บทที่ ๔ หลังจากการศึกษาในต่างประเทศ

ข้าพเจ้าได้เป็นอาจารย์สอนพิเศษอยู่ในคณะอักษรศาสตร์อยู่ประมาณ ๒ ปี ก็สังเกตว่า แผนกภาษาอังกฤษหรือแผนกภาษาตะวันตก แล้วแต่จะเรียก ได้จัดให้อาจารย์ที่เคยไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกาสอนวิชาไวยากรณ์อังกฤษแก่นิสิตปีที่ ๓ ซึ่งท่านผู้นั้นไม่ถนัดเลย สอนไปตามหนังสือไวยากรณ์ดั้งเดิมที่เคยใช้กันมา ตั้งแต่โรงเรียนมัธยม เพราะท่านไม่ได้ศึกษาภาษาอังกฤษที่อเมริกา ท่านไปเรียนวิชาอื่น ส่วนข้าพเจ้าซึ่งเคยได้คะแนนทางภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะไวยากรณ์แบบใหม่สูงสุดนั้นแผนกก็จัดให้สอนนิสิตปีที่หนึ่งและปีที่สอง ข้าพเจ้าไม่รังเกียจการสอนนิสิตระดับนั้น แต่ก็รู้คิดขึ้นมาว่า ในประเทศไทย มีทฤษฎีว่าคนที่ไปต่างประเทศกับคนที่ไม่เคยไปเป็นคน ๆ ละชั้น ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะมั่นใจว่าข้าพเจ้าพูดภาษาอังกฤษ เขียนภาษาอังกฤษได้ดีกว่าผู้ที่ได้เรียนที่สหรัฐอเมริกามาแล้วบางคนก็ตาม นอกจากนั้นยังสังเกตต่อไปว่าผู้ที่ได้ไปเรียนต่างประเทศกลับมาเมื่อข้าพเจ้าขอความรู้เกี่ยวกับการศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมเกี่ยวกับชีวิตในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองหรือการเศรษฐกิจ ก็ให้คำตอบที่จะทำให้เชื่อถือได้ไม่กี่คน โดยมากมีความคิดมาแสดงแปลก ๆ ทำให้ดูเป็นว่าฝรั่งนั้นล้วนเป็นเด็ก ๆ หลงอยู่กับชื่อโรงเรียนบ้าง ชื่อมหาวิทยาลัยบ้าง ถือชั้นวรรณะและประเพณีที่มิชอบในทรรศนะของข้าพเจ้า และเขาเหล่านั้นมักกล่าวในทำนองว่า เขาก็พลอยเห็นดีเห็นชอบไปกับฝรั่งที่มีทรรศนะอันมิชอบนั้นด้วย แต่ถ้าหากข้าพเจ้าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนที่เป็นฝรั่งเอง ความคิดเห็นของฝรั่ง ก็คล้ายคลึงกับที่ข้าพเจ้าได้อบรมมา คล้ายกับที่พ่อเคยพูด กับที่สมเด็จทรงปรารภ รวมไปถึงอาจารย์บางคนสอนด้วย ข้าพเจ้าจึงเริ่มสนใจกับการที่จะไปต่างประเทศ เพื่อให้รู้ด้วยตนเองว่าฝรั่งในประเทศของตัวเองนั้นเป็นอย่างไร

เมื่อได้ยินว่า สมาคมสตรีมหาวิทยาลัยอเมริกันประกาศให้ทุนแก่สตรีไทยไปศึกษาในสหรัฐอเมริกา ข้าพเจ้าจึงไปสมัครรับทุนนั้น ที่สำนักงานแถลงข่าวอเมริกัน ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนราชดำเนิน ข้าพเจ้าได้ตั้งปณิธานไว้ด้วยว่า ถ้าหากว่าได้ทุนไปเรียนเรื่องการศึกษาเพิ่มเติม ก็จะกลับมาทำงานเกี่ยวกับการศึกษาในประเทศไทยต่อไป ถ้าไม่ได้รับทุนการศึกษา ก็เป็นสัญญาณของเทวดา บอกกล่าวให้หาอาชีพอื่น เพราะแลเห็นว่านโยบายการศึกษาในประเทศไทยออกจะสั่นคลอน มีการให้โรงเรียนมัธยมทั่วไปสอนชั้นเตรียมอุดม แต่ตัวโรงเรียนเตรียมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่เลิกล้ม เพียงแต่เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและย้ายสังกัดไปกรมสามัญศึกษา (ยังไม่มีแยกกรมเป็นวิสามัญ และสามัญ) ข้าพเจ้าจะถือโอกาสกล่าวความนึกคิดในเรื่องนี้เสียในตอนนี้เลยทีเดียว

เมื่อกระทรวงศึกษาธิการ เปลี่ยนแผนการศึกษาชาติจากของเดิมที่มีมัธยม ๘ มาให้มีโรงเรียนเตรียมสำหรับมหาวิทยาลัยหนึ่ง ๆ นั้น ก็โดยอ้างว่า จะชักพาให้คนไปเข้าโรงเรียนอาชีพ จะคัดเลือกคนชั้นที่มีสมองสมควรเรียนขั้นเตรียมอุดมศึกษาเท่านั้นเข้ามาสู่มหาวิทยาลัย ซึ่งก็เป็นข้ออ้างที่ฟังขึ้น แต่ก็ไม่ได้เห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการวางแผนงานในอันที่จะสร้างและเสริมโรงเรียนอาชีพขึ้นมาให้เป็นที่อุ่นใจ คนที่รับผิดชอบกับโรงเรียนอาชีพเป็นคนที่ได้รับการฝึกอบรมไปจากโรงเรียนสามัญเป็นส่วนใหญ่ และไม่แลเห็นว่า ควรมีการศึกษาว่าอาชีพต่าง ๆ ในประเทศไทยนั้นมีอะไรบ้างที่จะต้องตั้งโรงเรียนฝึกหัดคนไปทำงานอาชีพนั้น ๆ การเกษตรซึ่งเป็นอาชีพหลักสำคัญที่สุดของไทย ยังไม่เห็นมีทางกระเดื้องขึ้น แต่ก็อาจแก้ได้ว่า มีเวลาไม่ทันทำงานที่คาดหวังจะได้ทำ เพราะภาวะสงครามมาเป็นอุปสรรค แต่ครั้นเลิกสงครามแล้ว กลับเปลี่ยนไปเข้าระบบเก่า แต่ก็คงมีโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาไว้ ไม่ทำให้แลเห็นว่ามีวัตถุประสงค์อะไร

การมีโรงเรียนที่สอนเพียง ๒ ชั้น มีเวลาให้นักเรียนมาเข้าอยู่เพียง ๒ ปีนั้น ไม่เข้ากับหลักจิตวิทยาหลักไหนได้เลย เมื่อเป็นนักเรียนเตรียมอุดมฯของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ยังอบรมให้รักมหาวิทยาลัยได้ และให้นักเรียนที่จะเรียนวิชาในคณะต่าง ๆ คุ้นเคยกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตั้งแต่เยาว์วัย แต่การที่ตัดนักเรียนมาจากคณะครูที่อบรมนักเรียนตั้งแต่เป็นเด็กมาจนกระทั่งเข้าวัยรุ่น ซึ่งต้องการการประคับประคองทางจิตใจ ให้ต้องมาเข้าโรงเรียนเรียนใหม่ มีเพื่อนใหม่ ครูใหม่นั้น มีผลดีในทางที่ช่วยบังคับให้นักเรียนต้องระมัดระวังตัว อยู่ในความสำรวม ไม่แสดงความวุ่นวายไปตามวัยนั้น ก็ดีสำหรับผู้ใหญ่ที่จะไม่เดือดร้อน แต่ไม่มีผลดีแก่ตัวนักเรียนในทางพัฒนาการทางจิตนัก คือแทนที่จะได้อยู่ในโรงเรียนเดิม ได้ใช้สมรรถภาพซึ่งอาจเป็นสมรรถภาพในการเป็นผู้นำ ก็ต้องกลายเป็นสำรวม เพราะเข้ามาอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ เป็นการขัดกับหลักพัฒนาการของคนในวัยรุ่นอยู่ข้อหนึ่ง

อีกข้อหนึ่งก็คือ การที่กระทรวงศึกษาธิการ อนุญาตให้นักเรียนจากทุกโรงเรียน สอบแข่งขันชิงที่ในโรงเรียนเตรียมฯก็เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนที่สมองดีมาแข่งขัน เพราะเด็กวัยนี้อยากแข่งขันอยู่แล้ว และผู้ปกครองก็ต้องอยากให้ลูกหลานเข้าโรงเรียนที่มีคณะครูดี ให้แน่ใจว่าจะสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยได้ต่อไปอีก ดังนั้น ภายในระบบการศึกษาของไทย จึงมีแต่ความคิดแข่งขัน ความคิดที่จะชนะ ความภาคภูมิใจของผู้ชนะ โดยมิได้คิดว่าคนชนะคนหนึ่งทำให้มีคนแพ้เกิดขึ้นเป็นจำนวนเท่าใด เมื่อข้าพเจ้าได้เป็นศึกษานิเทศก์ ในเวลาต่อมา คณะครูต่างจังหวัดในชั้นแรก เข้าใจว่าข้าพเจ้าเคยเป็นอาจารย์โรงเรียนเตรียมฯ ก็ไม่ใคร่ออกความคิดเห็นในเรื่องนี้ในทางที่เป็นมิตรนัก เมื่อทราบว่าข้าพเจ้ามีความเห็นใจโรงเรียนต่างจังหวัด ที่ต้องเสียนักเรียนที่ดี ทำให้ครูท้อใจ นับเป็นหลายสิบคณะ ก็ยิ่งมาตัดพ้อในฐานคนกันเองมากขึ้นทุกที ต่อมานาน คณะครูต่างจังหวัดและโรงเรียนอื่น ๆ ในพระนคร เมื่อไม่เห็นว่าการร้องเรียนของตนได้ทำให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น ก็เลยทำใจเป็นพุทธศาสนิก รับเอาสิ่งที่จะต้องเป็นไป แต่ในเวลาที่กล่าวถึง คือก่อนที่ข้าพเจ้าไปศึกษาต่างประเทศ ข้าพเจ้ามีความหวังเต็มที่จะมีการปรับปรุงไปในทางดี และอยากมีส่วนในการปรับปรุง

ครั้นข้าพเจ้ากลับจากการศึกษาต่างประเทศ ข้าพเจ้าไปหารือท่านผู้ใหญ่ที่เคารพ ท่านไม่คิดให้ข้าพเจ้าเกี่ยวข้องกับการศึกษามัธยมโดยตรง แต่ได้แนะให้ไปสมัครเข้ารับราชการใหม่ในแผนกครุศาสตร์ ซึ่งต้องฝึกหัดครูมัธยม ท่านว่าท่านห่วงแผนกนี้มาก ได้เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อเข้ารับราชการครั้งแรกนั้น ได้เป็นข้าราชการชั้นโททันทีแต่เมื่อกลับเข้ารับราชการเป็นครั้งที่สอง ทั้งที่ได้รับปริญญาโทในวิชาการศึกษามาจากสหรัฐอเมริกา ก.พ. ได้เปลี่ยนระเบียบใหม่ ผู้เข้ารับราชการใหม่จะต้องเป็นข้าราชการชั้นตรีทุกคน ข้าพเจ้าจึงได้มีประสบการณ์เป็นข้าราชการชั้นตรี

ระหว่างที่รับราชการเป็นอาจารย์ตรีอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ คุรุสภาส่งคนมาชักชวนให้ไปอบรมครูภาคฤดูร้อนเรียกว่า ป.ศ.ร.(ปาฐกถาเพื่อการศึกษาในฤดูร้อน) จังหวัดที่จะไปเป็นจังหวัดภาคใต้ เริ่มด้วยจังหวัดตรัง ภูเก็ต กระบี่ จนถึงพังงา เมื่อทางกระทรวงศึกษา ฯ ทราบว่าข้าพเจ้าจะไปในคณะอาจารย์ของคุรุสภาท่านก็ฝากราชการไปด้วยเรื่องหนึ่ง คือมีข้อพิพาทระหว่างผู้เช่าที่ดินของกระทรวงศึกษาธิการ กับศึกษาธิการจังหวัด ศึกษาธิการเห็นว่าผู้เช่ารุกล้ำที่เช่าที่ไม่อยู่ในสัญญาเช่า กระทรวงจึงต้องตั้งกรรมการไปพิจารณา เพื่อความเป็นธรรมและความบริสุทธิ์ของศึกษาธิการจังหวัด ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมฯ คนแรกดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง ท่านไม่มีทางทราบว่าข้าพเจ้าเป็นข้าราชการชั้นตรีคนเดียว เดินทางไปกับข้าราชการชั้นโทอีกหลายคน ท่านจึงแต่งตั้งข้าพเจ้าเป็นกรรมการพิจารณาข้อพิพาทด้วยคนหนึ่ง คนที่ไปด้วยก็ไม่เฉลียวใจว่าข้าพเจ้าเป็นข้าราชการชั้นตรีไปคนเดียว และข้าพเจ้าก็วางหน้าเฉยไปเข้าร่วมพิจารณาเรื่องราว ปรากฏว่าไม่มีปัญหาอะไรมาก ที่ดินนั้นควรสงวนไว้เป็นที่ดินของกระทรวงศึกษาธิการต่อไป ผู้เช่าต้องทำสัญญาเช่าให้ถูกต้อง จึงขอร้องให้ตกลงกันได้ ในการเดินทางข้าพเจ้ามักจะถูกขอร้องให้เซ็นใบเบิกเงินบ้าง หรือใบอะไรอื่น ๆ ในฐานะหัวหน้าคณะเดินทาง แต่ในเรื่องเช่นนี้ข้าพเจ้าทำไม่ได้ จึงต้องขอให้เพื่อนเดินทางคนหนึ่งทำ สมัยนั้นตำแหน่งชั้นเอกในกระทรวงศึกษาฯมีน้อยมาก ข้าราชการชั้นโทมีจำนวนมากที่สุด ครั้นคนทั้งหลายได้ทราบระหว่างเดินทางว่าข้าพเจ้าเป็นข้าราชการชั้นตรี ก็รู้สึกอึดอัดกัน แต่เมื่อกลับมาถึงพระนคร ก็พอดีครบวันเดือนที่จะเลื่อนเป็นชั้นโทขึ้นมาได้ จึงกลับเป็นข้าราชการชั้นโทขึ้นมาอีก

ในการรับราชการในคณะอักษรศาสตร์คราวนั้น มีเรื่องที่น่าเล่าเกี่ยวกับหลักการศึกษาหลายอย่าง แต่ไม่แน่ใจว่าเวลาจะอำนวยหรือไม่ เพราะจะต้องรีบส่งต้นฉบับไปโรงพิมพ์ภายในกำหนด จึงต้องเลือกเล่าแต่บางเรื่องที่แสดงถึงความสำเร็จและความล้มเหลวเท่านั้น

ข้าพเจ้าเข้ารับราชการใหม่ใน พ.ศ. ๒๔๙๓ ถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ก็ย้ายไปจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งนี้เป็นความล้มเหลวและความสำเร็จไปด้วยกันในตัว ระหว่างที่อยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ ข้าพเจ้าอยู่ในหมู่ชนที่ทรงความรู้เหนือข้าพเจ้าโดยมาก ซึ่งถูกกับความประสงค์ของข้าพเจ้า แต่ไม่นาน ข้าพเจ้าก็สังเกตว่าท่านโดยมากพอใจ หรือมิฉะนั้นก็ไม่แลเห็นว่ามีอะไรในคณะอักษรศาสตร์ที่จะต้องปรับปรุง หรือจะปรับปรุงได้ ตัวอย่างอันหนึ่งคือ ข้าพเจ้าสังเกตว่านิสิตหญิงใช้ห้องน้ำไม่เป็น มักจะมีน้ำราดเปียกหรือเปรอะเปื้อน และทิ้งสิ่งของที่ไม่ควรทิ้งไว้ในอ่างล้างมือบ้าง มีรอยลิปสติกอยู่ตามผนังห้องน้ำบ้าง ข้าพเจ้าได้นำเรื่องไปหารือผู้บังคับบัญชา และเสนอตัวว่า ถ้าจะปรับปรุงในเรื่องนี้ ข้าพเจ้ายินดีจะรับใช้ แต่จะต้องกินเวลา อาจถึง ๒-๓ ปีจึงจะเห็นผล ท่านพยักหน้าเป็นทีว่าเห็นด้วย แต่ท่านก็ไม่สั่งให้ทำประการใด ข้าพเจ้าทิ้งเวลาให้ล่วงไป ๓-๔ เดือน เพราะเห็นท่านมีภาระอื่นอยู่มาก แล้วก็ไปเตือนว่า ถ้าท่านเห็นว่าควรมีการอบรมนิสิตหญิงในเรื่องนี้ ขอให้ท่านสั่งให้ข้าพเจ้าทำ ท่านก็พยักหน้าอีก แล้วเวลาก็ล่วงไปอีก ข้าพเจ้าเห็นว่าเสนอตนเองทำงานที่จะไม่ได้ความสนุกสบายอะไร มีแต่ความร้อนใจสองครั้งแล้ว ก็เรียกว่าได้ทำหน้าที่ราชการที่เอื้อต่อราชการเต็มที เกินน่ารักน่าชมไปแล้วด้วยซ้ำสำหรับข้าราชการสมัยนั้น จึงนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าก็ทำงานไปได้เป็นสุข การทำราชการไปตามโอกาส ตามตารางสอนอย่างเป็นสุขนั้น ดูเหมือนจะเป็นสิ่งปรารถนาของคณะอักษรศาสตร์ในเวลานั้น ได้มีผู้มาชักนำให้ข้าพเจ้าไปรับตำแหน่งหัวหน้าแผนกฝึกหัดครูมัธยม ที่ขึ้นอยู่กับโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ซึ่งเป็นระบบงานที่แปลกประหลาด ไม่เคยเห็นที่ใด หัวหน้าแผนกได้ลาไปรับราชการ ณ องค์การระหว่างประเทศ มีตำแหน่งชั้นเอกว่างอยู่และถ้าข้าพเจ้ายินดีจะไปรับหน้าที่นั้น คณะกรรมการบริหารแผนกฝึกหัดครูนั้น และทางโรงเรียนเตรียมฯก็ยินดีจะพิจารณา ข้าพเจ้าไม่ค่อยสนใจกับตำแหน่งนั้น เพราะรู้สึกว่าตนไม่สมควร ยังมีประสบการณ์กับการฝึกหัดครูน้อยไป และท่านที่เคารพของข้าพเจ้า ผู้ที่ได้แนะนำให้มาสมัครทำงานที่คณะอักษรศาสตร์ท่านก็ได้ออกปากฝากว่า “เธอไปช่วยที่นั้นหน่อยเถอะ ดูออกจะไม่มีคนเข้าทุกที” แต่ในที่สุด ข้าพเจ้าได้เห็นคำสั่งของคณะอักษรศาสตร์บรรจุข้าพเจ้าเป็นอาจารย์ในแผนกวิชาภาษาต่างประเทศข้าพเจ้าก็เห็นว่าไม่ตรงกับเจตนาที่ข้าพเจ้าเข้ามารับราชการในคณะนั้น แต่สำหรับงานนั้นก็ได้ร่วมกันกับเพื่อนคนหนึ่ง ทำงานในด้านฝึกหัดครู โดยเฉพาะดูการฝึกสอนของนิสิตอย่างใกล้ชิด ซึ่งทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะกำลังอาจารย์ไม่พอเพียง คณะอักษรศาสตร์ได้ให้อาจารย์ทุกคนที่มีเวลาพอจะเจียดจากการสอนประจำไปช่วย แต่การดูการฝึกสอนนั้น ควรจะมีการนัดแนะ วางหลักการให้สอดคล้องกัน แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะคนทั้งหลายเห็นว่าที่ทำนั้นก็ดีพออยู่แล้ว ครั้นถึงเวลาที่ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมฯในขณะนั้น ย้ายไปรับราชการในกระทรวง และผู้ช่วยผู้อำนวยการได้เลื่อนขึ้นไปเป็นผู้อำนวยการแทน ก็มีอาจารย์หญิงในโรงเรียนเตรียม ๔-๕ คนมาชักชวนขอให้ไปรับตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมฯ ข้าพเจ้าสังเกตเหตุการณ์ในคณะอักษรศาสตร์ เห็นว่าข้าพเจ้าจะอยู่ที่นั่นหรือไปจากที่นั้น ก็ไม่เป็นการเสียหรือได้อย่างหนึ่งอย่างใดแก่คณะ ได้ถามอาจารย์หญิงเหล่านั้นว่า อยากให้ไปเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมฯเพราะเหตุใด เขาบอกว่าเพื่อเขาจะได้อุ่นใจที่จะมีผู้บังคับบัญชาที่เขาคุ้นเคย และรับว่าจะช่วยกันทำงานไม่ให้ข้าพเจ้าลำบากใจเลย และงานที่นั่นก็ไม่มีอะไรที่เหน็ดเหนื่อยนัก ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นโอกาสดี จะได้ทำงานสบาย และอยู่ในหมู่คนคุ้นเคยและอาจจะชักชวนท่านผู้ใหญ่ในกระทรวงที่มีความกรุณาแก่ข้าพเจ้าอยู่เสมอให้ปรับปรุงโรงเรียนเตรียมฯ ให้เข้าสภาพที่พึงปรารถนา ข้าพเจ้าจึงได้ย้ายมาตามการชักชวนของอาจารย์หญิงกลุ่มนั้น โดยผู้อำนวยการร่วมใจกับเธอ หลังจากที่ได้เป็นข้าราชการชั้นโทไม่ถึง ๒ ปี ก็เข้าไปรับตำแหน่งที่จะได้เป็นข้าราชการชั้นเอกโดยไม่ต้องสอบ เพราะกฎ ก.พ. สมัยนั้น ถือว่าอัตราชั้นเอกที่มีมาแล้วก่อน พ.ศ. อะไร ก็ไม่ทราบ ถือเป็นอัตราเก่า ข้าราชการชั้นโทเข้าสวมตำแหน่งได้เลย

ก่อนที่จะเล่าเรื่องอื่น ขอเล่าเรื่องที่เห็นว่า ผู้ที่รับราชการในปัจจุบัน ผู้มีความอึดอัดขัดใจกับระบบและระเบียบต่าง ๆ ให้ทราบไว้ เพื่อจะได้รับรู้ถึงสภาวะขององค์การที่กว้างใหญ่ไพศาล เช่นระบบข้าราชการพลเรือน คือก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้รับอนุมัติให้โอนไปอยู่โรงเรียนเตรียมฯมีการประชุม ก.พ. และมีการพิจารณาตั้งเงินเดือนให้ข้าราชการผู้หนึ่งซึ่งกลับมาจากสหรัฐ มีการกล่าวขึ้นถึงปริญญาอเมริกันว่า ถ้าได้ เอม เอ มา ก็ให้เงินเดือน ๒๒๐ บาท แต่ถ้ามี ป.ม. ไว้ก่อน ก็บวกค่า ป.ม. เข้าไปด้วย เป็น ๒๔๐ บาท กรรมการคนหนึ่งเป็นพี่ชายข้าพเจ้า เกิดจำขึ้นมาว่า ข้าพเจ้าได้รับเงินเพียง ๒๒๐ บาท ทักขึ้นมาว่า “น้องสาวผมไม่เห็นได้บวกค่า ป.ม.” จะเป็นเพราะความผิดของข้าพเจ้าเองที่ไม่ได้เขียน ป.ม. ลงไปในใบแสดงวิทยฐานะก็เป็นได้ เพราะเข้าใจว่า ปริญญาโททางการศึกษาก็ควรมีราคาของตัว ไม่น่าจะมีการบวกอนุปริญญาเข้าไปกับปริญญาโท อย่างไรก็ตาม ก.พ. ก็สอบสวนได้ความว่า ข้าพเจ้าได้ ป.ม. ด้วย จึงแจ้งมาทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า ให้ข้าพเจ้าไปรับเงินเดือน ๒๔๐ บาท (มีบวกค่าครองชีพ รวมเป็นเท่าใดจำไม่ได้เสียแล้ว จำได้แต่ว่า เมื่อแรกเข้ารับราชการ ครั้งหลังในคณะอักษรศาสตร์นั้น ได้รับเงินเดือนทั้งสิ้น ๑๐๒๐ บาท แต่ข้าราชการมาปรับใหม่ภายหลัง จึงจำเงินบวกค่าครองชีพไม่ได้ ราชการมาเลิกการตั้งเงินเดือนมูลฐาน และบวกค่าครองชีพ เป็นเงินเดือนจริงตามตัวจริงที่ได้รับจริง อย่างที่ได้รับกันในปัจจุบันนี้ หลายปีหลังจากนั้น)

ระหว่างที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดปรับเงินเดือนของข้าพเจ้าอยู่ ยังไม่ทันได้รับเงินเดือน ๒๔๐ บาทนั้น ข้าพเจ้าก็ได้รับคำสังให้โอนไปสังกัดกรมวิสามัญศึกษา เข้าสวมอัตราชั้นเอก มีเงินเดือน ๓๕๐ บาท ทางโรงเรียนก็รอคำสั่งแต่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นข้าราชการชั้นเอกหลายเดือนต้องคืนเงินไปยังคลังเพราะไม่ได้รับแต่งตั้งทุกเดือนไป เป็นที่ขัดใจของพวกอาจารย์หญิงที่ไปชักชวนข้าพเจ้ามาเป็นอันมาก เพราะที่ว่าจะไม่ต้องทำงานยากเย็นอะไรนั้น ปรากฏว่า คณะอักษรศาสตร์มีข้อตกลงกับโรงเรียนว่า ถ้ายอมให้โอนข้าพเจ้ามา ต้องให้ไปสอนที่คณะตามเดิม เพราะคณะขาดอาจารย์ ครั้นมาถึงโรงเรียนเตรียมฯ ผู้อำนวยการต้องเข้าโรงพยาบาล ข้าพเจ้าต้องว่าราชการหมด นอกจากนั้น ทางแผนกฝึกหัดครูที่ขึ้นอยู่กับ ร.ร. เตรียมฯ ก็ขาดอาจารย์ เพราะหัวหน้าแผนกย้ายไป ข้าพเจ้าจึงต้องสอนแผนกฝึกหัดครูด้วย โรงเรียนไปเตือนกรมว่าเมื่อไหร่จะให้ข้าพเจ้าเป็นข้าราชการชั้นเอก กรมบอกว่าได้ผ่าน อ.ก.พ. กระทรวงไปแล้ว รัฐมนตรีลงชื่ออนุมัติแล้ว แต่กระทรวงการคลังไม่อนุมัติมา โรงเรียนไปสืบที่กระทรวงการคลังได้ทราบว่าจุฬาลงกรณ์ยังไม่สามารถปรับเงินเดือนข้าพเจ้าให้ถูกต้องตามมติ ก.พ. จึงยังอนุมัติเรื่องเงินเดือนชั้นเอกไม่ได้ แต่ทางโรงเรียนก็บอกข้าพเจ้าว่า ไม่ต้องเดือดร้อน เพราะจะได้ตกเบิกล่วงหลัง แต่ในเดือนพฤศจิกายน กระทรวงการคลังเปลี่ยนระเบียบว่า ข้าราชการที่ได้เลื่อนขั้นเงินเดือนนั้น ให้นับจากวันที่กระทรวงการคลังอนุมัติ ในที่สุดกระทรวงอนุมัติให้ข้าพเจ้ารับเงินเดือนชั้นเอกได้ในเดือนมกราคม โรงเรียนได้จ่ายเงินเดือนชั้นเอกมาให้ข้าพเจ้าตั้งแต่เดือนธันวาคม เพราะแน่ใจว่าต้องได้รับอนุมัติภายในปีนั้นแน่ พอถึงเดือนมกราคม เมื่อได้รับเงินเดือนแล้ว เจ้าหน้าที่การเงินมาขอเงินเดือนที่จ่ายเกินเมื่อเดือนธันวาคมคืนเพราะระเบียบของคลังได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อขึ้นปีใหม่ ต่อมาอีกปีหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่ได้เงินเดือนขึ้น เพราะได้รับเงินเดือนในอัตราใหม่ไม่ครบปี ข้าพเจ้าไม่ได้เสียใจแต่ประการใด เพราะได้กระโดดข้ามขั้นจาก ๒๔๐ มาเป็น ๓๕๐ ภายในปีเดียว นับว่าเป็นโชคประหลาดมหัศจรรย์อยู่แล้ว

ความหวังว่าจะได้ทำงานสบาย ๆ ที่โรงเรียนเตรียมฯ นั้นปรากฏว่าสลายไป ผู้อำนวยการคนที่สองของโรงเรียนเตรียมฯซึ่งได้ร่วมงานกับข้าพเจ้ามาตั้งแต่แรก ท่านได้ไปเป็นหัวหน้ากองโรงเรียนรัฐบาล ท่านคิดจะปรับปรุงความรู้ความสามารถของครูของท่าน จึงเรียกร้องให้ข้าพเจ้าไปเข้าร่วมในการปรับปรุงต่าง ๆ ประจวบกับเป็นเวลาที่กระทรวงศึกษาธิการ ก็ได้รับความคิดเห็นใหม่ ๆ อยากจะปรับปรุงสมรรถภาพครูกันเป็นงานใหญ่ไพศาล ทั่วโลกกำลังเร่งรัดปรับปรุงระบบและวิธีการปฏิบัติทางการศึกษา ประเทศไทยจะล้าหลังอยู่ไม่ได้ เวลานั้นคนที่ไปเรียนวิชาการศึกษาและกลับมาถึงประเทศไทยแล้วมีน้อยตัว ข้าพเจ้าได้เข้ามาอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ ก็ถูกคลื่นการปรับปรุงพัดพาไปกับคลื่นด้วย ภายในระยะนั้น ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาก็ต้องไปต่างประเทศเพื่อดูงาน ข้าพเจ้าก็เป็นผู้รักษาราชการ ภายในระยะเดียวกันนั้น แผนกฝึกหัดครูมัธยมก็เปิดโรงเรียนสาธิตขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทย ข้าพเจ้ายินดีกับการที่มีโรงเรียนสาธิตขึ้น ถึงแม้ไม่มีงบประมาณมาเพิ่มเติม ก็ไม่ร้องคัดค้าน เพราะความหวังของข้าพเจ้านั้นคือ ให้โรงเรียนเตรียมฯเปลี่ยนฐานะจากโรงเรียนมัธยมปลาย สอนนักเรียนเพียง ๒ ปี กลายเป็นวิทยาลัยครูที่เป็นปึกแผ่น ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่ากระทรวงจะปล่อยให้โรงเรียนอยู่ในฐานะเดิมไปได้นาน เป็นที่น่าเสียดายที่คณะครูที่ได้ร่วมมือกันทำงานจนเข้าใจหลักการ มีอุดมคติร่วมกันเป็นอย่างดีนั้น จะต้องกระจัดกระจายไป โรงเรียนเตรียมฯ พร้อมด้วยอาจารย์ที่มีสมรรถภาพเช่นนั้นน่าจะเป็นสถานฝึกหัดครู มีโรงเรียนสาธิตอย่างดี มีชั้นมัธยมปลายมากห้อง เพื่อรับนักเรียนจากโรงเรียนเฉพาะที่ไม่สามารถเปิดสอนชั้นปลายสุดได้ เพราะกระทรวงยังขาดกำลังคน แต่ความหวังของข้าพเจ้าล้มเหลวทั้งสิ้น

ในปีเดียวกัน ระหว่างที่ข้าพเจ้ารักษาราชการแทนผู้อำนวยการอยู่นั้น กรมวิสามัญศึกษามีตำแหน่งราชการใหม่ขึ้นเป็นตำแหน่งภายในเรียกว่า ศึกษานิเทศก์ ข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นศึกษานิเทศก์สายวิชาภาษาอังกฤษ มีอีกสายหนึ่งเป็นสายวิทยาศาสตร์ สำหรับโรงเรียนฝึกหัดครูส่วนภูมิภาค ซึ่งภายหลังขยายขึ้นเป็นสายโรงเรียนฝึกหัดครูเพราะมีผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาอื่นมาร่วมด้วย ระยะนี้เป็นระยะทำงานอย่างเต็มมือ โดยไม่มีความคับแค้นใจแต่ประการใด และสุขภาพก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ และยังช่วยเหลืองานของสมาคมสตรีอุดมศึกษาอีกด้วย

ข้าพเจ้าจะขอกล่าวถึงงานในสมาคมสตรีอุดมศึกษาแห่งประเทศไทยเสียในจังหวะนี้ การทำงานในสมาคมนี้ ข้าพเจ้าได้รับความสำเร็จพอสมควร ข้าพเจ้ากลับมาถึงประเทศไทย พร้อมกับคำตอบแก่คำถามที่ตั้งไปเกี่ยวกับฝรั่งว่า มนุษย์ทั้งหลายทุกชาติทุกภาษาเหมือนกัน ที่จะเป็นคนสมบูรณ์ทั้งทางวิชาความรู้และความมีสติ หรือที่ในภาษาวิชาการศึกษาเรียกว่า ลุวุฒิภาวะโดยแท้นั้น มีจำนวนน้อย แต่ฝรั่งก็ไม่ได้มีน้อยกว่าชาติไทย และถ้าสันนิษฐานจากการสมาคม ฝรั่งมีจำนวนมากกว่า เพราะวิถีทางที่จะแสวงความรู้มากกว่า คือมีคนที่เป็นพหูสูตมากกว่า แต่ฝรั่งมีปรัชญาที่ข้าพเจ้าคิดว่าผิดพลาดอยู่หลายประการ ฝรั่งขาดทุนคนไทยที่ต้องเสียเวลาใช้สมองและกำลังกายกำลังเงินต่อสู้ เพื่อเสรีภาพทางศาสนาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน และต้องหลงอยู่กับความเข้าใจผิดในเรื่องว่า บาป คืออะไรอยู่หลายศตวรรษ ทั้งที่มีวิทยาการต่างๆ แต่เมื่อข้าพเจ้าไปถึงสหรัฐ เป็นเวลาที่มีความตื่นตัวไปในทางที่ข้าพเจ้าเห็นพ้องด้วย ส่วนคนไทยนั้นก็เช่นเดียวกัน ขาดทุนในเรื่องแสวงหาความรู้ ทั้งที่มีกำไรในเรื่องเสรีภาพทางศาสนามานานนับศตวรรษ ในเรื่องนี้ ถ้ามีเวลาข้าพเจ้าจะกล่าวถึงอีก อย่างไรก็ตาม สรุปคือ ฝรั่งกับไทย เทียบอัตราส่วนจากโอกาสแสวงหาความรู้ มีจำนวนคนที่เข้าใจชีวิตไม่แพ้และไม่ชนะกันมากนัก จะเป็นใครแพ้ใครชนะก็ตามที

ในสมาคมสตรีมหาวิทยาลัยอเมริกา ข้าพเจ้าได้พบคนที่ทรงคุณวุฒิจำนวนมาก ซึ่งก็เป็นสตรีเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ได้พบผู้ชายฝรั่งที่ทรงคุณวุฒิในที่อื่น และในครอบครัวสตรีมหาวิทยาลัยอเมริกานั้นเองก็ไม่น้อย ได้พบคนที่ไม่เห็นแก่ตัว มองทางไกล มีอุดมคติ ข้าพเจ้าได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนหลายรัฐในฐานะเป็นผู้รับทุน ได้รับความช่วยเหลือเป็นที่น่าชื่นใจ บางโอกาสก็ขบขัน เช่นระหว่างการเดินทางในรัฐแคนซัส ได้ไปถึงเมืองต่าง ๆ ๙ เมือง ภายในเวลา ๑๐ วัน ต้องพูดให้สมาชิกสาขาสมาคมสตรีมหาวิทยาลัยอเมริกันฟังเรื่องประเทศไทย วัฒนธรรม และการศึกษาของไทย ๙ ครั้ง และพูดให้นักเรียนเล็ก ๆ ฟัง ดูเหมือนจะเป็นจำนวนครั้งเท่ากัน เมื่อกลับมาถึงเมืองมินนะโปลิส ที่ตั้งมหาวิทยาลัยมินนะโซตา กรรมการที่เมืองนั้นได้ทราบ ก็ไม่พอใจกรรมการของรัฐแคนซัสเป็นอันมาก ว่าใช้ผู้รับทุนเกินขนาด เกินแรงที่ควรใช้ แต่สุขภาพมิได้ทรุดโทรมลง เพราะเดินทางในเวลากลางคืนรุ่งเช้าก็ถึงเมืองหนึ่ง ๆ มีคนมาดูแลเอาใจใส่ พาไปอยู่บ้านให้รู้จักกับครอบครัว ยิ่งได้พบคนมาก ได้เห็นชีวิตครอบครัวมาก ก็เป็นกำไรสำหรับข้าพเจ้า แต่ได้ทำให้คิดถึงประเทศไทย ว่าเราขาดการผนึกกำลังกันอย่างที่ได้เห็นในสหรัฐ สมาคมสตรีมหาวิทยาลัยอเมริกัน เรียกว่าได้พยายามใช้หนี้ให้แก่ประชาชนผู้เสียภาษีอากร ซึ่งได้ตั้งมหาวิทยาลัยและให้โอกาสให้สมาชิกสมาคมนั้นเล่าเรียน เมื่อได้ตั้งเป็นสมาคมเป็นปึกแผ่นแล้ว ก็ชักชวนกันเสียสละเงินเพียงคนละ ๑ ดอลล่าร์ สะสมจนได้เงินหนึ่งแสนเหรียญ ตั้งเป็นกองทุนหาดอกเบี้ยทำรายได้ และเรี่ยไรเพิ่มเงินทุกปี หลายปีเข้าก็มีรายได้พอที่จะให้ทุนการศึกษาแก่สตรีอเมริกันที่ขาดทุนทรัพย์ที่จะเรียนในมหาวิทยาลัย ต่อมาจึงขยายงานเผื่อแผ่ไปถึงคนชาติอื่น มาจนถึงคนไทย ในตอนหลังมหาสงคราม

เมื่อข้าพเจ้ากลับมาถึงประเทศไทย จึงถือว่าเป็นหนี้หลายชั้น ข้าพเจ้าสำนึกเรื่องหนี้ที่เป็นอยู่แก่ประชาชนและพระมหากษัตริย์ไทย ในการที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสศึกษาในมหาวิทยาลัยอยู่มาตลอดเวลา เพราะได้รับการอบรมในเรื่องชนิดนี้มาตั้งแต่เด็ก แล้วก็มาพอกพูนหนี้ที่ไปรับทุนจากสมาคมสตรีมหาวิทยาลัยอเมริกัน จึงต้องรีบรับใช้สมาคมสตรีอุดมศึกษาแห่งประเทศไทยให้มากที่สุดที่กำลังจะอนุญาตให้ทำได้ เมื่อกลับมาถึงประเทศไทย สุขภาพก็กลับไม่ค่อยดี เพราะไม่ถูกกับอากาศที่ร้อนชื้น ไม่โปร่งแห้งเหมือนในสหรัฐ แต่ก็ได้พยายามช่วยงานของสมาคมไปตามอัตภาพ ผลก็คือได้รับความสำเร็จพอสมควรดังได้กล่าวแล้ว เมื่อกลับมาถึงประเทศไทย ในปีเดียวกับที่ย้ายจากจุฬาลงกรณ์ไปเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมฯ ก็ได้รับเลือกเป็นนายกของสมาคม ระหว่างที่รักษาราชการที่โรงเรียนเตรียมฯ คณะกรรมการได้จัดบริการสอนภาษาอังกฤษขึ้นให้แก่เพื่อนสมาชิก เรื่องนี้น่าเล่า ผู้ใดใคร่จะหาเงินง่าย ๆ จำนวนไม่มากเกินไป ควรจัดการสอนให้ผู้ใหญ่แจ้งว่าจะสอนเป็นเวลา ๒ หรือ ๓ หรือ ๔ เดือน ก็ตาม อย่าให้นานเกินไปนัก เมื่อผู้ใหญ่มาสมัครเป็นนักเรียน ขอให้รับไว้ให้หมด ไม่ต้องกังวลว่าจำนวนจะมากน้อยเท่าใด คือรับเงินล่วงหน้าไว้สำหรับการสอนตลอดระยะ ผู้ใหญ่จะค่อยหายไปจากชั้นเรียนทีละคนสองคน จนในที่สุดเหลืออยู่ห้องหนึ่ง ๕-๖ คนเท่านั้น ได้เคยสอบถามว่าเหตุใดจึงไม่มาเรียนตามเวลา ได้รับคำตอบต่าง ๆ บ้างก็ว่ามีธุระ บ้างก็ว่าไม่สะดวกในการไปมา บ้างก็ว่าเรียนไม่ได้ผล บ้างก็ว่าสอนไม่ตรงกับความประสงค์ มีข้อเสียสำหรับข้าพเจ้าคือ ระหว่างที่สมาคมมีการสอน ๓ เดือน สัปดาห์ละ ๓ วัน ต้องอยู่ประจำจนถึงเวลาค่ำกว่าจะได้กลับบ้าน เกือบทุกวันที่มีการสอน ข้าพเจ้าไม่สบาย ที่อุตส่าห์ไปขอร้องอาจารย์ฝรั่งมาช่วยสอนตั้งหลายคน ท่านก็มาสอนโดยคิดค่าสอนน้อยที่สุด คือแล้วแต่เราจะให้นั่นเอง เป็นที่น่าเสียใจว่า ข้าพเจ้ายังไม่รู้ธรรมชาติของนักเรียนผู้ใหญ่ จึงไปจำกัดจำนวนเข้าเรียน ไม่ได้เงินเป็นรายได้ไว้ให้สมาคมกี่มากน้อย ต่อมา คุรุสภา หรือที่ถูกสามัคยาจารย์ขอให้ข้าพเจ้าไปช่วยสอนภาษาอังกฤษ ข้าพเจ้ามีลูกศิษย์ผู้ใหญ่ในตอนแรกประมาณ ๔๐ คน ล้วนแต่มาชมเชยว่าข้าพเจ้าสอนดีเป็นที่พอใจ แต่ในสัปดาห์สุดท้ายของระยะที่กำหนดสอน คือ ๓ เดือน มีลูกศิษย์ไม่ถึง ๑๐ คน แต่ละครั้งที่สอนลูกศิษย์ไม่ค่อยซ้ำหน้ากัน ดูเหมือนมีคนมาเรียนตลอดสองคน ครูผู้ชายคนหนึ่งได้รับฟังจากข้าพเจ้าว่า ผู้หญิงอเมริกันจูบผู้ชายได้โดยไม่รัก เป็นการแสดงความชอบพอกันเท่านั้น ซึ่งข้าพเจ้าได้ทราบจากเพื่อนฝรั่งตั้งแต่ครั้งเป็นนักเรียนปีนังแล้ว มิได้เห็นว่าน่าสะพึงกลัวอย่างใด ลูกศิษย์ผู้ใหญ่คนนั้น เมื่อได้ฟังก็โกรธไม่มาเรียนอีกเลย การเปิดโรงเรียนสอนนักเรียนผู้ใหญ่ย่อมจะเป็นเช่นที่เล่ามาแล้ว ถ้าผู้ใดหวังหาเงิน ควรจะทดลองดู

ข้าพเจ้าเป็นนายกสมาคมสตรีอุดมศึกษาแห่งประเทศไทยได้ ๑ ปี เห็นว่าภาระมากมาย เพราะขาดคนทำงานเกี่ยวกับการเก็บเอกสาร การเขียนจดหมายโต้ตอบ และตัวนายกต้องทำหน้าที่รับแขกติดต่อกับหัวหน้างาน และสมาคมอื่น ๆ มาก ข้าพเจ้าจึงวิงวอนเพื่อนคนหนึ่งในปีต่อไป ขอให้รับเป็นนายก และข้าพเจ้าจะรับเป็นอุปนายก ในตอนแรกเธอไม่เต็มใจ เธอว่าเธอจะเป็นอุปนายกดีกว่า ข้าพเจ้าเกี่ยงว่าเธอขับรถยนต์ได้ และมีรถยนต์ของตนเอง อีกทั้งกว้างขวางรู้จักคนมาก ข้าพเจ้าเขียนหนังสืออังกฤษได้เร็วกว่า และพิมพ์ดีดได้ด้วย จะรับเป็นอุปนายกและกรรมการสัมพันธ์ต่างประเทศ เพราะเกี่ยวกับการจัดรับสมัคร สัมภาษณ์ผู้ขอทุนของสมาคมสตรีมหาวิทยาลัยอเมริกัน และสหพันธ์สตรีมหาวิทยาลัยนานาชาติ ในที่สุดตกลงกันได้ ในปีต่อไป ข้าพเจ้าขอลาออกจากตำแหน่งอุปนายก ขอเป็นกรรมการสัมพันธ์ต่างประเทศตำแหน่งเดียว ก็หาคนเป็นได้ตามความประสงค์ ต่อมา กรรมการสมาคมคณะหนึ่ง เชิญให้เป็นกรรมการที่ปรึกษา ข้าพเจ้าเสียใจว่า เพราะต้องไปรับราชการตำแหน่งที่ต้องเดินทางต่างจังหวัดอยู่เป็นส่วนใหญ่ ได้รับใช้สมาคมน้อยไป แต่ก็ยินดีที่เห็นมีสมาชิกรุ่นใหม่เข้ามาทำการได้อย่างเข้มแข็ง สมาคมนี้มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือ หาสมาชิกรวย ๆ ไม่ค่อยได้ เป็นคนทำงานวิชาชีพอย่าง “ตัวเป็นเกลียว” กันเสียมาก ตราบใดที่สมาคมหาเงินมาจ้างคนทำงานประจำไม่ได้ งานย่อมจะเรียบร้อยจริง ๆ ไม่ได้ นอกจากนั้น สมาชิกรุ่นผู้ใหญ่ของสมาคมนี้ มักต้องไปรับตำแหน่งกรรมการสมาคมและสภาที่ทำงานกว้างขวางกันต่อ ๆ ไป ถึงแม้จะมีคนมีความรู้ทำงานอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มก้อน แต่ก็ขาดกำลังทรัพย์และหาเวลาที่จะทำงานให้แก่สมาคมมากนักไม่ได้

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ