การแต่งงารของชาวพื้นเมือง
สินสอด
การแต่งงารสำหรับพื้นเมืองมีวิธีทำดังนี้ คือ แต่ครั้งโบราณมา ผู้ว่าราชการเมือง อุปฮาต ราชบุตร กรมการเมืองพร้อมกันถือเอาตามหนังสือซึ่งเรียกว่าหลักคำ คือแต่งงารกับบุตรราษฎรเรียกสินสอด ๖ บาท บุตรกรมการนายหมวดนายกองเรียกสินสอต ๓ ตำลึง ถ้าเปนบุตรเมืองแสนเมืองจันชั้นผู้ใหญ่เรียกสินสอด ๖ ตำลึง แต่เมื่อแต่งงารจริงเรียกตามหลักคำก็มี ต่ำกว่าสูงกว่าก็มี สุดแล้วแต่จะเรียก
พิธีขันหมาก
วิธีกระทำการแต่งงารในชั้นต้น ชายหญิงบ่าวสาวคู่แต่งงารได้พูดจาเกี้ยวพาราศีกันจนมีความรักใคร่ซึ่งกันแลกัน แลได้ทำสัญญาตกลงกันแล้ว ฝ่ายชายก็ไปพูดกับบิดามารดาพี่ป้าน้าอาให้ไปจ่าว (แปลว่าทาบทาม) ต่อบิดามารดาฝ่ายหญิง เมื่อบิดามารดาฝ่ายหญิงยอมตกลงก็เลยนัดวันแต่งงารทีเดียว เมื่อถึงกำหนดวันแต่งงารบิดามารดาฝ่ายชายแต่งขันโอมขันหมากไปขอ คือขันหมาก ๓ ขัน ขันใส่เงินค่าสินสอดขัน ๑ ขันใส่แป้งเหล้าเด็ด (คนโท) ขัน ๑ ขันใส่พลูแลหมากกีบขัน ๑ รวม ๓ ขัน แต่พลูใส่ขันเขาทำเปนแหนบ ๆ ทับกันลงแหนบละ ๗ ใบ รวม ๗ แหนบใส่ลงในขัน หันหัวพลูเข้ารวมกันแล้วเอาแพรสีต่าง ๆ ปกคลุมขันทั้ง ๓ นำไปบ้านผู้หญิง เมื่อไปถึงบ้านผู้หญิง ผู้ที่ถือขันทั้ง ๓ ต้องถือไว้ก่อน คนที่เปนหัวหน้าทางฝ่ายชายก็เข้าไปพูดจากล่าวขอ ต้องมีเงินไปด้วยบาท ๑ หรือ ๒ บาทตามฐานะเรียกว่าเงินไขปากไขคอ ฝ่ายผู้หญิงจะได้รับขันหมากแลพูดกัน ฝ่ายบิดามารดาแลโคตร์วงศ์ข้างฝ่ายหญิงก็มาต (แปลว่าเรียกค่าสินสอด) แล้วจึงเปิดขันหมาก เมื่อตกลงกันแล้วจึงส่งขันโอมทั้ง ๓ ให้ฝ่ายหญิง ๆ เมื่อได้รับขันมาแล้วเสพสุรา เคี้ยวหมาก รับส่วนเงินเปนสินสอดแล้วพากันกลับ พอถึงเวลาฝ่ายชายให้คนหาบหามไหเหล้า ข้าว ปลา อาหารต่าง ๆ ไปมอบให้บิดามารดาฝ่ายหญิง บอกว่าเปนของเลี้ยงแขกแลโคตร์วงศ์ที่มาช่วย (เรียกว่ากินดอง)
พิธีสู่ขวัญ
เมื่อการเลี้ยงเสร็จแล้ว ได้ฤกษ์งามยามดีก็พากันแห่เจ้าบ่าวแลคู่บ่าวไปสู่ขวัญที่เรือนผู้หญิง เมื่อหมอจะสู่ขวัญให้หันหน้าไปทางทิศใต้ เอาแขนท้าวก่ายแขนนาง (แขนผู้ชายทับแขนผู้หญิง) แล้วเริ่มสูตขวัญ ให้ฤกษ์ให้ไชย เมื่อเสร็จแล้วกระทำพิธีป้อนไข่ คือเอาไข่ผู้ชายป้อนให้ผู้หญิงกิน เอาไข่ผู้หญิงป้อนให้ผู้ชายกินสับเปลี่ยนกัน (หมายความว่าให้อยู่กินด้วยกันเปนสุขสบาย) เมื่อสู่ขวัญเสร็จแล้วนำเจ้าบ่าวไปขอสมัคสมาบิดามารดาญาติพี่น้องของฝ่ายหญิง เสร็จแล้วแห่ผู้บ่าว (เจ้าบ่าว) กลับบ้าน
ฝ่ายบิดามารดาของผู้หญิง มีการแห่เจ้าสาวไปขอสมัคสมาบิดามารดาญาติพี่น้องฝ่ายชายเหมือนกัน ส่วนญาติข้างฝ่ายชายนั้นผู้หญิงต้องมีสิ่งของไปให้ มีผ้าผ่อนแพรพรรณเปนต้น ญาติฝ่ายชายเมื่อรับสิ่งของเหล่านั้นแล้ว ก็มีสิ่งของตอบแทน เรียกว่าผูกขวัญฝ่ายหญิง จะเปนสิ่งของหรือเงินทองตามฐานะ แต่มีการตีราคาของเครื่องสมัคสมาจะเปนราคาเงินมากน้อยเท่าใดย่อมผูกขวัญฝ่ายหญิง เปนราคาของที่ไปสมัคสมาไม่เกินกว่าราคาก็ได้ (ถ้าเปนคนมั่งคั่งบริบูรณ์สิ่งของไม่สมราคาผู้หญิงไม่เอา) แต่ข้อที่จะเอาของไปสมัคสมาไม่กำหนด เมื่อเสร็จการสมาแล้วในคืนวันนั้นลงบิดามารดาญาติพี่น้องของฝ่ายชาย ก็นำเจ้าบ่าวมาส่งตัวให้เจ้าสาว ให้อยู่กินด้วยกันเปนหมดพิธีแต่งงารเท่านี้
ส่วนเครื่องบายศรีขวัญนั้น เขาเก็บไว้บนหัวนอนเจ้าบ่าวเจ้าสาวจนครบ ๓ คืน จึงเอาออกจากห้อง
ประเภทการสมรส
การสมรสมีหลายวิธี ๆ หนึ่งเรียกว่าโอม คือฝ่ายชายต้องจัดคนที่มีหลักฐาน ๒ คนเรียกว่าล่าม (เถ้าแก่) ไปขอต่อผู้ปกครองของหญิง การขอครั้งนี้ต้องเสียเงินค่าไขปาก ๓ บาท ถ้าผู้ปกครองของฝ่ายหญิงตกลงก็รับเอาเงิน ๓ บาทค่าไขปากไว้ บอกแก่ล่ามผู้ขอว่าให้หาของฝากมาอีก ถ้าผู้ปกครองของหญิงไม่ตกลงก็ไม่รับเงินค่าไขปากนั้นไว้
วิธีที่ ๒ เรียกว่าหมาย คือฝ่ายชายจัดหาหมากพลูกล้วยอ้อยเข้าต้มใส่กระหยั่งเต็มทั้ง ๒ กระหยั่ง (คล้ายสัดที่ตวงข้าว) จัดให้ล่าม ๒ คนนำไปขอต่อผู้ปกครองของหญิง ผู้ปกครองหญิงรับเอาสิ่งของนั้นแล้วพูดว่าให้จัดหาของฝาก (เครื่องขันหมาก) เพิ่มเติมมาอีก สิ่งของเท่าที่เอามายังไม่พอ ของฝาก ๒ กระหยั่งนี้เมื่อผู้ปกครองของหญิงรับไปแล้ว ต่อไปเกิดขัดข้องไม่ตกลงกันในระหว่างบ่าวสาวโดยฝ่ายหญิงไม่ยินยอม ฝ่ายหญิงต้องเสียเงินค่าของฝาก ๒ กระหยั่งนั้นให้แก่ฝ่ายชายเปนเงิน ๕ บาท แล้วเงินค่าไขความปาก ๓ บาท ถ้าฝ่ายชายไม่ตกลงเอาแล้วฝ่ายหญิงไม่ต้องคืนให้ทั้งหมด เมื่อฝ่ายหญิงรับเอาของฝากไว้ได้ ๓ วัน ก็นำเอากระหยั่งเปล่าคืนไปให้แก่ฝ่ายชาย
วิธีที่ ๓ เรียกว่าให้ของฝาก คือฝ่ายชายจัดหาหมากพลูกล้วยอ้อยแลเข้าต้มใส่กระหยั่ง ๔ กระหยั่งมีตะกร้อสานเล็ก ๆ ถ้าหญิงสาวนั้นเปนลูกกก (บุตรหัวปี) ต้องเอาตะกร้อ ๓๒ ใบ ถ้าเปนลูกกลาง ๑๖ ใบ ถ้าเปนลูกคนสุดท้องก็ต้อง ๓๒ ใบเท่ากับลูกกก ตะกร้อใส้ไข่ ๔ ใบใส่ไถ้งา (ถุงเมล็ดงา) ๔ ใบ ใส่พลู ๔ ใบ ใส่เปลือกสีเสียด ๔ ใบ ใส่หมาก ๔ ใบ ใส่เมล็ดฝ้าย ๔ ใบ ใส่ข้าวสาร ๔ ใบ ใส่ข้าวเปลือก ๔ ใบกับเงิน ๒ บาทไปขอต่อผู้ปกครองผู้หญิง เมื่อฝ่ายหญิงรับเอาแล้ว เอาตะกร้อ ๓๒ ใบนั้นแจกจ่ายให้แก่บันดาญาติพี่น้องของหญิงทั้งหมด ส่วนผู้ปกครองของหญิงเอาแต่เงิน ๒ บาทกับกระหยั่ง ๒ ใบ อีก ๒ ใบให้แก่ฝ่ายชาย ถ้าฝ่ายหญิงไม่ตกลงใจกับชาย ต้องเสียค่าของฝากให้เเก่ชาย ๑๐ บาท ถ้าฝ่ายชายไม่เอาหญิงไม่ต้องเสียอะไร เมื่อฝ่ายหญิงรับของฝากแล้ว ทั้ง ๒ ฝ่ายก็ปรึกษาหาวันฤกษ์ยามดีตกลงนัดวันให้ฝ่ายชายจัดหาไม้เครื่องเรือนไปปลูกเรือนอยู่ที่บ้านหญิง
วิธีที่ ๔ เรียกว่าพะซู เมื่อฝ่ายชายพูดตกลงกับฝ่ายหญิงกำหนดนัดวันแต่งงารสมรสแน่นอน ฝ่ายชายนำเรือนไปปลูก ถึงวันฤกษ์ดีฝ่ายชายจึงจัดหาหมูตัว ๑ กับไก่ตั้งแต่ ๑๐ ตัวขึ้นไป เอาไปรวมทำกับข้าวที่บ้านหญิง ฝ่ายหญิงก็ต้องจัดหาไก่มาทำกับข้าวเช่นเดียวกัน ถ้าฝ่ายชายจัดสำรับ ๑๐ สำรับ ฝ่ายหญิงต้องจัด ๑๒ สำรับ แล้วผู้ปกครองของหญิงนำสำรับกับข้าวไปเส้นผีที่เรือนของผู้ปกครองหญิง ฝ่ายชายจึงยกเอาสำรับกับข้าวไปเลี้ยงแก่โคตร์วงศ์ (ญาติพี่น้อง) ทั้ง ๒ ฝ่าย รับประทานเสร็จแล้ว ฝ่ายหญิงจึงจัดสำรับมาเลี้ยงแก่โคตร์วงศ์ทั้ง ๒ ฝ่ายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อรับประทานเสร็จแล้ว ฝ่ายชายแลฝ่ายหญิงจึงช่วยกันหาสุรามาเลี้ยงแก่โคตร์วงศ์ทั้ ๒ ฝ่ายอีก เสร็จการเลี้ยงแล้วพวกโคตร์วงศ์จึงพร้อมกันไปแห่เจ้าบ่าวมาขึ้นเรือนหลังที่ปลูกใหม่นั้นขึ้นไปบนเรือนแล้วต้องยืนอยู่ทุกคน ต่อเมื่อล่ามผู้ที่เปนคนไปขอหญิงในชั้นต้นไปรับเอาหญิงสาว (เจ้าสาว) มาขึ้นเรือนปูเสื่อปูที่นอนเสร็จแล้วจึงพากันนั่งลงได้ แล้วจงจัดการสู่ขวัญ (ทำขวัญ) ให้บ่าวสาวคู่นั้นเปนผัวเมียอยู่ด้วยกัน เสร็จการสู่ขวัญแล้ว ฝ่ายชายจัดหาเทียนไปขอสมาแก่บิดามารดาแลญาติของหญิงคนละเล่ม ฝ่ายหญิงก็หาเทียนแลหมอนแลสิ้นไปขอสมาแก่บิดามารดาแลญาติพี่น้องของฝ่ายชายเช่นเดียวกัน
วิธีที่ ๕ เรียกว่าแปลงขึ้น เมื่อหญิงชายได้กันโดยบรรยายมาแล้ว ตามวิธีที่ ๔ อยู่กินด้วยกันมาได้ ๙ วัน ฝ่ายชายต้องจัดหาไก่ต้มตัว ๑ ไหใส่น้ำสุราหรือไหเปล่าก็ได้ใบ ๑ ถ้วยใบ ๑ ลาด ๖ ลาด ใช้แทนเงินสตางค์ไปไหว้ผีของฝ่ายหญิง ขอให้หญิงที่เปนภรรยาของชายนั้นขาดจากผีของบิดามารดา เพื่อให้มานับถือผีของฝ่ายชายผู้เปนผัวต่อไป ไหใบ ๑ กับถ้วยใบ ๑ ลาด ๖ ลาดนี้ ฝ่ายผู้ปกครองของหญิงต้องรักษาไว้ ถ้าผัวเมียคู่นั้นเลิกย่าร้างกันต้องนำไหแลถ้วยกับลาด ๖ ลาดไปส่งคืนให้แก่ฝ่ายชาย เมื่อฝ่ายหญิงนำสิ่งของที่กล่าวนี้ไปส่งคืนให้แก่ฝ่ายชายแล้ว ถือว่าผัวเมียคู่นั้นเปนอันอย่าขาดกัน ถ้ายังไม่ส่งสิ่งของที่กล่าวนี้ต้องถือว่าเปนผัวเมียกันอยู่เสมอไป
วิธีที่ ๖ เรียกว่ากินดอง คือผัวเมียที่อยู่กินด้วยกันมีบุตรด้วยกันคน ๑ จึงจัดการกินดอง (การเลี้ยงวิธีเปนผัวเมียกัน) ถ้าผัวเมียคู่นั้นไม่มีบุตรด้วยกันเลย ต้องนับตั้งแต่วันที่ได้ปนผัวเปนเมียกันมาแล้วได้ ๓ ปี ก็ต้องกินดองเหมือนกัน วิธีกินดองนี้ฝ่ายชายต้องจัดหาหมูตัว ๑ สุรา ๖ ไห ถ้าฝ่ายหญิงต้องจัดหาไก่ ๑๐ ตัว ถ้าไม่มีไก่จัดหาหมูตัว ๑ เอาไปรวมทำเปนกับข้าวที่แห่งเดียวกันณบ้านผู้ปกครองหญิง แต่การทำกับข้าวต้องแยกกัน คือฝ่ายชายทำก่อนแล้วนำไปเส้นผีของฝ่ายหญิงต้องมีเงินบาท ๑ เมื่อเส้นผีแล้วจึงนำกับข้าวเหล่านั้นกับสุราไปเลี้ยงแก่เจ้าโคตร์ทั้ง ๒ ฝ่ายรับประทานเสร็จแล้ว ฝ่ายหญิงจึงจัดหาเครื่องกับข้าวมาเลี้ยงเจ้าโคตร์ทั้ง ๒ ฝ่ายอีกครั้งหนึ่งพร้อมด้วยสุราเช่นเดียวกัน กับข้าวแลสุราของฝ่ายหญิงต้องหามากกว่าฝ่ายชาย คือถ้าฝ่ายชายจัดกับข้าวมา ๑๐ สำรับ ฝ่ายหญิงต้องจัดมา ๑๒ สำรับ สุราถ้าฝ่ายชายหามา ๖ ไห ฝ่ายหญิงต้องจัดมา ๘ ไห ดังนี้เปนต้น ครั้นอยู่มาผัวเมียคู่นั้นมีบุตรด้วยกันอีกรวมเปน ๒ คน ต้องจัดการอีกครั้งหนึ่งเรียกว่ากินกาว คือฝ่ายชายต้องหากระบือตัว ๑ หมูขนาดเล็กตัว ๑ หมูขนาดเล็กนั้นต้มหมดทั้งตัวเส้นผีของฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงต้องจัดหาหมูตัว ๑ ไปรวมทำกับข้าวด้วยกับเนื้อกระบือของฝ่ายชายรวมที่เรือนหญิงเลี้ยงเข้าโคตร์ดุจเดียวกันดังที่กล่าวมาแล้ว ครั้นเสร็จการเส้นผีแลเลี้ยงแล้ว ฝ่ายชายต้องนำเงิน ๒๔ บาทกับกระบือตัว ๑ ไปไหว้เจ้าโคตร์ (ญาติพี่น้องของฝ่ายหญิงเพื่อขอเอาหญิงนั้นไปอยู่เรือนของฝ่ายชาย กระบือตัว ๑ นั้น ถ้าไม่มีนับรวมกับกระบือที่ฆ่าเลี้ยงกันด้วยก็ได้) กระทำกันดังนั้นแล้ว จึงพร้อมกันพาผัวเมียคู่นั้นไปส่งให้อยู่กินด้วยกันที่บ้านบิดามารดาของฝ่ายชาย ต่อมาเมื่อผัวเมียคู่นั้นมีบุตรด้วยกันรวมอีกเปน ๓ คน ต้องกระทำกันอีกครั้งหนึ่งเรียกว่ากินซอด คือฝ่ายชายหากระบือตัว ๑ ไปฆ่าที่เรือนของผู้ปกครองหญิง แล้วทำเปนกับข้าวไปเส้นผีของฝ่ายหญิง เส้นแล้วเลยเลี้ยงโคตร์วงศ์ทั้ง ๒ ฝ่าย เมื่อผัวเมียอยู่ด้วยกันมีบุตรรวมเปน ๔ คนต้องจัดการอีกครั้งหนึ่งเรียกว่าหมูถมรอย หรือควายแม่ลูกผูกถุน แม่มันเลี้ยง ลูกมันฆ่า คือชายต้องจัดหากระบือแม่ที่มีลูกติดตัว ๑ ไปผูกที่เสามุมเรือนของฝ่ายหญิงแล้ว ฆ่าลูกกระบือนั้นทำกับข้าวกับมีสุกรต้มหมดทั้งตัวอีกตัว ๑ สุกรนั้นนำไปเส้นผีว่าหมูถมรอย เนื้อกระบือที่ทำเปนกับข้าวนั้นเส้นว่าควายแม่ลูกผูกถุน แม่มันผูกลูกมันฆ่ากับมีไก่เปนอีกตัว ๑ เรียกว่าไก่ซาปกนกซาก ห่มไก่นี้นำไปผูกไว้ที่บันไดเรือนชั้นล่างสำหรับให้คนที่เปนล่าม คือคนที่ไปขอหญิงในชั้นต้นนั้น เอาไก่ไปเลี้ยงไว้ พอเสร็จการพิธีแล้ว ฝ่ายชายต้องจัดหาเนื้อสุกรหรือเนื้อโค หรือเนื้อไก่ก็ได้แล้วแต่จะมีกับเงินอีก ๓ บาท ไปสู่ขวัญให้แก่ผู้เปนล่าม