ๑๔ ชั่ง ขอพระราชทานทูลเกล้าฯถวายกับอุปฮาดจัดได้เงินตรา ๑ ชั่ง ขอถวายในการสมโภชโสกันต์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช แล้วโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสัญญาบัตรให้พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าวัฒนานุวงษ์ นายพันตรีเป็นราชองครักษ์ ให้ท้าวบุญเรืองเมืองภูเขียวเป็นราชวงษ์เมืองภูเขียว เวลา ๕ ทุ่มเศษเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๓๗ วัน ๓ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๘ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

วันนี้เป็นวันเริ่มจัดการตั้งโต๊ะ ในการทรงผนวชเณรสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เวลา ๒ ทุ่มเสด็จออกพระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาทแล้วเสด็จวัดพระศรีรัตนสาสดารามทอดพระเนตรเครื่องโต๊ะลายครามตามพระระเบียงวัดพระศรีรัตนสาศดาราม ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงษานุวงษ์แลข้าราชการไทยจีนจัดมาตั้งตามระเบียงรอบพระอุโบสถนั้น ประทับทอดพระเนตรอยู่จนเวลา ๒ ยามเศษเสด็จกลับพระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาท พระยาพิพัฒโกษานำนายปลื่ม ๑ นายเริ่ม ๑ นายสงบ ๑ เมืองอังกฤษ ๓ นายกลิ่น เรียนวิชาทหาร เมืองออสเตรีย ๑ นายแย้ม เมืองเยอรมนี ๑ รวม ๕ นาย เฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทที่พระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาทแล้วเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๓๘ วัน ๔ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๙ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

วันนี้เป็นวันสมโภชซึ่งจะทรงผนวชเป็นสามเณร สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าพนักงานได้จัดการที่พระที่นั่งอนันตสมาคมบนพระแท่นเสวตรฉัตร ตั้งพระมหาพิไชยมงกุฎเครื่องศิริราชกกุธภัณฑ์ น่าพระที่นั่งเสวตรฉัตร ท่ามกลางมุขทั้งสาม ตั้งพระราชยานกงภายในเพดานซึ่งประดับด้วยดอกไม้สด แลมีฉัตรดอกไม้สดห้าชั้นปักมุมเพดาน ๔ คัน ที่ตรงน่าเพดานออกมาตั้งบายศรีแก้ว ทอง เงิน } มุมโต๊ะบายศรีสองข้างตั้งไตรบาตรองพานทองมหากระฐิน ต่อไปในท่ามกลางมุขน่านั้นตั้งเครื่องบริกขารต่างๆ

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จออกพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท เจ้าพนักงานเจริญพระเกษาแล้ว ทรงเครื่องที่จะสมโภชอย่างขัติยราชกุมาร

เวลาทุ่มเศษเสด็จทรงเครื่องฉลองพระองค์เยี่ยระบับประดับนพรัตน์ราชวราภรณ์ แล้วเสด็จออกพระที่นั่งอนันตสมาคม พร้อมด้วยพระบรมวงษานุวงษ์แลข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทตามลำดับ

จึงเสด็จพระราชดำเนินไปพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ โปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงษ์ กรมพระภาณุพันธุวงษ์วรเดช ๑ พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ ๑ รับพระกรสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช มาประทับในพระราชยานกงภายในเพดานดอกไม้สดที่พระที่นั่งอนันตสมาคม พระมหาราชครูพิธีพระครูพราหมณ์เบิกแว่นพระบรมวงษานุวงษ์ ข้าราชการเวียนเทียนสมโภช เจ้าพนักงานก็ประโคมเครื่องดุริยางค์ดนตรีคำรพเบญจวารเสรจแล้ว พราหมณ์ก็ทำการสมโภชตามขัติยราชประเพณีสืบมา แล้วเสด็จหลั่งน้ำพระมหาสังขแลทรงเจิมพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช แล้วโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จกรมพระภาณุพันธ์ แลกรมหลวงเทวะวงษ์วโรประการ รับพระกรสมเด็จพระบรมโอรสาริราชไปทรงเปลื้องเครื่องที่พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท

แล้วเสด็จทรงพระราชยานแต่เกยพระที่นั่งอนันตสมาคมไปประทับที่ประตูวัดพระศรีรัตนสาศดารามด้านตวันออก แล้วเสด็จพระราชดำเนินโดยรอบพระระเบียง ทอดพระเนตรเครื่องโต๊ะต่อไป จนเวลา ๗ ทุ่มเศษเสด็จขึ้น.

วันที่รัชกาล ๘๓๓๙ วัน ๕ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๑๐ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

วันนี้เป็นวันทรงผนวชสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช โปรดเกล้า ฯ ให้นิมนต์พระสงฆ์พระบรมวงษานุวงษ์ แลสมเด็จพระราชาคณะแลพระราชาคณะผู้ใหญ่ผู้น้อย } รวม ๓๐ องค์มีพระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระปวเรศาวริยาลงกรณ์เป็นพระประธานมาพร้อมกันในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนสาศดาราม เจ้าพนักงานจัดกระบวนแห่ตั้งต้นแต่ถนนท้องสนามหลวงมุมป้อมเผด็จดัษกรตลอดไปถึงบางลำพู แต่กระบวนพระที่นั่งรออยู่ที่ประตูเทวาพิทักษ์ กระบวนน่ามีนายโปลิศลาดตระเวรแถวหนึ่ง แล้วต่อมามีธงนำริ้ว ๑ คู่ แล้วถึงกระบวนทหารม้าแลพลทหารบกเดินแถว มีแตรวงนำ ต่อมามีม้าเกราะทองสองแถว สายกลางกลองแขกปี่ชะวา พิณพาทย์ เถิดเทิงสรวมศีศะนาคของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงษ์ กรมพระภาณุพันธุวงษ์วรเดชวงหนึ่ง เถิดเทิงแต่งเป็นพม่ากระบวนหลวงวงหนึ่ง แล้วต่อมาถึงพระยานาคทำด้วยกระดาษเขียนลายยาวประมาณเส้นหนึ่ง แล้วถึงกระบวนธงชายสองแถว สายกลางช้างเขน ๓ ช้าง ช้างโขนอีก ๒ ชุด คือช้างพลายบรรทุกกลองแขก ๑ พิณพาทย์ ๑ พลายหมอแต่งเป็นยักษมีมกุฎ ๓ ช้างชุดหนึ่ง ช้างกลองแขก ๑ พิณพาทย ๑ ช้างพลายหมอแต่งตัวเป็นยักษไม่มีมกุฎ ๓ ช้างชุดหนึ่งเรียงลำดับกัน แล้วถึงพลเดินเท้ากลองแขกสายกลาง ธงตะขาบ ธงภาพต่างๆเดินสองแถว กลางรถคนแต่งเป็นพระรามพระลักษณ์ } ๑ รถ แล้วต่อมาถึงช้างพลายบรรทุกไตรไทยธรรม ๑ บรรทุกเทียนธูปที่จะถวายพระอุปัชฌาย์ ๑ ช้างเผือกบรรทุกบาตร ๑ ไตร ๑ มีช้างพังนำทุกช้างแล้วกระบวนพลรบอย่างเก่าเดินสองแถว คือพลเสโลหโตมรดาบสองมือ ดาบดั้ง ดาบเขน เกาทัณฑ์ ดาบเชลย ทวน ง้าว มีธงชายนำทุกชุด แล้วถึงกระบวนเกวียน บรรทุกบาตรแลไทยธรรมต่าง ๆ ๖ เล่ม พิณพาทย์ ๒ วง กลองแขก ๑ ต่อไปกระบวนลครขี่ม้าเดินแถวต่างๆ ๕ สำรับ มีพิณพาทยนำทุกสำรับ แล้วต่อมาถึงตำรวจถือมัดหวายหอกดาบแล้วถึงข่า ปลัดกรม เจ้ากรมพระตำรวจฝ่ายพระราชวังบวร ฯ แล้วถึงธงหงษจีนสายนอก คู่แห่เทวดาสายใน มหาดเล็กหุ้มแพรนายรองเดินริ้ว หัวหมื่นทั้ง ๔ เวรเป็นต้นเชือก แล้วถึงกลองชนะพระที่นั่งพุดตาลที่เสด็จประทับเทียบเกย น่าอัฒจันทพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาทข้างประตูพิพักษเทวา แวดล้อมด้วยพระยาผู้ใหญ่ผู้น้อย } เป็นคู่เคียง ๖ คู่มีบังสุริยพัดโบก อินทร์พรหม แล้วต่อมามีกลองชนะน่าพระที่นั่งมีแตรฝรั่ง แตรงอน สังข์ เครื่องสูง พระแสงหว่าง เครื่องฉัตรดอกไม้สดที่ปักมุมเพดาน ๔ คัน เชิญนำ ๓ คันหลังพระที่นั่ง มหาดเล็กเชิญเครื่อง แล้วเครื่องสูงชุมสาย แล้วมหาดเล็กตามเสด็จกระบวนหลัง มีคู่แห่เทวดา แลกระบวนต้น ธงตะขาบ ธงชายนำ พลพร้าปะกั๊ก ลครพลตรีศลู พิณพาทย์ ธงชายนำ พลขวาน จีนลคร หอกซัด แล้วถึงกระบวนจีนคือเล่าโก๊ แลจีนถือธง งิ้วขี่ม้าเดิน แล้วพลทหารเรืออยู่สุดกระบวน เวลาเช้าโมงเศษโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จออกพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท ทรงเครื่องอย่างขัติยราชกุมาร แลสรวมพระชฎามหากระฐินเสร็จแล้ว

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระภูษาเขียนทองฉลองพระองค์เยี่ยระบับ ประดับเครื่องราชวราภรณ์ มหาจักรกรีบรมราชวงษ์ เสด็จออกพระที่นั่งอนันตสมาคมแล้วเสด็จพระราชดำเนินไปประทับพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ โปรดเกล้า ฯ ให้เดินกระบวนแห่ตามถนนท้องสนามไชย ผ่านน่าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ เลี้ยวลงถนนเจริญกรุง ลงถนนเฟื่องนคร มาตามถนนบำรุงเมือง พอกระบวนกลองชนะผ่านน่าประตูเทวาพิทักษไปแล้ว เสด็จทรงฉลองพระองค์ครุยพระชฎามหากระฐิน เสด็จลงส่งพระกรสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชขึ้นทรงพระที่นั่งพุดตาลเดินกระบวนบรรจบน่าหลังแล้ว

ทรงเปลื้องฉลองพระองค์ครุยแลพระชฎามหากระฐิน แล้วเสด็จทรงพระราชยานมาประทับพระที่นั่งไชยชุมพลทอดพระเนตรกระบวนแห่ซึ่งจัดมาจากถนนบำรุงเมือง กระบวนน่าเลี้ยวไปทางป้อมเผด็จดัษกรแล้วเสด็จพระราชดำเนินลงมาประทับพลับพลาริมประตูวัดพระศรีรัตนสาศดารามด้านตวันออก กระบวนพระที่นั่งต้นคู่แห่กลองชนะ แตรงอนแตรฝรั่งเครื่องสูงเลี้ยวเข้าประตูสวัสดิโสภา เทียบพระที่นั่งที่เกยน่าพลับพลาแล้วทรงรับพระกรสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชจากพระที่นั่งพุดตาล เสด็จประทับในพลับพลา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทรงเปลื้องเครื่องแลเจ้าพนักงานเจริญพระขนงพระมัศสุ เปลี่ยนทรงเครื่องพระภูษาจีบ ฉลองพระองค์ครุยเฉวียงพระอังษาเสด็จออกที่เกยทรงโปรยทานเงินสลึงเงินเฟื้องหนึ่งชั่ง แล้วพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเข้าในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนสาศดาราม ทรงจุดเทียนเครื่องนมัศการ แล้วสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทรงพระราชยานงา พร้อมด้วยเจ้ากรมปลัดกรมจ่ากรมพระตำรวจนำเสด็จประทับในพระอุโบสถ ทรงจุดเทียนนมัศการพระพุทธปฏิมากรแล้ว พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานผ้าไตรให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จไปในที่ประชุมคณะสงฆ์ ภายในเพดานดอกไม้สด ทรงถวายธูปเทียนแลขอบรรพชาพระเจ้าบรมวงษเธอ กรมพระปวเรศวริธาลงกรณ์ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์พระทานผ้ากาสาวพัตรแล้วเสด็จมาเปลื้องเครื่องแลทรงครองไตร โปรดเกล้า ฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ช่วยเปลื้องเครื่อง แล้วพระเจ้าอยู่หัวทรงครองไตรพระราชทานเสร็จแล้ว เสด็จเข้าไปขอศิลพระอุปัชฌาย์พระทานศิลเป็นสามเณรแล้วทรงฃอนิไสย แล้วพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรสพระทานอนุญญาสิโข ครั้นเสร็จแล้วสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ทรงถวายไตรผ้าสลับแพรบาตรพระสงฆ์ทั้ง ๓๐ รูป แล้วเจ้าพนักงานจัดเครื่องบริขารถวายพระสงฆ์ทั่วกัน แล้วโปรดเกล้าฯ ให้นิมนต์พระสงฆ์ไปรับพระราชทานฉันท์ที่พระพุทธปรางเว้นแต่พระเจ้าบรมวงษเธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ แล้วเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชไปประทับในพระฉากฃ้างพระพุทธรัตนปฏิมากรเบื้องซ้าย ทรงประเคนอาหารบิณฑบาตรพระเจ้าบรมวงษเธอ แลสมเด็จพระบรมโอรส แล้วเสด็จพระราชดำเนินออกประทับเฉลียงน่าพระอุโบสถพร้อมด้วยเจ้านายแลข้าราชการราชทูตกงสุลต่างประเทศ แล้วโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายจักรพงษ์ภูวนารถ พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าชายยุคลทิฆัมพรทรงรำกระบี่คู่ ๑ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายมหาวชิราวุธ เจ้าฟ้าชายบริพัตสุขุมพันธ์ทรงรำง้าวเป็นคู่ที่ ๒ พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงษทรงรำกระบองเป็นคู่ที่ ๓ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าเพญพัฒนพงษ์ พระองค์เจ้าดิลกนพรัตนทรงรำดาบสองพระหัตถ์เป็นคู่ที่ ๔ แล้วเสด็จประทับในพระอุโบสถ พอพระสงฆ์ฉันท์แล้วกลับเข้ามานั่งตามที่ แล้วทรงถวายบริขารต่างๆแก่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช แล้วโปรดให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จไปรับผ้าไตรธูปเทียน ของสมเด็จพระบรมราชเทวี พระวรราชเทวี แลพระบรมวงษานุวงษ์ฝ่ายในที่น่าพระฉากข้างพระพุทธรัตนปฏิมากรเบื้องขวา เสร็จแล้วเสด็จมาประทับพระเก้าอี้งาในพระอุโบสถ พระบรมวงษานุวงษแลท่านเสนาบดี ได้ถวายไตรแลดอกไม้ธูปเทียนตามสมควร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา อติเรก ถวายพระพรลา เวลาบ่าย ๒ โมงเศษเสด็จทรงพระราชยานกลับขึ้นทางพระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาท สมเด็จพระบรมโอรสาประทับอยู่ในพระอุโบสถ

เวลาทุ่มเศษโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมพระจักรพรรดิพงษ์ เวียนเทียนสมโภชหม่อมเจ้าดนัยวรนุช ในสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรณรัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ ซึ่งจะได้ผนวชเณรในวันที่ ๑๑ กันยายน

เวลา ๒ ทุ่มเศษเสด็จทรงพระราชยานแต่เกยพระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาท ไปประทับในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนสาศดาราม ทรงจุดเทียนเครื่องนมัศการแล้ว พระสงฆ์ ๓๐ รูปที่มาในการทรงผนวชนั้น เจริญพระพุทธมนต์

เวลายามเศษเจริญพระพุทธมนต์จบ เสด็จพระราชดำเนินกลับทางฉนวนข้างในไปพระพุทธรัตนสถานพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชแลพระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ๑ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส พระวรวงษ์เธอ พระองค์เจ้าอรุณนิภาคุณากร ๑ สมเด็จพระพุทธโฆษาจาริย์ ๑ สมเด็จพระพุฒาจาริย์ ๑ แล้วเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๔๐ วัน ๖ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๑๑ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลาเช้ามีการทรงบาตรในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทรงรับบิณฑบาตร กรมหมื่นวชิรญาณวโรรสนำ พระสงฆ์ที่รับทรงบาตรนอกนั้น คือพระองค์เจ้าอรุณ ๑ สมเด็จพระราชาคณะ ๒ ทรงบาตรแล้วพระสงฆ์แลสมเด็จพระบรมโอรสรับพระราชทานฉันท์ โปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ แลพระเจ้าลูกเธอ ทรงรำกระบี่ง้าวกระบอง ดาบสองมืออีกเวลาหนึ่ง ที่พระที่นั่งทรงธรรม์ แล้วสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทรงพระราชยานงา มาประทับในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนสาศดาราม ทรงถวายอาหารบิณฑบาตรพระสงฆ์ ๓๐ รูปรับพระราชทานฉันท์ เวลาเที่ยงเศษเสด็จทรงพระราชยานแต่เกยพระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาทไปประดับพลับพลาริมประตูวัดพระศรีรัตนสาศดารามด้านตวันตก แล้วหม่อมเจ้าดนัยวรนุชขึ้นเสลี่ยงแต่ทิมคตมาขึ้นเกยน่าพลับพลาพระราชทานเงินเฟื้องห้าตำลึงให้หม่อมเจ้าดนัยวรนุชโปรยทานเสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินเข้าในพระอุโบสถ ทรงจุดเทียนเครื่องนมัศการพระพุทธปฏิมากร แล้วโปรดเกล้า ฯ พระราชทานผ้าไตรให้หม่อมเจ้าดนัยวรนุชไปในที่ประชุมคณะสงฆ์ ขอบรรพชาต่อพระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วขอศิลต่อพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ครั้นบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว หม่อมเจ้าดนัยวรนุชถวายผ้าพับพระสงฆ์ ๓๐ องค์แล้ว ทรงพระราชทานบริขารต่างๆ แล้วพระสงฆ์ ก็ถวายอนุโมทนาถวายพระพรลา เวลาบ่ายโมงเศษเสด็จทรงพระราชยานกลับขึ้นทางพระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาท แต่สมเด็จพระบรมโอรสทรงพระราชยานงา หม่อมเจ้าดนัยวรนุชทรงเสลี่ยงกลับไปประทับที่พระพุทธรัตนสถาน เวลาย่ำค่ำเศษเสด็จออกทางประตูพรหมโสภาพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชแลหม่อมเจ้าดนัยวรนุช แล้วเสด็จขึ้นทรงรถพระที่นั่งทรงกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช หม่อมเจ้าดนัยวรนุชขึ้นทรงรถพระที่นั่งรองกับพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ ไปประทับพระตำหนักวัดบวรนิเวศวิหารเป็นการส่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เวลายามเศษเสด็จกลับมาประทับทรงตัดสินรางวัลเครื่องโต๊ะอยู่ในวัดพระศรีรัตนสาศดารามจนเวลา ๗ ทุ่มเศษเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๔๑ วัน ๗ ๑๐ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๑๒ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลาทุ่มเศษเสด็จทรงรถพระที่นั่งไปประทับพระตำหนักสมเด็จพระบรมโอรสวัดบวรนิเวศ จนเวลา ๔ ทุ่มเศษเสด็จกลับมาประทับในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงตัดสินรางวัลเครื่องโต๊ะ เวลา ๑๑ ทุ่มเศษเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๔๒ วัน ๑ ๑๑ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๑๓ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลา ๒ ทุ่มเศษเสด็จทรงพระราชยานแต่เกยพระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาท ไปประทับวัดพระศรีรัตนสาศดาราม ทรงตัดสินรางวัลเครื่องโต๊ะ เวลา ๑๐ ทุ่มเศษเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๔๓ วัน ๒ ๑๒ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๑๔ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลา ๒ ทุ่มเศษเสด็จทรงรถพระที่นั่งไปประทับพระตำหนักสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชวัดบวรนิเวศ จนเวลายามเศษเสด็จกลับมาประทับในวัดพระศรีรัตนสาศดาราม ทรงตัดสินรางวัลเครื่องโต๊ะ เวลา ๑๐ ทุ่มเศษเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๔๔ วัน ๓ ๑๓ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๑๕ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลา ๒ ทุ่มเศษเสด็จทรงรถพระที่นั่งไปประทับพระตำหนักสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชวัดบวรนิเวศ จนเวลา ๕ ทุ่มเศษเสด็จกลับมาประทับในวัดพระศรีรัตนสาศดาราม ทรงพระราชทานรางวัลเครื่องโต๊ะ เวลา ๑๐ ทุ่มเศษเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๔๕ วัน ๔ ๑๔ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๑๖ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลา ๔ ทุ่มเศษเสด็จออกขุนนางตามเคย พระศรีเสนานำบอกในกรมมหาดไทยขึ้นกราบบังคมทูล ๗ ฉบับ

ฉบับ ๑ บอกพระยาราชเสนาข้าหลวงประจำหัวเมืองลาวฝ่ายตวันออกเฉียงเหนือ ลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๑๑๐ ว่าราชวงษ์ผู้ว่าที่อุปฮาดเมืองกระเษตรวิไสย จัดได้เงินส่วยแทนผลเร่ว ๖๐ ชั่ง มอบให้ราชบุตรผู้ว่าที่พระศรีกระเษตราธิไชยคุมลงมาส่ง

ฉบับ ๒ ฃอราชบุตรเป็นที่พระศรีกระเษตราธิไชยเจ้าเมืองเกษตราวิไสยขึ้นเมืองสุวรรณภูม

ฉบับ ๓ บอกเมืองมุกดาหาร ลงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๑๐๙ ว่าเมืองมุกดาหารแลเมืองขึ้นจัดได้เงินตรา ๗ ชั่ง ๑๖ ตำลึง มอบให้ราชบุตรผู้ว่าราชการเมืองคุมลงมาสมโภชโสกันต์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช

ฉบับ ๔ ขอราชบุตรเป็นที่พระจันทรสุริยวงษเจ้าเมืองมุกดาหาร ฉบับ ๕ ว่าคนโททองคำ ๑ กะโถนทองคำ ๑ พานหมากเงินกลีบบัวเครื่องในพร้อมทองคำสำรับ ๑ กระบี่บั้งทองเล่ม ๑ หมวกตุ้มปี่ ๑ เสื้อทรงประพาศ ๑ ลูกประคำทองร้อยแปดสาย ๑ ของพระจันทรสุริยวงษ์เจ้าเมือง พานหมากเงินเครื่องในพร้อมสำรับ ๑ คนโทเงินถมยาดำ ๑ กะโถนเงินถมยาดำ ๑ กระบี่บั้งเงินเล่ม ๑ ลูกประคำทองร้อยแปดสาย ๑ เครื่องยศอุปฮาด ได้มอบให้ราชบุตรผู้ว่าราชการเมืองคุมลงมาส่ง

ฉบับ ๖ ว่าฃอหีบศิลาน่าเพลิงเผาศพพระอมรฤทธิธาดาเจ้าเมืองพาลุกากรภุม ฉบับ ๗ ว่าได้รับหีบศิลาน่าเพลิงกับผ้าไตรร่มรองท้าว ซึ่งพระราชทานในการศพพระจันทรสุริยวงษ์ได้ทำการศพเสร็จแล้ว ฃอถวายพระราชกุศล

พระสุรินทรามาตยนำบอกในกรมพระกระลาโหมขึ้นอ่านกราบบังคมทูล ๒ ฉบับ ฉบับ ๑ บอกเมืองรนอง ลงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๑๑๐ ว่าพระยารัตนเสรฐีทำแผนที่ไปถึงเมืองชุมพร เห็นราษฎรพูดกันว่านายชูอำแดงแผ้ว ตำบลบ้านหลังเคิยท้องที่เมืองมริดเป็นผู้มีบุญได้แต่งให้กรมการไปสืบดูเห็นว่านายชูอำแดงแผ้วเป็นคนเสียจริต

ฉบับ ๒ บอกเมืองชุมพร ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๑๑๐ ว่ามีตราพระคชสีห์ออกไปว่าให้หาตัวนายชูอำแดงแผ้วมาสอบถามได้ความแล้วให้ส่งเข้ามา ณ กรุงเทพฯ นั้นได้เอาตัวมาขังแลถามได้ความแล้ว เป็นคนเสียจริต ชาวบ้านก็คลายนับถือไปหาเหมือนแต่ก่อนไม่

จึ่งดำรัสสั่งพระยานรินทรว่าถ้าไม่มีผู้นับถือแล้วให้ปล่อยตัวไปก็ได้ ถ้ายังมีผู้นับถืออยู่ให้เอาตัวส่งเข้ามา ณ กรุงเทพฯ

แล้วดำรัสถามพระยามนตรีว่าการที่ซ่อมแซมวังที่เมืองราชบุรีนั้นเอาเงินที่ไหนทำ พระยามนตรีกราบบังคมทูลว่าเป็นการซ่อมแซมเล็กน้อย จัดเอาเงินส่วยที่เมืองราชบุรีทำ แล้วพระยามนตรีกราบบังคมทูลต่อไปว่า ที่น่าวังนั้นคิดจะทำเป็นตึกแถวไว้สำหรับให้คนเช่าเก็บค่าเช่าเป็นของหลวงคงจะเป็นการสนุกได้ จึงดำรัสถามว่าจะทำตามแผนที่ที่ถวายนั้นฤๅ พระยามนตรีกราบบังคมทูลว่าจะทำตามแผนที่นั้น จึ่งดำรัสว่าเมืองราชบุรีพื้นเมืองก็ดีแล้วพอจะทำให้สนุกได้ จึ่งดำรัสกับพระองค์โสณ์ว่าวันนี้เสด็จเข้าที่ตามเคย หาบันทมหลับไม่ ต่อบ่าย ๓ โมงจึ่งบันทมหลับ แล้วไปบันทมตื่นเอาทุ่มหนึ่ง ให้เวียนพระเศียร

แล้วพระศรีเสนานำราชบุตรผู้ว่าที่พระศรีเกษตราธิไชยเมืองเกษตรวิไสย ๑ ราชบุตรผู้ว่าที่พระจันทรสุริยวงษ์เมืองมุกดาหาร ๑ เฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท จัดขี้ผึ้งได้คนละหนึ่งหาบขอพระราชทานทูลเกล้า ฯ ถวาย

แล้วพระยาศรีสิงหเทพนำอุปฮาด ๑ ราชวงษ์ ๑ เมืองสกลนคร ๒ พระสิทธิศักดิ์เจ้าเมืองสว่างแดนดิน ๑ อุปฮาดเมืองสุวรรณภูม ๑ พระนครภักดีเจ้าเมืองบุรีรำ ๑ รวม ๕ นายกราบถวายบังคมลากลับขึ้นไปรักษาราชการบ้านเมือง โปรดเกล้า ฯ ให้พระราชทานผ้าพรรณนุ่งห่มแต่เครื่องยศนั้นจะได้กลับขึ้นไปเปลี่ยนกันที่เมืองตามตำแหน่งยศ แล้วโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตร ๔ นาย คือ ให้นายต่วนอาจาริย เป็นขุนบำเนจวรญาณ มีตำแหน่งราชการในกรมศึกษาธิการ ถือศักดินา ๕๐๐ ให้นายจันอาจาริย์ เป็นขุนบรรหารวรอรรถ มีตำแหน่งราชการในกรมศึกษาธิการ ถือศักดินา ๕๐๐ ให้นายใจ เป็นหลวงศาวคณฆราณัตถ์ มีตำแหน่งราชการในกรมธรรมการ ถือศักดินา ๘๐๐ ให้นายฉัตรวิสุทธิสมาจาริย์ เป็นขุนวิสุทธิภัณฑาจาริย์ มีตำแหน่งราชการในกรมเด็กชา ถือศักดินา ๓๐๐

เวลา ๕ ทุ่มเสศเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๔๖ วัน ๕ ๑๕ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๑๗ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลายามเสศเสด็จทรงพระราชดำเนินจากพระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาทไปประทับที่ศัลลักษณสฐาน ทรงจัดเครื่องโต๊ะของหลวงอยู่จนเวลา ๑๐ ทุ่มเสด็จขึ้น

อนึ่ง ในการเฉลิมพระชนม์พรรษาปีนี้ โปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงษานุวงษ์ ฝ่ายน่า ฝ่ายใน แลข้าราชการไทยจีน จัดเครื่องโต๊ะเข้ามาตั้งที่ปรำยาวน่าศัลลักษณสฐานสองหลังตามเคย แต่โต๊ะหลวงแลโต๊ะข้างในนั้นตั้งที่ศัลลักษณสฐาน

วันที่รัชกาล ๘๓๔๗ วัน ๖ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๑๘ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลายามเสศเสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงจุดเทียนเท่าพระองค์ ฃ้างพระที่นั่งเสวตรฉัตร แลเทียนพระมหามงคล เทียนเครื่องมัศการแล้วทรงโปรยสุหร่าย แลทรงเจิมพระพุทธรูปประจำพระชนม์พรรษาซึ่งหล่อในวันที่ ๓ กันยายน แล้วเสด็จทรงพระราชยานแต่เกยพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยไปประทับที่ศัลลักษณสถาน ทรงทอดพระเนตรเครื่องโต๊ะของหลวงอยู่ตามสมควร แล้วเสด็จทรงพระราชดำเนินเข้าไปในวัดพระศรีรัตนสาศดาราม

จึงพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงษวโรประการ เสนาบดีว่าการต่างประเทศ นำนักองค์ดวงจักษในองค์นโรดมเมืองกัมพูชาธิบดี เข้าไปถวายดอกไม้ธูปเทียนสมัคเข้ามาเป็นข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารในกรุงเทพมหานคร จึงมีพระราชดำรัสปฏิสันฐานด้วยตามสมควร แล้วเสด็จพระราชดำเนินเข้าในพระอุโบสถทรงถวายไตรผ้าย่ามสักลาด แก่พระวิไนยกิจโกศลแลเปรียญ ๔ รูป รวมพระสงฆ์ ๕ รูป แล้วทรงจุดเทียนเท่าพระองค์แลเทียนนมัศการพระมหามณีรัตนปฏิมากร พอพระสงฆ์ออกมาครองไตรแล้วกลับเข้ามานั่งตามลำดับ ทรงจุดเทียนเครื่องนมัศการ พระสงฆ์ ๕ รูปเจริญพระพุทธมนต์แล้วทรงจุดเทียนบูชาเทวดานพเคราะห์ โหรเริ่มบูชาต่อไป แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับมาประทับที่ศัลลักษณสถาน ทรงทอดพระเนตรเครื่องโต๊ะอยู่จนเวลา ๕ ทุ่มเสศเสด็จทรงพระราชยานกลับตามทางเดิม แล้วประทับในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ โปรดเกล้า ฯ ให้นิมนตพระอริยมุณี ๑ กับถานานุกรมวัดราชประดิษฐ ๔ รวมเป็นพระสงฆ์ ๕ รูปเฃ้าไปแล้ว ทรงจุดเทียนเท่าพระองค์ ฃ้างพระแท่นมณฑล ทรงถวายไตรแพรย่ามโหมดเทศแก่พระสงฆ์ ๕ รูป พระสงฆ์รับไตรออกไปครองแล้วกลับเข้ามานั่งตามลำดับ ทรงจุดเทียนพระมหามงคล เทียนเครื่องนมัศการพระอริยมุณีถวายศิลแล้ว ทรงจุดเทียนโต๊ะเครื่องสการะพระสะยามเทวาธิราช แลเทียนบัตรนพเคราะห์ที่น่าพระสยามเทวาธิราช แล้วโหรก็เข้าไปบูชานพเคราะห์โดยย่อ พระสงฆ์ก็เจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ตามเคย แล้วโปรดเกล้า ฯ ให้ประชุมกอมมิตตีตัดสินเครื่องโต๊ะลายผักชีซางฮิที่น่าพระสยามเทวาธิราชโต๊ะหนึ่ง เวลา ๑๐ ทุ่มเสศพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จบ ถวายอติเรกพระพรลากลับเสด็จขึ้น

อนึ่ง พระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนสาศดาราม วันละ ๕ รูปทั้งสามเวลานี้ จะได้มารับพระราชทานฉันท์ในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยพร้อมกันในวันที่ ๒๓ กันยายน

อนึ่ง เมื่อทรงพระราชดำเนินแต่เกยพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย มีตำรวจแห่นำเสด็จ ๔ คน คือพระยามหาเทพ ๑ พระยามหามนตรี ๑ พระพรหมสุรินทร์ ๑ จมื่นราชานุบาล ๑ จึงดำรัสสั่งพระยาอนุรักษราชมณเฑียรว่าตำรวจน้อยไม่มีใครมาแห่นำเสด็จ ให้กรมวังเกาะเอาตัวมาขังเสียบ้าง ครั้นเสด็จประทับที่ศัลลักษณสถาน จึ่งดำรัสสั่งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษศิลปาคม เสนาบดีว่าการกรมวัง ให้เกาะตัวเจ้ากรมปลัด กรมจ่า กรมพระตำรวจ เข้ามาขังไว้ในพระบรมมหาราชวังให้เรียกค่าเกาะบาทหนึ่งตามเคย แลขังไว้กว่าจะสิ้นการเฉลิมพระชนม์พรรษาแล้วจึ่งปล่อยตัวให้กลับไปบ้าน

วันที่รัชกาล ๘๓๔๘ วัน ๗ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๑๙ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลาเช้า ๔ โมงเสศโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายมหาวชิราวุธ เสด็จออกเลี้ยงพระสงฆ์ ๕ รูปที่มาเจริญพระพุทธมนต์ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ แล้วทรงจุดเทียนโต๊ะเครื่องสังเวย อาลักษณอ่านประกาศพระสงฆ์รับพระราชทานฉัน แล้วทรงประเคนของไทยทานตามสมควร พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา อติเรก พระพรลากลับ

เวลาทุ่มเสศเสด็จทรงพระราชยานแต่เกยพระที่นั่งจักรกรีไปประทับในวัดพระศรีรัตนสาศดาราม ทรงถวายไตรย่ามตามเคย แก่พระมงคลเทพมุนี ๑ เปรียญ ๔ รวมพระสงฆ์ ๕ รูป แล้วทรงจุดเทียนเครื่องนมัศการพระพุทธรูปต่างๆแลเทียนบูชานพเคราะห์ พอพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เสด็จพระราชดำเนินมาประทับที่ศัลลักษณสถาน

พระศรีสมบัติ นำบรรพชิตฝ่ายยวนฝ่ายจีน แลยวนนายกองปลัดกองกรมแจว แลยวนปืนใหญ่ แลพระยาพระหลวงเจ้าภาษรี เฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท ถวายเครื่องบูชาต่าง ๆ ตามเคย มีพระราชดำรัสปราไสยด้วยตามสมควร แล้วโปรดให้กอมมิตตีตัดสินเครื่องโต๊ะ เวลา ๔ ทุ่มเสศเสด็จทรงพระราชยานมาประทับในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงถวายไตรผ้าสลับแพรแก่พระสงฆ์ ๓๙ รูปวัดนิเวศธรรมประวัติ มีพระวรวงษเธอ พระองค์เจ้าอรุณนิภาคุณากรเป็นประธานแล้วทรงจุดเทียนเท่าพระองค์แลเทียนพระมหามงคล ครั้นพระสงฆ์ครองไตรเข้ามานั่งตามลำดับแล้วทรงจุดเทียนเครื่องนมัศการพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ในการฉลองพระชนม์พรรษา เวลา ๕ ทุ่มเสศเจริญพระพุทธมนต์จบ พระสงฆ์ถวายอติเรกพระพรลากลับเสด็จทรงพระราชยานไปประทับที่ศัลลักษณสถาน ทรงตัดสินเครื่องโต๊ะต่อไป เวลา ๑๐ เสศเสด็จขึ้น

อนึ่ง เมื่อเสด็จจากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ผ่านน่าห้องเวรชาววัง ทรงจุดดอกไม้เพลิงเปนการสมโภชพระพุทธรูปตามธรรมเนียม

วันที่รัชกาล ๘๓๔๙ วัน ๑ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๒๐ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลาเช้า ๔ โมงเสศโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายมหาวชิราวุธเสด็จออกเลี้ยงพระที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย อาลักษณอ่านประกาศตามพระราชพิธี

เวลา ๒ ทุ่มเสศเสด็จออกพระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาท เสด็จทรงพระราชยานไปประทับที่ประตูวัดพระศรีรัตนสาศดาราม เสด็จพระราชดำเนินเข้าในพระอุโบสถ ทรงถวายไตรพระสงฆ์ ๕ รูปมีพระธรรมทานาจารย์เป็นพระประทาน แลทรงจุดเทียนเครื่องนมัศการ เทียนกำลังเทวดา แล้วเสด็จมาประทับที่ศัลลักษณสถาน จนเวลายามเสศเสด็จทรงพระราชยานมาประทับที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงถวายไตรย่ามแก่พระสงฆ์ ๖๐ รูปที่จะได้เจริญพระพุทธมนต์มีพระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระปรเรศวริยาลงกรณ์เป็นประธาน พระสงฆ์ครองไตรแล้ว ทรงจุดเทียนเครื่องมนัศการแล้วเสด็จขึ้นเสวยแลเปลี่ยนเครื่องแต่งพระองค์ที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณตามเคย เวลา ๔ ทุ่มเสศเจริญพระพุทธมนต์จบ เสด็จออก พระสงฆ์ถวายอติเรกพระพรลากลับ เสด็จทรงพระราชยานมาประทับที่ศัลลักษณสถาน โปรดให้ตรวจตัดสินเครื่องโต๊ะอยู่จนเวลา ๑๐ ทุ่มเสศเสด็จขึ้น

อนึ่ง เมื่อเสด็จทรงพระราชยานไปวัดพระศรีรัตนสาศดาราม จีนบุญอยู่เมืองนครนายกถือธูปเทียนแลดอกบัวมอบเฝ้าอยู่ที่สนามหญ้าน่าศัลลักษณสถานร้องถวายตัว แล้วร้องกล่าวโทษว่านายโตขับไล่เอาที่บ้านเรือนของจีนบุญไป โปรดเกล้า ฯ ให้จมื่นสุรฤทธิพฤฒิไกร มาสอบถามว่าเปนคนดีฤๅคนบ้า จมื่นสุรฤทธิมาสอบถามได้ความแล้วกราบบังคมทูลว่ายังไม่เป็นบ้าแท้เป็นแต่บอๆ จึ่งดำรัสสั่งให้พระยามหามนตรีศรีองครักษเจ้ากรมพระตำรวจในขวาเอาตัวจีนบุญไปมอบให้เจ้าพระยารัตนบดินทร์ที่สมุหนายก

วันที่รัชกาล ๘๓๕๐ วัน ๒ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๒๑ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลาเช้า ๕ โมงเสศโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายมหาวชิราวุธ เสด็จออกเลี้ยงพระสงฆ์ที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย

เวลาเที่ยงเสศทรงเครื่องกรีบรมวงษ์เสด็จออกในพระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาทองค์กลาง ประทับภายใต้พระมหานพปดลเสวตรฉัตร พระบรมวงษานุวงษ์แลข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือน แลราชทูตกงสุลต่างประเทศแต่งตัวเต็มยศเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทถวายไชยมงคลมีพระราชดำรัสปฏิสันฐานตอบ เวลาบ่ายโมงเสศเสด็จขึ้น แล้วเสด็จออกพระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาทมุขด้านตวันออก ทรงรับซองพระบรมวงษานุวงษ์แลฃ้าราชการผู้ใหญ่แลชาวต่างประเทศทูลเกล้าถวายแล้วเสด็จขึ้น

เวลาบ่าย ๒ โมงเสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยทรงจุดเทียนเครื่องนมัศการแล้ว ทรงจุดเทียนโต๊ะเครื่องสังเวยอาลักษณอ่านประกาศตามพระราชพิธี แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปประทับพระที่นั่งราชฤดีทรงเปลื้องเครื่องแล้วทรงเครื่องพระกระยาสนาน เสด็จสู่ที่สรงมุรธาภิเศก พราหมณ์เป่าสังข์ เจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์ ดนตรี พระสงฆ์สวดถวายไชยมงคล แล้วพระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระพุทธโฆษาจาริย์ ถวายน้ำพระพุทธมนต์ เจ้าพนักงานถวายน้ำพระเจ้าต่างๆ โหรพราหมณ์ถวายน้ำกลดสังข์ตามไสยเวทเสร็จแล้วเสด็จสู่พระที่นั่งราชฤดี ทรงพระภูษาตามสีวัน ทรงฉลองพระองค์ครึ่งยศ ประดับเครื่องราชอิศริยาภรณ์ เสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงจุดเทียนพระมหามงคล แล้วทรงประเคนเครื่องไทยทานพระสงฆ์ก็ถวายอนุโมทนา อติเรก ถวายพระพรลากลับ โปรดเกล้า ฯ พระราชทานเงิน ๑๐ ตำลึง ผ้าสำหรับหนึ่ง แก่ข้าราชการที่มีบันดาศักดิ์ที่สูงอายุฝ่ายน่า ๒๐ คน เวลาบ่าย ๓ โมงเสศเสด็จขึ้นพระราชยานข้าราชการมีบันดาศักดิ์ที่สูงอายุฝ่ายในอีก ๑๙ คน เท่าพระชนม์พรรษา ๓๙ ปี

เวลา ๒ ทุ่มเสศเสด็จพระราชดำเนินแต่พระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาท ไปลงเรือพระที่นั่งแอนมิกงที่ท่าตำหนักแพ ทอดพระเนตรโคมไฟตามลำน้ำฝ่ายเหนือถึงปากคลองสามเสน ฝ่ายใต้ถึงศุลกากร เวลา ๔ ทุ่มเสศเสด็จกลับ มาประทับที่ศัลลักษณสถาน แล้วโปรดเกล้า ฯ ให้ข้างในออกทอดพระเนตรเครื่องโต๊ะ เวลา ๑๐ ทุ่มเสศเสด็จขึ้น

อนึ่ง ในการเฉลิมพระชนม์พรรษาปีนี้ โปรดเกล้าฯ ให้แจกทานแก่คนชราคนละสลึง ตั้งแต่วันที่ ๑๙ วันที่ ๒๐ วันที่ ๒๑ แลสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ทรงแจกที่พระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาท ๒๐๐ คน แห่งหนึ่ง แจกข้างในพระบรมมหาราชวัง ๒๐๐ คน แห่งหนึ่ง แจกที่น่าศัลลักษณสถาน ๔๔๙๓ คน แห่งหนึ่ง รวมทั้งสามแห่งเป็น ๔๘๙๓ คน รวมสามวันเป็นคน ๑๓๘๗๙ คน

อนึ่ง วันนี้ เวลาเช้า ๒ โมง เวลาเที่ยง เวลาบ่าย ๔ โมง เจัาพนักงานทหารปืนใหญ่ ทหารรักษาพระบรมมหาราชวัง แลทหารเรือยิงปืนสลดถวายไชยมงคลทั้งสามเวลา

วันที่รัชกาล ๘๓๕๑ วัน ๓ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๒๒ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลา ๒ ทุ่มเสศเสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงถวายผ้าไตรแก่พระสงฆ์ ๓๐ รูป มีหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันท์ธรรมเจดีย์เป็นประธาน พระสงฆ์ครองไตรแล้วทรงจุดเทียนเครื่องนมัศการพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เวลา ๔ ทุ่มเสศเจริญพระพุทธมนต์จบ พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาอติเรก ถวายพระพรลากลับ เสด็จทรงพระราชยานแต่เกยพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย มาประทับที่ปรำน่าศัลลักษณสถานประชุมกอมมิตตีตัดสินชิ้นเครื่องโต๊ะที่จะได้รางวัลต่อไป เวลา ๑๐ ทุ่มเสศเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๕๒ วัน ๔ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๒๓ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลาเช้า ๔ โมงเสศโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เสด็จออกเลี้ยงพระสงฆ์ ๔๕ รูป คือพระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์เมื่อเวลาคืนนี้ ๓๐ รูป ที่ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนสาศดารามอีก ๑๕ รูป จึ่งรวมเป็นพระสงฆ์ ๔๕ รูป รับพระราชทานฉัน ในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยเสร็จแล้ว ทรงถวายของเครื่องไทยทานตามสมควร

เวลา ๒ ทุ่มเสศเสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยทรงธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจาริย์ ถวายเทศนามงคลวิเสศกัณฑ์หนึ่ง พระพรหมมุนีถวายเทศนามงคลสูตรกัณฑ์หนึ่ง ครั้นจบแล้วโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าชายจักรพงษ์ภูวนารถ ถวายไตรแลเครื่องบริขารกับเงินตราสิบ.....ตำลึง แล้วพระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอติเรกพระพรลากลับ เวลายามเสศเสด็จทรงพระราชยานแต่เกยพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยไปประทับปรำน่าศัลลักษณสถาน ประชุมกอมมิตตีตัดสินรางวัลขึ้นเครื่องโต๊ะต่อไป เวลา ๑๐ ทุ่มเสศเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๕๓ วัน ๕ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๒๔ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลา ๒ ทุ่มเสศเสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยทรงธรรม พระธรรมวโรดม ถวายเทศนารัตนสูตรกัณฑ์หนึ่ง พระวรวงษเธอ พระองค์เจ้าอรุณนิภาคุณากร ถวายเทศนาเมตสูตรกัณฑ์หนึ่ง พระธรรมไตรโลกาจาริย์ถวายเทศนาเทวตาอุทิศกัณฑ์หนึ่ง โปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธเข้าถวายไตรแลเครื่องบริขารกับเงินตรากัณฑ์ละ ๑๐ ตำลึง พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอติเรกพระพรลากลับ เวลา ๔ ทุ่มเสศเสด็จพระราชยานแต่เกยพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ไปประทับที่ศัลลักษณสถาน ทรงประชุมตัดสินรางวัลขึ้นเครื่องโต๊ะต่อไป เวลาเช้าโมงเสศเสด็จขึ้น

อนึ่ง เมื่อประทับทรงธรรมอยู่ในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยนั้น โปรดเกล้า ฯ พระราชทานสัญญาบัตรแก่ข้าราชการ ๕ นายไห้พระยาสุนทรบุรี ศรีพิไชยสงคราม ผู้ว่าราชการเมืองนครไชยศรี เป็นพระยาทิพยโกษา มีตำแหน่งราชการในกรมท่ากลางคงถือศักดินา ๓๐๐๐ ให้หลวงพินิจวิรัชกิจ เป็นพระไพรัชพากย์ภักดี มีตำแหน่งราชการในกรมท่ากลาง ถือศักดินา ๘๐๐ ให้หมื่นวิเสศอักษร เป็นหลวงพินิจวิรัชกิจ มีตำแหน่งราชการในกรมท่ากลาง ถือศักดินา ๖๐๐ ให้นายหนา มหาดเล็กเวรสิทธิ์ บุตรพระยาวิชยาธิบดี ผู้ว่าราชการเมืองจันทบุรี เป็นหลวงอุดมภักดี มีตำแหน่งราชการในกรมท่ากลาง ถือศักดินา ๖๐๐ ให้นายเสศติโมซาเวีย บุตรมิศเตอร์หลุยซาเวีย เป็นหลวงจำนงดิฐการ มีตำแหน่งราชการในกรมท่ากลาง ถือศักดินา ๖๐๐

พอทรงธรรมเสร็จแล้ว เสด็จประทับที่ออกขุนนาง พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษศิลปาคม เสนาบดีว่าการกรมวัง ข้าหลวงใหญ่ที่ ๑ หม่อมเจ้าวัฒนา ในพระบวรวงษ์เธอ กรมหมื่นสิทธิ์ศุขุมการ ข้าหลวงที่ ๒ เฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท กราบถวายบังคมลาขึ้นไปจัดราชการ ณ หัวเมืองลาวพวน ประจำอยู่หัวเมืองหนองคาย ตามกระแสพระราชดำริห์

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้กรมหมื่นประจักษศิลปาคม เฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทน่าพระที่นั่ง ทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์ แลทรงเจิมพระราชทานแล้ว โปรดเกล้าฯ พระราชทานฉลองพระองค์เยียระบับ ๒ พระแสงยิปุ่นฝักถม ๑ แล้วพระราชทานฉลองพระองค์เยียระบับ ๑ แก่หม่อมเจ้าวัฒนา

แล้วพระยาศรีสิงหเทพ นำหลวงวิชิตสรสาตร ข้าหลวงที่ ๓ จมื่นเสนีนิเวศรักษ ผู้ช่วยข้าหลวง จ่าช่วงไฟประทีปวัง ผู้ช่วยข้าหลวง หม่อมราชวงศ์สิทธิ ๑ นายร้อยเอก ขุนสิทธิพรหมา ๑ นายกิจการี ผู้ช่วยกรมวังนอก ๑ หม่อมราชวงษ์เชื้อ ๑ หม่อมราชวงษ์ปุ้ย ๑ หม่อมราชวงษ์ตั้ว ๑ นายพัน มหาดเล็ก ๑ นายพุ่ม มหาดเล็ก ๑ นายอุ้ย มหาดเล็ก ๑ นายตู๋มหาดเล็ก ๑ นายสละ มหาดเล็ก ๑ นายร้อยเอก นายแย้ม ว่าที่นายพันตรี ๑ นายร้อยเอก นายพิน ๑ นายร้อยโท นายหรัด ว่าที่นายร้อยเอก ๑ นายร้อยตรี นายกอน ว่าที่นายร้อยโท ๑ จ่านายสิบ นายบุญ ว่าที่นายร้อยโท ๑ จ่านายสิบ นายแสง ว่าที่นายร้อยตรี ๑ รวม ๒๑ นายกราบถวายบังคมลา ตามเสด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษศิลปาคม ขึ้นไปราชการเมืองหนองคาย นายพันเอก พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าวัฒนานุวงษ์ ราชองครักษ ซึ่งประจำเมืองฝรั่งเสศ พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าวัฒนานุวงษ์ ได้เข้าเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท กราบถวายบังคมลาออกไปรักษาทางพระราชไมตรีตามกระแสพระราชดำริห์

ทรงโปรดเกล้า ฯ พระราชทานน้ำพระมหาสังข์แลทรงเจิมพระราชทาน แล้วพระยาพิพัฒน์โกษา นำหลวงวิเสศวิรัชถาน ผู้ช่วยราชทูต ๑ หมื่นวิเสศอักษร ผู้ช่วยราชทูต ๑ นักเรียน ๗ คือหม่อมเจ้าอุปพัทธพงษ์ ในพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศิริธัชสังกาศ ๑ นายทัน บุตรพระสุธรรมไมตรี ๑ นายเจริญ บุตรพระสถนรัฐยาธิบาล ๑ นายผล บุตรพระไพรัชพากย์ภักดี ๑ นายผาก บุตรหลวงฤทธินายเวร ๑ นายเลื่อน บุตรหลวงวิสูตรวิรัชถาน ๑ นายเรือง บุตรขุนอักษรสมบัติ (รอด) ๑ เมืองฝรั่งเสศ ๙ นาย

พระยามหาโยธา ราชทูตวิเสศ ๑ หลวงยศโยธี ผู้ช่วยราชทูต ๑ นักเรียน ๑๐ คือ หม่อมเจ้าอุดมดิเรกลาภ ๑ หม่อมเจ้าชายกลาง ๑ ในพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นภูธเรศร์ธำรงศักดิ ๒ หม่อมราชวงษนพ บุตรหม่อมเจ้าป่าน ๑ หม่อมราชวงษโต๊ะ บุตรหม่อมเจ้าถนอม ๑ นายภาศ บุตรพระยาภาสกรวงษ ๑ นายฉาก บุตรพระยาอนุชิตไชยชาญ ๑ นายชื่น บุตรพระยาทิพยโกษา ๑ นายสวัสดิ บุตรเจ้าหมื่นเสมอใจราช ๑ เมืองลอลดอน ๑๒ นาย พระยานนทบุรี ราชทูตวิเสศ ๑ นายเริก น้องชายพระยานนทบุรี ผู้ช่วยราชทูต ๑ นักเรียน ๔ หม่อมราชวงษใหม่ บุตรหม่อมเจ้าถนอม ๑ นายเพิ่ม บุตรพระยาไชยวิชิต ๑ นายทั่ง บุตรพระยาทิพยโกษา ๑ นายวิน บุตรหลวงสุนทรภูเบศร์ ๑ เมืองเบอลิน ๖ รวม ๒๗ นายกราบถวายบังคมออกไปรับราชการตามตำแหน่ง

แล้วเสด็จประทับศัลลักษณสถาน โปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระไชยวัฒนทองคำองค์เล็กแลตลับทองคำ เป็นรูปตราประทุมลงยาราชาวดีแลมีสร้อยทองคำ แก่พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าวัฒนานุวงษ์ ๑ พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าไชยันตมงคล ๑

วันที่รัชกาล ๘๓๕๔ วัน ๖ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๒๕ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลายามเสศเสด็จทรงพระราชยานแต่เกยพระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาทไปประทับที่ศัลลักษณสถาน ทรงปักแปะรางวัลพระราชทานตามโต๊ะที่ได้ตัดสินรางวัลแล้วตลอด แลโปรดเกล้า ฯ พระราชทานแปะรางวัลกอมมิตตี เวลา ๘ ทุ่มโปรดเกล้าฯ ให้ข้างในเสด็จออกทอดพระเนตรเครื่องโต๊ะซึ่งผูกผ้าแดงเสร็จแล้ว เวลา ๑๐ ทุ่มเสศเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๕๕ วัน ๗ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๒๖ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลายามเสศเสด็จออกขุนนางตามเคย พระศรีเสนานำบอกในกรมมหาดไทยขึ้นกราบบังคมทูล ๕ ฉบับ

ฉบับ ๑ บอกเมืองน่านลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๑๑๐ ว่าเจ้าอนันตวรฤทธิเดชเจ้านครเมืองน่านป่วยเป็นโรคชราถึงแก่พิลาไลย วันที่ ๒๙ พฤศภาคม ๑๑๐ อายุ ๘๖ ปี

ฉบับ ๒ ว่าโปรดเกล้า ฯ พระราชทานคุมลงยาน้ำเงินให้เจ้าอนันตวรฤทธิเดช ๒ หีบ เจ้านายบุตรหลานได้เก็บรักษาไว้แล้ว

ฉบับ ๓ บอกเมืองสุพรรณบุรี ลงวันที่ ๘ กรกฎาคม ๑๑๐ ว่ามีตราโปรดเกล้า ฯ ขึ้นไปให้จัดซื้อช้างพลายสำหรับป้องกันจับช้างโขลงที่พะเนียด ได้จัดซื้อช้างพลายบานสูง ๕ ศอกถวายเป็นช้างต่อต่อไป

ฉบับ ๔ บอกเมืองพระพุทธบาท ลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๑๑๐ ว่าโปรดเกล้าฯ พระราชทานเทียนขึ้นไปบูชาพระพุทธบาทเสร็จแล้ว ขอถวายพระราชกุศล

ฉบับ ๕ บอกเมืองลพบุรี ลงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๑๑๐ ว่าโปรดเกล้า ฯ พระราชทาน พุ่ม ธูปเทียน ขึ้นไปถวายแก่พระครูถานา วัดเสาธงทอง วัดกระวิศราราม วัดมณีชลขันธ์ ได้จัดถวายเสร็จแล้ว ขอถวายพระราชกุศล

พระสุรินทรามาตยนำบอกกรมพระกระลาโหมขึ้นกราบบังคมทูล ๒ ฉบับ ฉบับ ๑ บอกเมืองรนอง ลงวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๑๑๐ ได้เก็บเลขส่วยดีบุกยกมาแต่เมืองชุมพรมาอยู่เมืองกระบุรี ๒๙ คน ได้ชำระเงิน ๑๖ คน เงิน ๒๑๐ บาท ยังอีก ๑๓ คนหามีที่จะให้ไม่

ฉบับ ๒ บอกเมืองกาญจนบุรี ลงวันที่ ๕ กันยายน ๑๑๐ ว่าน้ำฝนในราษีเมศปี ๑๑๐ น้อยกว่าปี ๑๐๙ สี่ทสางค์ น้ำฝนในราษีพฤศภ ปี ๑๑๐ น้อยกว่าปี ๑๐๙ หนึ่งนิ้ว ๕ ทสางค์ น้ำฝนในราษีกรกฎ ปี ๑๑๐ น้อยกว่าปี ๑๐๙ หกนิ้ว ๓ ทสางค์ ราษฎรกำลังไถหว่านราคาเข้าเปลือกตวงด้วยสัด ๒๕ ทนานเกวียนละ ๑๐ ตำลึง

พระยาสุรินทรราชเสนีนำบอกกรมพระกระลาโหมฝ่ายพระราชวังบวรฯ ขึ้นกราบบังคมทูล ๑ ฉบับ

บอกเมืองกลันตัน ว่าได้แต่งให้สีตวันกรมการคุมต้นไม้ทองเงิน } เครื่องราชบรรณาฝ่ายพระราชวังบวร ฯ คือทองคำหนัก ๑๐ ตำลึงแขก แหวนดอกมะพร้าว ๑๐ วง ผ้าขาวยาว ๕๐ ศอก ๒๐ พับ

มีพระราชดำรัสแก่พระยาศรีว่าเจ้านครเมืองน่านนั้นให้โกษแลให้แต่งข้าหลวงขึ้นไปเผาศพ เพราะได้ตั้งให้เป็นเจ้านครเมืองน่านแล้ว แต่ดุมที่พระราชทานนั้นไม่ใช่เป็นเครื่องยศไม่ต้องคืน

แล้วรับสั่งกับกรมหลวงพิชิตว่า การที่จะขึ้นไปเมืองนครจำปาศักดิ์นั้น ฉันได้ปฤกษากับกรมหลวงเทวะวงษ์แล้ว ว่าไม่ต้องขึ้นไปก็ได้ เพราะการก็เป็นไปแล้ว

แล้วดำรัสแก่พระยานรินทรว่ารายเลขส่วยดีบุก ๑๓ คน เงินค้างนั้นเพราะมันจนเตมทียกให้เสียก็ได้แล้วรับสั่งต่อไปว่าแขกเมืองกลันตันที่จะเฝ้าทูลลา ให้เฝ้าในวันที่ ๒๘ กันยายน ๑๑๐ แล้วโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสัญญาบัตร ๓ นาย คือให้เลื่อนขุนโอวาทวรกิจอาจาริย์โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบเป็นหลวงโอวาทวรกิจ ครูสอนหนังสือในโรงสกุลหลวงขึ้นกรมพระอาลักษณ ถือศักดินา ๘๐๐ ให้นายสิงหโตอาจาริย์ เป็นขุนบำนาญวรวัจน มีตำแหน่งราชการในกรมศึกษาธิการ ถือศักดินา ๕๐๐ ให้นายโตเปรียญ เปนขุนศรีธรรมภาณ ผู้ช่วยราชการในกรมสังฆการี ถือศักดินา ๕๐๐ เวลา ๔ ทุ่มเสศเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๕๖ วัน ๑ ๑๐ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๒๗ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลาเช้าโมงเสศ พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าวัฒนานุวงษ์เสด็จลงเรือกลไฟ ซึ่งกรมทหารเรือจัดคอยรับเสด็จ ที่ท่าราชวรดิษฐ์พระยามหาโยธา พระยานนทบุรี ผู้ช่วยนักเรียนก็ได้ตามเสด็จไปพร้อมกัน ไปขึ้นที่เมืองสิงคโปร แล้วจะได้ลงเรือโดยสารไปยุโรปต่อไป

เวลา ๒ ทุ่มเสศเสด็จทรงรถพระที่นั่งไปประทับวัดบวรนิเวศ เวลา ๔ ทุ่มเสศเสด็จกลับ ประทับที่ออกขุนนางตามเคย

พระศรีเสนานำบอกในกรมมหาดไทยขึ้นกราบบังคมทูล ๖ ฉบับ

ฉบับ ๑ บอกผู้รักษากรุงเก่า ลงวันที่ ๑ สิงหาคม ๑๑๐ ว่าน้ำฝนในราษีสิงปี ๑๑๐ มากกว่าปี ๑๐๙ เก้าสิบห้าเซน น้ำท่าในราษีสิงปี ๑๑๐ น้อยกว่าปี ๑๐๙ สองศอกสามนิ้ว ราษฎรไถหว่านปักดำได้ประมาณส่วน ๑ ยัง ๓ ส่วน

ฉบับ ๒ บอกเมืองลพบุรี ลงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๑๑๐ ว่าน้ำฝนในราษีกรกฎปี ๑๑๐ น้อยกว่าปี ๑๐๙ สี่นิ้ว น้ำท่าในราษีกรกฎปี ๑๑๐ น้อยกว่าปี ๑๐๙ ศอกคืบเก้านิ้ว ราษฎรกำลังไถหว่านปักดำราคาเข้าเปลือกตวงด้วยสัด ๒๕ เกวียนละ ๗ ตำลึง ๑ บาท

ฉบับ ๓ บอกเมืองปราจิณบุรี ลงวันที่ ๑๒ เมษายน ๑๑๐ ว่าน้ำฝนในราษีเมศปี ๑๑๐ น้อยกว่าปี ๑๐๙ สี่นิ้วหนึ่งทสางค์ น้ำฝนในราษีพฤศภปี ๑๑๐ น้อยกว่าปี ๑๐๙ สิบสองนิ้ว ราษฎรไถหว่านเภาะเลยได้ส่วนหนึ่ง ยังประมาณสามส่วน

ฉบับ ๔ ว่าน้ำฝนในราษีเมถุนปี ๑๑๐ น้อยกว่าปี ๑๐๙ สามนิ้วสามทสางค์ ว่าน้ำฝนในราษีกรกฎปี ๑๑๐ มากกว่าปี ๑๐๙ สามนิ้วสามทสางค์ เข้านาทุ่งราษฎรไถหว่านเสร็จแล้ว เข้านาดำแล้วประมาณสามส่วนยังส่วนหนึ่งราคาเข้าเปลือกตวงด้วยสัต ๒๘ ทนานเกวียนละ ๑๐ ตำลึง

ฉบับ ๕ บอกเมืองฉเชิงเซา ลงวันที่ ๑ สิงหาคม ๑๑๐ ว่าน้ำฝนในราษีเมศปี ๑๑๐ น้อยกว่าปี ๑๐๙ น้ำฝนในราษีพฤศภปี ๑๑๐ น้อยกว่าปี ๑๐๙ สี่นิ้ว ๘ ทสางค์ น้ำฝนในราษีเมถุนปี ๑๑๐ น้อยกว่าปี ๑๐๙ น้ำฝนในราษีกรกฎปี ๑๑๐ มากกว่าปี ๑๐๙ สี่นิ้วสี่ทสางค์ น้ำท่าในราษีกรกฎปี ๑๑๐ มากกว่าปี ๑๐๙ ราษฎรไถหว่านได้บริบูรณ ราคาเข้าเปลือกตวงสัต ๒๘ ทนานเกวียนละ ๑๐ ตำลึง ๒ บาท

ฉบับ ๒ บอกเมืองสุพรรณบุรี ลงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๑๑๐ ว่าน้ำฝนในราษีสิงห์ปี ๑๑๐ น้อยกว่าปี ๑๐๙ สี่นิ้วสี่ทสางค์ น้ำท่าในราษีกรกฎปี ๑๑๐ น้อยกว่าปี ๑๐๙ ศอกคืบ ราษฎรไถหว่านปักดำแล้วประมาณสองส่วนยังสามส่วน ราคาเข้าเปลือกตวงด้วยสัต ๒๘ ทนาน เกวียนละ ๑๐ ตำลึง ๕ บาท

พระสุรินทรามาตยนำบอกกรมพระกระลาโหมขึ้นกราบบังคมทูลฉบับ ๑ บอกหลวงอาวุธอัคนีข้าหลวงเมืองชุมพร ลงวันที่ ๕ สิงหาคม ๑๑๐ ถวายพระราชกุศลในการปฏิสังขรณ์วัดสุบรรณมิตร

พระยาสุรินทรราชเสนีนำบอกกรมพระกระลาโหมฝ่ายพระราชวังบวรฯ ขึ้นกราบบังคมทูลฉบับ ๑ บอกเมืองตรังกานู ว่าได้แต่งให้สีตวันกรมการ คุมต้นไม้ทองเงินเครื่องราชบรรณาการฝ่ายพระราชวังบวรฯ คือพิมเสนหนักสี่ชั่งแรก ผ้ายกทองสองคืน ผ้าขาวกาษามีศอกสี่พับ ผ้าแจะโป๊ะสี่พับ ผ้าขาวยาว ๕๐ ศอกสิบสองพับ หวายตะค้าสี่ร้อยกำ หวายหินสี่ร้อยขด กันแชงเตยใหญ่ ๑๐๐ ผืน

แล้วพระศรีเสนา นำพระยาสุริยวงษาเจ้าเมืองหล่มศักดิ์ เฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท จัดได้ทองคำหนัก ๔ ตำลึง ขี้ผึ้งหนัก ๑ หาบ ฃอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวาย

จึ่งมีพระราชดำรัสถามพระยาสุริยวงษาว่าขึ้นไปอยู่เมืองเชียงขวาง มีความศุขสบายฤๅมีความป่วยเจ็บเปนประการใด แลได้กลับลงมาแต่เมื่อไร แลทรงปราไสว่าพระยาสุริยวงษาชราไปมาก พระยาสุริยวงษากราบบังคมทูลว่ามิได้มีความป่วยเจ็บอันใด แลได้กลับลงมาแต่เดือนยี่ปีขาน แล้วดำรัสถามต่อไปว่าผู้คนที่เมืองเชียงขวางนั้นมีอยู่มากฤๅน้อย พระยาสุริยวงษากราบบังคมทูลว่ามีอยู่สักร้อยเรือน

แล้วดำรัสด้วยพระยามนตรีว่าการผู้ร้ายเมืองนครเขื่อนขันธ์ทำไมจึ่งไม่ค่อยสงบได้เลย เพราะกรมการภากันเหลวไหลเสียหมด พระยามนตรีกราบบังคมทูลว่า ถึงเมืองราชบุรีก็เหมือนกัน

แล้วโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสัญญาบัตร ให้ขุนพินิจจัย เป็นหลวงภิรมย์โกษา มีตำแหน่งราชการในกรมท่ากลางคงถือศักดิ์นา ๘๐๐ ให้นายติ่งมหาดเล็กเวรเดช บุตรพระยาไชยวิชิต เปนหลวงสมัคสโมสรยกรบัตรซ้าย กรุงทวาราวดีศรีอยุทธยาโบราณ ฝ่ายบวรราชวัง ถือศักดิ์นา ๔๐๐

เวลา ๕ ทุ่มเสศเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๕๗ วัน ๒ ๑๑ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๒๘ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลา ๒ ทุ่มเสศเสด็จออกแขกเมืองที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระยาศรีสิงหเทพนำพระวิเสศสุรฤทธิท้าวเพี้ยเมืองบริคันหนิคม เฃ้าเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทกราบถวายบังคมลากลับขึ้นไปรักษาราชการบ้านเมือง

แล้วพระยานรินทรราชเสนีนำอุรงกายอเดหวาสุรอ ๑ เจะอิดำ ๑ เจะอาลี ๑ มกัดมหมัด ๑ สีตวันกรมการเมืองตรังกานู ๔ หวันกาเด ๑ หวันยุโสบ ๑ หวันมหมุดตาฟา ๑ หวันดาเหร้ ๑ สีตวันกรมการเมืองกลันตัน ๔ รวม ๘ นายเข้าเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทกราบถวายบังคมลากลับไปรักษาราชการบ้านเมือง

มีพระราชปฏิสันฐานไต่ถามถึงการที่เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯมีความศุขสบายตามสมควร แล้วโปรดเกล้าฯ ให้พระราชทานผ้าพรรณนุ่งห่มแลเงินตราคนละ ๕ ตำลึง แล้วเสด็จขึ้น

วันที่รัชกาล ๘๓๕๘ วัน ๓ ๑๒ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๒๙ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

วันนี้พระราชาคณะถานาปเรียญ ๓๘ รูปมีพระเจ้าบรมวงษเธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นประธานจะได้เจริญพระพุทธมนต์ ในอุโบสถวัดศรีรัตนสาศดารามในการพระราชพิธีศรีสัจปานกาลตามเคย

เวลา ๒ ทุ่มเสศโปรดเกล้าให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ เสด็จไปจุดเทียนเครื่องนมัสการในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนสาศดาราม อาลักษณอ่านประกาศ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ตามพระราชพิธี

วันที่รัชกาล ๘๓๕๙ วัน ๕ ๑๓ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๓๐ กันยายน ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลาบ่าย ๒ โมงเสศทรงเครื่องราชอิศริยาภรณ์ เสด็จออกพระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาท ทรงพระราชยานแต่เกยน่าพระที่นั่งไปประทับที่ประตูวัดพระศรีรัตนสาศดาราม แล้วทรงพระราชดำเนินเข้าในพระอุโบสถ ทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการเสร็จแล้ว อาลักษณแลพราหมณ์อ่านคำแช่งน้ำพระพิพัฒน์สัตยาตามเคย เวลาบ่าย ๓ โมงเสศถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เสร็จแล้วเสด็จขึ้น

เวลาค่ำวันนี้พระสงฆ์ ๔๕ รูปมีสมเด็จพระพุทอาจารย์เปนประธาน จะได้เจริญพระพุทธมนต์ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทตามพระราชพิธีมัธุปายาส

เวลา ๒ ทุ่มเสศโปรดเกล้าให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ เสด็จออกจุดเทียนเครื่องนมัสการ อาลักษณ์อ่านประกาศพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ตามพระราชพิธี

วันที่รัชกาล ๘๓๖๐ วัน ๕ ๑๔ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๑ ตุลาคม ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลาเช้า ๔ โมงเสศโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูรนารถเสด็จออกเลี้ยงพระสงฆ์ ๔๕ รูปในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภอพระสงฆ์รับพระราชทานฉัน ทรงปักฉลากชื่อพระสงฆ์ที่โถเข้ายาคูซึ่งข้าราชการฝ่ายน่า จัดเข้ามาถวาย รวม ๕๓ โถ ถวายพระสงฆ์ แลส่งไปถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช แลพระบรมวงษานุวงษ์ที่ทรงผนวช แลพระราชาคะณะผู้ใหญ่ คือโถพระยานรรัตนราชมานิต พระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช โถพระยาสุรศักดิมนตรี พระราชทานหม่อมเจ้าดนัยวรนุช โถพระยามหานิเวศนานุรักษ ถวายสมเด็จพระพุฒาจาริย์ แต่โถนอกนั้นพระสงฆ์ที่ฉัน ได้รับพระราชทานตามฉลากที่ทรงปักทั่วกัน แลโปรดส่งไปถวายพระเจ้าบรมวงษเธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ๑ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ๑ พระวรวงษเธอ พระองค์เจ้าอรุณนิภาคุณากร ๑ สมเด็จพระวันรัต ๑ สมเด็จพระพุทธโฆษาจาริย์ ๑ พระสงฆ์ฉันแล้ว ถวายอนุโมทนา ถวายพระพรลากลับ

เวลา ๒ ทุ่มเสศโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายบริพัตรสุขุมพันธ์เสด็จออกจุดเทียนเครื่องนมัศการ อาลักษณก็อ่านประกาศตามพระราชพิธี พระสงฆ์ ๓๒ รูป สมเด็จพระพุทธโฆษาจาริย์เปนประธานเจริญพระพุทธมนต์

วันที่รัชกาล ๘๓๖๑ วัน ๖ ๑๕ ๑๐ ค่ำ ปีเถาะตรี๒๔ศก ๑๒๕๓

วันที่ ๒ ตุลาคม ร,ศ, ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔)

เวลาเช้า ๔ โมงเสคโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถเสด็จออกเลี้ยงพระสงฆ์ ๓๖ รูป ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท แลทรงปักฉลากโถฟักเหลือง ของพระบรมวงษานุวงษ์ฝ่ายน่า แลเสนาบดี รวม ๓๗ โถ พระราชทานพระสงฆ์ทั่วกัน สมเด็จพระพุทธโฆษาจาริย์ ได้โถสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงษ์ กรมพระภาณุพันธุวงษ์วรเดช แลโถพระยาภาสกรวงษ์ส่งไปถวายสมเดจพระบรมโอรสาธิราช แต่นอกนั้นก็ส่งไปถวายตามเคย เปลี่ยนแต่สมเด็จพระพุทธโฆษาจาริย์ เปนสมเด็จพระพุฒาจาริย์

เวลายามเสศเสด็จออกในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการแล้ว อาลักษณอ่านประกาศตามพระราชพิธี พระสงฆ์ ๓๘ รูปเจริญพระพุทธมนต์ พระเจ้าบรมวงษ์ เธอกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์เปนประธาน ภอพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เสด็จขึ้นข้างในพระราชทานทรงเจิมหม่อมเจ้าหญิงซึ่งจะเข้าพิธีกวนทิพย์ปายาศเสรจแล้วเสด็จออก เวลา ๔ ทุ่มเสศพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จบ ถวายอติเรก ถวายพระพรลากลับ

เสด็จขึ้นทรงพระราชยานแต่เกย พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ไปประทับ ณ โรงกวนเข้าทิพย์ที่น่าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงเจิมพายแลทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์ลงในกะทะทั่วแล้ว หม่อมเจ้าที่เข้าพิธีก็กวนพร้อมกัน เจ้าพนักงานก็ประโคมเครื่องดุริยางดนตรี เวลา ๕ ทุ่มเสด็จขึ้น

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ