กัณฑ์ที่ ๔ วนประเวศ

๏ เต ปติปเถ อาคัจ์ฉัน์เต มนุส์เส ทิส๎วา กุหึ วังกฏปัพ์พโตติ ปุจ์ฉัน์ติ มนุส์สา ทูเรติ วทัน์ติ ยทิ โกจิ มนุโช เอติ อนุมัค์เค ปฏิปเถ มัค์คัน์เต ปฏิปุจ์ฉาม กุหึ วังกฏปัพ์พโตติ เต ตัต์ถ อัเม๎ห ปัส์สิต๎วา กลูนํ ปริเทเวย์ยุํ ทุก์ขัน์เต ปฏิเวเทน์ติ ทูเร วังกฏปัพ์พโตติ ๚

๏ เต ขัต์ติยา อันว่ากระษัตรากระษัตรีทั้งสี่พระองค์ คือสมเด็จบรมขัติยพงษ์พิชิตโมฬี ศรีสุริยวเรศเพสสันดร เสด็จนิราศพระนครดูอนาถ ทรงอุ้มพระชาลีแล้วลีลาศโดยมรรคมรรคา ส่วนสมเด็จพระยอดกัลยาเยาวมาลย์มาศมัทรี พระกรอุ้มนางแก้วกนิษฐานารีราชธิดา สี่กระษัตริย์เสด็จลีลาล่วงลำเนาพนัศพนาเวศ มิเคยทุเรศแรมร้างพระภารา มนุส์เส ทิส๎วา ท้าวเธอก็ทอดทฤษฎี โดยลำดับสถลวิถีแถวเถื่อนทุเรศประเทศทางหลวง เห็นนรานิกรทั้งปวงเดินดั้นดัดพนัศแดนดงมาตรงพระภักตร์ จึงมีราโชวาทประภาษทักถามยุบลเหตุ วังกฏปัพ์พโต อันว่าเขาขุนศิขเรศคิริยวงกฏ ยังรู้แน่กำหนดอยู่ทางใด มรคายังใกล้ไกลจงแจ้งอรรถ ฝูงชนจึงทูลแก่บรมกระษัตริย์สีวิราชวงษ์ ว่าหนทางที่จะดั้นดงไปวงกฏ ทูเร ถ้าจะกำหนดระยะไพรไกลกันดารนัก ขอพระจอมจักรจงทราบพระญาณกาลบัดนี้เถิด ๚

ยทิ ปัส์สัน์ติ ปวเน ฯลฯ

พหุมํสํ สุโรทกัน์ติ ๚

๏ ภิก์ขเว ดูกรสงฆ์ผู้ทรงศีลสังวร สมเด็จพระเวสสันดรอดุลดวงกระษัตริย์ศรีสุริยวงษ์ ทั้งเอกองค์อรรคนารีศรีสุนทรเทพกัลยา กับสองดรุณราชกุมาราร่วมชีวาตม์ สี่กระษัตริย์เสด็จยุรยาตรเมื่อยามไร้ มิควรที่ท้าวเธอจะตกเข็ญใจจำจากพรากพลัดพระขัติยวรราชวงษ์ มาเดินดัดพนัศแดนดงดูอนาถนักน่าเวทนา เต ทารกา ควรที่จะสงสารด้วยสองเยาวยุพาผู้เพื่อนยาก เจ้ามิเคยเสวยทุกขลำบากมาบุกไพร น้ำพระอัสสุชลไนยไหลนองพระเนตร ทรงพระโศกาดุรเทวศบวายครวญ สมเด็จพระบิดาก็ชี้ชวนให้เชยชมพนมพนัศแนวไม้ หวังจะให้ค่อยบันเทาพระไทยที่ทุกข์ถึงพระนคร เต ทุเม ทิส๎วา สองเยาวราชได้เห็นก็หายอาวรณ์วายเทวศ พระพี่น้องก็ชวนกันทอดพระเนตรนานาพรรณหมู่ไม้ บ้างผลิดอกออกใบแบ่งบังผกามาศ บ้างทรงผลดกดาษดูตระการตา ที่สุกห่ามย้อยรย้าเห็นน่าชม ควรจะสารภิรมย์ระเริงราชหฤไทย อุปโรเทน์ติ สองดรุณดไนยก็ทรงพระกรรแสงสอื้นอ้อนวอนทูลพระบิตุเรศ ว่าข้าแต่พระจอมปิ่นปกเกษของลูกเอ๋ย ลูกนี้จะใคร่ชมเชยผลรุกขชาติ บ้างงาม ๆ ประหลาดต่าง ๆ กัน พระคุณของลูกเอ่ย จงทรงปลิดมาป้อนปันแก้วกัณหา จงเด็ดพวงผลพฤกษาให้ชาลี ด้วยเดชะพระสมดึงษบารมีปรมัตถมิ่งโมฬีโลกุดร แห่งสมเด็จบรมหน่อเนื้อเชื้อชินวรวิสุทธิวงษ์ ก็บันดาลรุกขชาติให้น้อมกิ่งลงพอถึงพระหัดถ์ สมเด็จบรมกระษัตริย์ก็ทรงเลือกผลพฤกษาที่สุกงอมหอมตระการ เก็บพระราชทานให้สองดรุณเรศ ส่วนสมเด็จพระมัทรีได้ทอดพระเนตรเห็นมหัศจรรย์ โลมชาติมาชูชันหวั่นพระเกษ ทูลสรรเสิญพระกฤษฎาภินิหารมหิศวเรศราชสามี แล้วสี่กระษัตริย์จรลีล่วงมรรคาไลยลีลาศ แต่จากพระนครสีวิราฐเวลาเช้า พอบรรลุถึงเขาสุวรรณคีรี สิ้นสถลวิถีห้าโยชนโดยคณนา ก็ถึงโกนติมารานทีธาร กำหนดมรคากันดารได้ห้าโยชน์ ถึงมารัญชคิรีรัตนเรืองโรจรยะไพร ประมาณมรคาไลยก็ห้าโยชนเท่ากัน จึงถึงบ้านนาฬีทัณฑชนบท ก็ห้าโยชนกำหนดไม่ย่อหย่อน ตั้งแต่นั้นจึงถึงพระนครเจตราฐ กำหนดวิถีสถลมาศได้สิบโยชนรยะไพร ฝ่ายเทพไทผู้ทรงมหิทธิศักดา อันสิงสู่อยู่ภูผาพุ่มไม้ ทุกตำแหน่งในวนาเวศ ช่วยย่นมรรควิถีทุเรศระหว่างดง ท้าวเธอเสด็จทั้งสี่องค์ในวันเดียวมิทันพลบ พอพระสุริยจะเลี้ยวลบลับเหลี่ยมพระเมรุมาศ ตั้งแต่ยามเสด็จยุรยาตรจากนิเวศน์วัง ตึสโยชนมัค์คํ สิ้นสามสิบโยชนมรคากันดาร ก็ลุถึงศาลานอกพระทวารเมืองเจตราฐ ท้าวเธอก็พาพระเยาวมาลย์มาศมัทรี พระกุมารกุมารีเข้าอาไศรย ค่อยบันเทาพระไทยที่เมื่อยล้า มัท์ที สัพ์พังค โสภณา อันว่าพระมัทรีผู้ทรงศรีสุนทรวิลาศ สัม์พาหิต๎วา นวดฟั้นพระบาทพระภัศดา แล้วเสด็จสถิตย์อยู่นอกศาลาให้ปรากฎ หวังจะให้ชาวเจตราฐรู้กำหนดว่าบรมหน่อนเรศร์เวสสันดร มาสู่พระนครนี้แล้วแล ๚

ตมัต์ถํ ฯ เจติโย ปริกรึสุ ฯลฯ

เวน ยัต์ถ วเสม๎หเส ฯ

๏ ภิก์ขเว ดูกรสงฆ์ผู้ทรงศีลสมาธิพรหมจรรยา เจติโย อันว่าชนชาวพระภาราเจตราฐ เที่ยวสัญจรลีลาศตามวิถี ครั้นเห็นพระมัทรีก็อัศจรรย์ อยํ อัย์ยา พระแม่เจ้านี้สิทรงสุพรรณวิลาศเลิศลักษณนารี เออก็เหตุไฉนจึงมาเสด็จจรลีด้วยพระบาทดูมิบังควร ฝูงประชาชนจึงชวนกันแวดล้อมแล้วก็ทูลถาม พระมัทรีก็บอกความให้ทราบสาร ฝูงชนได้ทราบในอาการพระเกษกระษัตริย์ ต่างคนก็ชวนกันโทมนัศพิไรร่ำ ว่าโอ้ชรอยกรรมมาตามทันพระแม่เจ้า ปุพ์เพ แต่ปางก่อนพระแม่เคยเสด็จเนานิเวศน์วัง จะเสด็จแห่งใดก็ดูสพรั่งสพรึบพร้อม หมู่พระสนมนี่ก็ห้อมล้อมแลเปนขนัด ย่อมทรงสุวรรณรัตนสีวิกามาศราชรถทอง ม่านปิดป้องกำบังองค์ บัดนี้พระแม่มาเดินดงด้วยเบื้องบาทบควรเปน ควรแลฤๅพระแม่จึงมาขุกแค้นเคืองเข็ญถึงเพียงนี้ ฝูงชนจึงนำคดีไปทูลเหตุ แก่พระจอมปิ่นปกเกษเจตราฐ สัฏ์ฐีสหัส์สา อันว่าบรมบาททั้งหกหมื่นครั้นได้สดับสาร ว่าพระจอมภพพสุธาธารเวสสันดร เสด็จนิราศพระนครอนาถา โรทมานา ต่างองค์ทรงพระโศกาแล้วก็ลีลาศ มาสู่สำนักนิ์แล้วอภิวาทรำพรรณทูล ว่า เทว ข้าแต่พระเกษตระกูลแก่นกระษัตริย์ กุสลํ อันว่าสิ่งสรรพพิบัติบบีฑา อนามยํ พระร่มเกล้ายังค่อยครองภาราเปนบรมศุข สิ่งสรรพทุกข์บยายี อนึ่งทั้งองค์สมเด็จพระชนนีชนกนารถ ยังค่อยเสวยศุขนิราศโรคันตราย ทั้งประชาชนชาวสีพิราฐทั้งหลายไม่เดือดร้อน ยังค่อยเปนศุขสถาวรอยู่ฤๅพระพุทธเจ้าข้า นุ ดังข้ามาสงกากินแหนงในยุบลเหตุ ดังฤๅพระจอมปิ่นปกเกษมาเดินไพร นิราศร้างไร้พระภารา ปราศจากจัตุรงคคณานิกรราชรถ ม้ามิ่งมงคลคชที่เคยทรง มาดำเนินแต่สี่พระองค์ดูอนาถ กัจ์จามิต์เตหิ ปัก์กโต ฤๅว่ามีหมู่อรินราชมาราวี เสียพระนครสีพีพินาศแล้ว ทูลกระหม่อมแก้วจึงจำจากพรากพลัดพระขัติยราชวงษ์ มาบุกป่าผ่าพงภูลเทวศ จนมาถึงนคเรศข้าพระบาท ขอพระองค์จงตรัสบอกทุกข์ที่ท้าวเธอบำราศให้ทราบเกล้าข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงไป ในกาลบัดนี้เถิด ๚

๏ เวส์สัน์ตโร ราชา อันว่าสมเด็จพระเวสสันดรได้ทรงสดับสาร จึงมีพระราชบรรหารเฉลยเหตุ ว่าดูกรพระสหายผู้ผ่านนคเรศเจตราฐ เราขอบพระไทยที่ท่านไต่ถามถึงประยูรญาติราชบิตุรงค์ ก็ค่อยทรงศุขสถาพร ทั้งประชาชนชาวสีวิราฐไม่เดือดร้อนรงับไภย ซึ่งเรานิราศเวียงไชยมาสู่ป่า กุญ์ชรํ ทัช์ชํ เพราะว่าเราทรงพระราชศรัทธามาเสียสละ พระยาเสวตรกุญชรพาหนะพระที่นั่งต้น อันเปนศรีสวัสดิมงคลคู่พระนคร แก่พราหมณทิชากรชาวกลิงคราฐ ชาวพระนครเขามิยอมอนุญาตชวนกันกริ้วโกรธ ยกอธิกรณโทษทูลพระบิตุเรศ ท้าวเธอจึงสั่งให้เนรเทศเราจากพระภารา ด้วยเราทำผิดจากขัติยราชจรรยาอย่างบุราณ พระพุทธเจ้าข้า พระองค์เสด็จเดินพนัศกันดารดูลำบาก เปนกระษัตริย์มาตกยากมิควรเคย ขอเชิญเสด็จหยุดพักพอเสวยสุทธาโภชน์ สิ่งสรรพรศเอมโอชกระยาหาร ให้บันเทาที่ทุกขทรมานลำบากองค์ จึงตรัสว่า สิ่งซึ่งท่านจำนงนำมาพระราชทานให้ แก่เราผู้เข็ญใจอันมาถึง ก็ขอบพระไทยที่ท่านยังคำนึงนับว่าญาติ พระคุณนั้นยิ่งกว่าพื้นพสุธาอากาศไม่เทียมเท่า แต่สมเด็จพระบิตุเรศเจ้าทรงพระโกรธ ขับเราผู้ต้องโทษจากพระนคร แล้วตัวเราจะรีบบทจรไปวงกฏ ท่านช่วยแนะแนวตำแหน่งพนัศบรรพตให้เราจร พระพุทธเจ้าข้า พระองค์อย่าได้อาวรณ์วิตกด้วยความเข็ญ โทษเท่านั้นพิเคราะห์เห็นไม่เปนไร ข้าพระบาทจะชวนกันไปทูลขอโทษ เห็นท้าวเธอก็จะทรงพระกรุณาโปรดให้คืนครอง จึงจะเชิญเสด็จลอองธุลีพระบาท คืนพระนครสีวิราฐด้วยดิเรกยศ มิให้ท้าวเธออัปยศแก่ชาวเมือง จึงตรัสว่าประชาชนเขาแค้นเคืองทูลให้เนรเทศ เรานิราศนคเรศมาแรมไพร พระบิดาก็มิได้เปนใหญ่แต่พระองค์ ย่อมประพฤติโดยจำนงชาวสีวิราฐ ถึงว่าท่านจะไปทูลให้ท้าวเธออนุญาตให้คืนกรุง ชาวเมืองก็จะหมายมุ่งประทุษฐจิตร ในสมเด็จบรมบพิตรผู้ร่มเกล้า เพราะเหตุด้วยรับเราคืนนคร พระพุทธเจ้าข้า เมื่อมิพอพระไทยเสด็จคืนพระพิไชยเชตุดรก็ตามแต่พระอัธยา จะขอเชิญเสด็จขึ้นผ่านพระภาราเจตราฐ เปนจอมมิ่งมงกุฏมาตุลนคร เปนปิ่นปกประชากรเกษมศุข มิให้ท้าวเธอเสด็จไปทนทุกข์ที่กลางดง อันข้าพระบาทจะขอรองบทบงสุ์บรมกระษัตริย์ ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังจึงตรัสบัญชาตอบ ว่าซึ่งท่านจะมามอบเมืองเจตราฐให้แก่เราในครั้งนี้ เราก็มิได้มีพระไทยยินดีที่จะเสวยศิริสมบัติ ด้วยชาวเชตุดรเขาแค้นขัดให้เนรเทศ ท่านจะมามอบนคเรศให้ครอบครอง พระนครทั้งสองสิเปนราชสัมพันธมิตร ก็จะเกิดกลวิปริตร้าวฉาน จากจารีตบุราณแต่ปางก่อน จะไม่สมัคสโมสรเสียประเพณี จะเกิดมหากลหโกลีเดือดร้อน ทุกไพร่ฟ้าประชากรทั้งสองฝ่าย ต่าง ๆ จะมุ่งหมายประทุษฐกัน ก็จะเกิดมหาพิบัติไภยันต์ไม่มีศุข เหตุด้วยเราผู้เดียวจะมาทำทุกข์ให้ท่านทั้งปวง ปฏิค์คหิตํ ยํ ทิน์นํ สมบัติอันใดในเมืองหลวงเจตราฐ ซึ่งท่านทั้งหลายมาอนุญาตยกให้ เราขอคืนถวายไว้เสวยศุข จงท่านอยู่นฤทุกข์อย่ามีไภย อันตัวเรานี้จะลาไปสู่วงกฏ จะทรงประพฤติพรหมพรตอิสีเวศ เชิญท่านช่วยแนะแนววิถีทุเรศให้เราจร ไปยังวงกฏศิงขรโน้นเถิด ๚

๏ เจตราชาโน อันว่าพระยาเจตราชทั้งหลาย ทูลเบี่ยงบ่ายจะเชิญเสด็จไว้ ครั้นท้าวเธอมิตามพระไทยก็สุดคิด จึงทูลเชิญเสด็จบรมบพิตรให้ประเวศพระนคร หวังจะให้เสวยศุขไสยากรเกษมอาศน์ ต่อเวลาพระสุริยวโรภาษจึงค่อยครรไล ท้าวเธอก็ถ่อมพระองค์ว่าเข็ญใจไร้ศักดิ มิได้เสด็จเข้าไปสำนักนิ์ในพระภารา สาลํ อลังกริต๎วา พระยาเจตราชจึงจัดแจงตกแต่งศาลาที่สถิตย์ ผูกม่านปิดเวียนวง แล้วแต่งที่ศิริสยนผจงพิจิตรอาศน์ ให้ท้าวเธอไสยาศน์ในราตรี พร้อมด้วยดุริยางคเภรีมโหรธึกแตรสังข์ประโคมดีดประจำยาม อัจกลับประทีปตามแสงสว่าง บรรดากระษัตริย์เสนางคนิกรจัตุรงค์ ห้อมล้อมพระองค์อยู่แออัด ตราบเท่าพระสุริยจำรัสรุ่งวโรภาษ จึงเชิญเสด็จบรมนารถให้สรงสุคนธ์ธาร แล้วถวายพระกระยาหารรศโอชา ให้ท้าวเธอเสวยโภชนาสำราญพระไทย แล้วเชิญเสด็จครรไลล่วงลีลาศ จากพระนครเจตราฐด้วยดิเรกยศ โดยลำดับสถลวิธีกำหนดสิบห้าโยชน์รยะดง พอบรรลุถึงประเทศทางตรงประตูป่า เมื่อจะทูลแนะแนววนาศิขรเขตรประเทศหิมพานต์ ก็กล่าวเปนสารพระคาถา

ตัค์ฆัน์เต พยัก์ขาม ฯลฯ

อุญ์ฉาจริยาย อิหถาติ ๚

๏ ราชิสิ ข้าแต่สมเด็จพระยอดฟ้าสากลเกษกระษัตริย์ อันจะทรงปริวัติอิสีเวศ ข้าพระบาทจะแนะแนวพนาดรทุเรศรยะไพร เอส เมาะ เอโส ปัพ์พโต นั้นคือขุนเขาใหญ่เสมอเมฆ วิเวกด้วยหว่างเวิ้งเชิงช่องเปนปล่องเปลวลหานเหวหุบห้วยตรอกตรวยโตรก ชโงกง้ำถ้ำชวากวุ้งหว่างภูผา เสโล ล้วนศิลาเลื่อมลายหลายสี บ้างก็ขาวเขียวขจีดำแดงแสงมอหมึกหม่นหมอกเมฆสลับกัน บ้างก็เปนแสงสีสุวรรณเลื่อมเหลืองเรืองโรจ บางแห่งก็เปนแสงวิเชียรช่วงโชติชัชวาลย์ บ้างเปนสีรัตนประพาฬไพฑูรย์ปัทมราช กระสายรุ้งพุ่งพาดผสานแสงสุกส่องสว่างฟ้า บ้างเปนสีโมรารายรดับ ดูวะวาบวับจับแสงสุริยวโรภาษ เล่ห์บุคคลเอาแก้วมาดาษรดับไว้ พระพุทธเจ้าข้า โน่นก็พฤกษาสูงไสวแลเปนพุ่ม ๆ เขียวชอุ่มขจิตรขจี ดังเอาฉัตรนิลมณีมากางกั้น แลเปนจังหวะระยะชั้นอยู่เรียงราย รุกขชาติทั้งหลายล้วนทรงผกามาศ ผลดกดาษดูตระการ กอปรด้วยสุคนธชาติหอมหวานฟุ้งขจรตระหลบทั้งจังหวัดพนัศพนาเวศ ทรงสุคนธรศวิเศษสิบประการ จึงเรียกโดยโลกยโวหารให้เห็นเหตุ ชื่อว่าขุนศีขเรศคันธมาทน์คิรีรมย์ ย่อมเปนที่ทิพยอุดมพิมานหมู่อมรเทวราชสุราฤทธิพิทยาธรกินรคนธรรพ ถ้าจะนับกว่าหมื่นพันพ้นจะคณนา อุชุํ เยนุต์ตราภิมุโข พระพุทธเจ้าข้า เชิญพระบาทเสด็จลีลาศโดยทิศอุดร ก็จะถึงเขาวิบุลศิงขรคิรีมาศ แล้วจะได้ชมอรัญรุกขชาติอันชื้อชัฏ บ้างก็ทรงสาขาเกี่ยวกระหวัดดูตระการ ยามเมื่อพระพายรำเพยพัดก็ประสานกันเสียดสีเสียงเสนาะก้องทั้งกลางป่า นทึ ทิส๎วา แล้วจะทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำเกตุมดี อันไหลมาแต่ท่อธารคิรีห้วยลหานผา มัจ์ฉอากิณ์ณํ อันอาเกียรณ์ไปด้วยเต่าปลาคละคลาคล่ำโดดดิ้นดำในนที สุปติต์ถํ มีท่าอันดีที่อันราบ ถึงจะกินอาบก็สำราญจิตรระรื่นรมย์ นิโค๎รธํ แล้วจะได้ทรงชมมหานิโครธไทรใบชิด รากห้อยย้อยติดกันกับแผ่นศิลา ทรงสาขาเขียวขจี แล้วจะได้ทอดพระเนตรชมซึ่งนาลีบรรพต ทิชคณากิณ์ณํ อันปรากฎไปด้วยปักษาร้องส่งเสียง ทั้งหมู่กินรกินรีเรียงร่ายร้อง ส่งสุรเสียงเสนาะก้องวังเวงไพร ล้วนทรงลักษณวิไลยลอออ่อน บ้างก็รำฟ้อนกระหยับย่างเหยียบบนเนินผา ทั้งหมู่สกุณานิกรก็ร่ำร้อง บ้างจับจ้องจะแจ้วจำนรรจาตามภาษาประสานเสียง บ้างก็มองเมียงหมายคู่ ทั้งดุเหว่าเค้ากู่เข้าคูขัน บ้างก็หกหันโหนห้อยเห็นแต่ตัว บ้างก็เปนสีหมึกมัวหมอกหม่น บ้างแดงดำขำขนสลับสี ทั้งสัตตวาโนรีร้องรงมดง เหล่าสกุณราชหงษ์เห็นวิเศษ หมู่สกุณมยุเรศรำแพนหาง เหล่าคณายางเยื้องย่อง กเรียนร้องก้องกังวานไพร สาลิกาจับไม้แล้วมองเมียง ร้องประกาศเสียงดังเสียงคน กรเวกร้องบินบนโพยมมาศ ดังว่าเสียงพิณพาทย์ชาวสุราไลยลเลิงหลง แล้วจะได้ทรงชมซึ่งสระโบกขรณีน้ำใสสอาด ปทุมุป์ปลสัญ์ฉัน์นํ อันเดียรดาษด้วยปัญจปทุมชาติบานสลอน ฟุ้งไปด้วยเกสรรศเรณู เหล่าแมลงภู่บินวะว่อน แล้วเสด็จโดยทิศอุดรก็จะบทจรเข้าสู่ป่ารหงดงใหญ่ไพรพนม ควรที่จะสร้างพระอาศรมในที่นั้น ก็จะเกษมสันต์บรมศุข ปราศจากทุกข์นิราศไภย ในสถานที่นั้นแล ๚

๏ เจตราชาโน อันว่าพระยาเจตราชทั้งหลายทูลถวายมรคา แล้วจึงเรียกพรานป่าเจตบุตรผรุสทารุณหยาบช้า สั่งให้เปนพนักงานรักษาทวารหิมพานต์ แล้วมีโองการมอบเวนบังคับขาด ถ้าใครแปลกปลาดจงฆ่าเสียให้สิ้นชีพ สั่งแล้วก็รีบไปตามส่งสิ้นหนทางสิบห้าโยชน์ ต่างพระองค์น้อมเศียรศิโรตม์อภิวาท ทูลลาบรมบาทคืนเข้าพระนคร ส่วนสมเด็จพระเวสสันดรบวรราชชินวงษ์ พาขัติยทั้งสามองค์ล่วงลีลาศ ก็ลุถึงขุนเขาคันธมาทน์คิรีรมย์ จึงเสด็จเข้าหยุดพักบรรธมระงับร้อน แล้วท้าวเธอก็บทจรตามเชิงเขาวิบุลบรรพต โดยลำเนาพนัศกำหนดระยะดง แล้วท้าวเธอเสด็จลงสรงกระแสสินธวนที ในแม่น้ำเกตุมดีสำราญพระไทย จึงนายพเนจรพรานไพรเที่ยวอยู่ในป่า ถวายมังสังกับน้ำผึ้งสดรศโอชาเปนบรรณาการ ท้าวเธอก็พระราชทานปิ่นทองปักพระโมฬี แล้วพาพระมเหษีกับสองดรุณราช เสด็จโดยตำแหน่งวนาวาศวิถีเถื่อน มีแต่สามกระษัตริย์เปนเพื่อนพเนจร ในพนัศศิงขรนั้นแล ๚

ตมัต์ถํฯ อามัน์ตยิต๎วาน เทวิน์โท ฯลฯ

อโรคา เต มหาสุขัน์ติ ๚

๏ ภิก์ขเว ดูกรสงฆ์ผู้ทรงศีลสังวร สมเด็จพระมิ่งอมรมกุฏิเทวราชสุราฤทธิ์ จึงสั่งพระเวศุกรรมมานฤมิตรพระอาศรมสถาน พร้อมด้วยเครื่องดาบศบริกขารบรรพชิตพิธี ถวายพระจอมโมฬีนราราช ฝ่ายพระเวศุกรรมก็อภิวาทรับเทวบัญชา มานฤมิตรพระอาศรมบทในเวิ้งหว่างวงกฏศิขเรศ แล้วบันดาลพาฬมฤคในหิมเวศให้หลบลี้ประลาศไปไกลได้สามโยชน์ บันดาลสัตวที่ส่งเสียงเสนาะโสตรให้ร้องประสานเสียงถวายใกล้พระอาศรม บันดาลไม้ให้รื่นรมย์ด้วยดวงดอกออกสลอน ฟุ้งขจรด้วยเกสรสุคนธา อัก์ขรํ ลิก์ขิต๎วา แล้วจาฤกอักษรไว้กับใบทวาร อัน์ตรธายิต๎วา ก็อันตรธานสู่เทวสถานสุราไลย ฝ่ายบรมไทพุทธชินวงษ์ทรงดำเนิน ข้ามคิริยขุนเขาเขินเขื่อนคัน ล้วนรุกขอรัญเรียงสล้างแลละลานตา พอพระสุริยาเยี่ยมยอดยุคันธเรศ เสด็จถึงอาศรมนิเวศน์วนาไลย ทอดพระเนตรเห็นอักษร ก็เข้าพระไทยว่าท้าวสหัสไนยสร้างถวาย โอมุญ์จิต๎วา จึงเปลื้องเครื่องสุภาภรณจากพระกาย ค่อยสบายพระไทยด้วยสมความปราถนา ปัพ์พชิต๎วา ท้าวเธอก็ทรงบรรพชางามอุดม ดุจท้าวมหาพรหมผู้ทรงฌาน มัท์ทีเทวี ส่วนสมเด็จพระเยาวมาลย์มเหษี ก็บวชเปนดาบศินีเจริญวัตร แล้วให้สองตรุณหน่อกระษัตริย์บรรพชา มัท์ที สัพ์พังคโสภณา สมเด็จพระมัทรีผู้ทรงศรีสุนทรลักษณ์ จึงกราบทูลแก่พระปิ่นปักผู้ร่มเกล้า ว่า เทว ข้าแต่พระลูกเจ้าผู้ทรงพระคุณ ได้การุญข้าพระบาท จะขอรับพระราชทานเก็บผลรุกขชาติมาประฏิบัติ มิให้พระองค์เคืองขัดพระอัธยา จงให้สำเร็จความปราถนาประสิทธิพร เวส์สัน์ตโร ราชา อันว่าสมเด็จพระเวสสันดรราชฤๅษี ประสาทพระพรแก่พระมัทรีแล้วจึงตรัสเล่า ว่า ภัท์เท ดูกรเจ้า เราสิทรงบรรพชา ผิดเวลาแล้วอย่าได้มาสู่พระอาศรม พระมัทรีก็น้อมศิโรตม์ลงบังคมรับสั่งสาร แล้วก็อุ้มสองกุมารกุมารีเข้าสู่พระอาศรม เจริญจตุพรหมเมตตาฌาน เสวยศุขสำราญในพระอาศรมนิราศไภย อรุณุค์คมเน ครั้นพระสุริโยไทยส่องแสงจรัสรุ่งวโรภาษ ส่วนสมเด็จพระมัทรีศรีรัตนราชกัญญา ก็จัดหาน้ำใช้แลน้ำฉันไม้สีพระทนต์ถวายบรมบาท แล้วก็แผ้วกวาดพระอาศรม บังคมลามาประโลมพระลูกเล่า จูบกระหม่อมจอมเกล้าแล้วรับขวัญ ว่าเจ้าแม่เอ๋ย พี่น้องเห็นหน้ากันเมื่อยามยาก พระชนนีนี้จะจากเจ้าไปป่า แก้วกัณหาอย่าเล่นให้ไกลพี่ พ่อชาลีรวังน้อง อย่าละให้คนองเล่นแต่ลำพัง ครั้นสั่งพระลูกทั้งสองแล้ว นางแก้วก็จัดแสรกขอคานกระเช้าสานทรงหาบ เสวยพระอัสสุชลพิลาปเข้าสู่ป่าพระหิมพานต์ เที่ยวเสาะแสวงหาผลาผลอันสุกหวานตระการฉัน ครั้นเวลาสายัณห์ก็กลับมายังอาศรม ปลอบให้พระลูกเสวยนมแล้วลีลาศ พาสองตรุณราชลงสรงพระคงคา ประดับประดาพระลูกแล้ว พาพระลูกแก้วเข้าสู่พระอาศรมสถาน สี่กระษัตริย์เสวยมูลผลาหารเลี้ยงพระชนมชีพค่อยวัฒนา ในบรรณศาลานั้นแล ๚

๏ ภิก์ขเว ดูกรสงฆ์ผู้ทรงศีลสมาธิปัญญา เวส์สัน์ตโร ราชา อันว่าพระจอมจักรพาฬพิภพสีพี ปัญ์จสีลานิ ทรงรักษาเบญจางคิกพิธีศีลาจาร จตุพรหมวิหารแสนศุขวิเศษ บรรดาสรรพสัตวทั่วทั้งขอบเขตรก็สิ้นพยาบาท ชวนกันอภิวาทถวายพร ปักษาทิชากรก็ส่งเสียงสรรเสริญพระบารมี เต จัต์ตาโร ขัต์ติยา อันว่าบรมกระษัตรากระษัตรีทั้งสี่พระองค์ ทรงบรรพชาในหิมเวศประเทศวงกฏ สัต์ตโน มา เสว กำหนดได้เจ็ดเดือนไม่เคลื่อนคลา อิติ เมาะ อิมินา ปกาเรน ด้วยประการดังนี้แล ๚

วนปเวสนกัณ์ฑํ นิฏ์ฐิตํ

ประดับด้วยพระคาถา ๕๗ พระคาถา

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ