กัณฑ์ที่ ๙ มัทรีบรรพ
ความนี้ว่ากันว่าเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่ง
----------------------------
๏ ยํ ปน รัญ์ญา มหาปถวึ อุน์นาเทต๎วา พ๎ราห๎มณัส์ส ปิยปุต์เตสุ ทิน์เนสุ ยาว พ๎รห๎มโลกา เอกโกลาหลํ ชาตํ เตนาปิ ภิช์ชิตหทยา วิย หิมวัน์ตวาสิโน เทวตา โย เตสํ พ๎ราห๎มเณน นิยมานานํ ตํ วิลาปํ สุต๎วา พ๎ราห๎มณัส์ส ทิน์นภาวํ สุต๎วา พลวสิเนเหน ปทานุปทํ ธาวิต๎วา มหัน์ตํ ทุก์ขํ อนุภเวย์ยาติ ๚
๏ ยํ โกลาหลํ อันว่าโกลาหลอันใดเปนวิไสยแสนกัมปนาท รัญ์ญา เมาะ เวส์สัน์ตเรน อันพระมหาบุรุษราชชาติอาชาไนยเชื้อชินวงษ์ ทรงบำเพ็ญเพิ่มโพธิสมภาร ด้วยเดชะอำนวยทานโพธิสัตว เปนปัจฉิมปรมัตถบารมีอันหมายมั่น ตํ โกลาหลํ ก็บังเกิดมหัศจรรย์ในไตรภพจบจนพรหเมศ ทิน์เนสุ ปางเมื่อท้าวเธอยกสองดรุณเยาวเรศผู้ยอดรัก ราวกะว่าจะแขวะควักซึ่งดวงเนตรทั้งสองข้างวางไว้ในมือพราหมณ์ เถ้าก็พาสองกุมารพงางามไปในทางกันดาร ควรจะสงสารแสนอนาถอนาถา ด้วยพระลูกเจ้าเปนกำพร้าพรากพระชนนีแต่น้อย ๆ ยังมิวายนม พราหมณยิ่งขู่ข่มเข่นเขี้ยวคำรามตีต้อนให้ด่วนเดิน ตามป่ารกระหกระเหินหอบหิวแล้วไห้โหย มีแต่เสียงเธอโอดโอยสอื้นร้องรำพรรณสั่งทุกเส้นหญ้า ก็หวั่น ๆ วังเวงวิเวกป่าพระหิมพานต์ เตสํ ลาลปิตํ สุต๎วา ฝ่ายฝูงเทพยทุกสถานพิมานไม้ไศลเกริ่นเนินแนวพนาวาศ ได้สดับคำประกาศสองกุมาร ทรงพระกรรแสงสั่งสารจนสุดเสียง ดังทิพยพิมานจะเอนเอียงอ่อนลงช้อยชด เทพยเจ้าก็เศร้าสลดพิลาปเหลียวมาแลดูดูมิได้ ภิช์ชิตหทยาวิย ปิ้มประหนึ่งว่าดวงหไทยจะประทุทลุลั่นเลอียดออกทุกอกองค์ ด้วยทรงพระอาไลยนั้นใหญ่หลวง ก็พากันกุมกรข้อนทรวงทรงพระกรรแสงโศกอยู่ซบเซา จึงปรารภว่าชาวเราเอ่ยจะคิดไฉนดี ถ้าแม้นสมเด็จพระมัทรีเธอกลับเข้ามาแต่กาลยังวันมิทันเย็น อทิส๎วา เมื่อท้าวเธอมิได้เห็นพระเจ้าลูกเธอก็จะทูลถาม ครั้นแจ้งความว่าพราหมณพาไป นางก็จะอาไลยโลดแล่นไปตามติดไม่คิดตาย มหัน์ตํ ทุก์ขํ คิดคิดไปแล้วใจหายเห็นน่าน้ำตาตก ว่าโอ้โอ๋อกมัทรีเอ่ย จะเสวยพระทุกขแทบถึงชีวิตรจะปลิดปลง ด้วยพระลูกรักทั้งสองพระองค์นี้แล้วแล ๚
๏ ภิก์ขเว ดูกรภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลสังวรญาณ เทวสํฆาโย ฝ่ายฝูงเทพยทุกสถานพิมานไม้ไพรพนม มีอารมณ์อันร้อนเร่า ส่วนเทพยเจ้าจอมสากล จึงมีเทวยุบลบังคับ แก่เทพยอันดับทั้งสามองค์ อันทรงมหิทธิศักดา ว่าท่านเอ่ยจงนฤมิตรบิดเบือนกายกลายอินทรีย์ เปนพยัคฆราชสีห์สองเสือ สามสัตวสกัดหน้านางพระยามัทรีไว้ ต่อทิพากรคลาไคลคล้อยเย็นเห็นดวงพระจันทร์ขึ้นมาอยู่รางราง ท่านจงลุกหลีกหนทางให้แก่นางงาม ตโย เทวปุต์ตา ส่วนเทพยเจ้าทั้งสามก็อำลาลีลาศผาดแผลง จำแลงเปนพระยาไกรสรราชผาดแผดเสียงสนั่น ดังสายอสนีลั่นตลอดป่า องค์หนึ่งเปนพยัคฆพระยาเสือโคร่งคำรนร้อง องค์หนึ่งเปนเสือเหลืองเนื่องคนองย่องหยัดสบัดบาท ต่างองค์ก็กระทำสีหนาทน่าพิฦกแสยงขน ก็พากันจรดลไปนอนคอยที่ช่องแคบขวางมรคา ที่พระนางเธอจะเสด็จมานั้นแล ๚
ตมัต์ถํ ฯ เตสํ ลาลปิตํ สุต๎วา ฯลฯ
มัค์คํ เม เทถ ยาจิตาติ ๚
๏ สา มัท์ที ปางนั้นส่วนสมเด็จพระมัทรีศรีสุนทรเทพกัญญา จำเดิมแต่พระนางเธอลินลาล่วงลับพระอาวาศ พระไทยนางให้หวั่นหวาดพะวงหลัง ตั้งพระไทยเปนทุกข์ถึงพระเจ้าลูกมิลืมเลย เดินพลางนางเสวยพระโศกพลาง พระไนยเนตรทั้งสองข้างไม่ขาดสายพระอัสสุชล พลางพิศดูผลาผลในกลางไพร ที่นางเคยได้อาไศรยทรงสอยอยู่เปนนิตย์ผิดสังเกต เหตุไฉนไม้ที่มีผลเปนพุ่มพวง ก็กลายกลับเปนดอกดวงเดียรดาษอนาถเนตร แถวโน้นก็แก้วเกดพิกุลแกมกับกาหลง ถัดนั่นก็สายหยุดประยงคุ์แลยมโดย พระพายพัดก็ร่วงโรยรายดอกลงมูลมอง แม่ยังได้เก็บมาร้อยกรองไปฝากลูกเมื่อวันวาน ก็เพี้ยนผิดพิศดารเปนพวงผล สัพ์พา มุย๎หันติ เมทิสา ทั้งแปดทิศก็มืดมนท์ทุกหนแห่ง ทั้งขอบฟ้าก็ดาษแดงเปนสายเลือด ไม่เว้นวายหายเหือดเปนลางร้ายไปรอบข้าง ทัก์ขิณัก์ขี พระไนยเนตรก็พร่าง ๆ อยู่พรายพร้อย ในหัวใจของแม่ยังน้อยอยู่นิดเดียว ทั้งอินทรีย์ก็เสียว ๆ สั่นระรัวริก สาแหรกคานบันดาลพลิกพลัดลงจากพระอังษา ทั้งขอน้อยในหัดถาที่เคยถือ ก็เลื่อนหลุดลงจากมือไม่เคยเปนเห็นอนาถ เอ๊ะประหลาดหลากแล้วไม่เคยเลย โอ้อกเอ๋ยมหัศจรรย์จริง ยิ่งคิดก็ยิ่งกริ่ง ๆ ตรอมพระไทยเปนทุกข์ถึงพระลูกทั้งสองคน เดินพลางนางก็รีบเก็บผลาผลแต่ตามได้ ใส่กระเช้าสาวพระบาทบทจรดุ่มเดินมาโดยด่วน พอประจวบจวนพระยาพาฬมฤคราช สดุ้งพระไทยไหวหวาดวะหวีดวิ่งวนแวะเข้าข้างทาง พระทรวงนางสั่นระรัวริกเต้นดังตีปลา ทรงพระกรรแสงโศกาพิไรร่ำ ว่ากรรมเอ๋ยกรรม ๆ ของมัทรี โอ้เวลาปานฉนี้พระลูกน้อยจะคอยหา อนึ่งมรคาก็ช่องแคบหว่างคิรี เปนตรอกน้อยรอยวิถีเฉภาะจร ทั้งสามสัตวก็มาเนื่องนอนสกัดหน้า ครั้นจะลีลาหลีกลัดตัดเดาไปทางใดก็เหลือเดิน ทั้งสองข้างเปนโขดเขินขอบคันขึ้นกั้นไว้ นีเจ โว ลัม์พเก สุริเย ทั้งเวลาก็เย็นลงไร ๆ จะค่ำแล้ว ยังไม่เห็นหน้าพระลูกแก้วของแม่เลย อกเอ๋ยจะทำไฉนดี จึงจะได้วิถีทางที่จะครรไล พระนางจึงปลงหาบคอนลงวอนไหว้แล้วอภิวาท ว่าข้าแต่พระยาพาฬมฤคราชอันเรืองเดช ท่านก็เปนพระยาสัตวในหิมเวศวนาสณฑ์ จงผินภักตรปริมณฑลทั้งสามรา มารับวันทนาน้อมไปด้วยทศนัขเบญจางค์ เม เมาะ มยา แห่งน้องนางนามชื่อว่ามัทรี ราชปุต์ตี น้องก็เปนกัลยาณีหน่อกระษัตริย์มัทราชสุริยวงษ์ อนึ่งน้องก็เปนเอกองค์อรรคบริจาริกากร แห่งพระเวสสันดรราชฤๅษี อันจำจากพระบุรีมาอยู่ไพร น้องนี้ก็ตั้งใจสุจริตติดตามมาด้วยกัตเวที อนึ่งพระสุริยศรีก็ย่ำสนธยาสายัณห์แล้ว เปนเวลาพระลูกแก้วจะอยากนมกำหนดเสวย พระพี่เจ้าของน้องเอ๋ยทั้งสามรา ขอเชิญกลับไปยังรัตนคูหาห้องแก้ว แล้วจะได้เชยชมซึ่งลูกรักแลเมียขวัญ อนึ่งน้องนี้จะแบ่งปันผลไม้ให้สักกึ่ง ครึ่งหนึ่งนั้นน้องจะขอไปฝากพระหลานน้อย ๆ ทั้งสองรา มัค์คํ เม เทถ ยาจิตา พระพี่เจ้าของน้องทั้งสามเอ่ย จงมีจิตรคิดกรุณาสังเวชบ้าง ขอเชิญล่วงครรไลให้หนทางพนาวันอันสัญจร แก่น้องที่วิงวอนอยู่นี้เถิด ๚
ตมัต์ถํ ฯ ตัส์สา ลาลัป์ปมานาย ฯลฯ
เกน นีตา เม ทารกาติ ๚
๏ ตโย เทวปุต์ตา ส่วนเทพยเจ้าทั้งสามองค์ได้ทรงฟังพระเสาวนี พระมัทรีเธอไหว้วอนขอหนทาง พระภักตร์นางนองไปด้วยน้ำพระเนตร เทพยเจ้าก็สังเวชในวิญญาณ ก็พากันอุฏฐาการคลาไคลให้มรคาแก่นางพระยามัทรี พอแจ่มแจ้งแสงศรีศศิธร นางก็ยกหาบคอนขึ้นใส่บ่า เอาพระภูษาคาดพระถันให้มั่นคง วิ่งพลางนางทรงกรรแสงพลาง ยะเหยาะเหย่าทุกฝีย่างไม่หย่อนหยุด พักหนึ่งก็ถึงที่สุดบริเวณพระอาวาศ ที่พระลูกเจ้าเคยประพาศแล่นเล่น ประหลาดแล้วแลไม่เห็นก็ใจหาย ปิ้มประหนึ่งว่าชีวิตรนางจะวางวายลงทันที จึงตรัสเรียกว่าแก้วกัณหาพ่อชาลีของแม่เอ่ย แม่มาถึงแล้ว เหตุไฉนไยพระลูกแก้วจึงมิมาเล่าหลากแก่ใจ แต่ก่อนเอ๋ยแม่เคยเข้ามาแต่ไพรสิพร้อมเพรียง เจ้าเคยวิ่งแข่งเคียงกันมารับพระมารดา ทรงพระสรวลสำรวลร่าระรื่นเริงรีบรับเอาขอคาน แล้วก็พากันกราบกรานพระชนนี พ่อชาลีเจ้าเลือกผลไม้ แม่กัณหาชอ้อนวอนไหว้ว่าจะเสวยนม ผธมเหนือพระเพลาพลาง ฉอเลาะแม่นี้ต่าง ๆ ตามประสาทารกเจริญใจ วัจ์ฉา พาลาว มาตรํ มีอุประไมยเสมือนหนึ่งลูกทรายทรามคนอง ปองที่ว่าจะชมแม่เมื่อสายัณห์ โอ้พระจอมขวัญของแม่เอ่ย เจ้ามิเคยได้ความยากย่างลงเหยียบดิน ริ้นก็มิได้ไต่ไรก็มิได้ตอม เจ้าเคยฟังแต่เสียงพี่เลี้ยงเขาขับกล่อมบำเรอด้วยดุริยางค์ยามบรรธม ธุลีลมก็มิได้พัดมาแล้วพาน แม่สู้พยาบาลบำรุงเจ้าแต่เยาว์มา เจ้ามิได้ห่างพระมารดาสักหายใจ โอ้ความเข็ญใจครั้งนี้นี่เหลือขนาด สิ้นสมบัติพลัดญาติยังแต่ตัว ต้องไปหามาเลี้ยงลูกแลผัวทุกเวลา แม่มาสละเจ้าไว้เปนกำพร้าทั้งสององค์ หํสาว เสมือนหนึ่งลูกหงษ์เหมราชปักษิน ปราศจากมุจลินท์ไปตกคลุกในโคลนหนอง สิ้นสีทองอันผ่องแผ้ว แม่กลับเข้ามาถึงแล้วได้เชยชมชื่นสบาย ที่เหนื่อยยากก็เสื่อมหายคลายทุกข์ทุเลาลืมสมบัติในวังเวียง โอ้แต่ก่อนเอ๋ยแม่เคยได้ยินเสียงเจ้าเจรจาแจ้ว ๆ อยู่ตรงนี้ อิทํ ปทวลัญ์ชํ นั่นก็รอยเท้าพ่อชาลี นี่ก็รอยบทศรีแม่กัณหา พระมารดายังแลเห็น โน่นก็กรวดทรายเจ้ารายเล่นเปนกอง ๆ สิ่งของทั้งหลายเครื่องเล่นยังเห็นอยู่ นทิส์สเร แต่ลูกรักทั้งคู่ไปอยู่ไหนไม่เห็นเลย อยํ โส อัส์สโม โอ้พระอาศรมเจ้าเอ่ยน่าอัศจรรย์ใจ แต่ก่อนดูนี่สุกใสด้วยสีทอง เสียงเนื้อนกนี่ร่ำร้องสำราญรังเรียกคู่คูขยับขัน ทั้งจักกระจั่นพรรณลองไนเรไรร้องอยู่หริ่ง ๆ ระเรื่อยโรย โหยสำเนียงดังเสียงสังคีตขับประโคมไพร โอ้เหตุไฉนจึงมาเหงาเงียบเยียบเย็นเมื่อยามนี้ ทั้งอาศรมก็หมองศรีเสมือนหนึ่งว่าจะเศร้าโศก เออชรอยว่าพระเจ้าลูกจะวิโยคพลัดพรากไปจากอกพระมารดาเสียจริงแล้วกระมังในครั้งนี้ นางก็กลับเข้าไปทูลพระราชสามีด้วยสงไสย ว่า พระพุทธเจ้าข้า ประหลาดใจกระหม่อมฉาน อันสองกุมารไปอยู่ไหนไม่แจ้งเหตุ ฤๅพากันไปเที่ยวลับพระเนตรนอกตำแหน่ง สิงสัตวที่ร้ายแรงคนองฤทธิ์ มาพานพบขบกัดตัดชีวิตรพระลูกข้าพาไปกินเปนอาหาร ถึงกระนั้นก็จะพบพานซึ่งกเฬวระร่าง มิเลือดเนื้อจะเหลืออยู่บ้างสักสิ่งอัน แต่พอแม่ได้รู้สำคัญว่าเปนตาย สุดที่แม่จะมุ่งหมายสุดประมาณแล้ว จึงตรัสว่าโอ้เจ้าแว่นแก้วส่องสว่างอกของแม่เอ๋ย แม่เคยได้รับขวัญเจ้าทุกเวลา เปนไรเล่าเจ้าจึงไม่มาเหมือนทุกวัน มตา ฤๅว่าพระลูกเจ้าอาสัญสูญสิ้นพระชนมาน อยู่ในป่าพระหิมพานต์นี้แล้วแล ๚
อิทํ ตโต ทุก์ขตรํ ฯลฯ
ชาลี กัณ๎หาชินา จุโภติ ๚
๏ เมื่อสมเด็จพระมัทรี เธอกราบทูลพระราชสามีสักเท่าใดใด ท้าวเธอมิได้ตรัสปราไสจำนรรจา นางยิ่งกลุ้มกลัดขัดอุราผะผ่าวร้อน ข้อนพระทรวงทรงพระกรรแสง ว่าเจ้าแม่เอ่ย แม่มิเคยได้เคืองแค้นเหมือนหนึ่งครั้งนี้ เมื่อจากบุรีทุเรศมา ก็พร้อมหน้าทั้งลูกผัวเปนเพื่อนทุกข์ สำคัญว่าจะเปนศุขประสายากเมื่อยามจน ครั้นลูกหายทั้งสองคนก็สิ้นคิด บังคมทูลพระสามีก็มิได้ตรัสปรานีแต่สักนิดสักหน่อยหนึ่ง ท้าวเธอมานั่งขึงตึงพระองค์ดูเหมือนจะทรงคุมเคียดด้วยข้อใด นางก็เศร้าสร้อยสลดพระไทยดังเอาเหล็กแดงมาแทงใจให้เจ็บจิตรนี่เหลือทน อุประมาเหมือนคนไข้หนักแล้วมิหนำ ยังแพทย์เอายาพิศม์มาวางซ้ำให้เวทนา เห็นชีวานี้คงจะไม่รอดไปสักกี่วัน พระคุณเอ่ย เมื่อแรกจากไอสวรรย์มาอยู่ดงก็ปลงจิตร มิได้คิดเปนจิตรสอง หวังว่าจะเปนเกือกทองฉลองบาทยุคลทั้งคู่แห่งพระคุณผัว กว่าจะสิ้นบุญตัวตายตามไปเมืองผี อนิจาเอ่ยวาศนามัทรีไม่สมคเนแล้ว พระทูลกระหม่อมแก้วจึงชิงชังไม่พูดจา ทั้งลูกรักดังแก้วตาก็หายไป อกเอ๋ยจะอยู่ไปไยให้ทนเวทนา อุประมาเสมือนหนึ่งพฤกษาลดาวัล ย่อมจะอาสัญลงเพราะลูกเปนแท้เที่ยง ถ้าแม้นพระองค์มิทรงเลี้ยงมัทรีไว้ จะนิ่งมัธยัตตัดเยื่อใยไม่โปรดบ้าง ก็จะเห็นแต่กเฬวระร่างทรากศพของมัทรีอันโทรมตายกายกลิ้งอยู่กลางดง เสียเปนมั่นคงนี้แล้วแล ๚
๏ อถ มหาสัต์โต สมเด็จพระราชสมภาร เมื่อได้สดับสารพระมัทรีเธอแสนวิโยคโศกศัลย์สุดกำลัง ถ้าแม้นจะมิตรัสแก่นางมั่งจะมิเปนการ จำจะเอาโวหารการหึงหวงเข้ามาหักโศกให้เสื่อมลง จึงเอื้อนโองการตรัสประภาษ ว่า นนุ มัท์ทิ ดูกรนางนาฎพระน้องรัก ภัท์เท เจ้าผู้มีภักตรอันผุดผ่อง เสมือนหนึ่งเอาน้ำทองเข้ามาทาบทับประเทืองผิว ราวกะว่าจะลอยลิ่วเลื่อนลงจากฟ้า ใครได้เห็นเปนขวัญตาเต็มหลงละลายทุกข์ ปลุกปลื้มอารมณ์ชายให้เชยชื่น จะ นั่งนอนเดินยืนก็ต้องอย่าง วราโรหา พร้อมด้วยเบญจางคจริตรูปจำเริญโฉม ประโลมโลกฬ่อแหลมวิไลยลักษณ์ ราชปุต์ตี ประกอบไปด้วยเชื้อศักดิสมมุติวงษ์พงษ์กระษัตรา เออก็เมื่อเช้าเจ้าจะเข้าป่าน่าสงสาร ปานประหนึ่งว่าจะไปมิได้ ทำร้องไห้ฝากลูกมิรู้แล้ว ครั้นคลาศแคล้วเคลื่อนคล้อยเข้าสู่ดง ปานประหนึ่งว่าจะหลงลืมลูกสละผัว ต่อมืดมัวจึงกลับมา ทำเปนบีบน้ำตาตีอกว่าลูกหาย ใครจะไม่รู้แยบคายความคิดหญิง ถ้าแม้นเจ้าอาไลยอยู่ด้วยลูกจริง ๆ เหมือนวาจา ก็จะรีบกลับเข้ามาแต่วี่วันไม่ทันรอน เออนี่เจ้าเที่ยวพเนจรตามสนุกใจ ชมนกชมไม้ในไพรวัน สารพันที่จะมี ทั้งฤๅษีสิทธิวิทยาธรคนธรรพ์เทพารักษ์ผู้มีภักตรอันเจริญ เห็นแล้วก็น่าเพลิดเพลินไม่เมินได้ ฤๅเจ้าปะผลไม้ประหลาดรศสดสุกทรามเสวยไม่เคยกิน เจ้าฉวยชิมชอบลิ้นก็หลงฉันอยู่จึงช้า อุปมาเสมือนหนึ่งภุมรินบินวะว่อน เที่ยวซับซาบเอาเกสรสุคนธมาเลศ พบดอกไม้อันวิเศษต้องประสงค์ หลงเคล้าคลึงรศจนลืมรัง เข้าเถื่อนเจ้าลืมพร้าได้หน้าแล้วลืมหลังไม่เหลียวกลับ เที่ยวทอดประทับมากลางทาง อันว่าพระยานางสิเปนหน่อกระษัตริย์ จะไปไหนก็เคยมีแต่กลดกั้น พานจะเกรงแสงสุริยันไม่คลาเคลื่อน เจ้ารักเดินด้วยแสงเดือนชมดาวพลาง ได้น้ำค้างกลางคืนชื่นอารมณ์สมคเน พอมาถึงก็ทำเสขึ้นเสียงเลี่ยงเลี้ยวพาโลว่าลูกหาย เออนี่เจ้ามิหมายว่าใคร ๆ ไม่รู้ทันกระนั้นกระมัง ฤๅเจ้าเห็นว่าพี่นี้เซซังมาอยู่ป่า ละอาญาทิ้งพยศอดอารมณ์เสีย เจ้าเปนแต่เพียงเมียควรฤๅมาหมิ่นได้ ถ้าแม้นพี่อยู่ในกรุงไกรเหมือนก่อนเก่า หากว่าเจ้าทำเช่นนี้ กายของมัทรีก็จะพินาศขาดสบั้นลงทันตา ด้วยพระกรเบื้องขวานี้แล้วแล ๚
๏ สา มัท์ที ส่วนสมเด็จพระยอดมิ่งเยาวมาลย์มัทรี เมื่อได้สดับคำพระราชสามีบริภาษนานาง ที่ความโศกค่อยเสื่อมส่างสงบจิตรเพราะเจ็บใจ จึงก้มพระเศียรลงกราบไหว้วันทนาพลาง นางจึงทูลสนองพระราชบัญชา ว่า พระพุทธเจ้าข้า ควรมิควรสุดแท้แต่จะทรงพระกรุณาโปรด ที่โทษานุโทษเปนล้นเกล้า ด้วยข้าพระพุทธเจ้ากลับมาเวลาค่ำทั้งนี้ เพราะเปนกลีขึ้นในไพรวัน พฤกษาทุกสิ่งสารพันก็แปรปรวนทุกประการ ทั้งพื้นป่าพระหิมพานต์ก็ผัดผันหวั่นไหวอยู่วิงเวียน เปลี่ยนเปนพยับมืดไม่เห็นหน ข้าพระบาทนี่ก็ร้อนรนไม่หยุดหย่อนแต่สักย่าง แต่เดินมาก็บังเกิดประหลาดลางขึ้นในกลางพนาลี พบพระยาราชสีห์สองเสือ ทั้งสามสัตวสกัดหน้าไม่มาได้ ต่อสิ้นแสงอโนไทยจึงคลาเคลื่อน ใช่จะเปนเหมือนพระองค์ดำริห์นั้นก็หามิได้ พระพุทธเจ้าข้า ตั้งแต่เกล้ากระหม่อมฉันตกมาเปนข้าน้อย พระองค์เห็นพิรุธร่องรอยร้าวรานที่ตรงไหน ทอดพระเนตรสังเกตไว้แต่ปางก่อน จึงเคืองค่อนด้วยคำหยาบยอกใจเจ็บจิตรเหลือกำลัง พระคุณเอ่ย จะคิดดูบ้างเปนไรเล่า ว่ามัทรีนี้เปนข้าเก่าแต่ก่อนมา ดังเงาตามพระบาทาก็เหมือนกัน นอกกว่านั้นที่แน่นอนคือนางใด อันสนิทชิดใช้แต่ก่อนกาล ยังจะติดตามพระราชสมภารมาบ้างละฤๅ ได้แต่มัทรีที่แสนดื้อผู้เดียวดอก ไม่รู้จักปลิ้นปลอกปลีกเอาตัวหนี ด้วยข้ามัทรีนี้สามิภักดิรักผัวเพียงบิดาก็ว่าได้ ถึงจะยากเย็นเข็ญใจก็ตามกรรม วนมูลผลาหาริยา อุสาหกระตรากกระตรำเตร็จเตร่หาผลาผลไม้ ถึงที่ไหนจะรกเรี้ยวก็ซอกซอนอุส่าห์เที่ยวไม่ถอยหลัง จนเนื้อหนังข่วนขาดเปนริ้วรอย โลหิตไหลย้อยทุกหย่อมหนาม อารามจะใคร่ได้ผลาผลไม้มาปฏิบัติลูกบำรุงผัว ถึงกระไรจะคุ้มตัวก็ทั้งยากน่าหลากใจ อกของใครจะอาภัพยับพิกลเหมือนอกของมัทรีไม่มีเนตร น่าที่จะสงสารสังเวชโปรดปรานี ว่ามัทรีนี้เปนเพื่อนยากอยู่จริง ๆ ช่างค้อนติงปริภาษนาได้ไม่คิดเลย พระคุณเอ่ย ถึงพระองค์จะสงไสยก็น้ำใจของมัทรีนี้กัตเวที เปนไม้เท้าก้าวเข้าสู่ที่ทางทดแทน รามํ สิตาวนุปุพ์พตา อุปมาแม้นเหมือนสีดาอันภักดีต่อสามีรามบัณฑิตย์ ปานประหนึ่งว่าศิษย์กับอาจารย์ พระพุทธเจ้าข้า กระหม่อมฉานกระทำผิดแต่เพียงช้า เพราะว่าล่วงเวลาจึงมีโทษ ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาโปรดซึ่งโทษานุโทษข้ามัทรี แต่ครั้งเดียวนี้เถิด ๚
อิเม เต ชัม์พุกา รุก์ขา ฯลฯ
ตัต์เถว ปติตา ฉมาติ ๚
๏ เมื่อสมเด็จพระยอดมิ่งเยาวมาลย์มัทรี กราบทูลพระราชสามีสักเท่าใด ๆ ท้าวเธอจะได้ปราไสก็ไม่มี พระนางยิ่งหมองศรีโศกกำสรดสอื้น ถวายบังคมคืนออกมาเที่ยวแสวงหาพระลูกรักทุกหนแห่ง กระจ่างแจ้งด้วยแสงพระจันทร์ส่องสว่างพื้นอัมพรประเทศวิถี นางเสด็จจรลีไปหยุดยืนในภาคพื้นปริมณฑลใต้ต้นหว้า จึงตรัสว่า อิเมเต ชัม์พุกา รุก์ขา ควรจะสงสารเอ่ยด้วยต้นหว้าใหญ่ใกล้อาราม งามด้วยกิ่งก้านประกวดกัน ใบชอุ่มประชุมช่อเปนชั้นชั้นดังฉัตรทอง แสงพระจันทรดั้นส่องต้องน้ำค้างที่ขังให้ไหลลงหยดย้อย เหมือนหนึ่งน้ำพลอยพร้อย ๆ อยู่พราย ๆ ต้องกับแสงกรวดทรายที่ใต้ต้นอร่ามวามวาวดูเปนวนวงแวว ดังบุคคลเอาแก้วมาระแนงแกล้งมาปรายโปรยโรยรอบปริมณฑลก็เหมือนกัน งามดังไม้ปาริกชาติในเมืองสวรรค์มาปลูกไว้ ลูกรักเจ้าแม่เอ่ย เจ้าเคยมาอาไศรยนั่งนอน ประทับร้อนสำราญร่มรื่นสำรวลเล่นเย็นสบาย พระพายรำเพยพัดมาฉิวเฉื่อย เรไรระรี่เรื่อยร้องอยู่หริ่ง ๆ แต่ลูกรักของแม่ทั้งชายหญิงไปอยู่ไหนไม่เห็นเลย มหานิโค๎รธชาตํ อนิจา ๆ เอ๋ย เห็นแต่ไทรทองถัดกันไป กิ่งก้านใหญ่รากยื่นย้อยยานลงมา เจ้าเคยมาห้อยโหนโยนชิงช้าชวนกันแกว่งไกว แล้วแล่นไล่ปิดตาหาเร้นแทบหลังบริเวณพระอาวาศ อิมา ตา โปก์ขรณี รัม์มา เจ้าเคยมาประพาศสรงสระสนานในสระศรี โบกขรณีตำแหน่งนอกพระอาวาศ นางเสด็จลีลาศไปเที่ยวเวียนรอบ จึงตรัสว่าน้ำเอ๋ย เคยมาเปี่ยมขอบเปนไรจึงขอดข้นลงขุ่นหมอง พระพายเจ้าเอ๋ยเคยมาพัดต้องกลีบอุบล พากลิ่นสุคนธขจรรศมารวยรื่น เปนไรจึงเสื่อมหอมหายชื่นไม่เฉื่อยฉ่ำ ฝูงปลาเอ๋ยเคยมาผุดคล่ำดำเข้าแฝงฟอง บ้างก็ขึ้นล่องว่ายอยู่ลอยเลื่อน ชมแสงเดือนอยู่พราย ๆ เปนไรจึงไม่ว่ายเวียนวง นกเจ้าเอ๋ยเคยบินลงไล่จิกเหยื่อทุกเวลา วันนี้แปลกเปล่าตาแม่ไม่แลเห็น พระลูกเอ๋ย เจ้าเคยมาเที่ยวเล่นแม่แลไม่เห็นแล้ว โอ้แลเห็นแต่สระแก้วอยู่อ้างว้างวังเวงใจ นางก็เสด็จครรไลล่วงตำบล เที่ยวค้นหาพระลูกตามลำเนาเนินป่า ทุกสุมทุมพุ่มพฤกษาสูงยูงยางใหญ่ไพรระหง พนัศแดนดงเย็นยะเยือกเงียบสงัดเหงา ได้ยินแต่เสียงดุเหว่าลเมอร้องก้องพนาเวศ พระกรรณเธอสังเกตว่าสองดรุณเยาวเรศเจ้าร้องขานอยู่แว่ว ๆ ให้หวาดว่าสำเนียงเสียงพระลูกแก้วเจ้าขานรับพระมารดา นางเสด็จลีลาเข้าไปหาดู เห็นแต่หมู่สัตวจัตุบาทกลาดกลุ้มเข้าสุมนอน นางก็ยิ่งสท้อนถอนพระไทยเทวศครวญ เสด็จด่วน ๆ ดะดุ่มเดินเมิลมุ่งละเมาะไม้มองหมอบ แต่ย่างเหยียบเกรียบกรอบก็เหลียวหลัง พระโสตรฟังให้หวาดแว่ว ว่าสำเนียงเสียงพระลูกแก้วเจ้าบ่นอยู่งึมๆ พุ่มไม้ครึ้มเปนเงา ๆ ชโงกเงื้อม พระเนตรเธอแลเหลือบให้ลายเลื่อม เห็นเปนรูปคนตะคุ่ม ๆ อยู่คล้าย ๆ แล้วหายไป สมเด็จพระอรไทยเธอเที่ยวตะโกนกู่กู่ก้อง พระภักตร์เธอฟูมฟองนองไปด้วยน้ำพระเนตรเธอโศกา จึงตรัสว่าโอ้โอ๋เวลาปานฉนี้เอ๋ยจะมิดึกดื่น จวนจะสิ้นคืนค่อนรุ่งไปเสียแล้วฤๅกะไรไม่รู้เลย พระพายรำเพยพัดมารี่เรื่อยอยู่เฉื่อยฉิว อกแม่นี้ให้อ่อนหิวสุดละห้อย ทั้งดาวเดือนก็เคลื่อนคล้อยลงลับไม้ สุดที่แม่จะติดตามเจ้าไปเมื่อยามนี้ ฝูงลิงค่างบ่างชนีที่นอนหลับ ก็กลิ้งกลับเกลือกตัวอยู่ยั้วเยี้ย ทั้งนกหกก็งัวเงียเหงาเงียบทุกรวงรัง แต่แม่เที่ยวเซซังเสาะแสวงทุกแห่งห้องหิมเวศ ทั่วประเทศทุกราวป่า สุดสายไนยนาที่แม่จะตามไปเล็งแล สุดโสตรแล้วที่แม่จะซับซาบฟังสำเนียง สุดสุรเสียงที่แม่จะร่ำเรียกพิไรร้อง สุดฝีเท้าที่แม่จะเยื้องย่องยกย่างลงเหยียบดิน ก็สุดสิ้นสุดปัญญา สุดหาสุดค้นเห็นสุดคิด จะได้พานพบประสบรอยพระลูกน้อยแต่สักนิดไม่มีเลย จึงตรัสว่าเจ้าดวงมณฑาทองทั้งคู่ของแม่เอ๋ย ฤๅว่าเจ้าทิ้งขว้างวางจิตรไปเกิดอื่น เหมือนแม่ฝันเมื่อคืนนี้แล้วแล ๚
๏ ภิก์ขเว ดูกรสงฆ์ผู้ทรงพรหมจารี เมื่อสมเด็จพระมัทรีทรงพระกำสรดแสนกัมปนาท เพียงพระสันดานจะขาดดับสูญ ปริเทวิต๎วา นางเสวยพระทุกขอาดูรภูลเทวศในพระอุรา น้ำพระอัสสุชลนาเธอไหลนองคลองพระเนตร ทรงพระกรรแสงแสนเทวศพิไรร่ำ ตั้งแต่ประถมยามค่ำไม่หย่อนหยุดแต่สักโมงยาม นางเสด็จไต่เต้าติดตามทุกตำบล ละเมาะไม้ไพรสณฑ์ศิขรินทร์ ทุกห้วยธารละหานหินเหวหุบห้องคูหาวาศ ทรงพระพิไรร้องก้องประกาศเกริ่นสำเนียง พระสุรเสียงเธอเยือกเย็นระย่อทุกอกสัตว พระพายรำเพยพัดทุกกิ่งก้าน บุษบงก็เบิกบานผกากร รัศมีพระจันทรก็มัวหมองเหมือนหนึ่งจะเศร้าโศก แสนวิโยคเมื่อยามประจุสไสมย ทั้งรัศมีพระสุริโยไทยส่องอยู่ราง ๆ ขึ้นเรืองฟ้า เสียงชนีเหนี่ยวไม้ไห้หาละห้อยโหย พระกำลังนางก็อิดโรยพิไรร่ำร้อง พระสุรเสียงเธอกู่ก้องกังวานดง เทพยเจ้าทุกพระองค์กอดพระหัดถ์เงี่ยพระโสตรสดับสาร พระเยาวมาลย์เธอเที่ยวหาพระลูก พระนางเธอเสวยทุกข์แสนเข็ญ ตั้งแต่ยามเย็นจนรุ่งเช้าก็สุดสิ้นที่จะเที่ยวค้น ทุกตำแหน่งแห่งละสามหนเธอเที่ยวหา ปัณ์ณรสโยชนมัค์คํ ถ้าจะคลี่คลายขยายมรคาก็ได้สิบห้าโยชน์โดยนิยม นางจึงเซซังเข้าไปสู่พระอาศรมบังคมบาทพระภัศดา ประหนึ่งว่าชีวาจะวางวายทำลายล่วง สองพระกรเธอข้อนทรวงทรงพระกรรแสงครวญคร่ำแล้วรำพรรณ ว่า โอ้เจ้าดวงสุริยันจันทรทั้งคู่ของแม่เอ๋ย แม่ไม่รู้เลยว่าเจ้าจะหนีพระมารดา ไปสู่ภาราใดไม่รู้ที่ ฤๅว่าจะข้ามนทีทเลวนหิมเวศประเทศทิศแดนใด ถ้ารู้แจ้งประจักษ์ใจแม่ก็จะตามเจ้าไปจนสุดแรง นี่ก็เหลือที่แม่จะเที่ยวแสวงสืบเสาะหา เมื่อเช้าแม่จะเข้าไปสู่ป่า พ่อชาลีแม่กัณหายังทูลสั่ง แม่ยังกลับหลังมาโลมลูบจูบกระหม่อมจอมเกล้าทั้งสองรา กลิ่นยังจับนาสาอยู่รวยรื่น โอ้พระลูกข้านี้จะไม่คืนเสียแล้วกระมังในครั้งนี้ กัณหาชาลีลูกรักแม่ นับวันแต่ว่าจะแลลับล่วงไปเสียแล้วแลหนอ ใครจะกอดพระสอเสวยนมผธมด้วยแม่เล่า ยามเมื่อแม่จะเข้าที่บรรจฐรณ์ เจ้าเคยเคียงเรียงหมอนนอนแนบข้างทุกราตรี แต่นี้แม่จะกล่อมใครให้นิทรา โอ้แม่อุ้มท้องประคองเคียงเลี้ยงเจ้ามาก็หมายมั่น สำคัญว่าจะได้อยู่เปนเพื่อนยาก จะฝากผีพึ่งลูกทั้งสองคน มิรู้ว่าจะไม่เปนผลอาเภทผิดประมาณ เจ้าเอาแต่ห่วงสงสารนี่ฤๅมาสวมคล้อง ให้แม่นี้ติดต้องข้องอยู่ด้วยอาไลย เจ้าทิ้งชื่อแลโฉมไว้ให้เปล่าอกในวิญญา เมื่อเช้าแม่จะเข้าไปสู่ป่ายังได้เห็นหน้าเจ้าอยู่หลัดๆ ควรแลฤๅมาซัดแม่นี้ไว้ เหมือนจะเตือนให้แม่นี้บรรไลยเสียยังแล้ว ควรจะสงสารเอ่ยด้วยนางแก้วกัลยาณี น้อมพระเกษีลงทูลถาม หวังจะติดตามพระลูกรักทั้งสองรา กราบถวายบังคมลาแล้วลุกเลื่อน เขยื้อนยกพระบาทจะเยื้องย่าง พระกายนางให้เสียวสั่นหวั่นไหวไปทั้งองค์ ดุจชายธงอันต้องกำลังลมอยู่ริ้ว ๆ สิ้นพระแรงโรยเธอโหยหิวระหวยทรวง พระสอเธอหงุบง่วงดวงพระภักตร์ผิดเผือดให้แปรผัน จะทูลสั่งก็ยังมิทันที่จะทูลเลย ได้แต่ร้องว่าพระคุณเจ้าเอ๋ย คำเดียวก็หายเสียง เอียงพระกายบ่ายศิโรเพศ พระเนตรหลับหับพระโอษฐลงทันที วิสัญ์ญี หุต๎วา นางก็ถึงวิสัญญีสลบลงแน่นิ่งตรงน่าฉาน เปรียบปานประหนึ่งว่าฉัตรทองอันต้องสายอสนีฟาด หักวินาศระเนนเอนแล้วก็ล้มลง ตรงน่าพระที่นั่งเจ้านั้นแล ๚
๏ อถ มหาสัต์โต ปางนั้นสมเด็จพระเพสสันดรอดุลยดวงกระษัตริย์ ตรัสทอดพระเนตรเห็นพระอัคเรศถึงวิสัญญีภาพสลบลงวันนั้น พระไทยท้าวเธอสำคัญว่าพระนางเธอวางวาย สดุ้งพระไทยหายว่าโอ้อนิจามัทรีเจ้าพี่เอ๋ย บุญพี่นี้น้อยแล้วนะเจ้าเพื่อนยาก เจ้ามาตายจากพี่ไปในวงวัด เจ้าจะเอาป่าชัฏนี้ฤๅมาเปนป่าช้า จะเอาบรรณศาลานี้ฤๅเปนบริเวณพระเมรุทอง จะเอาแต่เสียงสาลิกาอันร่ำร้องนั่นฤๅมาเปนกลองประโคมใน จะเอาแต่เสียงจักกระจั่นแลเรไรอันร่ำร้องนั้นฤๅมาต่างแตรสังข์แลพิณพาทย์ จะเอาแต่เมฆหมอกในอากาศนั่นฤๅมากั้นเปนเพดาน จะเอาแต่ยูงยางในป่าพระหิมพานต์มาต่างฉัตรเงินแลฉัตรทอง จะเอาแต่แสงพระจันทร์อันผุดผ่องมาต่างประทีปแก้วงามโอภาษ อนิจามัทรีเอ่ย มาตายเอน็จอนาถไร้ญาติที่กลางดง ครั้นท้าวเธอค่อยคลายลงที่โศกศัลย์ จึงผันพระภักตร์มาพิจารณา ก็รู้ว่ายังไม่อาสัญ จึงเข้าไปยังพระคันธกุฎี จับเอาคนทีอันเต็มไปด้วยน้ำมาทันใด ตั้งแต่พระองค์ทรงพระผนวชไพรมาได้ถึงเจ็ดเดือนปลาย จะได้ต้องพระกายนางมัทรีก็หามิได้ เมื่อความทุกข์พ้นวิไสยมิอาจที่จะกำหนด ว่าอาตมนี้เปนดาบศฤๅษี ยกเศียรพระมัทรีขึ้นใส่ตัก วักเอาวารีมาโสรจสรงลงที่อุระพระมัทรี หวังว่าจะให้ชุ่มชื้นฟื้นสมประฤๅดีคืนมา แห่งนางพระยานั้นแล ๚
ตมัต์ถํ ฯ ตยัช์ช ปุต์ตํ ราชปุต์ตึ ฯลฯ
ปุต์ตเก ทานมุต์ตมัน์ติ ๚
๏ ภิก์ขเว ดูกรสงฆ์ผู้ทรงศีลวิสุทธสิกขา เมื่อสมเด็จพระมัทรีเธอได้สมประฤๅดีคืนมา นางพระยาเจ้าลอายแก่เทพยดานัก ด้วยมานอนอยู่บนตักพระราชสามีมิบังควร อุฏ์ฐาย จึงอุฏฐาการโดยด่วนเลื่อนพระองค์ลงจากตักพระราชสามี พระมัทรีจึงทูลถามว่าพระพุทธเจ้าข้า พระลูกรักทั้งสองราไปอยู่ไหนนะฝ่าพระบาท ท้าวเธอจึงตรัสประภาษว่าดูกรเจ้ามัทรี อันสองกุมารนี้พี่ให้เปนทาน แก่พราหมณแต่วันวานนี้แล้ว พระน้องแก้วเจ้าอย่าโศกศัลย์ จงตั้งจิตรของเจ้านั้นให้โสมนัศศรัทธา ในทางอันก่อกฤษฎาภินิหารทานบารมี ลัจ์ฉาม ปุต์เต ชีวัน์ตา ถ้าเราทั้งสองนี้ยังมีชีวิตรสืบไป อันสองกุมารนี้ไซ้ก็คงจะได้พบกันเปนมั่นแม่น ถึงแสนสัตตพิธรัตนเครื่องอลังการซึ่งพระราชทานไปนั้นเราก็จะได้ด้วยพระไทยหวัง ทัช์ชา สัป์ปุริโส ทานํ มัทรีเอ่ย อันอริยสัปปุรุษเห็นปานดังตัวพี่ฉนี้ ถึงจะมีเข้าของสักเท่าใด ๆ ทิส๎วา ยาจกมาคเต ถ้าเห็นยาจกเข้ามาใกล้ไหว้วอนขอ ไม่ย่อท้อในทางทาน จนแต่ชั้นลูกรักยอดสงสารพี่ยังยกให้เปนทานได้ อันสองกุมารนี้ไซ้เปนแต่ทานพาหิรกภายนอกไม่อิ่มหนำ พี่จะใคร่ให้อัชฌัตติกทานซ้ำอิกนะเจ้ามัทรี ถ้าแม้นมีบุคคลผู้ใดปราถนาเนื้อหนัง มังสังโลหิตดวงหไทยไนยเนตรทั้งซ้ายขวา พี่ก็จะแหวะผ่าให้เปนทานไม่ย่อท้อถึงเพียงนี้ มัทรีเอ่ย จงศรัทธาด้วยช่วยอนุโมทนาทาน ในกาลบัดนี้เถิด ๚
๏ สมเด็จพระมัทรีทูลสนองพระโองการ ว่า พระพุทธเจ้าข้า แต่วันวานนี้เหตุไฉนจึงไม่แจ้งยุบลสารให้ทราบเกล้า ท้าวเธอจึงตรัสเล่าว่า พระน้องเอ่ย พี่จะเล่าให้เจ้าฟังก็สุดใจ ด้วยเจ้ามาแต่ป่าไกลยังเหนื่อยนัก พี่เห็นว่าความร้อนความรักจะรุมอก ด้วยสองดรุณทารกเปนเพื่อนไร้ เจ้ามัทรีเอ่ย จงผ่องใสอย่าสอดแคล้ว อันสองพระลูกแก้วไปไกลเนตร พระนางจึงตรัสว่า พระพุทธเจ้าข้า อันสองกุมารนี้เกล้ากระหม่อมฉันได้อุสาหถนอม ย่อมพยาบาลบำรุงมา ขออนุโมทนาด้วยปิยบุตตทานบารมี ขอให้น้ำพระหฤไทยพระองค์จงผ่องแผ้วอย่ามีมัจฉริยธรรมอกุศล อย่ามาปะปนในน้ำพระไทยของพระองค์เลย ท้าวเธอจึงตรัสว่าพระน้องเอ๋ย ถ้าพี่มิได้ให้ด้วยเลื่อมใสศรัทธาแท้แล้ว ที่ไหนเลยแผ่นดินดาลจะกัมปนาทหวาดหวั่นไหวจลาจล ท้าวเธอเล่าอนุสนธิมหัศจรรย์ อันมีอยู่ในกัณฑ์กุมารบรรพ กลับมาเล่าให้พระมัทรีฟัง เหมือนในกาลหนหลังนั้นแล ๚
๏ สา มัท์ที ส่วนสมเด็จพระมัทรีศรีสุนทรบวรราชธิดา มหาสมมุติวงษ์วิสุทธสืบสันดานมา วราโรหา ทรงพระภักตร์ผิวผ่องดุจเนื้อทองไม่เทียมศรี ยสัส์สินี มีพระเกียรติยศอันโอฬารล้ำเลิศวิไลยลักษณยอดกระษัตริย์ อันทรงพระศรัทธาโสมนัศนบนิ้วประนมน้อมพระเศียรเคารพทาน ท้าวเธอก็ชื่นบานบริสุทธิด้วยปิยบุตรมิ่งมกุฏทานอันพิเศษ ฝ่ายฝูงอมรเทเวศร์ทุกวิมานมาศมณเฑียรทุกหมู่ไม้ ก็ยิ้มแย้มพระโอษฐตบพระหัดถ์อยู่ฉาดฉาน ร้องสาธุการสรรเสริญเจริญทานบารมี ทั้งสมเด็จอมรินทร์เจ้าฟ้าสุราไลย อันเปนใหญ่ในดาวดึงษ์สวรรค์ ก็มาโปรยปรายทิพยบุบผากรอง ทั้งพวงแก้วแลพวงทองก็โรยร่วงจากกลีบเมฆกระทำสักการบูชา แก่สมเด็จนางพระยามัทรี ท้าวเธอทรงกระทำอนุโมทนาทาน เวส์สัน์ตรัส์ส แห่งพระเพสสันดรราชฤๅษีผู้เปนพระภัศดา อิติ เมาะ อิมินา นิยาเมน โดยนิยมดังนี้แล้วแล ๚
มัท์ทีปัพ์พํ นิฏ์ฐิตํ
ประดับด้วยพระคาถา ๙๐ พระคาถา
----------------------------