กัณฑ์ที่ ๖ จุลพนพรรณา
๏ เอวํ เจตปุต์โต พ๎ราห๎มณํ โภเชต๎วา ปาเถย์ยสัต์ถาย ตัส์ส มธุโน ตุม์พัญ์เจว ปัก์กมิคสัต์ถิญ์จ ทัต๎วา มัค์เค ฐเปต๎วา ทัก์ขิณหัต์ถํ อุก์ขิปิต๎วา มหาสัต์ตัส์ส วสโนกาสํ อาจิก์ขัน์โต อาห ๚
๏ เอวํ เจตปุต์โต อันว่าวนพเนจรเจตบุตรมฤคลุทธพรานไพร ใจนี่กวดเก่งกักขละกล้าแขงกำแหงห้าว ขัดห้างนอนในพนัศราวอรัญญิกประเทศ อันบรมรัญญาเจตราชดำรัสสั่ง ตั้งไว้ให้ตรวจตระเวนระวังด่านประตูดงแดนไพร สุต๎วา เมื่อได้สดับมฤษาเถ้าชราชูชกทลิชาติ ไม่รู้กลที่ตะแกแสนฉลาดด้วยเล่ห์ลิ้นหลักแหลมในเชิงลวง บอกว่าเปนพระทูตหลวงอันฦๅชา นำซึ่งศุภลักษณสาราราชสาร แห่งพระผู้ผ่านพิภพสีพี ให้ออกมาเชื้อเชิญพระยาชีศรีบรมบพิตรพงษ์ทิพากร เข้าไปสู่พระนครกรุงไกร เจตบุตรก็สิ้นสงไสยไม่เคลือบแคลง สำคัญคเนแจ้งว่าจริงดังวาจา พ๎ราห๎มณํ โภเชต๎วา จึงยังพราหมณให้ภัตตากิจกินมธุรมังสังย่าง ต่างกระยาโภชน์พอกำเลาะแรง ปาเถย์ยํ ที่ยังเหลือเนื้อย่างแห้งก็ห่อหิ้วให้เปนพวง ทั้งน้ำผึ้งก็ตักตวงใส่เต้าเต็มบริบูรณ์ จัดให้ทชีไปเปนต้นทุนตามมรรคา ทัก์ขิณหัต์ถํ อุก์ขิปิต๎วา จึงพาพราหมณไปสถิตย์ที่สถลต้นอรัญวิถี แล้วก็ยกทักษิณหัดถ์ขึ้นชี้มรรคาพนาเวศ เบื้องจะแนะนำนิเทศทุมาไม้แลไพรเขา อันเปนที่สำนักนิ์เนาหน่อนฤเบศร์เวสสันดรราช ก็กล่าวเปนบาทพระคาถา
เอส เสโล มหาพ๎รเห๎ม ฯลฯ
ชาตเวทํ นมัส์สตีติ ๚
๏ มหาพ๎รเห๎ม ดูกรมหาพราหมณ์พฤฒาเถ้าผู้ถือสาร เอส เมาะ เอโส ปัพ์พโต อันว่าเขาพระหิมพานต์ภูมิพนัศบรรพตพิไสยสูงเสมอเมฆ เสโล เมาะ เสลมโย เทียรย่อมศิลาลายแลอดิเรกอร่ามรุ่งราวกับรายรัตนมณีนพเก้าแกมเกิดกับก้อนผา บ้างก็เรื่อเรืองเหลืองบุษโมราจรัสจรูญร่วงเปนสีรุ้งพุ่งพ้นเพียงอัมพรพื้นนภากาศ บ้างก็เด่นแดงเปนแสงดาษดุจดวงประพาฬเพ็ชรประภัศร ที่สีแสดก็สอดซ้อนสลับซับกับส่านเสน มรกฎภุกามแกมกับโกเมนมุกดาหารเห็นพิจิตรดังเจียรไนอุไรเรียบ ไพฑูรย์ทับทิมประเทืองเทียบปัทมราชรัตนนิลแนม แกมพลอยผลึกเลื่อมเมลืองแสง ที่เขียวขาบก็คาบแข่งขจิตขจาย บ้างเปนสีอัญชนช่อวิเชียรฉายโชติช่วงชัชวาลย์วาว ประดุจดาวประกายพฤกษพรายพร้อยประพร่างพรับ เมื่อต้องแสงสุริยก็ระยับวับวาบ เปนวุ้งแวววามวาวสว่างตา ที่ผุดเผินเปนแผ่นผาภูเพิงตระเพิกพอก บางแห่งเห็นนี่ก็เงื้อมงอกเปนแง่ง้ำงุ้มชโงกชงันหงาย ลางเหล่าก็ทลายลิลั่นสบั้นบิ่นหินเห็นกระเด็นเดาะ เหมือนบุทคลมาเข่นเคาะเราะร่อร่อนให้หรอร่อย เปนรอยร้าวรานรคายควรจะพิศวง ที่เวิ้งวุ้งชวากวงเวียนไศลไตรตรวยห้วยหุบคูหาเหว เห็นเปนปล่องเปลวโปร่งปลอดตลอดแลละลิบละลานตา ที่ภาคพื้นเปนน้ำผาพุพุ่งฟุ้งขจายเปนสายโปรย ดุจไขสุหร่ายโรยร่วงเปนเรณูน่าสรงสนาน ที่หินห้อยย้อยยานเปนน้ำหยัดหยาดหยดยะเยือกเย็นอย่างอมฤตยวารี ในท้องถ้ำนั้นเปนที่แท่นรโหฐานกาญจนแก้วเก็จประกอบกัน เปนหลั่นล้วนมโนศิลาลาด ย่อมเปนที่อาไศรยไกรสรสิงหราชเริงแรง แสนสนุกทุกหนแห่งห้องเหมหิรัญรัตนไพโรจ เปนที่ภิรมยปราโมทย์อมรพิมานมรุคณานิกรปีศาจสิง ทุกมิ่งไม้บรรดามี ในคิรียประเทศพิเศษทรงทศเสาวคนธ์ คันธขจรขจายฟุ้งจรุงใจเปนอาจิณ คัน์ธมาทโน จึงเรียกนามชื่อศีขรินทรคันธมาทน์บรรพต เหตุปรากฎกอปรด้วยไม้หอมสิบประการมี เชิญทชีจงครรไลเลียบระเบียบไม้ลเมาะมุ่งภิมุขมาดหมายอย่าเหม่อเมิน โดยทิศอุดรเดินข้างเฉียงเหนือสำเหนียกไป น่าโน้นก็หมู่ไม้มีอยู่มากมายหลายพรรณเพียง ประหนึ่งว่าพุ่มพนมฉัตร นีลา แลเขียวชอุ่มอัดออกอรชรช่อผกาเกิดทุกกิ่งก้าน อุค์คตา ยอดทยานเยี่ยมโพยมอย่างพยับเมฆมหิมา อัญ์ชนปัพ์พตา ตละหนึ่งว่าเนินพนมนิล อัญชนศีขรินทร์รายเรียงระดับดงดูสล้าง ธวัส์สกัณ์ณา น่าโน้นก็พฤกษาหูกวางยางยูงพยอมใหญ่ สรรพทรึกทรายโศกไทรมะทรางสาดสีเสียดสนสพรั่ง พรรณรุกขเต็งรังร่มเรียงเหียงหันมหาดเห็นรโหฐาน สัม์ปเวเธน์ติ ครั้นต้องพายุรำเพยพานรำพายพัด พรรณพฤกษ์ก็พร้อมกันไกวกวัดสบัดโบก ต้นลำยอดก็โยงโยกอยู่โยนเยนเอนอ่อนทะท่าวทบ อิว มานวา เสมือนหนึ่งว่ามานพหนุ่มน้อยที่หน้านวล ไม่เคยควรดื่มสุราเข้มคราวเดียวก็เสียวซ่านสิ้นสมปฤดี จะดำรงทรงซึ่งอินทรีย์ก็บมิได้ด้วยกำลังเมา อุปริทุมปริยาเย บนยอดไม้นั้นเล่าก็ลเวงไปด้วยเสียงสกุณคณานิกรก็เพรียกพร้องกับกิ่งพฤกษ์น่าพึงฟัง สังคีติโยว สุย์ยเร ระรี่เรื่อยราวกับเพลงขับอับศรสุรางค์สุราทิพยเทวโลก นชูหา ล้วนคณานิกรโพรโดกดุเหว่าร้องสนั่นก้องอยู่ไม้โน้น แล้วก็โจนมาจับซึ่งไม้นี้ ร้องท่อกันซิกซี้จู๋จี๋จะจอแจ สุรสำเนียงนั้นเซงแซ่ประสานศัพท์รับกับกิ่งรุกขเมื่อมารุตรำเพย รมยัน์เต ดูกรทชีเอ่ย สุนทรภิรมย์ไพเราะห์เหมือนจะเรียกสัญจรบุรุษให้หยุดร่มสำราญเริง เมื่อท่านถึงจึงประทับให้บรรเทิงบันเทาร้อน นอนเสียสักตื่นหนึ่งจึงค่อยไป ก็จะพบพระหน่อไทธรรมธิเบศร์เวสสันดรราช กับด้วยพระนุชนาฎมเหษีสองตรุณโปดกดวงกระษัตริย์ ทั้งสี่ทรงพระโสมนัศในอมรินทรสุราศรม อุดมไปด้วยเพศพิธีบวชบรรพชากร จัม์มวาสี ทรงพยัคฆจัมมาภรณ์ผูกชฎาเกษกระหมวดมุ่นเปนมณฑล ถือขอเที่ยวเกี่ยวผลผลาพฤกษ์ประพฤติพรตพรหมจรรยา ฉมาเสติ ประธมเหนือใบไม้ปูปัถพีภูมิสถาน ชาตเวทํ ตั้งพิธีกรกองกูณฑ์กระทำนมัสการไม่ขาดวัน สำคัญว่าอริยธงไชยชายจีวร แห่งพระปัจเจกโพธิแต่ก่อนนั้นแล ๚
อัม์พา กปิฏ์ฐา ปนสา ฯลฯ
ชาตเวทํ นมัส์สตีติ ๚
๏ มหาพ๎รเห๎ม ดูกรมหาพราหมณ์พฤฒาจารย์จอมพระทูตหลวง อัม์พา กปิฏ์ฐา ทางที่จะครรไลก็ไม้ม่วงหมู่มะขวิดแขวนทุกขั้วขวั้น ปนสา น่านั้นก็ขนุนเปนขนัดแน่นอเนกผล ติดเต็มแต่โคนต้นตลอดยอด เยื่อยวงที่น้ำขังควรจะบริโภค ผลพวาหว้าหวานวิเศษ วิเภทกา สมอพิเภทเทศไทยเปนทิวแถวที่เถื่อนทาง ทั้งรังเรียนตะเคียนคางแคข่อยมะค่าเคี่ยมขึ้นสพรั่งพร้อม พรรณมะขามป้อมปู่เจ้าแจงจิกจันทน์ประจำป่า จารุติวัม์มรุก์ขา เหล่ามะพลับพลองต้องแต้วมะตูมตาด มะเดื่อดกเด่นแดงดังแสงชาดประชุมช่อลออผล กัท์ทลีโย ทั้งกล้วยกล้ายก็เกลื่อนกล่นดังแกล้งกลั่นสรรมาปลูกไว้ในดงดอน จังนวนนมนางไกรสรสรรพกล้วยสั้นทันตหัตถีก็มีอยู่มูลมอง หมู่โน้นก็หอมทองประเทืองปลี หวีเครือนั้นเต็มอ้อมเอมโอชารศ ท่านไปอย่ากลัวอดที่เถื่อนทาง มธุ อเนฬกํ ทั้งผึ้งร้างว่างแม่ไม่แหหวง เจริญรวงมธุรศวารี เชิญทชีจงชิมฉันให้ชื่นใจ ดัพนั้นไปก็ไม้ม่วงหมู่อื่นอิกอยู่แออัด อยู่ริมรอบบริเวณวงวัดวนาศรม ดูอุดมไปด้วยดอกออกผลพื้นพรรณขบเผาะ บ้างก็กำเดาะดิบห่ามทรามสุกทุกลำต้น เภงควัณ์ณา อัมพาผลมีพรรณเปนสองสถาน บ้างก็เขียวปานประหนึ่งว่าหลังปาด ที่เหลืองเล่ห์สุพรรณชาติชมพูนุท เหฏ์ฐาปุริโส ลำต้นแต่พอบุรุษหยุดยืนอยู่พื้นภาคภายใต้ ก็เอื้อมเก็บกินได้สดวกดาย ผลสวายหวานวิเศษทรงสุคนธรศเจริญพรรณ หึกาโร ปฏิภาติมํ ตั้งจะอัศจรรย์ประจำดงดังอยู่หึ่ง ๆ ในหิมเวศพนาสณฑ์สกลประเทศทิศาภาคภิรมย์ใจ ดังนันทวโนทยานในอมรแมน แสนสพรั่งพร้อมไปด้วยพฤกษพร้าวตาลติดเต็มแต่ล้วนผล หล่นลงเดียรดาษที่ดินดาล เอต์ถ พ๎รหาวเน ในห้องพระหิมพานต์ภูมิพนัศเนินแนว อเนกไปด้วยท่องแถวทุมาชาติประชุมดอกดูนี่หลายหลาก ตละหนึ่งว่าช่างชาญฉลาดหากพิจิตรผจงร้อยห้อยไว้ในแดนดง ดูอดิเรกเฉกฉายดังชายธงประเทืองทั่วทุกราวป่า นานาวัณ์ณาหิ ปุป์ผิตา แต่ล้วนสรรพมาลาสลับแสง อร่ามรุ่งราวกับจะแข่งคัคณัมพรพื้นนภากาศ อันเด่นดาษไปด้วยดวงดาราราย ยังรุกขชาติที่ชายเชิงเขาเปนคันเขตร กอปรด้วยเบญจโกฐเกดกฤษณากรณิการ์แกมกับพุดดง เหล่ามลุลีแลกาหลงกุหลาบล้วนลำดวนดอกดูสล้าง ปาตลิโย ทั้งแคฝอยแลอ้อยช้างชูช่อเปนชั้น ๆ ประกวดกันทุกก้านกิ่ง โน่นก็บุนนากกากกะทิงกะถินทั้งกะทุ่มแลทองกวาว เหล่าทองหลางล้วนมะเกลือกลุ่ม ประคำไก่แลแก้วกุ่มมะรุมรักราชพฤกษ์สพรั่งดอกดูดาษดา โกลัมพลพุชา ธรา ทั้งขนุนสำมลอโลดเลียบแลมูกหลวงหูทลวงเปนเหล่าเหล่า สรรพประดู่หมู่ตระเบาตระแบกเบญจบานไสว รังรุกษลำไยประยงคุ์แย้มสายหยุดแลยมโดย แต่ล้วนหล่นลงร่วงโรยรายดอกลงมูลมอง เหมือนบุทคลขนมากองไว้ตระการตา ปลาลขลสัน์นิภา เพียงประหนึ่งว่าฟ่อนเข้าอันเต็มไปด้วยฟางก็ปานกัน ในห้องพระหิมวันต์นั้นแล ๚
๏ มหาพ๎รเห๎ม ดูกรมหาพราหมณ์รามวิไสย ตัส์สาวิทูเร โปก์ขรณี เบื้องน่าแต่นี้ไปก็สระสนานนามชื่อว่าโบกขรณีเปนสี่เหลี่ยมเปี่ยมไปด้วยสินธุธารา ดังมณีมโนหรจินดาดวงดูสอาด ริมบริเวณอาวาศศิวาศรม มโนรเม ในภาคพื้นภูมิภิรมย์เจริญใจ ดังทิพยโบษขรณีในสุนันทา ปทุมุป์ปลสัญ์ฉัน์นา ดาดาษไปด้วยบัวเบญจพิธพรรณประไพสี โกมลจงกลนีอเนกแน่นในกระแสสินธุ์ สัตบุษกมุทหมู่ลิญจงขจายบาน ในคิมหาเหมันตกาลกอปรด้วยดอกนี่ดาษดื่น กำหนดน้ำนั้นก็ตื้นแต่เพียงเข่าควรจะปราโมทย์ ด้วยเรณูเกสรสาโรชก็โรยรายร่วงลงในใบบัว รคนด้วยน้ำค้างที่ขังกลั้วก็กลับค่นเข้าเปนก้อนปรากฎ นามชื่อว่าโบกขรมธุรศวารี วายัน์ติ ดูกรทชี ยังมีพายุรำพายหลายจำพวกพัดกระพือหอบ กอบเอาลอองเกสรอุบลไปปนปรุงปรายไว้ในอาศรม หอมระงมไปด้วยกลิ่นรื่นจรุงใจ สึฆาฏกา อันว่าผลกระจับใหญ่ย่อมเยียดยัดอยู่ท้องธาร ที่ขอบฝั่งนั้นก็พืชเข้าสารสาลีลออรวง เมล็ดขาวราวกับเพ็ชรรัตนหลวงจำรัสราย มัจ์ฉกัจ์ฉปพ๎ยาวิธา สรรพเต่าปลาทั้งหลายก็ลอยโลดโดดเล่นในมุจลินท์สินธุธารา ทั้งเทโพโลมาก็มาดหมายหมู่สวายแสวงวัง ตะโกกกาแกมกับกดคลั่งเที่ยวกินไคลแล้วเคล้าคู่ นวลจันทร์พรรณเนื้ออ่อนแอบอาไศรยอู่แอ่งกระอุกอาย คางเบือนก็บังกายกับโกมล หมู่กระดี่ชโดดุกก็โดดด้นดำลงดาลดิน กระโห้กระแหหาอาหารกินทุกหนแห่ง คระคลับคลายก็ว่ายแว้งฉวัดเฉวียนตามเฉนียนนอง แมลงภู่พาพวกตะเพียนทองล่องเล่นสลอนลอย สรรพซิวซ่าปลาสร้อยก็สับสนระคนแข่งเคียงขนานเล่นเปนคู่คู่ อุปยานกา พวกพรรณเปี้ยวปูหมู่หอยก็คลานคล่ำเล็มไคลในวาริน ทั้งกุ้งกั้งมังกรกุมภิลก็ผุดเผ่นเล่นน้ำคนองเชย ดูกรพราหมณ์เอ่ย ประหลาดหลากด้วยรากอุบลบัวบังเกิดมีประมาณเท่างอนไถ เปนน้ำเปรียงประปริ่มไหลใสสอาดขาว ราวกับขีโรทกมธุรศเจริญหวาน เชิญทอาจารย์จงบริโภคให้พอครอง นานาคัน์ธสมิริตา ยังหมู่ไม้ก็มูลมองมีอยู่ริมรอบขอบสระระดะดอกดูสลับสลอน ต่างต่างคันธขจรขจายกลิ่นรื่นรศระเหยหวนไม่หายหอมในหิมวันต์ สัม์โมทิเตว จะยังคนอันสัญจรไปถึงให้พึงเปรมเกษมใจ ด้วยสรรพบุบผาผกาไม้ที่เบิกบาน รบุรบัดบนกิ่งก้านตระหลบอบอาบใจให้มัวเมา หมู่แมลงมาศภมรก็คลึงเคล้าเอาชาติเรณูนวลผกาเกสร หึ่งหึ่งบินวะวู่ว่อนร่อนร้องอยู่โดยรอบขอบจตุรัสโบษขรณี นานาวัณ์ณา พหู ทิชา เหล่าคณานิกรปักษีมีพรรณหลากหลายประหลาดเลิศ ล้วนกำเนิดเปนสองหน เปนฟองก่อนแล้วก็เกิดเปนตัวตนต่อภายหลัง อัญ์ญมัญ์ญํ ปกุช์ชิโน เสนาะไปด้วยสำเนียงสนั่นดงดังอยู่เพรงเพรียก เรียกกู่กันคลอแคลซ้อแซ้ประสานก นัน์ทิกา คณานิกรพิหคประหิดหงษ์เหมห่านก็เหินบิน ลงลอยเล่นมุจลินท์ชโลทกกกกินเกสรบัว ปิยายิโน นกกระสาพากันเมียผัวแสวงภักษ์มาปักป้อนโปดกในเรือนรัง ประนังเสียงอยู่เซ็งเซียบ เหล่าอีลุ้มกระแลเลียบกระลิงลี้เข้าลับไม้ พรรณกาน้ำก็ดำไล่เหล่ามัจฉาในวารี สกุณชาติทั้งหลายเหล่านี้ก็ย่อมอาไศรยสระเสพภักษาหาร สำราญรังอยู่รุกขรอบติราเรียงร้องรงมไพร สกเลเหว คัน์ถิตา ป่านั้นก็รุ่งอร่ามไปด้วยพรรณบุบผาผกาบานประสานสีสลับกลีบ ดังแกล้งจีบประจงตรงปานประหนึ่งว่าข่ายทองประเทืองทั่วทุกถิ่นแถว ควรจะทัศนาแนวในตำแหน่งวนาศรม แห่งพระเพศยันดรผู้เจริญพรหมประพฤติพรต พร้อมไปด้วยสองตรุณวโรรสราชชายา อันอยู่ในห้องหิมว่านั้นแล ๚
อิทัญ์จ เม สัต์ตุภัต์ตํ ฯลฯ
โส เต มัค์คํ ปวัก์ขตีติ ๚
๏ เบื้องว่าเจตบุตรพรานไพร พร่ำพรรณาแนะแนวพนัศลำเนาเขาแลไม้ให้แก่ทชีชูชกชราจารย์ อันจะไปสู่อาศรมสถานที่สถิตย์ แห่งบรมบพิตรเพศยันดรดวงกระษัตริย์ พราหมณก็โสมนัศเปรมปรีดิ์ จึงกล่าวสุนทรวาทีทางปฏิสันถาร ว่าดูกรเจตบุตรผู้เปนหลานสัลเลขดง สัต์ตุภัต์ตํ เข้าสัตตูผงสัตตูก้อนกวนด้วยน้ำผึ้งพิเศษหวาน อันอมิตดาเยาวมาลย์ผู้มีภักตรผ่องใส แกล้งประเจียนจัดประจงให้มาเปนเสบียงเลี้ยงท้องที่เถื่อนทาง ตาจะแบ่งให้เจ้าบ้างบริโภคเล่นหลากหลากประสายากที่กลางไพร เจตบุตรจึงตอบว่าขอบใจเจียวนะทอาจารย์ สมวลํ อันว่าขนมหวานวรวิเศษเสบียงป่า ที่คุณตาจะให้หลานหลานก็ไม่ประสงค์ เชิญทอาจารย์จงเอาไปกินในอรัญวิถี ไปเถิดนะตรงนี้ตรงมือหลานชี้อย่าเลินเล่อ เปนทางน้อยรอยเร่อพอจุบาทบทจรเดินได้แต่ผู้เดียวไม่เคี้ยวคด ตรงไปสู่อาศรมบทพระนักบวชบำเพ็ญฌาณ ชื่อพระอจุตจอมใจอาริย์อุดมเพศ ปังกทัน์โต ฟันขาวพิเศษดังสีสังข์ รชัส์สิโร ผมเผ้านั้นนะรุงรังระคนข้องไปด้วยลอองธุลีผง ทรงพยัคฆจัมมาภรณ์ลายละเลื่อมกับทั้งเล็บ ถือขอเที่ยวเกี่ยวเก็บกินผลไม้ กระทำอัคคีวันทนบูชาไฟเปนเนืองนิจ โดยพิไสยพระนักสิทธิสืบโบราณ ย่อมสถิตย์ในสถานลแวกหว่างวนวิถี เมื่อท่านถึงจึงยอกรอัญชลีเคารพราบกราบกราน กระทำปฏิสันถารถามถึงมรรคา พระผู้เปนเจ้าก็จะพรรณาแนะนิเทศเถื่อนทางให้ท่านไป สู่สำนักนิ์บรมไททานาธิบดีศรีเวสสันดร อันอยู่ในอาศรมศิงขรนั้นแล ๚
ตมัต์ถํ ฯ อิทํ สุต๎วา พ๎ราห๎มณพัน์ธุ ฯลฯ
เยนาสิ อจุโต อิสีติ ๚
๏ ยํ อัต์ถํ อันว่าอัตถอันใดยังมิได้แจ้งปรากฎ จุณ์ณิยปเท ในจุณณิยบทปัจฉาภาคภายหลัง ตํ อัต์ถํ อันว่าสมเด็จพระบรมนารถศาสดาจารย์ เมื่อจะโปรดประทานอัตถอันนั้นให้แจ้ง จึงตรัสว่า ภิก์ขเว ดูกรสงฆ์ผู้กลัวไภยในวัฏฏสงสาร พ๎ราห๎มณพัน์ธุ อันว่าเถ้าผู้เปนเผ่าภารทวาชโคตรทิชงควิไสย สุต๎วา เมื่อได้สดับสุนทรคดีสิ้นเสร็จสุด อันนายพเนจรเจตบุตรบอกแจ้งจำถนัด ในพนัศวิถีเถื่อนทุเรศ อุทัค์คจิตโต เถ้าทลิเชฐก็ชื่นบานบรรเทิงใจ ยกย่ามว้าขึ้นใส่ไหล่สพักแล่งละล้าละลัง ปทัก์ขิณํ กัต๎วา เถ้าก็กระทำประทักษิณสิ้นตติยวารเวียนรอบชอบที อจุโต อันว่าพระอจุตฤๅษีผู้สร้างพรต ยัต์ถ ปเทเส สำเร็จอิริยาบถบำเพ็ญผลเพิ่มผนวชในประเทศที่ใด ปัก์กามิ เถ้าก็บ่ายภักตร์เฉภาะไป ตํ ปเทสํ สู่ประเทศที่นั้นแล ๚
จุลวนวัณ์ณนา นิฏ์ฐิตา
ประดับด้วยพระคาถา ๓๕ พระคาถา
----------------------------