บทที่ ๓ ระหว่างสงคราม

โรงเรียนเตรียมฯ เปิดสอนเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๘๑ ภายในปีต่อมาคือ พ.ศ. ๒๔๘๒ สงครามยุโรปก็เกิดขึ้น ชีวิตคนไทยเริ่มได้รับความกระทบกระเทือน สิ่งของมีราคาแพงขึ้นหลายอย่าง และภายในปีการศึกษานั้น ข้าพเจ้าก็เริ่มเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นผลมาจากการเป็นไข้หวัดใหญ่และไม่ได้พักหลังจากหายป่วยให้เพียงพอ ความเจ็บไข้เป็นอุปสรรคแก่การงานของข้าพเจ้าตลอดชีวิต เชื่อว่าได้ทำให้เกิดความล้มเหลวมากอย่าง แต่ก็คงมีผลทำให้เกิดปัญหาบางอย่างซึ่งอาจไม่เกิดแก่คนไม่เคยมีทุกข์ด้วยความเจ็บป่วยบ่อย ๆ ปลายปีการศึกษานั้นนักเรียนรุ่นแรกก็เรียนจบ โรงเรียนจะส่งนักเรียนขึ้นมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก อาจารย์ในโรงเรียนหลายคนก็เห็นร่วมกันว่า ควรมีการฉลองโอกาสนี้ แล้วก็ตกลงกันว่าจะมีละคร การมีละครนั้นข้าพเจ้ามีประสบการณ์มามาก เมื่อตกลงจะมีละครกันข้าพเจ้าเตรียมต้วเตรียมใจไว้เหน็ดเหนื่อยเต็มที่ แต่คนที่ไม่เคยเป็นฝ่ายนำแสดง เป็นแต่ผู้เคยดูละคร หรือเคยช่วยเหลือการละครแต่เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็คิดไม่ถึงความยากลำบากในการมีละคร ข้าพเจ้านั้นทำใจในเรื่องการมีละครให้คนดูต้องทนทุกข์ทรมานไม่ได้ ถ้ามีละครแล้วคนดูเป็นใหญ่ ต้องให้ความเพลิดเพลินแก่เขาให้มากที่สุดที่กำลังและความสามารถเราจะให้ได้ นอกจากนั้น การมีละครในโรงเรียนยังต้องจัดทำให้เป็นผลทางการศึกษาแก่นักเรียนไม่ใช่จัดทำเพื่อความสนุกสนานอย่างเดียว ทั้งนี้หมายถึงละครที่โรงเรียนจัด ถ้านักเรียนจัดกันเอง จะคิดในทางสนุกสนานมากกว่าอย่างอื่นก็ได้ แต่โรงเรียนก็ควรหาโอกาสให้กิจกรรมทุกชนิดในโรงเรียนเป็นกิจกรรมที่ให้ผลทางการศึกษาอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาให้มากที่สุดที่จะมากได้

ข้าพเจ้าต้องขอเล่าเรื่องการเล่นละครของโรงเรียนเตรียมฯ คราวนั้น เพราะข้าพเจ้าได้รับความสำเร็จและความล้มเหลวที่สำคัญแก่ชีวิตในระยะต่อไป

เมื่อตกลงจะมีละครนั้น กระทำกันระหว่างโรงเรียนปิด นักเรียนกระจัดกระจายกันไปทั่ว กลับภูมิลำเนาเดิมบ้าง ไปเที่ยวพักผ่อนชายทะเลและสถานตากอากาศอื่นบ้าง โรงเรียนได้ติดต่อทางไปรษณีย์ให้กลับมา เพื่อสอบถามความสมัครใจว่าจะร่วมในการเล่นละครหรือไม่ เมื่อนักเรียนมาพร้อมกันแล้ว ข้าพเจ้าขออนุญาตผู้อำนวยการประชุมนักเรียน และชี้แจงว่า ให้ทุกคนตัดสินใจแน่นอนว่าจะร่วมกันทำงานใหญ่นี้อีกหรือไม่ เมื่อตัดสินแล้ว ต้องประพฤติตามแบบอย่างของคนเล่นละคร กล่าวคือ ต้องถือว่าคณะละครสำคัญกว่าผู้เล่นแต่ละคน ผู้ดูจะไม่กล่าวถึงนางสาว ก. หรือนาย ข. เขาจะกล่าวถึง ละครโรงเรียนเตรียมฯ ดังนั้นผู้ร่วมทุกคนมีความสำคัญ พระเอก นางเอก ตัวผู้ร้าย คนกวาดเวที คนเลี้ยงเครื่องดื่ม สำคัญแก่คณะละครเท่ากัน คนเล่นละครต้องมีน้ำใจเป็นนักกีฬา ตัวผู้ที่ได้รับเลือกให้แสดงบทพระเอก นางเอกนั้น เป็นตัวสำคัญสำหรับผู้ดู เราหาพระเอกหรือนางเอกที่เหมาะแก่เรื่องที่สุดเพื่อผู้ดู ไม่ใช่เพื่อผู้เล่น ทุกคนจึงต้องให้ความสำคัญแก่ตัวละครที่ผู้ดูให้ความสำคัญ แต่ตัวที่แสดงเป็นพระเอกหรือนางเอกนั้น จะต้องคำนึงว่าตนมีความสำคัญแก่คณะละคร หาใช่สำคัญแก่ตนเองไม่ นอกจากนั้น คนเราเป็นปุถุชน ตัวที่เป็นนางเอก พระเอก หรือตัวอะไรที่สำคัญก็ตาม ย่อมอดไม่ได้ที่จะทำตัวให้เพื่อนฝูงเห็นว่าตัวเป็นคนสำคัญระหว่างที่มีการฝึกซ้อมหรือแสดง ทุกคนจึงต้องอดกลั้นให้แก่ความเป็นปุถุชนของคนเหล่านี้อีกด้วย ต่อจากนั้น ต้องเตรียมใจระหว่างการฝึกซ้อมว่าผู้อำนวยการซ้อมนั้นจะไม่มีอารมณ์เยือกเย็นอย่างเวลาสอนหนังสือได้เลย ผู้อำนวยการซ้อมจะมีอารมณ์ร้อน จะดุ จะว่า ขึ้นเสียงเอาแก่ตัวละคร บางคราวก็จะเสียดสี เมื่อคราวก็จะจู้จี้ให้ฝึกซ้อมท่าใดท่าหนึ่งซ้ำอยู่จนถึงใจ เมื่อประสบกับพฤติกรรมเหล่านี้ตัวละครย่อมมีอารมณ์ตอบ โดยมากผู้ที่ฝึกซ้อมละครจะต้องร้องไห้ ตีโพยตีพายเหล่านี้เป็นธรรมดาของการเล่นละคร แต่ต้องถือหลักว่าเมื่อได้รับจะเล่นแล้ว ต้องไม่ให้งานล้มกลางคัน เมื่อได้ร้องไห้ตีโพยตีพายจนหมดอารมณ์โกรธหรือน้อยใจแล้ว ก็กลับมาซ้อมใหม่ ผลปรากฏว่า นักเรียนทำตามข้อตกลงเหล่านี้ได้ดีเกือบตลอด ไม่ว่าจะมีข้อขัดข้องอะไรก็ช่วยกันแก้ไข นักเรียนที่เรียนเตรียมสถาปัตยกรรมศาสตร์ดูเหมือนจะเหนื่อยกว่าเพื่อน เพราะต้องทำงาน “โยธา” ตั้งแต่เริ่มการซ้อม มีการดูแลเวที รอกสำหรับปิดม่าน เมื่อรอกติดขัดนักเรียนคนหนึ่ง เป็นคนร่างเล็กเป็นพิเศษ ถูกอาจารย์แผนกสถาปัตย์ซึ่งควบคุมฉากมอบหน้าที่ให้เป็นคนนั่งทับม่านเพื่อให้ปิดสนิท ข้าพเจ้าชื่นชมมากเมื่อมีคนมีอาชีพแต่งตัวละครรำคนหนึ่ง (ภาษาละครเรียกว่า ลูกคู่ ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด) ปรารภขึ้นระหว่างพวกเขาว่า “ไปแต่งตัวให้นักเรียนเล่นละครที่ไหนไม่เหมือนโรงเรียนนี้เลย ที่อื่นต้องมีแย่งเครื่องแต่งตัวกัน คนนั้นได้เครื่องใหม่คนนี้ได้เครื่องเก่า แต่ที่นี้ ให้ใครแต่งเครื่องไหนก็เครื่องนั้นไม่เห็นร้องไห้ ไม่เห็นทะเลาะกัน” และเมื่อเลิกจากการแสดงครั้งหนึ่ง ท่านผู้ใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งมีความรู้ในการละครรำดี ท่านกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “ละครโรงเรียนนี้ ดูแล้วเหมือนได้ดูละครจริง ๆ ไม่เหมือนละครโรงเรียน”

การเล่นละคร จะได้รับความสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่ความสามัคคีหนึ่ง ความพากเพียรไม่เห็นแก่เหนื่อยยากหนึ่ง และขึ้นอยู่แก่โชคด้วย โชคนั้นสำคัญมาก ถ้าในวันเล่นหรือวันซ้อมใหญ่ ตัวละครสำคัญป่วยเจ็บ มาเล่นไม่ได้ก็เป็นอันล้มเหลว คณะละครอาชีพต้องมีคนอะไหล่ โดยมากคือตัวครูผู้ชำนาญ ที่จะเข้ารับบทได้ทันทีไว้เสมอ แต่ละครโรงเรียนนั้นทำได้ยาก โดยเฉพาะการเล่นละครที่โรงเรียนเตรียมฯ คราวนั้น มีเวลาจำกัดอย่างยิ่ง ตกลงว่าจะเล่นกันในเดือนมีนาคม แล้วแสดงในเดือนพฤษภาคมมีการแสดงหลายฉาก เล่นละครหลายประเภท เล่นกันในหมู่คนที่ไม่เคยร่วมงานละครกัน เป็นเหตุให้เกิดความเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส

ความเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจของข้าพเจ้านั้น มิได้มาจากนักเรียน แต่มาจากอาจารย์ที่ไม่เข้าใจเรื่องละคร เช่นมีอาจารย์ฟ้องว่า นักเรียนหญิงคนหนึ่ง ก่อนเล่นละครเป็นคนเรียบร้อย ไม่รู้ตัวว่าเป็นคนสวย แต่ได้รับคัดเลือกให้มาเป็นตัวเอกในเรื่อง ตั้งแต่นั้นมาก็มีท่าทาง “ดัดจริต” เรื่องเช่นนี้ ถ้าข้าพเจ้าได้ฟังระหว่างปีการศึกษาธรรมดา ข้าพเจ้าก็รับเอาได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ระหว่างงานละคร ข้าพเจ้าฟังคำพูดเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ฟังอย่างคนเป็นละคร ต้องระงับใจแทบว่าน้ำตาจะไหลพรากลงในขณะนั้น เพราะสำหรับคนที่เป็นละคร การที่ตัวนางเอกดัดจริตนั้นก็เป็นธรรมดาอย่างหนึ่งของนางเอกวัยนักเรียนเตรียมฯ ข้าพเจ้าไม่ได้เสียใจว่าข้าพเจ้าเกี่ยวข้องกับการเลือกนักเรียนนั้นมาเป็นตัวละคร แต่เสียใจมากมายว่าอาจารย์ไม่เข้าใจนักเรียนวัยนั้น ข้าพเจ้าถือเรื่องชนิดนี้เป็นเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจมาเป็นเวลานาน กว่าจะเข้าใจว่า ครูอาจารย์ในประเทศไทย จะสามารถนำเอาวิชาจิตวิทยาที่เรียนมาใช้ในชีวิตครูได้ ก็มีอายุล่วงวัยเกือบถึง ๔๐ ปี นับเป็นความโง่เขลาของตนเอง และทำให้ชีวิตเศร้าหมองไปโดยเปล่าประโยชน์แท้ ๆ นอกจากความคิดเห็นเกี่ยวกับนักเรียนที่เล่นละครซึ่งอาจารย์นำมากล่าวแก่ข้าพเจ้า โดยอาจารย์ไม่คิดฝันว่าจะกระทบกระเทือนใจข้าพเจ้า และนักเรียนก็ไม่คิดฝันว่าข้าพเจ้าจะได้รับความทุกข์ทางใจเป็นอย่างมาก ก็ยังมีความไม่เข้าใจอื่น ๆ เช่นมีคนไม่เข้าใจว่า ทำไมจึงมีการเล่นเพลงพื้นเมือง เพราะเป็นของหยาบ ข้าพเจ้าก็คิดฝันไปไม่ได้เหมือนกันว่าจะมีคนที่เรียนจนเป็นบัณฑิตแล้ว รู้วิชาครูดี ๆ แล้ว จะถือในเรื่องเช่นนี้ แต่ครั้นเมื่อนักเรียนได้เล่นเพลงชาวบ้าน เช่น ลำตัด พวงมาลัย และเพลงฉ่อย ปรากฏว่าเป็นกลอนตลกแยบคาย ไม่ต้องอาศัยความหยาบโลนเลย ก็ไม่เห็นแสดงความประหลาดใจกัน พากันชื่นชอบ สนุกสนานไปด้วย ในเรื่องนี้ต้องขอเอ่ยชื่อศิลปินคนหนึ่ง ทั้งที่ในหนังสือเล่มนี้พยายามเอ่ยชื่อคนน้อยที่สุด คน ๆ นั้นคือ อาจารย์ลัยอาจ ภมราภา อาจารย์ลัยอาจแต่งบทรับลำตัดเป็นคำตายได้หลายมาตรา มีที่ลงด้วยเอียบ ด้วยอัด เป็นต้น อาจารย์ฝรั่งชาวเวลส์คนหนึ่งเป็นนักดนตรี ไม่รู้ภาษาไทยเลย จำบทลูกคู่ของอาจารย์ลัยอาจและร้องได้ถูกต้องอยู่บทหนึ่งคือ “โอละเห โอละเห่ ชะโอละเห่ละหึก” สำหรับบทลูกคู่นี้ มีบทร้องคือ “นักเรียนผู้หญิง เวลาสอบไล่ทั้งตกทั้งได้ร้องไห้กันรอบตึก” พวกอาจารย์ร้องเล่นกันอยู่นาน แทนที่ข้าพเจ้าจะยินดีกับชัยชนะของข้าพเจ้าที่ขัดขืนความเห็นคนหลายคน และนำเอาเพลงชาวบ้านมาแสดงให้เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องใช้ความหยาบโลน ข้าพเจ้าก็ได้แต่เศร้าใจ สลดหดหู่กับความไม่รู้เรื่องของไทย ของคนในวัยใกล้เคียงกับข้าพเจ้า

นอกจากนั้นข้าพเจ้าต้องเหน็ดเหนื่อยทางกายเนื่องจากความไม่รู้ของคนร่วมงานการละคร เมื่อมีการแบ่งหน้าที่กันแล้ว ผู้ที่ได้รับภาระดูแลพัสดุที่จะต้องใช้ในฉากต่าง ๆ ก็ไม่มาดูการซ้อม ผู้ที่รับภาระกับการควบคุมเวที มีการปล่อยตัวละครกับการปิดเปิดม่าน ปิดเปิดไฟ ก็ไม่มาดูการซ้อม ข้าพเจ้าต้องคอยสั่งนักเรียนคนนั้นคนนี้ไว้ให้เป็นธุระ และเมื่อถึงวันซ้อมใหญ่และวันแสดง การเลี้ยงน้ำพวกพิณพาทย์ ก็ต้องรับค้าร้องเรียนว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้หาไม่ได้ ทั้งที่ผู้อำนวยการจัดเจ้าหน้าที่ไว้ทั้งหมด นอกจากเรื่องเจ้าหน้าที่ไม่เข้าใจภาระของตนแล้ว เรื่องการหาเครื่องแต่งกายของละครแบบตะวันตก มีความเห็นขัดแย้งกันในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าถือว่า ละครเรื่องนั้นเป็นเรื่องมาจากเทพนิยายของฝรั่ง เป็นการเล่นเข้าแบบแปนโตไมม์ การแต่งตัวต้องให้เป็นไปตามนั้น มีอาจารย์ฝรั่งที่ชำนาญในการแสดงชนิดนี้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้ คนที่ไม่เคยเห็นก็โวยวายว่าไม่สวย จะให้แต่งเหมือนเจ้าหญิงเจ้าชายอย่างที่ละครในประเทศไทยเรามักแต่งกัน คือแต่งเหมือนฝรั่งสมัยวิกตอเรีย ข้าพเจ้ากลัวจะมีสิ่งไม่พึงประสงค์เช่นนี้ จึงต้องรับอาสาเป็นคนหาวัสดุสำหรับมาทำเครื่องแต่งกาย เป็นเรื่องที่น่าบันทึกไว้เป็นประวัติเศรษฐกิจของประเทศไทย อาจารย์ผู้หนึ่งกับตัวข้าพเจ้าเอง ต้องไปตลาดมิ่งเมืองด้วยกันโดยใช้รถบรรทุกของผู้ใดจำไม่ได้ เพราะระยะนั้นสงครามยุโรปเริ่มแล้ว รถยนตร์และน้ำมันรถหายาก ไปเที่ยวหาวัสดุสำหรับทำเครื่องแต่งกาย ได้ซื้อผ้าโปร่งมาทำเสื้อนางระบำได้หลาละ ๒ สตางค์ ริบิ้นสำหรับประดับชายกระโปรงหลาละ ๑ สตางค์ อาจารย์หญิงและญาติมิตรของอาจารย์หญิง บรรดาที่เต็มใจช่วยทำงานเป็นผู้ลงมือเดินจักรเย็บเครื่องแต่งกายเหล่านี้ด้วยแรงของตน พวกเราเล่นละครโดยไม่มีทุนไม่มีเงิน ช่วยกันควักจากกระเป๋าตนเอง ซึ่งภายหลัง ผู้อำนวยการควักจากกระเป๋าของท่านมาชดใช้ให้ ผู้อำนวยการเสียเงินเป็นจำนวนพันในการเล่นละครครั้งนั้น ในเมื่อเงินเดือนของท่านเป็นจำนวนร้อยเท่านั้น

การที่เจ้าหน้าที่การแสดงละครไม่มาซ้อมนั้น คนที่ไม่เคยกับการละครย่อมจะเห็นเป็นเรื่องไม่สำคัญ แต่คนที่เคยจะรู้ว่าสำคัญที่สุด เพราะเจ้าหน้าที่ต้องเข้าใจการแสดงอย่างถี่ถ้วนจึงจะสั่งการได้เรียบร้อย ไม่พลาดพลั้ง การปิดม่านผิดไปเพียง ๑ นาที ก็ทำให้ละครดี ๆ กลายเป็นละครตลก เจ้าหน้าที่พัสดุต้องจำได้ขึ้นใจว่าฉากไหนใช้สิ่งของอย่างไหนในจังหวะไหน ต้องมีคนจำได้อย่างไม่ผิดพลาด การดูแลตัวละครนั้นก็เป็นภาระสำคัญที่สุด ตัวละครนั้นเมื่อถึงวันซ้อมใหญ่และวันแสดง จะมีอารมณ์ไหวสะท้าน อาจร้องไห้ออกมาได้ง่าย ๆ หรือโกรธในเรื่องที่ไม่มีเหตุน่าโกรธเลยก็ได้ ต้องมีคนเตือนให้รอเวลาที่จะออก ให้ยืนตรงไหนเพื่อให้เห็นการแสดงบนเวที เพื่อให้ได้ยินคำพูดคำร้องให้ชัดเจน ผู้อำนวยการฝึกซ้อมกับผู้อำนวยการแสดง ก็จะมีอารมณ์ไหวสะท้านเปรียบได้กับเด็กโยเยเช่นเดียวกัน ถ้าท่านถูกตัวละครหรือผู้อำนวยการละครโกรธโดยไม่มีเหตุผลแล้ว โปรดอย่าถือเป็นอันขาด เรื่องเช่นนี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการแสดงละครในโรงเรียน เขาถือเป็นกิจกรรมการศึกษาที่จะขาดเสียมิได้เพราะได้ฝึกนิสัยหลายอย่าง มีความรักหมู่คณะ ความสามัคคี ซึ่งจะเกิดได้จากการรู้จักอภัยสิ่งควรอภัย การมีน้ำใจนักกีฬา การรักษาระเบียบวินัย เช่นเชื่อฟังคำสั่งของผู้อำนวยการฝึกซ้อม การควบคุมอารมณ์สำหรับไม่ให้การแสดงเสียไป เช่นต้องทนเหนื่อยทนร้อนเพราะเครื่องแต่งกายบางชนิด ดังนั้นการเสียอารมณ์อย่างอื่นจึงต้องอภัยให้แก่กัน และเหนือสิ่งใดก็คือ การยกย่องศิลปะ ไม่ไช่เล่นละครเพื่อจะอวดหน้าอวดโฉมของลูกหลานท่านผู้ใด ตัวรองสวมแหวนเพชรราคาสองเท่าของตัวเอกซึ่งแสดงบทเจ้าฟ้าหญิง หรือการกระทำใด ๆ ในทำนองดังว่ามานี้ ในระยะที่เล่นละครโรงเรียนเตรียมฯ นั้น เป็นระยะที่ข้าพเจ้าหายป่วยมาได้ไม่นานนัก ร่างกายก็ทรุดโทรมอยู่บ้าง ประกอบกับข้าพเจ้าไม่รู้จักโลก คิดว่าคนในวัยเดียวกับข้าพเจ้าเข้าใจธรรมชาติของนักเรียนและเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดีเท่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ปล่อยให้ความเสียใจในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาเกาะกินใจไปโดยเปล่าประโยชน์ ทำให้เกิดความป่วยไข้ขึ้น

ปีต่อจากที่มีละคร ข้าพเจ้ามีความเจ็บป่วยเล็กๆ น้อย ๆ ซึ่งคนทั่ว ๆ ไปไม่เข้าใจ แม้แพทย์ก็ไม่เข้าใจดีนัก นอกจากแพทย์ที่รักษาข้าพเจ้าโดยเฉพาะ ได้ใช้วิธีการที่ท่านเรียกว่า “ให้เกิดความฉลาด” คือให้รู้เท่าทันตนเองและสภาพแวดล้อม แต่ก็ต้องทนฟังคำแนะนำจากผู้ที่ไม่รู้อยู่มากและนาน คนช่างแนะนำเรื่องการป่วยไข้นั้นมีจำนวนมากเสียจริง ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทย เมื่อไปสหรัฐฯ ก็ยังได้พบ และวิธีการแนะนำมักจะเป็นการกล่าวหาจะโดยจงใจหรือไม่ก็ไม่ทราบ เช่นกล่าวว่า “ก็ไม่ค่อยออกกำลังนี่” โดยผู้พูดไม่ทราบว่าคนป่วยออกกำลังหรือไม่เพียงใด หรือมิฉะนั้นก็แนะนำว่า “ก็ไม่ค่อยมีอะไรทำ หางานทำเสียให้เพลินก็ไม่เจ็บบ่อย ๆ” บางคราวก็ยกตนข่มท่าน เป็นต้นว่า “อย่างฉันไม่ค่อยเป็นอะไร เพราะเป็นไพร่ไม่ค่อยเป็นผู้ดี ทำสวนบ้าง ทำครัวบ้าง วิ่งเต้นไปโน่นมานี่” ข้าพเจ้าขอรับว่า แม้จนบัดนี้ มีอายุล่วงปัจฉิมวัยแล้ว ก็ยังไม่มีอุเบกขานักกับคนประเภทนี้ แต่มีที่น่าขอบใจและเห็นใจแต่ต้องใช้ขันติมากคือ พวกที่แนะนำให้ใช้วิธีของไสยศาสตร์ ข้าพเจ้าใช้วิธีบอกท่านเหล่านี้ว่าหมอดูบอกไว้ว่าชาตาข้าพเจ้านั้น เขาทรงเจ้าเข้าผีกันที่ไหนห้ามไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวทำให้เขาเสียพิธีของเขาไปด้วย ซึ่งเป็นความจริง มีคนมีวิชาคนหนึ่ง เป็นทั้งหมอยาหมอดู และมีชื่อว่าเป็นหมอเสน่ห์ชั้นเยี่ยม ข้าพเจ้าเคยขอเสน่ห์ก็ถูกเทศนาให้ฟังว่า “คนอย่างท่านไม่น่าจะคบปิศาจ ให้คบแต่คุณพระเท่านั้น” แต่ว่าปัจจุบันก็มีอุเบกขาเพิ่มขึ้นมาก ต่อบุคคลประเภทหลัง แต่บางคราวก็ยังหาคำพูดที่ไม่กระทบกระเทือนความรู้สึกหวังดีที่เหมาะสมไม่ได้

ข้าพเจ้ารักษาตัวได้ดีขึ้นจากที่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ แต่พอแข็งแรงขึ้น ข้าพเจ้าก็ชะล่าใจ ไปหัดขึ้นรถจักรยานบนหาดทราย อาบน้ำทะเลและสนุกกับการอ่านหนังสือมากเกินไป จนมีอาการชาตามที่ต่าง ๆ ในร่างกายขึ้นอีก แต่รักษาตัวมาได้พอประมาณ จนถึงเดือนธันวาคมก็เกิดเหตุการณ์ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย คือญี่ปุ่นบุกเข้ามา

สถานที่ราชการที่ญี่ปุ่นเข้ายึดเป็นแห่งแรก ข้าพเจ้าเข้าใจว่าคือโรงเรียนเตรียมฯ นั้นเอง มหาวิทยาลัยจึงสั่งให้โรงเรียนแยกย้ายกันไปทำงาน ณ สถานที่ต่าง ๆ พวกนักเรียนอักษรศาสตร์และบัญชีไปอยู่ที่วังกรมหลวงชุมพรฯ ซึ่งเป็นพาณิชยการพระนครวิทยาลัยในปัจจุบัน แต่ได้เปิดการสอนไม่นาน ก็ได้รับคำสั่งให้ปิด เพราะมีภัยทางอากาศ ให้นักเรียนที่ไม่ขาดเรียนเกิน ๒๐ เปอร์เซนต์ผ่านขึ้นชั้นได้ ต่อจากนั้นอาจารย์ก็พักผ่อนอยู่กับสถานที่ ระหว่างนี้คณะอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษได้ร่วมกันแต่งแบบฝึกหัดไวยากรณ์ภาษาอังกฤษขึ้น ข้าพเจ้าเขียนคำชี้แจง เช่นวิธีใช้คำวิธีผูกประโยค การใช้กริยารูปต่าง ๆ อาจารย์ก็ช่วยกันทำแบบฝึกหัด ผู้ที่สามารถทางภาษาก็ตรวจแก้ แบบฝึกหัดเราเลือกให้สัมพันธ์กับหนังสือที่ใช้ในการอ่าน หนังสือแบบฝึกหัดไวยากรณ์เล่มนี้ได้ใช้เป็นประโยชน์มาหลายปี นับเป็นความสำเร็จอันหนึ่ง และเป็นข้อพิสูจน์ว่า คนไทยร่วมมือกันทำงานเป็นขบวนการหมู่พวก อย่างที่มีผู้คิดศัพท์ขึ้นใช้ต่อมาในภายหลังได้ดี

ในบทนี้ ก่อนที่จะเล่าเรื่องอื่นต่อไป ข้าพเจ้าขอทวนความจำของข้าพเจ้าเองและเล่าให้คนรุ่นหลังฟังเรื่องบทบาทของข้าพเจ้าในการปรับปรุงวัฒนธรรมไทยสมัยสงคราม ท่านที่มีอายุสมควร ก็คงทราบแล้วทุกคนว่าระหว่างสงครามมหาอาเซียบูรพา ขณะที่โลกทั้งโลกเผาผลาญกันด้วยศาสตราวุธร้ายแรง และด้วยความเกลียดชังอาฆาตเป็นที่น่าหวาดเสียวนั้น ประเทศไทยเรามีโอกาสดำเนินงานปรับปรุงวัฒนธรรมไทย โดยรัฐบาลตั้งส่วนราชการขึ้น เรียกว่าสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ งานของสภานี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นงานศึกษาผู้ใหญ่อย่างไพศาล ตรงกับทัศนะของนักการศึกษาระดับโลกทั่วไปในปัจจุบัน ว่าควรมีองค์การในทำนองเดียวกันนั้น เพื่อสงวนรักษาและเพื่อให้เกิดความงอกงามในชีวิตของประชาราษฎร์ทุกด้านทุกทาง หาใช่จะให้การศึกษาอยู่แต่ในสถานที่มีหลักสูตรมีการสอบให้ประกาศนียบัตรเป็นแบบเป็นแผน องค์การศึกษาสหประชาชาติเรียกการศึกษาแบบนี้ว่า การศึกษานอกโรงเรียน และทุกประเทศในปัจจุบันนี้ก็ให้ความสนใจกับการศึกษาประเภทนี้ และดำเนินกิจการด้านนี้กันตามความถนัดและสะดวกของตน มีองค์การและสำนักงานในรูปต่าง ๆ สภาวัฒนธรรมของไทยเรานับว่าเข้ากับรูปรอยที่กล่าวมานี้ได้เป็นอย่างดี วิธีการแบ่งหน่วยงาน จัดระบบงานต่าง ๆ ก็อาศัยวิชามานุสวิทยาเป็นมูลฐาน

แต่เป็นวาสนาหรือบารมีของประเทศไทยก็แล้วแต่ งานที่ใหม่ งานที่กว้างขวาง ซึ่งควรจะเป็นงานที่ทำให้เกิดศรัทธา ให้ได้รับความร่วมมือกันทั้งชาติ มักจะมีอันเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นในรัชกาลที่ ๖ การที่พระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งงานที่เรียกว่า เสือป่า และทรงฝึกหัดคนที่ตั้งพระราชหฤทัยให้เป็นกำลังของชาติในยามจำเป็นด้วยพระองค์เอง ก็กลายเป็นงานที่คนที่อยู่ไกลไม่เข้าใจ แม้คนที่อยู่ใกล้ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจนัก ถ้าวินิจฉัยจากคำบอกเล่าจากคนที่ร่วมกิจการใกล้ชิดในสมัยนั้น ผู้คนพลเมืองที่อยู่ไกล มักเข้าใจว่ากิจการเสือป่าเป็นกิจการสนุกของพระเจ้าแผ่นดิน และกิจการนั้นก็ล้มเลิกไปเพราะแทนที่จะมีคนแก้ไขข้อบกพร่อง ก็ตัดสินว่าเป็นกิจไม่จำเป็น ไม่ควรทำสืบต่อไป

ในกรณีสภาวัฒนธรรมนั้น ถึงไม่เหมือนกับกิจการเสือป่า แต่ก็มีส่วนคล้ายคลึงอยู่หลายข้อ แต่ข้าพเจ้าไม่มีเวลาและหน้ากระดาษ จึงจะเล่าแต่เฉพาะที่เกี่ยวกับตัวเองเท่านั้น

จะเป็นด้วยความคิดของผู้ใดไม่ทราบ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการในสภานั้นด้วย คณะกรรมการเรียกชื่อว่าอะไรก็ลืมเสียแล้ว จำได้แต่ว่ามีหน้าที่พิจารณาเครื่องแต่งกายของผู้หญิงในโอกาสต่าง ๆ และทำคำแนะนำว่า ควรแต่งกระโปรงยาวหรือสั้น หรือแต่งชุดไทย ในเวลาที่ผู้ชายแต่งกายเต็มยศควรแต่งอย่างไร ถ้าแต่งแบบสากลในเวลาเต็มยศ หรือครึ่งยศแต่งอย่างไร การที่ข้าพเจ้าเป็นกรรมการในคณะนี้น่าขันมาก เพราะข้าพเจ้ามีชื่อเสียงในหมู่ญาติมิตรว่าไม่เอาใจใส่กับการแต่งกาย มีหลายคนว่าแต่งตัวไม่เป็น ที่จริงข้าพเจ้าก็แต่งกายไม่เก่ง แต่เรื่องหลักการก็พอรู้บ้าง เพราะพี่ชายรับราชการในหน้าที่รับแขกต่างประเทศของพระราชสำนัก และมีเรื่องราวเกี่ยวกับการแต่งกายผิดหรือถูกของพวกสถานทูตต่าง ๆ ที่ต้องฟังอยู่เสมอ แต่สิ่งที่คนโดยมากไม่รู้ นอกจากผู้ที่เคยสนใจสืบเพื่อประโยชน์ของลูกชายหรือหลานชาย ก็คือ ข้าพเจ้าเป็นคนเกือบจะเข้าชั้นขัดสน คือมีรายได้น้อยตามฐานะที่คนทั่วไปคาดคะเนว่ามี ทั้งนี้เพราะต้องอุปการะญาติและลูกของญาติอยู่เป็นนิจและมีความเจ็บป่วย ต้องใช้จ่ายในเรื่องนี้อยู่เป็นประจำแต่มีความสุรุ่ยสุร่ายอยู่เรื่องหนึ่ง คือมักจะซื้อหนังสือแพงๆ เสียเงินไปในเรื่องนี้มากพอใช้ ในการแต่งกายจึงใช้เงินไม่ได้ และใช้เวลาในเรื่องนี้มากนักก็ไม่ได้

ข้าพเจ้าเห็นว่าสภาวัฒนธรรมเป็นองค์การที่เป็นประโยชน์จริง ๆ ถ้าได้ดำเนินการไปตามหลักการที่วางไว้ เพราะประเทศชาติจะมีบุคคลที่เอาใจใส่กับสิ่งที่เรียกว่าเอกลักษณ์ ของชาติทุกด้านทุกมุม และก็จะมีเงินสนับสนุนในการที่จะสงวนรักษา (หรือ อนุรักษ์) หรือส่งเสริม แต่การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ สภาวัฒนธรรมตั้งขึ้นพร้อม ๆ กับที่รัฐบาลมีนโยบายแปลก คือพยายามผลักดันด้วยกำลังแรงให้คนไทยเปลี่ยนนิสัยประจำชีวิต เช่นให้เลิกกินหมาก และให้สวมหมวกทั้งหญิงทั้งชาย จนถึงขั้นมีระเบียบขึ้นว่า คนที่ไม่สวมหมวก ไม่อนุญาตให้เข้าสถานที่ราชการ มีคนเล่าว่าแม้คนไข้จะเข้าโรงพยาบาลก็ต้องสวมหมวก ข้อนี้อาจเกินความจริงได้กระมัง แต่คนไปเยี่ยมคนไข้นั้นต้องสวมแน่ มิฉะนั้นยามที่ประตูจะไม่อนุญาตให้ผ่านเข้าไป ข้อนี้มีผู้ที่ประสบกับตนเล่าให้ฟังในที่สาธารณะที่ต้องเชื่อ

งานที่เป็นแก่นสารของสภาวัฒนธรรมถูกลืมไปหมด ได้แก่การจัดดอกไม้แบบต่าง ๆ จัดอาหารไทยใส่ภาชนะต่าง ๆ แล้วถ่ายรูป พิมพ์ด้วยกระดาษดี สอดสึงดงาม เก็บไว้เป็นมาตรฐาน และพิมพ์หนังสืออื่น ๆ เช่นชุดวัฒนธรรมไทยของท่านเจ้าคุณอนุมานราชธน และมีคนอื่นร่วมเขียนด้วย เป็นภาษาอังกฤษ งานที่เด่นขึ้นหน้าและคนไม่ลืม ก็คือการประกวดเครื่องแต่งกาย และการสมรสหมู่

ในการสมรสหมู่นี้ ผู้ที่ได้ร่วมในงานคงจะจำความสนุกได้ เจ้าสาวที่เข้าพิธีแต่งงานพร้อมกันเป็นจำนวนหลายสิบคู่ ล้วนต้องแต่งกายอย่างเจ้าสาวฝรั่ง คือสวมกระโปรงกรอมเท้าสีขาว มีผ้าคลุมผมสีขาวปล่อยชายยาวระส่วนล่างของท่อนบนของร่างกาย สวมรองเท้าขาว ถุงเท้าจำไม่ได้ว่าสีอะไร เจ้าสาวเหล่านี้เป็นหญิงสาวที่ไม่ค่อยเคยชินกับการแต่งกายอย่างชาวกรุง โดยมากมาจากอำเภอชั้นนอก บางคนก็ไม่เคยสวมเสื้อชั้นใน เจ้าหน้าที่ต้อง “ขัดสีฉวีวรรณ” กันเป็นการเป็นงานทีเดียว ครั้นแต่งกายเสร็จแล้วมี “เฒ่าแก่” มารับตัวจากสถานที่แต่งไปเข้าพิธี “เฒ่าแก่” เป็นข้าราชการหญิงโดยมาก เพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่งเป็นเฒ่าแก่ด้วย เมื่อเห็นเจ้าสาวแต่งกายเสร็จบริบูรณ์ตามแบบแล้ว ก็ออกปากว่า “สวยดี เหมือนญวนรับศีล”

คำนี้น่าจะต้องอธิบายสำหรับบางคนกระมัง ญวนในประเทศไทยนั้น นับถือศาสนาโรมันคาทอลิกกันจำนวนมาก ในศาสนานี้ เมื่อเด็กหญิงมีอายุเข้าใจความหมายของบุญบาปแล้ว ก็จะต้องทำพิธีรับศีลมหาสนิท เป็นพิธีสำคัญของศาสนาคาทอลิก เมื่อจะเข้าพิธีนี้ก็ต้องแต่งกายเหมือนเจ้าสาวฝรั่ง แท้ที่จริงนั้น เจ้าสาวฝรั่งต้องแต่งตัวแบบที่เราเคยเห็น เพราะพิธีสมรสของเขาเป็นพิธีศาสนา สำหรับเข้าพิธีศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพิธีอะไร ถ้าทำเป็นพิธีกันจริงจังก็ต้องสวมกระโปรงสีขาว และคลุมผมด้วยผ้าสีขาวทุกพิธีไป แต่เจ้าสาวของไทย เมื่อแต่งตัวอย่างเจ้าสาวฝรั่งเล้ว ก็ได้รับเจิมที่หน้าผากด้วยกระแจะตามธรรมเนียมไทย เจ้าสาวของเราจึงดูเหมือนญวนที่เข้ารับศีลโดยถูกใครเอาแป้งหรือชอล์กทาให้เป็นรอยด่างที่หน้าคนละสามรอย

เท่าที่เล่ามา เรื่องกิจการที่ขึ้นหน้าขึ้นตาของสภาวัฒนธรรมน่าจะพอแล้ว ข้าพเจ้าติดใจที่จะกล่าวถึงปัญหาที่ใหญ่กว่ากิจการที่ได้เห็น ข้าพเจ้ายังเชื่อไม่ได้จนทุกวันนี้ว่าบุคคลคนเดียวสามารถทำให้มีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามในด้านนิสัยชีวิตคนไทยได้ การให้เลิกกินหมากก็มีเหตุผลดีพอควร คือทำให้ไม่มีการบ้วนน้ำหมากให้สถานที่สกปรก และยังมีแพทย์บางคนอ้างว่าการกินหมากทำให้คนเป็นมะเร็งในปากเพิ่มขึ้น การสวมรองเท้าก็มีเหตุอ้างได้ว่าถูกตามหลักอนามัย การแต่งกายเหมือนฝรั่งก็อ้างได้อีกว่า เพื่อจะแสดงให้ญี่ปุ่นเห็นว่าคนไทยเป็นอิสระ จะทำตามฝรั่งในบางสิ่งบางอย่างบ้างก็ได้ แต่การเกณฑ์ให้คนในประเทศร้อนต้องสวมหมวกแบบฝรั่งทั้งแผ่นดินจะอ้างอะไรเล่า เพราะไม่ได้สวมหมวกเพื่อกันแดด แต่สวมทุกโอกาสเพื่อความสวยงามอย่างฝรั่ง โดยเฉพาะในงานศพ ข้าพเจ้ายังเชื่อไม่ได้ว่าคนที่มีอำนาจสูงสุดคนเดียวทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เกิดแล้ว ข้าพเจ้าว่าผู้มีอำนาจคนนั้นมีมิตรโง่และมีศัตรูฉลาด มิตรโง่ตามใจเรื่อยไป ศัตรูฉลาดก็ตามใจให้เหลิง จนกระทั่งให้ดูเหมือนเป็นคนบ้าได้เหมือนกัน มิตรของท่านอาจโง่อยากสวมหมวกเองก็ได้ ต้องมีคนสนับสนุนท่าน ขาดคนให้สติ การให้สตินั้นต้องให้กันตั้งแต่แรกก่อนที่จะมีอำนาจจนกระทั่งมีคนกลัวเกรงจนพูดกันไม่ได้แล้ว คิดถึงพ่อข้าพเจ้าและมิตรของท่านมีความเห็นขัดแย้งกันทุกวัน และคิดถึงพ่อ หาโอกาสเล่าให้พี่ ๆ ผู้ชายฟังทุกโอกาส ว่าคนทุจริตจะตามใจนายเสมอไปไม่ได้แล้ว ระหว่างที่ข้าพเจ้าเกี่ยวข้องอยู่ในสภาวัฒนธรรม ข้าพเจ้าก็สลดใจอย่างเหลือประมาณในภาวะคับขันนั้น เห็นได้ชัดว่าประเทศชาติอยู่ในมือคนจำพวกหนึ่งที่ไม่สุจริตใจ ไม่สุจริตต่อผู้บังคับบัญชา ไม่สุจริตต่อมิตร การที่มองเห็นสภาพการณ์เหล่านี้ไม่ช่วยให้สุขภาพของข้าพเจ้าดีขึ้น และภายในไม่ช้าก็ป่วยมากลงไปอีก

ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ต้นปีการศึกษา โรงเรียนเตรียมฯ ได้มารวมกันอีก มีการสร้างอาคารเพิ่มเติมเป็นอาคารชั่วคราว คือตัวเป็นไม้ มุงหลังคาจาก ใช้กระแชงกั้นเป็นห้อง ๆ อาคารนี้นักเรียนเรียกว่าตึกจาก ข้าพเจ้ามีสำนักงานอยู่ที่นั่น มีอาจารย์ในแผนกภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาเลียน ที่จะประสานงานเป็นจำนวนประมาณ ๓๐ คน มีคนบอกว่าในแผนกภาษาต่างประเทศของโรงเรียนเตรียมฯ เวลานั้นมีข้าราชการชั้นโทและชั้นตรีรวมกันมากกว่ากระทรวงการต่างประเทศทั้งกระทรวง คงจะเป็นเพราะในกระทรวงต่างประเทศมีแต่ข้าราชการชั้นเอกกับชั้นพิเศษเสียเป็นส่วนใหญ่ ระหว่างนั้น อาจารย์ในคณะอักษรศาสตร์ โดยเฉพาะแผนกภาษาอังกฤษขาดมาก ข้าพเจ้าจึงต้องไปสอนในคณะอักษรศาสตร์ด้วย ระหว่างสงคราม รัฐบาลต้องการให้ข้าราชการพลเรือนเข้มแข็งเทียบได้กับทหาร ข้าราชการพลเรือนต้องแต่งเครื่องแบบตรวจการ ผู้หญิงใช้หมวกหนีบ กางร่มไม่ได้ ข้าพเจ้าเดินจากสำนักงานที่ตึกจากซึ่งตั้งอยู่ใกลับริเวณสนามศุภชลาศัยไปสอนที่คณะอักษรศาสตร์ ซึ่งอยู่ใกล้ถนนอังรีดูนังต์ โดยต้องเดินตากแดดไปทุกวัน ยารักษาโรคขาดแคลน ยาบำรุงกำลังเกือบหาไม่ได้เลย ข้าพเจ้าใช้ยาแผนโบราณของหมอคนที่สอนข้าพเจ้าไม่ให้คบปิศาจ เป็นยาหม้อซึ่งต้องต้มกันอย่างยากเย็น แล้วเอายากรอกขวดพอดีสำหรับสองเวลาไปยังที่ทำงานด้วย เพราะได้หยุดราชการมามากแล้ว จะหยุดอีกก็ไม่ได้ อิกทั้งมหาวิทยาลัยก็ขาดอาจารย์ดังได้กล่าวแล้ว ต่อจากนั้นแผนกฝึกหัดครูมัธยม ซึ่งเปลี่ยนเป็นแผนกครุศาสตร์ก็ขาดอาจารย์ ข้าพเจ้าจึงต้องไปช่วยสอนอีกด้วย

ในการสอนในแผนกครุศาสตร์ มีเรื่องน่าเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง คือหัวหน้าแผนกได้ขอให้ข้าพเจ้าสอนวิชาระเบียบวิธีสอนภาษาไทย ข้าพเจ้าอึดอัดมาก เพราะประสบการณ์น้อยไม่เหมือนการสอนระเบียบวิธีสอนภาษาอังกฤษเพราะมีประสบการณ์มาก สอนได้ด้วยความมั่นใจ ได้ไปอ้อนวอนอาจารย์ที่สอนที่โรงเรียนเตรียมฯ ก็ไม่มีผู้ใดยอมรับสอน เป็นแต่รับปากว่าจะช่วยกันรวบรวมประสบการณ์

ทั้งหมดเท่าที่จะหาได้บอกให้ข้าพเจ้าทราบอีกต่อหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงใช้ตำราของฝรั่งบ้าง เก็บเอาความรู้จากเพื่อนฝูงที่สอนภาษาไทยมานานบ้าง ตำราครูทั่วไปบ้าง จากการสังเกตนิสิตฝึกสอนบ้าง จากครูภาษาไทยของข้าพเจ้าเองเมื่อเรียนในชั้นมัธยม ๘ บ้าง ก็พยายามสอนไปอย่างสุดความสามารถ รุ่งขึ้นอีกหนึ่งปีต่อจากนั้น ข้าพเจ้ากำลังเตรียมจะไปขอให้หัวหน้าแผนกเลิกล้มความคิดที่จะให้ข้าพเจ้าสอนระเบียบวิธีสอนภาษาไทยต่อไป ก็พอดีหัวหน้าแผนกมาบอกเลิก ข้าพเจ้าถามว่านิสิตบอกว่าไม่ได้ประโยชน์ใช่หรือไม่ ได้รับคำตอบว่า นิสิตพอใจที่ข้าพเจ้าสอนมาก แต่มีอาจารย์ผู้ใหญ่ผู้หนึ่งมาขอร้องว่า อาจารย์ที่เคยสอนอยู่เดิม ก่อนที่ข้าพเจ้าจะสอน ท่านเสียใจมากที่หัวหน้าแผนกเปลี่ยนคนสอนวิชานี้ หัวหน้าแผนกจึงบอกเลิกทางข้าพเจ้า

เมื่อสงครามสงบแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปศึกษาวิชาระเบียบวิธีสอนภาษาของตนเองมาโดยเฉพาะ และโดยมีประสบการณ์มากพอสมควร เพราะระหว่างสงครามข้าพเจ้าได้หาโอกาสสอนวิชาภาษาไทย และหลังสงครามได้ไปรับจ้างสอนโรงเรียนมาแตร์เดอี แต่ตั้งแต่กลับมาจากสหรัฐก็ไม่มีใครมาขอให้ไปสอนระเบียบวิธีสอนภาษาของตนเอง และคนโดยมากไม่รู้ว่าข้าพเจ้าเคยเป็นครูภาษาไทย ข้าพเจ้าต้องโฆษณาตัวเองให้คนรู้บ่อย ๆ

ระหว่างสงครามนี้ นิสิตต้องไปฝึกสอนที่โรงเรียนต่างจังหวัด ข้าพเจ้าต้องออกไปช่วยดูการฝึกสอนด้วย ครั้งหนึ่งไปจังหวัดอยุธยา สมเด็จองค์ที่ข้าพเจ้าเคยเฝ้าสนิทสนมเมื่อครั้งเป็นเด็ก ท่านเสด็จหลบภัยทางอากาศไปประทับอยู่ ข้าพเจ้าไปเฝ้า ท่านรับสั่งถามว่า “หนูมาทำอะไร มาเรียนเรื่องอะไร” มีผู้ชิงกันทูลให้ทรงทราบว่าข้าพเจ้าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ท่านรับสั่งพยางค์เดียวว่า “อือ” เพราะปกติเมื่อมีคนเฝ้าอยู่หลายคน ท่านมักรับสั่งน้อยที่สุด

มีน้ำท่วมใหญ่ปลายปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ระหว่างน้ำท่วมโรงเรียนเตรียมฯ ปิดการสอน แต่อาจารย์โดยเฉพาะที่เป็นหัวหน้าไม่ได้หยุดราชการ เพราะต้องเตรียมการเปิดโรงเรียนเตรียมภาคพายัพ และยังมีโครงการไปเปิดสาขาต่างจังหวัดอีกหลายแห่ง ข้าพเจ้าจำได้ว่า ระหว่างน้ำท่วมวันหนึ่งข้าพเจ้านั่งเรือผายจากตึกเลขาธิการมหาวิทยาลัยปัจจุบัน ไปตามคลองสระประทุม เข้าคลองเรียกชื่ออะไรจำไม่ได้เสียแล้วในที่สุดไปถึงคลองหลอด และไปถึงบ้านข้าพเจ้าที่ถนนอัษฎางค์ เวลาที่ไปถึงเป็นเวลา ๒๑ นาฬิกา ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียม ฯ คนปัจจุบันเป็นคนพายเป็นส่วนใหญ่ เพราะข้าพเจ้ามีแรงน้อย ไม่ค่อยเป็นกำลังแก่ผู้ร่วมเดินทาง มีใครอีกคนหนึ่งไปด้วย แต่จำไม่ได้เสียแล้ว ครั้นถึงเวลาสอบปลายปี คณะอาจารย์ก็ทำงานเกี่ยวกับการสอบ พยายามรักษามาตรฐานไว้ให้ได้ดีที่สุดที่จะทำได้ คืนหนึ่งพวกหัวหน้าวิชาและผู้อำนวยการพิจารณาคะแนนที่ได้รับจากอาจารย์เพื่อจะตัดสินผ่อนผันได้เพียงไหน พิจารณาอยู่จนกระทั่ง ๒ นาฬิกาจึงเลิก และผู้อำนวยการก็สั่งให้เสมียนพิมพ์รายชื่อนักเรียนที่สอบได้สอบตก พอถึงเวลาราว ๙ นาฬิกา ข้าพเจ้าไปถึงสำนักงานของโรงเรียนในวันต่อมา รองผู้อำนวยการเข้ามาบอกว่า ได้มีคำสั่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาว่าให้เพิ่มคะแนนให้นักเรียน ๑๐ เปอร์เซนต์ทุกคน

รุ่งขึ้นปี ๒๔๘๖ โรงเรียนเตรียมฯ จะต้องไปเปิดสาขาต่างจังหวัดหลายแห่ง ร่างกายของข้าพเจ้าทรุดโทรมมาก ยาที่เคยฉีดนั้นเมื่อเริ่มสงครามราคาหลอดละ ๑.๕๐ บาท หีบหนึ่งมี ๓ หลอด หีบหนึ่งราคา ๔.๕๐ แล้วขึ้นไปเป็น ๙.๐๐ บาท ขึ้นไปเป็น ๒๗.๐๐ บปาท และก็หาไม่ได้สะดวก เมื่อเลิกสงครามราคาครั้งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าซื้อคือ ๒๗๐.๐๐ บาท ข้าพเจ้าไม่ได้ป่วยเฉพาะทางใจหรือทางประสาท แต่มีอาการอ่อนเพลียผิดปกติ เห็นว่าระหว่างสงคราม ถ้าคนชั้นหัวหน้าแสดงอาการไม่เข้มแข็ง ก็ไม่เป็นตัวอย่างอันดีแก่ข้าราชการอื่น และข้าพเจ้าก็เสียกำลังใจ ไม่เห็นว่าราชการในเวลานั้นได้อำนวยประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติอย่างไร ระหว่างที่น้ำท่วม ข้าพเจ้าจำได้ดีว่า ได้ยินเสียงโฆษกของวิทยุ บี.บี.ซี. ประกาศชัยชนะของพันธมิตรที่เอลอาลาเมน เป็นชัยชนะจากการรุกครั้งแรกของกองทัพอังกฤษ และเยอรมันก็เริ่มถอย ประเทศชาติกำลังประสบชาตากรรมที่ไม่เป็นไปในทางดี แต่ข้าราชการทั้งหลายไม่เปลี่ยนทัศนคติ จากการที่จะทำอะไรตามที่ผู้บังคับบัญชาสั่งมา หาได้น้อยเหลือเกินที่จะมีมานะคัดค้านให้สติกัน ประเทศชาติอยู่ในมือคนประเภทนี้ ข้าพเจ้าแลไม่เห็นทางที่จะไปสู่ความเจริญได้อย่างไร จิตใจก็ไม่สบายและร่างกายก็ทรุดโทรม ข้าพเจ้าคงจะไม่เป็นประโยชน์แก่ใครมากนักแล้ว ข้าพเจ้าจึงแจ้งความประสงค์ว่าจะต้องลาออกจากราชการด้วยเหตุทุพพลภาพ ซึ่งเป็นเหตุเดียวที่จะอ้างลาออกได้ และข้าพเจ้าก็ทุพพลภาพจริง ๆ แต่ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของข้าพเจ้าท่านยังไม่เห็นด้วย จึงระงับใบลาไว้ และให้ลาป่วยด้วยการรับรองของแพทย์ซึ่งง่ายมาก เพราะแพทย์บอกมานานแล้วว่าให้หยุดทำงาน

ข้าพเจ้าลาบ้างไปทำงานบ้างด้วยความลำบากใจเกี่ยวกับสาเหตุสองประการดังกล่าวแล้ว สงครามเข้าระยะที่แลเห็นชัดแล้วว่าฝ่ายใดจะชนะ สุขภาพของข้าพเจ้าไม่ดีขึ้นเลย ในที่สุดต้องลาป่วยติดต่อกันเป็นแรมเดือน การทิ้งระเบิดในกรุงเทพฯ รุนแรงขึ้น ปลายปีการศึกษา ๒๔๘๖ หรือต้นปี ๒๔๘๗ ข้าพเจ้าอพยพไปพักผ่อนนอกพระนครจนเข้าฤดูฝน คิดว่าการทิ้งระเบิดก็จะเบาบาง แต่ในเดือนมิถุนายนก่อนวันที่พันธมิตรจะยกพลขึ้นทวีปยุโรป จึงแสดงการคุกคามโดยทิ้งระเบิดเวลากลางวันอย่างแพร่หลาย ระเบิดลงโรงเรียนหลายแห่ง แต่บังเอิญวันนั้นเป็นวันวิสาขบูชา จึงไม่เป็นอันตรายแก่ชีวิต ราชการจึงสั่งปิดโรงเรียนในพระนคร โรงเรียนเตรียมฯ แยกย้ายไปสอนตามจังหวัดต่าง ๆ หลายจังหวัด

ภายใน พ.ศ. ๒๔๘๗ นั้น สุขภาพก็เสื่อมโทรมลงไปเรื่อย ๆ จึงมิได้มีส่วนกับการย้ายโรงเรียนเตรียมฯ ไปจังหวัดต่าง ๆ จนกระทั่งเข้าฤดูหนาว การทิ้งระเบิดถี่ขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืน ครอบครัวข้าพเจ้าต้องอพยพไปต่างจังหวัดเพราะบ้านที่เคยอพยพไปพักเมื่อปลายปี ๒๔๘๖ ก็ถูกระเบิดเพลิงเผาผลาญหมด ทั้งครอบครัวมีคนชรา เด็ก ๆ และคนป่วยก็ไปพักที่ตำบลบ้านแป้งอำเภอบางปะอิน

การพักผ่อนที่นี่ทำให้สุขภาพค่อย ๆ ดีขึ้น เพราะได้ออกกำลังกายพอเหมาะสม คือได้ลงว่ายน้ำในแม่น้ำทุกวัน วันละประมาณ ๒๐ นาที ได้รู้เห็นภาวะของประเทศชาติที่สำคัญมาก คือไม่มีความเดือดร้อนขาดแคลนอะไรเลยนอกจากยารักษาโรค มีผักปลาดี ๆ สด ๆ อร่อย ๆ มีผ้าทอด้วยมือมาขาย เราเอามาปักเป็นลวดลายกลายเป็นสมัยนิยมการบปักเสื้อ น้ำมันรถทำด้วยยางพาราก็มีขึ้น และมีการดัดผมด้วยการปิ้งที่หุ้มให้น้ายาแห้งกับถ่าน มีคนลงเรือแล่นไปตามแม่น้ำ เที่ยวได้รับจ้างตัดผมให้ผู้ที่อพยพไปอยู่ตามตำบลต่าง ๆ และมีขนมปังทำด้วยข้าวจ้าว นมข้นที่ทำได้เองที่บ้าน อีกทั้งเนยทำจากนมควายด้วย

ล่วงเข้าปี ๒๔๘๘ ข้าพเจ้าต้องลาราชการอย่างจริงจังเพราะการที่สุขภาพดีขึ้น ทำให้ข้าพเจ้าเสียดายว่าจะถอยหลังลงไป การทิ้งระเบิดในพระนครยิ่งมีถี่ขึ้น จนกระทั่งมีเครื่องบินมาโปรยใบปลิวที่ตำบลบ้านแป้ง ซึ่งราษฎรเก็บมา ใบปลิวนั้นมีชื่อว่า เมฆทูต มีข้อความเป็นภาษาไทยบอกกล่าวประชาชนไทยไม่ให้ห่วงใย เมื่อฝ่ายพันธมิตรมีชัยชนะ ก็จะไม่เสียอิสรภาพ ทำให้ประชาชนยินดีกันมาก คอยเวลาให้เครื่องบินมาโปรย เมฆทูต และวิ่งไปเก็บกันสนุกสนาน แต่ว่า รถไฟจากบางปะอินเดินทางเข้ากรุงเทพฯ คราวหนึ่ง ๆ ก็กินเวลาบางทีถึง ๙ ชั่วโมง เพราะต้องหยุดไปตลอดทางเมื่อมีเครื่องบินเข้ามา ถึงระยะนี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าญี่ปุ่นต้องแพ้สงครามแน่

มีวิกฤตกาลทางการเมืองของไทยในปีนั้น คือมีการเปลี่ยนรัฐบาล คณะเดิมพ้นอำนาจไป มีคณะใหม่ขึ้นมาแทนที่ ฝ่ายที่ร่วมมือกับพันธมิตรอย่างลับ ๆ ก็เริ่มมีกิจการเคลื่อนไหวน่าสนใจ ที่ข้าพเจ้าอพยพไปอยู่ที่นั้น เราสงสัยผู้ชายหนุ่ม ๆ หลายคนว่าไปทำงานที่เปิดเผยไม่ได้ และไม่มีใครถาม จนกระทั่งถึงเวลาที่วันลาป่วยของข้าพเจ้าหมดระยะ จะลาต่อโดยรับเงินเดือนไม่ได้ ข้าพเจ้ากำลังมีความหวัง เพราะเมื่อพันธมิตรมีชัยชนะ คงจะมีอะไรใหม่ ๆ ขึ้นในบ้านเมือง ข้าพเจ้าจึงขอลาป่วยโดยไม่รับเงินเดือน เพราะญาติของข้าพเจ้าในกรมกองอื่นก็เคยได้รับอนุญาต การทำราชการของครูก็คือไปเซ็นชื่อเดือนละครั้งที่สำนักงานของตน ในกรณีข้าพเจ้าก็คือ ที่สำนักงานเลขาธิการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะมหาวิทยาลัยและโรงเรียนปิดการสอนทั่วพระราชอาณาจักร ข้าพเจ้าส่งหนังสือขออนุญาตไปแล้วก็รอฟังคำตอบ ไม่ช้าก็มีจดหมายเขียนในกระดาษแผ่นเล็ก ๆ จากผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมฯ คนใหม่ เพราะท่านคนเดิมได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการ ข้อความว่า ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของจุฬาลงกรณ์ คนใหม่เหมือนกัน บอกมาว่า ข้าพเจ้าได้เคยลาออกครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้ท่านจึงแนะนำให้ลาออก ข้าพเจ้าไม่มีทางเลือก จึงลาออกจากราชการ จะเป็นเดือนอะไรจำไม่ได้ จำได้แต่ว่าก่อนสงครามญี่ปุ่นเลิกประมาณ ๒ เดือน ที่กล่าวนี้อาจผิดพลาด แต่สอบไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการในเวลาต่อมาภายหลังได้ติดต่อขอหลักฐาน ในเรื่องที่ข้าพเจ้าลาออกจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคำสั่งให้ออก แต่ได้รับทราบจากเจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการว่าหนังสือราชการระหว่างสงครามได้สูญหายไปมาก และค้นหาเรื่องของข้าพเจ้าไม่ได้

เมื่อสงครามเลิกแล้ว ครอบครัวข้าพเจ้าก็อพยพกลับบ้าน และกลับมาอยู่ที่บ้านหม้อหรือถนนอัษฎางค์ ข้าพเจ้าเป็นคนแพ้ไปกับญี่ปุ่น เพราะเวลานั้นสุขภาพก็ดีขึ้นตามลำดับ แต่ทรัพย์สมบัติหมดไประหว่างสงคราม ต้องมีอาชีพโดยแท้จริง แต่ยังไม่รู้จะทำอะไรดี เข้าใจว่าโรงเรียนในพระนครปิดอยู่ทั่วไป เพราะโรงเรียนเสียหายจากภัยระเบิดอย่างกว้างขวาง จำได้แต่ว่า เมื่อเริ่มปีการศึกษาใหม่ แผนกภาษาอังกฤษ คณะอักษรศาสตร์ ได้ขอให้เป็นอาจารย์พิเศษข้าพเจ้ายังเข็ดจุฬาลงกรณ์อยู่ครัน ๆ จึงตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นคนป่วยไม่ปรกติ คงจะขาดการสอนไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ แต่หัวหน้าแผนกว่า คนที่สอนได้ ขาดการสอนบ้าง ดีกว่าคนที่สอนไม่ได้ แต่ไม่ขาดเลย เมื่อท่านมีทรรศนะเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็รับสอน และในเวลาเดียวกันโรงเรียนมาแตร์เดอี มาติดต่อขอให้ไปสอนภาษาไทย ซึ่งเป็นที่พอใจข้าพเจ้าอย่างยิ่ง นับเป็นครั้งแรกที่ได้สอนภาษาไทยในโรงเรียนอย่างเป็นล่ำเป็นสันโดยเฉพาะวิชาวรรณคดีไทยและเรียงความ ซึ่งข้าพเจ้ามีทฤษฎีใคร่จะทดลองมานานแล้ว ในการนี้เห็นจะต้องนับว่าเป็นความสำเร็จ เพราะทางโรงเรียนแสดงความพอใจมากและนักเรียนยังคุ้นเคยสนิทสนมกันทั้งห้อง (๒ ชั้น) มาจนทุกวันนี้

ระหว่างสอนภาษาไทยที่โรงเรียนมาแตร์ ข้าพเจ้าได้รับความสำเร็จในการเล่นละครโรงเรียนอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างที่ข้าพเจ้ากำลังกังวลใจเรื่องที่นักเรียนอ่านกลอนไทยไม่ดีคือทำตามที่โรงเรียนสอนกันทั่ว ๆ ไป คือให้เว้นหายใจปลายวรรคที่สองของคำที่สองของบทเป็นประจำ ไม่ว่าจะเข้ากับเนื้อความหรือไม่ ทางโรงเรียนก็ขอร้องให้จัดให้นักเรียนเล่นละครไทย เพื่อหาเงินซ่อมโรงเรียนที่ถูกระเบิด ข้าพเจ้าจึงแต่งบทละครเป็นคำกลอนให้นักเรียนเล่น ทำให้ต้องอ่านกลอนตามบท ให้คล้ายการสนทนามากที่สุด และได้ฝึกหัดให้นักเรียนแบ่งงานกันทำ คนหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลเครื่องแต่งตัว คนหนึ่งดูแลพัสดุที่ต้องใช้ในการแสดง ละครกินเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง เมื่อแสดงแล้ว มีผู้ปกครองบางคนมาต่อว่า ว่าจะเล่นละครสนุกก็ไม่บอกให้รู้บ้าง ได้เสียเงินซื้อตั๋วให้ไปแล้ว แต่คิดว่าเป็นละครโรงเรียนก็เลยขี้เกียจมาดู เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าถือว่าได้รับความสำเร็จอันหนึ่ง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ