กัณฑ์ที่ ๑๒ ฉขัติยบรรพ

๏ ชาลีกุมาโรปิ มุจ์จลิน์ทสรตีเร ขัน์ธาวารํ นิวาสาเปต๎วา จุท์ทสรถสหัส์สานิ อาคตมัค์ คาภิมุขาเนว ฐปาเปต๎วา ตัส๎มึ ตัส๎มึ ปเทเส สีหพ๎ยัค์ฆทีปิขัค์คาทีสุ อารัก์ขํ สุสํวิทหิ หัต์ถีอาทีนํ สัท์โท มหา อโหสิ ๚

๏ ชาลีกุมาโรปิ แม้อันว่าพระชาลีศรีสุริยราชวงษ์ เมื่อดำเนินพหลจัตุรงค์เปนกระบวนน่า นำเสด็จสมเด็จพระไอยกามกุฏิกรุงกระษัตริย์ อันเสวยสวรรยาธิปัติปิ่นประชาชาวพิไชยเชต เมื่อถึงมุจลินทประเทศโบกขรณี จึงให้ยับยั้งพยุหโยธีตั้งตำหนักทัพรับเสด็จสมเด็จพระไอยกา แล้วให้ตรวจตรากันตั้งค่าย ช้างม้ารายเปนกรรกง พลทหารล้อมวงเปนหลั่น ๆ เพื่อจะป้องกันสรรพไภยพาฬมฤคจัตุบท แล้วให้พลราชรถเรียบเรียงเบี่ยงบ่ายหน้าต่อพระพิไชยเชตุดร เสียงไหยรถคชแสนยากรนี่สนั่นสเทือนสท้านถึงเขตรขันธ์คิริยวงกฏ มหาสัต์โต ส่วนสมเด็จพระยอดประยูรยศขัติยวงษ์ พระโสตรทรงสดับศัพทสำเนียงเสียงพิฦกล้ำกัมปนาท สดุ้งพระไทยไหวหวาดว่าราชปรปักษ์ ชรอยจะยกมาหาญหักชิงพิภพรบพระนครสีพี แล้วพิฆาฎฆ่าสมเด็จพระบรมชนกาธิบดีให้ดับชีพ จึงยกพหลเร็วรีบมาตามติด หวังจะประหารพระชนมชีวิตรอาตมเสียกระมังในครั้งนี้ จึงพาพระเอกอรรคมเหษีสุนทรเทพกระษัตริย์ขัติยนาเรศ ขึ้นสู่ศิงขรประเทศซ่อนพระองค์ แล้วก็ทอดพระเนตรดูนิกรจัตุรงคราชเสนา ในสถานที่นั้นแล ๚

ตมัต์ถํ ฯ เตสํ สุต๎วาน นิค์โฆสํ ฯลฯ

ทัฬ๎หํ กัต๎วาน มานสัน์ติ ๚

๏ ภิก์ขเว ดูกรสงฆ์ผู้ทรงศีลสังวรอินทรีย์ สมเด็จพระมิ่งโมฬีโลกุตมาภิเศก เอกอรรคมกุฏิวิสุทธสรรเพชญ์พงษ์ จึงตรัสแก่พระยอดเยาวอนงค์องค์อัคเรศราชนารี ว่าดูกรเจ้าผู้ทรงศรีสุนทรลักษณวิลาศเลิศ โน่นแน่ทิวแถวทวนธงเทิดทิฆัมพร เสียงไหยรถคชแสนยากรนี้ก็ก้องกึกพิฦกลั่น สเทือนท้องพระหิมวันต์เพียงจะพังพินาศ หมู่พหลพยุหบาตรกระบวนพล ดูนี้ก็เกลื่อนกล่นกลาดพนาเวศ ดุจหนึ่งคลื่นในสมุทสาคเรศบรู้กี่โกฏิ มิคสํฆานิ ลุท์ธกา มัทรีเอ่ย เราทั้งสองนี้โสดเสมอเหมือนมฤคมาศ อันหมู่พเนจรใจฉกรรจ์กาจชวนกันกั้นกางวางข่ายรายปกไว้ทุกช่อง มีมือถือตระบองแบกหอกแลแหลนหลาวร้องป่าวกัน ให้เร่งเลือกสรรเอาแต่ตัวพี แล้วก็ไล่ต้อนตีให้ลงหลุมรุมกันแทงให้ถึงชีวิตันตราย อกเราทั้งสองครั้งนี้นี่ก็หมายเหมือนฉนั้น นี่เนื้อว่ากรรมมาตามทันจึงต้องเนรเทศ ให้นิราศนคเรศมาอยู่ไพร แล้วยังมิพ้นไภยอรินราช เราทั้งสองนี้ก็จะพินาศเสียเปนมั่นคง ในพนัศแดนดงนี้แล้วแล ๚

๏ สมเด็จพระมัทรีศรีวิสุทธิกระษัตริย์รัตนราชกัญญา เมื่อสดับสารพระภัศดาอดุลเดช นางท้าวเธอก็ทอดพระเนตรนิกรแสนเสนี ก็ทราบว่าพลชาวพระนครสีพีแน่ตระหนัก จึงทูลพระจอมปิ่นปักอรรคนเรศร์ หวังจะบันเทาอุทัจเหตุในพระราชหฤไทย ว่าพระพุทธเจ้าข้าพระองค์อย่าได้สงไสยพระบารมี พระร่มเกล้าจะได้ตรัสแก่พระสร้อยศรีสรรเพ็ชญ์โพธิญาณ จะข้ามขนสัตวให้พ้นโอฆกันดารจตุรปาเยศ ลุศิวาไลยนคเรศระงับไภย ถึงแม้นมาตรปัจจามิตรหมู่ใดจะประทุษฐร้าย ก็จะพินาศฉิบหายพ่ายแพ้พระบารมี อัค์คิว อุทกัณ์ณเว ดุจดังอัคคีอันน้อยนิดหนึ่งนั้นฤๅจะเผาผลาญ ซึ่งมหรรณพนทีธารให้เหือดแห้ง กระแสสินธุ์ก็จะดับแสงให้เสื่อมสูญ สิ้นฤทธิเรืองจำรูญระเริงร้อน พระองค์สิทรงพระคุณดังขุนศิขรเขาสิเนรุราช ผู้ใดใครฤๅจะอาจให้เอียงเอนอันตรายได้ จงดำรงพระหฤไทยดำริห์ก่อน เห็นจะสมอุดมอัษฎาพรบเพี้ยนผิด อันสมเด็จบรมสุราฤทธิประสิทธิประสาท ชรอยจะเปนทัพพระบิตุราชออกมารับเสด็จ พระบรมหน่อสรรเพ็ชญ์คืนพระนคร ครั้นท้าวเธอทรงสดับก็หายอาวรณ์วางเทวศ จึงพาพระเอกอัคเรศราชกัญญา เสด็จคืนพระบรรณศาลาทรงสถิตย์ ทัฬ๎หํ กัต๎วาน มานสํ มีพระกระมลสมาธิจิตรมิได้กัมปนาท ดุจหนึ่งสุวรรณปฏิมามาศอันบุคคลหล่อแล้วมาตั้งไว้ ในน่าพระอาศรมนั้นแล ๚

ตมัต์ถํ ฯ นิวัต์ตยิต๎วาน รถํ ฯลฯ

อโถ วุฏ์ฐิ น ฉิช์ชตีติ ๚

๏ ภิก์ขเว ดูกรสงฆ์ผู้ทรงศีลสมาธิญาณ ส่วนสมเด็จพระจอมภพผู้ผ่านพระนครสีพีศรีสญไชยนราธิเบศร์ จึงตรัสแก่พระเอกอัคเรศราชเทพีผุสดีอดุลลักษณวิลาศ ว่าเราจะเข้าไปสู่สำนักนิ์พระโอรสาธิราชพร้อมกัน ก็จะบังเกิดเศร้าแสนศัลย์กำสรดโศก ด้วยอัญญมัญญวิโยคยายี ตัวของพี่นี้จะเข้าไปก่อน เจ้าจึงบทจรเข้าไปตามต่อภายหลัง แล้วให้สองกุมารรอรั้งอยู่สุดท้าย จึงค่อยผันผายผ่อนกันเข้าไปเปนลำดับ แล้วท้าวเธอก็ให้กลับทัพประเทียบพล บ่ายหน้าคืนพระนครมณฑลสกลอาณาเขตร จึงเสด็จลงจากพระคชาธเรศราชกุญชร ทรงสพักภูสิตาภรณ์เฉวียงพระอังษา ประนมพระกรลีลาแลวิลาศ แวดล้อมด้วยหมู่ภิมุขมาตโยดม ยุรยาตรยังพระอาศรมสักรทัติเยศ เพื่อจะอภิเศกสองขัติยาธิเบศร์บรมวงษ์ ให้สืบเสวยมไหสุริยดำรงราชอาณาจักร เมื่อทอดพระเนตรเห็นพระลูกรักร่วมพระไทย อันทรงประพฤติพรหมพิไสยอิสีเวศ ดุจองค์สมเด็จกมเลศอันลีลาศ ลงจากพิภพสุทธาวาศบวรวิมาน มีพระอาการกายจิตรวิเวก ทรงสังวรเสลขสละกาม กอปรด้วยมารยาตรเสงี่ยมงามเงื่อนอริยพงษ์ เมื่อสองกระษัตริย์ศรีสุริยวงษ์ทอดพระเนตร เห็นสมเด็จบรมนเรศร์ราชบิดร ก็กระทำปัจจุคมนาการชลีกรกราบลงกับฝ่าพระบาท ท้าวเธอก็ยกพระหัดถ์ปรามาศเหนือพื้นพระขนองสองกระษัตรา แล้วสร้วมกอดพระสร้อยสุณิสาศรีสุริโยรส ประทับแทบพระอุระระทดทอดถอนพระไทย พลางจุมพิตพระเกษจุไรรำพรรณพิลาป พระอัสสุชลไนยนี้ก็มาไหลอาบพระภักตรา จึงตรัสว่าโอ้อนิจาเจ้าพ่อเอ่ย กะไรเลยช่างมาตกยาก มิควรเลยจะเสวยทุกขลำบากถึงเพียงนี้ แล้วต่างพระองค์ก็ทรงพระโศกีกำสรดโศก ด้วยอัญญมัญญวิโยคเมื่อยามนั้น ครั้นรงับดับโศกศัลย์แล้วก็ตรัสปฏิสันถารถามถึงทุกขพยาธิ์ ว่า กัจ์จิโว กุสลํ ปุต์ต พระลูกเอ่ย ยังค่อยเสวยศุขนิราศโรคันตราย ทั้งเหลือบยุงริ้นร่านร้ายไม่ราวี เลี้ยงพระชนมชีพสดวกดีอยู่ดอกฤๅพระลูกแก้ว ทั้งเหล่าทีฆชาติมิได้มีมาวี่แววเบียดเบียน วเน พาฬมิคากิณ์เณ ในพระหิมเวศนี้ก็ย่อมอาเกียรณ์ไปด้วยพาฬจัตุบาท ยังมาย่ำยีถึงบริเวณพระอาวาศบ้างฤๅว่าหามิได้ พระลูกท้าวเธอก็ตรัสขานไขคดีทูล ว่า ข้าแต่นเรสูรสมมุติเทเวศร์ ผู้เปนปิ่นปกเกษพิภพสีพี ชีวิตรข้าพระบาททั้งสองนี้พระพุทธเจ้าข้า กสิรา ได้ความลำบากยากแค้นแสนกันดาร ด้วยแสวงหามูลผลาหารมาเลี้ยงกัน เปนนิจนิรันตร์ไม่เว้นวาย พระคุณของลูกเอ่ย จักเสวยศุขสบายมาแต่ไหน มีแต่ความลำเค็ญเข็ญใจนี้มาเพิ่มภูล ดูนี้ก็เสื่อมสูญเสียขัติยเพศ ทั้งพระเกียรดิศักดาเดชนี้ก็เหือดหาย ทเมต๎ยัส์สํว สารถิ ดุจหนึ่งดุรงคราชร้ายแรงพยศ อันนายสารถีกระทำให้รทดถอยกำลัง ก็เหมือนพระลูกจากนิเวศน์เวียงวังมาอยู่ไพรไกลฝ่าพระบาท สมเด็จพระบรมชนกนารถราชมารดา ได้แต่ทุกขเวทนากระตรากกระตรำ พระสริรรูปนี้ก็มาซูบคล้ำหม่นหมอง ทั้งฉวีวรรณที่ผุดผ่องนี้ก็เผือดผิด ทุกสิ่งสารพันพิปริตกว่าแต่ก่อนกาล เมื่อท้าวเธอจะถามข่าวสองกุมารดรุณหน่อนเรศร์ ก็ทูลเสนอประพฤดิเหตุขึ้นดังนี้ ว่าพระพุทธเจ้าข้า ได้ทรงโปรดเกล้าเกษีข้าพระบาท ยังได้ทราบสารพระภาคิไนยนารถทั้งสององค์ พระลูกรักนี้มาปลดปลงปลิดออกจากอกยกให้เปนทาน แก่พราหมณพฤฒาจารย์ผู้หนึ่ง มันฤๅช่างเคียดขึ้งมาโบยตี ดุจหนึ่งว่าทาษกรรมกรทาษีอันช่วงใช้ เจ้าจะตกไปแห่งหนตำบลใดนี่ก็ไม่ทราบเลย พระคุณของลูกเอ่ย สงสารด้วยสองดรุณหน่อกระษัตริย์ พราหมณมันทำโพยเปนสาหัสไม่ปรานี คาโวว สุม์ภติ ดุจนายโคบาลอันต้อนตีซึ่งโคฝูง มันผูกข้อพระหัดถ์มัดจูงไปต่อหน้า ลูกนี้ก็ได้แต่อาดูรด้วยพระนัดดาบเว้นวาย พระร่มเกล้าจงตรัสบอกบรรยายยุบลเหตุ ให้บันเทาที่ทุกขเทวศในกระมลจิตร สัป์ปทัฏ์ฐํว มาณวํ ดุจมานพอันอสรพิศม์พิฆาฎขบ ให้ล้มสลบสิ้นสมประฤๅดี มีบุคคลปรานีนำเอาทิพโอสถ มาลูบไล้ให้หายหมดไม่ม้วยมอด รอดชีวิตรคืนฟื้นได้อัศสาสปัศสาส ก็เหมือนหนึ่งทรงพระกรุณาข้าพระบาทในครั้งนี้ จึงตรัสว่าอ่อสองกุมารกุมารีหลานรักราช ซึ่งเจ้าทรงประสาทให้เปนทาน พระบิดานี้ก็ไถ่ทอาจารย์ด้วยพระราชทรัพย์สำเร็จแล้ว เจ้าจงผ่องแผ้วภูลภิรมย์ อย่าเดือดร้อนเกรียมตรมกระมลโศก ท้าวเธอทรงสดับก็รงับที่ทุกขวิโยคค่อยเบิกบาน จึงกราบทูลปฏิสันถารถามพระบิตุเรศ ว่า กัจ์จินุ ตาต กุสลํ ทุกวันนี้พระปิ่นปกเกษมกุฏิประชา ยังค่อยเสวยศุขหรรษานิราศโรค สิ่งสรรพทุกข์โศกไม่ยายี ทั้งองค์สมเด็จพระชนนียังมีพระกระมลศุข บำราศสิ่งสรรพทุกข์บบีฑา ยังค่อยบันเทาที่ทรงพระโศกาถึงข้าพระบาท ทั้งพระจักขุโรคาพาธนี่ก็ไม่แผ้วพาน กัจ์จิ อโรคํ โยคัน์เต อนึ่งทั้งเหล่าจัตุรงคโยธาหาญทุกหมู่หมด ม้ามิ่งมงคลคชคเชนทร ทั้งเสนาประชากรนี้ก็ยังค่อยเกษมศุข ปราศจากสรรพพยาธิทุกข์ถ้วนทุกคน อนึ่งทั้งฟ้าฝนนี้ก็ตกตามฤดูกาล สรรพสิ่งธัญญาหารในอาณาเขตร ยังค่อยบริบูรณ์อยู่ทั่วทุกประเทศฤๅพระพุทธเจ้าข้า ท้าวเธอก็มีพระบัญชาตอบปิโยรส ว่าสิ่งซึ่งเจ้าถามนั้นก็บริบูรณ์ดีอยู่หมดไม่อันตราย ทั้งไพร่ฟ้าประชาชนทั้งหลายไม่เดือดร้อน พ่อผู้โอรสร่วมอุทรจงทราบสาร ในกาลบัดนี้เถิด ๚

ตมัต์ถํ ฯ อิจ์เจว มัน์ตยัน์ตานํ ฯลฯ

ถนธาราภิสิญ์จถาติ ๚

๏ ภิก์ขเว ดูกรสงฆ์ผู้ทรงศีลสังวรสิกขา เมื่อสองกระษัตริย์ตรัสสนทนาในราชปฏิสันถาร ขณะนั้นสมเด็จพระผุสดีศรีวิมลมาลย์มกุฏิอนงค์ จึงทรงพระดำริห์ว่าปานฉนี้ สองกระษัตริย์จักเสื่อมโศกีกำสรดโศก ซึ่งทุกขวิโยคอันรุ่มร้อน ควรอาตมจะบทจรสู่พระอาศรมบท นางท้าวเธอก็เสด็จด้วยดิเรกยศอย่างขัติเยศ แวดล้อมด้วยแสนสาวศุภลักษณนาเรศราชกำนัล เสด็จถึงขอบคันขัติยาวาศ ถอดฉลองพระบาทบทจรลี ส่วนสองกระษัตริย์ทอดพระเนตรเห็นพระผุสดีราชมารดา ก็เสด็จออกกระทำปัจจุคมนาน้อมพระเกษ ถวายทศนัขประนตบทวเรศราชชนนี ขณะนั้นพระกัณหาชาลีภาคิไนยนารถ ก็แวดล้อมด้วยอเนกกุมารราชบริพาร เสด็จถึงพระอาศรมสถานทิพนิเวศน์ ส่วนพระมัทรีได้ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าลูกทั้งสององค์ มิอาจที่จะดำรงพระสริรกาย ให้รส่ำรสายเสียวสั่นหวั่น ๆ พระทรวงทรงพระกรรแสง เสด็จแล่นจนสุดพระแรงไม่รอรั้ง วัจ์ฉา พาลาว มาตรํ เสมือนหนึ่งแม่โคนมอันนิราศบุตร ครั้นเห็นลูกแล้วก็แสนสุดกำสรดเทวศ สมเด็จพระอัคเรศราชกานดา มีพระสกลกายานี้ก็กัมปนาท ดุจแม่มดอันปิศาจเข้าสู่สิง ส่วนสองกุมารก็วางวิ่งเข้ากอดพระชนนี สามกระษัตริย์ก็ทรงพระโศกีรำพรรณพิลาป จนถึงวิสัญญีภาพสลบลง ดูนี้ก็น่าพิศวงสังเวช ขีรธารา อันว่ากระแสรศวาเรศขีโรทก ก็ไหลตกออกจากพระเต้า เข้าในคลองพระโอษฐสองกุมารา ผิว่าพระชาลีกัณหามิได้เสวยขีรวารีรศ พระหฤไทยก็จะรทวยรทดเหือดแห้งหาย นัส์สึสุ ก็จะวอดวายวางพระชนมชีวิตร ส่วนสมเด็จบรมบพิตรเพสสันดร เมื่อทอดพระเนตรเห็นสองบังอรอรรคปิโยรส ก็ทรงพระกำสรดสิ้นสมประฤๅดี ทั้งสมเด็จพระไอยกาไอยกีก็กรรแสงสุดแสนพิลาป จนถึงวิสัญญีภาพทั้งหกพระองค์ บรรดาพวกพหลจัตุรงค์ราชมนตรี ทั้งแสนสาวพระสนมนารีนิกรกำนัล ก็ชวนกันโศกศัลย์ล้มสลบซบเศียรสังเวช สิ้นทั้งบริเวณจังหวัดสักรทัติเยศขัติยาศรม เปรียบปานประหนึ่งว่ากำลังลมยุคันตวาต อันพัดสาลวันให้ล้มเนรนาศเปนมหัศจรรย์ ขณะนั้นก็บังเกิดโกลาหลทั่วสกลกำเริบรอบ สท้านสเทือนถึงเขตรขอบจักรวาฬ พื้นพสุธาธารนี้ก็มากัมปนาท ตลอดถึงพิภพสุทธาวาศอันสูงสุด สาคโร ทั้งพระมหาสาครสมุทก็ตีฟองนองละลอก กระทบกระทั่งฝั่งกระฉอกฉะฉาดฉาน สิเนรุปัพ์พตราชา ทั้งขุนเขาพระหิมพานต์สัตตภัณฑสิเนรุราช ก็น้อมยอดอย่างจะอภิวาทพระบารมี สัก์โก เทวราชา ส่วนสมเด็จวชิรปาณีมกุฎิเทเวศร์ ทรงพระอาวัชนาการก็ทราบเหตุแห่งมหัศจรรย์ จึงบันดาลห่าฝนโบกขรวัสสันต์วัสสิกธารา ให้ตกลงในที่ชุมนุมขัติยวงษาทั้งหกกระษัตริย์ ก็ค่อยบันเทาที่ทุกขโทมนัศชุ่มชื่นต่าง ๆ ก็ได้สติฟื้นคืนสมประฤๅดี พ้นจากวิสัญญีนั้นแล ๚

ตมัต์ถํ ฯ สมาคตานํ ญาตีนํ ฯลฯ

รัช์ชํ กาเรถ โน อุโภติ ๚

๏ ภิก์ขเว ดูกรสงฆ์ผู้เห็นไภยในวัฏฏสงสาร เมื่อมหัศจรรย์บันดาลเกิดจลาจลทั่วสกลโลกธาตุ ทั้งห่าฝนโบกขรพิรุณสารทตกลงประพรม ในตำแหน่งขัติยสมาคมควรจะปรีดา ทุกหมู่หมวดมุขมาตยาทิชาชาติ เสนาพฤฒามาตย์ราชกระวี อิกทั้งพระสนมนารีนิกรอนงค์ ทั้งพวกพหลจัตุรงค์ราชประชากร ก็เกิดโลมชาติสยดสยอนแสยงพระเดช ต่าง ๆ ก็ชวนกันน้อมเกษกราบบังคมทูล ว่าข้าแต่นเรนทรสูรสมมุติเทวราช จงทรงพระกรุณาโปรดอดโทษที่ประมาทแต่หลังมา ขอเชิญเสด็จลอองธุลีลาผนวชไพร ทรงซึ่งขัติยวิไสยสวรรเยศ คืนพระนครอันพิเศษด้วยศิริสมบัติ สืบเสวยสวรรยาธิปัติถวัลยวงษ์ เปนมิ่งมกุฏิดำรงสกลอาณาจักร จะได้เปนที่พึ่งที่พำนักนิ์สัตวนิกร ให้บันเทาที่ทุกขเดือดร้อนรงับไภย ดุจมหาเสวตรฉัตรไชยอันกางกั้น ได้ร่มเย็นไปทั่วทุกอเนกอนันต์นิกรประชาชน จงทรงพระกรุณาโปรดรับนิมนต์ข้าพระบาท ฝูงเสนาพฤฒามาตย์ราษฎรประชา อันทูลอาราธนาอยู่นี้เถิด ๚

ฉขัต์ติยปัพ์พํ นิฏ์ฐิตํ

ประดับด้วยพระคาถา ๓๖ พระคาถา

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ