อธิบายตำนานภาษีอากร

ลักษณเก็บภาษีอากรในสยามประเทศแต่โบราณ ตามที่ปรากฎในหนังสือเก่า เช่นกฎหมายลักษณพระธรรมนูญ แลลักษณอาญาหลวงเปนต้น แลตามความในหนังสือของมองสิเออร์เดอลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาเมื่อรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแต่งพรรณาไว้ ดูจัดเปน ๔ อย่าง เรียกว่าจังกอบอย่าง ๑ อากรอย่าง ๑ ส่วยอย่าง ๑ ฤชาอย่าง ๑ เรียกรวมกันว่าส่วยสาอากร หรือส่วยสัดพัฒยากร หาได้เรียกว่าภาษีอากรอย่างทุกวันนี้ไม่

จังกอบนั้นเก็บชักส่วนสินค้า หรือเก็บเงินเปนอัตราตามขนาดยานพาหนะที่ขนสินค้า เช่นเรือเปนต้น เมื่อผ่านด่านขนอนทางบกทางน้ำ ในกฎหมายลักษณอาญาหลวง (มาตรา ๑๐) ว่าพิกัดเก็บ ๑๐ หยิบ ๑ ประเพณีเก็บจังกอบนี้มีมาแต่ดึกดำบรรพ์ ปรากฎในจารึกของพระเจ้ารามคำแหงมหาราชครั้งกรุงสุโขทัยเปนราชธานีของประเทศสยามนี้กล่าวว่า เมื่อพระเจ้ารามคำแหงครองกรุงสุโขทัยนั้น ทรงทำนุบำรุงราษฎรให้ไปมาโดยผาสุก “เจ้าเมืองบ่เอาจะกอปในไพร่สู่ทาง” ดังนี้

อากรนั้นเก็บชักส่วนผลประโยชน์ที่ราษฎรทำมาหาได้โดยประกอบการต่าง ๆ เช่นทำนา, ทำไร่, ทำสวน, เปนต้น หรือโดยให้สิทธิของรัฐบาล เช่นอนุญาตให้เก็บของในป่า จับปลาในน้ำ แลต้มกลั่นสุราเปนต้น พิกัดที่เก็บเข้าใจว่าคงประมาณอยู่ราว ๑๐ หยิบ ๑ ในผลประโยชน์ที่ได้นั้นเปนอัตรา

ส่วยนั้นคือยอมให้บุคคลบางจำพวกส่งสิ่งของซึ่งรัฐบาลต้องการใช้แทนที่คนเหล่านั้นต้องมาประจำทำราชการด้วยแรงของตน ยกตัวอย่างดังเช่นยอมอนุญาตให้ราษฎรที่ตั้งภูมิลำเนาอยู่ชายดงพระยาไฟหาดินมูลค้างคาว อันมีตามถ้ำที่ภูเขาในดงนั้น มาหุงดินประสิวส่งหลวงสำหรับทำดินปืน หรือเช่นยอมให้ราษฎรชาวเมืองถลางหาดีบุกอันมีมากในเกาะนั้น ส่งหลวงสำหรับทำลูกปืนแทนแรงรับราชการเปนต้น อัตราส่วยที่ต้องส่งคงกำหนดเท่าราคาที่ต้องจ้างคนรับราชการแทนตัว

ฤชานั้น คือค่าธรรมเนียม มีกำหนดเรียกจากการต่าง ๆ ซึ่งรัฐบาลทำใช้เพื่อประโยชน์แก่ราษฎรบางคนฉะเพาะตัว ยกตัวอย่างดังผู้ใดจะขอโฉนดตราสารเปนสำคัญแก่กรรมสิทธิของตน มิให้ผู้อื่นบุกรุกแย่งชิงที่เรือกสวนไร่นา รัฐบาลก็เก็บค่าฤชาจากเจ้าของกรรมสิทธินั้น หรือเช่นราษฎรเปนความกันรัฐบาลต้องชำระให้ในโรงศาล ฝ่ายใดแพ้คดีถูกปรับไหมให้ใช้เงินแก่ฝ่ายชนะเท่าใด รัฐบาลย่อมเก็บเปนฤชากึ่งหนึ่งนั้น เรียกว่าเงินพินัย ดังนี้เปนต้น

ในหนังสือที่มองสิเออร์เดอลาลูแบร์ราชทูตแต่ง อธิบายว่าเมื่อครั้งรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้น เก็บส่วยสาอากรต่าง ๆ (คิดตามอัตราเงินที่ใช้ในปัจจุบัน) ดังนี้ คือ

๑. จังกอบเรือ (บันทุกสินค้า) เดิมเก็บตามขนาดเรือยาววาละบาท ๑ มีอธิบายว่าเมื่อในรัชชกาลสมเด็จพระนารายน์ ฯ เพิ่มพิกัดขนาดปากเรือขึ้น เรือลำใดปากกว้างกว่า ๖ ศอก (ถึงเรือนั้นจะยาวไม่ถึง ๖ วา) ก็เก็บลำละ ๖ บาท แลจังกอบเรือนี้ว่าตรวจเก็บที่ด่านขนอนตั้งแต่เมืองไชยนาทลงมา

๒. จังกอบสินค้า เก็บทั้งสิ่งสินค้าเข้าแลสินค้าออก

๓. อากรค่านา ว่าเก็บไร่ละ ๒๕ สตางค์ มีอธิบายว่าแต่ก่อน ถ้านาแห่งใดไม่ทำก็ไม่ต้องเสียค่านา สมเด็จพระนารายณ์ ฯ มีพระราชประสงค์จะมิให้คนหวงที่นาไว้เปล่า ๆ ให้เก็บค่านาทั้งนาที่ทำแลมิได้ทำ

๔. อากรสวน ทุเรียนเก็บต้นละ ๕๐ สตางค์ พลูเก็บค้างละบาทหนึ่ง (ดูแรงเกินไป ที่จริงพิกัดเห็นจะเปนไร่ละบาท) หมากเดิมเก็บพิกัดต้นละ ๓ ผล ถึงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ฯ เก็บเปนเงิน (แต่พิกัดเท่าใดหากล่าวถึงไม่) มะพร้าวเก็บต้นละ ๕๐ สตางค์ ต้นส้ม ต้นมะม่วง ต้นมังคุด ต้นพริก (Pimentieri) เก็บต้นละบาทหนึ่ง (ดูแรงเกินนัก เห็นจะผิด) มีอธิบายว่าพริกไทยนั้นเดิมก็เสียอากร แต่สมเด็จพระนารายณ์ ฯ โปรด ฯ ให้งดการเก็บอากรเสีย มีพระราชประสงค์จะให้คนปลูกพริกไทยเปนสินค้าให้มากขึ้น

๕. อากรสุรา เก็บตามจำนวนเตาที่ตั้งต้มกลั่นสุราขาย ถ้าแลที่เมืองใดไม่มีเตาสุรา (ปล่อยให้ราษฎรต้ตมกลั่นตามอำเภอใจ) เก็ยอากรสุราเรียงตัวคน (ชายฉกรรจ์) คนละบาท ๑ มีอธิบายว่าในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ฯ เพิ่มพิกัดอากรสุราขึ้นกว่าแต่ก่อนอีกเท่าหนึ่ง แลเก็บอากรจากคนขายสุราด้วย คือขายย่อยเก็บร้านละบาท ๑ ถ้าขายเปนจำนวนมาก เก็บตามจำนวนสุราโอ่งใหญ่ (เท ?) ละบาท ๑

๖. อากรค่าน้ำ เก็บจากอนุญาตที่ลหารให้คนหาปลา มีอธิบายว่าเปนหน้าที่ออกญาท้ายน้ำเปนพนักงานเก็บ

๗. อธิบายว่ามีอากรที่เก็บขึ้นใหม่ หรือตั้งขึ้นในรัชกาลนั้นเองอิก ๒ อย่าง คืออากรบ่อนเบี้ยอย่าง ๑ แลค่าอนุญาตให้ออกญาแมนตั้งโรงหญิงนครโสเภณีอย่าง ๑

(มีอากรอิกอย่างหนึ่ง ซึ่งเข้าใจว่าเก็บมาแต่โบราณ แต่มองสิเออร์เดอลาลุแบร์มิได้กล่าวถึง คืออากรตลาด เก็บจากผู้ที่ออกร้านขายของในท้องตลาด แต่พิกัดเก็บอย่างไรหาทราบชัดไม่)

๘. ส่วยต่างๆ นั้น คือเครื่องราชบรรณาการ ซึ่งประเทศราชส่งตามพระราชกำหนดอย่าง ๑ ทรัพย์มรดกของผู้มรณภาพซึ่งต้องพัฒยา (คือเกินกำลังของทายาทจะเอาไว้ใช้สอย) อย่าง ๑ เกณฑ์เฉลี่ย (คือเกณฑ์ให้ช่วยกันเลี้ยงแขกเมือง หรือเกณฑ์ให้ช่วยกันสร้างป้อมปราการเปนต้น) อย่าง ๑ ส่วยแทนแรง คือโดยปรกติบันดาชายฉกรรจ์มีหน้าที่เข้ามารับราชการปีละ ๖ เดือน ยอมให้คนที่เหลือใช้ไปทำมาหากิน แต่ให้ส่งเงินมาจ้างคนแทนตัว หรือหาสิ่งของที่ต้องการใช้ในราชการส่งแทนแรงที่เข้ามารับราชการอย่าง ๑ มีอธิบายว่าค่าจ้างคนรับราชการแทนตัวนั้น ตั้งอัตราเงินเดือนละ ๒ บาท คิดเปนค่าแรงบาทหนึ่ง เบี้ยเลี้ยงบาทหนึ่ง รวมเปนปีละ ๑๒ บาท

๙. ค่าฤชา (ที่ได้เปนของหลวง) นั้น คือเงินพินัยเบี้ยปรับคู่ความ แลทรัพย์สมบัติซึ่งริบจากผู้มีความผิด (ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ไม่ได้นับในหมวดนี้ เพราะเดิมพระราชทานเปนผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ เช่นกับเงินเดือน แม้เงินพินัยตามศาลหัวเมือง ก็ยกพระราชทานให้เปนผลประโยชน์ของผู้ว่าราชการเมือง)

มองสิเออร์เดอลาลูแบร์ อธิบายเรื่องผลประโยชน์แผ่นดินครั้งรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ฯ ว่านอกจากเก็บส่วยสาอากรดังกล่าวมายังมีทางได้อย่างอื่นอีก คือได้ค่าที่นาหลวงแลสวนหลวง ผู้ทำต้องแบ่งผลที่ทำได้ส่งเปนภาคหลวงอย่าง ๑ ได้กำไรการค้าขายในพระคลังสินค้าอย่าง ๑

เรือพระคลังสินค้านี้ ในหนังสือซึ่งชาวต่างประเทศคนอื่น ๆ แต่ง ก็มักกล่าวถึงแลเปนเรื่องที่รัฐบาลต้องโต้เถียงกับชาวต่างประเทศมาจนถึงสมัยในชั้นกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ควรจะอธิบายให้ทราบลักษณการเสียก่อน อันมูลเหตุที่จะมีพระคลังสินค้านั้น เข้าใจว่าเพราะเหตุ ๒ อย่าง คืออย่าง ๑ เรือต่างประเทศเอาเครื่องศัสตราวุธแลดินดำกำมะถันเปนสินค้าเข้ามาขาย ของเหล่านี้รัฐบาลไม่ปราถนาจะให้ตกไปถึงมือปัจจามิตร แต่จะห้ามมิให้ชาวต่างประเทศเอาเข้ามา รัฐบาลก็ต้องการมีไว้สำหรับใช้ราชการบ้านเมือง จึงยอมให้ชาวต่างประเทศเอาเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์เข้ามาได้ แต่บังคับว่าต้องขายแก่รัฐบาลแห่งเดียว เมื่อรัฐบาลซื้อของเหล่านั้นไว้จนมีเกินจำนวนต้องการ รัฐบาลก็ขายเปนรายย่อยไปแก่ไพร่บ้านพลเมือง เกิดกำไรแก่รัฐบาลด้วยประการฉนี้อย่าง ๑ อย่างที่ ๒ นั้นเปนส่วนสินค้าขาออก มีสินค้าบางอย่างซึ่งหาได้ในพื้นเมือง แต่เปนของมีน้อยแลหายาก ยกเปนตัวอย่างดังเช่นดีบุกเปนต้น ของเหล่านี้พวกพ่อค้าต่างประเทศพากันต้องการจะเอาไปขายประเทศอื่นเพราะขายได้ราคาแพง รัฐบาลจะยอมให้ขายซื้อกันได้ตามใจเกรงของเหล่านั้นจะหมดสิ้นไม่มีเหลืออยู่สำหรับใช้ราชการในบ้านเมือง จึงกำหนดว่าเปนสินค้าต้องห้าม มิให้ซื้อขายกันในที่ท้องตลาด ใครมีสินค้าต้องห้ามเหล่านั้น ถ้าจะขายให้เอามาขายต่อพระคลัง ใครจะซื้อก็ให้มาซื้อที่พระคลัง รัฐบาลเปิดขายไปแต่พอเห็นสมควร วิธีการซื้อขายที่รัฐบาลบังคับเช่นว่ามานี้ บางที่จะมีมาแต่ในรัชกาลพระเจ้าทรงธรรม หรือก่อนนั้นแล้ว แต่เมื่อถึงในรัชกาลพระเจ้าปราสาททอง (ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๗๓ จน พ.ศ. ๒๑๙๘) คิดจัดการค้าขายในพระคลังให้เปนทางที่จะได้ผลประโยชน์แผ่นดินเพิ่มเติมอิกทางหนึ่ง จึงตั้งพิกัดสินค้าต้องห้ามให้มากสิ่งยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน คือส่วนสินค้าที่เข้ามาแต่ต่างประเทศ นอกจากเครื่องศัสตราวุธเพิ่มเติมกำหนดว่าผ้าเปนสินค้าต้องห้ามอิกอย่าง ๑ ใครบันทุกผ้าเข้ามาต้องให้รัฐบาลรับซื้อเข้าพระคลัง แล้วจำหน่ายไปตามตลาดทั้งในกรุง ฯ แลหัวเมือง ส่วนสินค้าขาออกนั้น กำหนดดินประสิว ตะกั่ว ฝาง หมากสง หนังสัตว์ เนื้อไม้ ช้าง แลงาช้าง ฯ เหล่านี้ ว่าเปนสินค้าต้องห้ามเพิ่มเติมขึ้น รัฐบาลจึงได้กำไรในพระคลังเปนผลประโยชน์แผ่นดินยิ่งขึ้นอีกทางหนึ่ง เมื่อพระคลังมีการซื้อแลจำหน่ายสินค้ามากขึ้นเช่นกล่าวมา การแพนกนี้จึงได้นามว่าพระคลังสินค้า

นอกจากภาษีอากรต่าง ๆ ที่กล่าวมา มองสิเออร์เดอลาลุแบร์ว่าผลประโยชน์แผ่นดินที่ได้เปนตัวเงินเมื่อในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ฯ ประมาณปีละ ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท

ผลประโยชน์แผ่นดินเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี นอกจากเก็บส่วยสัดพัฒยากรแลการซื้อขายในพระคลังสินค้าดังกล่าวมา ยังมีทางที่ได้ผลประโยชน์ของหลวงด้วยแต่งเรือไปค้าขายยังนานาประเทศด้วยอิกอย่างหนึ่ง คือมีเรือกำปั่นของหลวงบันทุกสินค้าของหลวง เช่น ช้าง ดีบุก แลฝางเปนต้น ไปขายถึงอินเดียบ้าง เมืองจีนบ้าง เมืองชวาบ้าง แลประเทศอื่นบ้าง แล้วรับซื้อสินค้าต่างประเทศที่ต้องการใช้ในประเทศนี้ เช่นผ้าลายแลถ้วยชามเปนต้น เข้ามาให้พระคลังสินค้าจำหน่ายได้กำไรในทางนี้เปนผลประโยชน์ของหลวงอิกทางหนึ่ง

วิธีเก็บผลประโยชน์แผ่นดินเช่นกล่าวมานี้ ใช้เปนประเพณีมาจนตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี เมื่อมาถึงสมัยกรุงธนบุรีเปนราชธานีก็ดี ในสมัยกรุงรัตนโกสินทรเปนราชธานีเมื่อชั้นรัชกาลที่ ๑ แลรัชกาลที่ ๒ ก็ดี ก็เก็บส่วยสัตพัฒยากรแลประกอบการซื้อขายในพระคลังสินค้า แลค้าเรือต่อมาตามแบบอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฎว่าได้แก้ไขอย่างใด นอกจากเปลี่ยนพิกัดอัตราบ้าง มีตัวอย่างดังเช่นเก็บเงินแทนแรงรับราชการ เมื่อครั้งรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ฯ กำหนดว่าไพร่คนหนึ่งต้องมาเข้าเวรปีละ ๖ เดือน ถ้าไม่มาเข้าเวรให้เสียเงินแทนเดือนละ ๒ บาท ในชั้นกรุงรัตนโกสินทรนี้ลดเวลารับราชการลงคงให้เข้าเวรเพียงปีละ ๓ เดือน แต่เพิ่มพิกัดเงินที่ต้องเสียแทนแรงมากขึ้นเดือนละ ๖ บาท เพราะฉนั้นชั้นก่อนถ้าไพร่ไม่เข้ามารับราชการต้องเสียเงินปีละ ๑๒ บาท แต่ชั้นหลังต้องเสียปีละ ๑๘ บาท แต่การอันนี้เลือกได้ตามใจไพร่สมัค ถ้าไม่อยากเสียเงิน ชั้นก่อนต้องมาอยู่ประจำเวรถึงปีละ ๖ เดือน แต่ชั้นหลังต้องมาอยู่เพียงปีละ ๓ เดือน ผิดกันดังนี้

เรื่องเก็บส่วยสาอากรปรากฎในจดหมายเหตุว่า มาจัดการฟื้นระเบียบแบบแผนขึ้นเมื่อรัชกาลที่ ๓ เพราะเมื่อในรัชกาลที่ ๒ ได้ผลประโยชน์แผ่นดินไม่พอจ่ายใช้ราชการบ้านเมือง บางปีถึงต้องขอลดอัตราเบี้ยหวัดข้าราชการ จ่ายแต่ครึ่งหนึ่งบ้างหรือสองในสามส่วนบ้าง หรือมิฉนั้นเอาสิ่งสินค้าของหลวงที่มีอยู่ในพระคลังเช่นผ้าลายเปนต้น ออกแจกเปนเบี้ยหวัดก็มี

ที่เรียกว่าเบี้ยหวัดนี้ มักจะเข้าใจกันผิดไปว่าเปนผลประโยชน์ประจำตำแหน่ง เช่นอย่างเงินเดือนทุกวันนี้ ที่จริงเบี้ยหวัดแต่ก่อนหาใช่ผลประโยชน์ประจำตำแหน่งไม่ ด้วยถือกันว่าข้าราชการเปนตำแหน่งใดย่อมได้รับค่าฤชาธรรมเนียมหรือส่วย แลส่วนลดในหน้าที่ตำแหน่งนั้นเปนผลประโยชน์ จะยกตัวอย่างดังเช่นตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยแลกระลาโหมกรมท่า ย่อมได้ค่าธรรมเนียมประทับตรานำตั้งตำแหน่งเปนผลประโยชน์ประจำตำแหน่งอย่างหนึ่ง แลยังมีอย่างอื่นอิกหลายอย่าง เบี้ยหวัดนั้นที่จริงเปนของพระราชทานตอบแทนข้าราชการที่รับราชการในส่วนพระองค์เปนทำนองบำเหน็จ เพราะฉนั้นจึงถือว่าขึ้นลดได้ตามพระราชธอัธยาศัย

ผลประโยชน์แผ่นดินครั้งรัชกาลที่ ๒ นั้น ถ้าว่าโดยประเภทแลวิธีเก็บก็เปนอย่างเดียวกับเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี คือ มีจังกอบอย่าง ๑ อากรอย่าง ๑ ส่วยอย่าง ๑ ค่าฤชาธรรมเนียมอย่าง ๑ กำไรพระคลังสินค้าอย่าง ๑ กำไรในการค้าเรืออย่าง ๑ มีจำแนกรายการปรากฎอยู่ในหนังสือพระราชพงศาวดารของเจ้าพระยาทิพากรวงศ กับจดหมายเหตุของครอเฟิตทูตอังกฤษ ซึ่งเข้ามาในรัชกาลที่ ๒ เมื่อปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๖๕ ได้เนี้อความดังนี้ คือ

จังกอบนั้น เก็บสินค้าเมื่อผ่านด่านขนอน (ร้อยชักสิบ) อย่าง ๑ เก็บค่าเบิกล่องเรือกำปั่นตามขนาดปากเรือวาละ ๑๒ บาท อย่าง ๑

อากรนั้น เก็บค่านา อากรสวนสมพักสร ค่าน้ำ ตลาด เตาสุรา บ่อนเบี้ย

ส่วยนั้น เงินที่ยอมให้ไพร่เสียแทนเข้าเวรรับราชการ จึงเรียกว่าข้าราชการอย่าง ๑ เงินบังคับเรียกจากจีนแทนแรงรับราชการ พิกัดเท่ากับทาสกรรมกรปีละ ๕๐ สตางค์ ๓ ปีเก็บครั้งหนึ่งบาท ๑ กับ ๕๐ สตางค์ ใครเสียแล้วผูกปี้ครั่งที่ข้อมือให้เปนสำคัญ จึงเรียกว่าเงินผูกปี้อย่าง ๑ ยังส่วยสิ่งของต่าง ๆ ซึ่งยอมให้ชาวหัวเมืองหาส่งแทนเข้าเวรรับราชการอิกหลายอย่าง (สิ่งของเหล่านั้นแจ้งรายชื่ออยู่ในพระคลังสินค้าซึ่งจะกล่าวต่อไป)

ค่าฤชาธรรมเนียมนั้น เรียกค่าตรา ค่าโฉนด แลค่าธรรมเนียมความเปนต้น เหมือนอย่างเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี

พระคลังสินค้าเมื่อในรัชกาลที่ ๒ นั้น ครอเฟิตกล่าวว่ากำหนดสิ่งเหล่านี้เปนสินค้าต้องห้าม คือ ๑ รังนก ๒ ฝาง ๓ ดีบุก ๔ พริกไทย ๕ เนื้อไม้ ๖ ผลเร่ว ๗ ตะกั่ว ๘ งาช้าง ๙ รง (ผิดกับครั้งรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ฯ คือเพิ่มพริกไทย ผลเร่ว รง เข้าในสินค้าต้องห้าม ๓ อย่าง ยกเลิกดินประสิวกับช้าง ๒ อย่าง แต่ช้างนั้นปรากฎในที่อื่นว่ายังมีช้างของหลวงส่งไปขายถึงเมืองเทศ เห็นครอเฟิตจะไม่รู้ เพราะส่งไปทางเมืองตรัง จึงไม่กล่าวถึงสินค้าต้องห้ามที่พระคลังสินค้าขายนั้น ช้างเห็นจะเปนของหลวงจับเองหรือเปนภาคหลวงที่เรียกจากผู้จับ งาช้างเปนของบรรณาการแลรับซื้อด้วย นอกจากสองสิ่งนี้เปนของส่วยแลรับซื้อทั้งนั้น ที่กล่าวมานี้เปนส่วนสินค้าขาออก สินค้าขาเข้าซึ่งพวกพ่อค้าพามาแต่ต่างประเทศนั้น ในรัชกาลที่ ๒ ปรากฎว่า กำหนดสินค้าต้องห้ามมิให้ขายแก่ผู้อื่นแต่เครื่องศัสตราวุธยุทธภัณฑ์ คือ ปืนและดินปืนเปนต้น สินค้าอื่น ๆ นอกจากนั้นเปนแต่รัฐบาลต้องการใช้สิ่งใดซื้อได้ก่อนผู้อื่น หาปรากฎว่าบังคับให้เอามาขายเหมือนเมื่อครั้งรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ฯ ไม่

เรือของหลวงสำหรับแต่งไปค้าขายต่างประเทศเมื่อในรัชกาลที่ ๒ มี ๒ ลำ ชื่อเรือมาลาพระนครลำ ๑ เรือเหราข้ามสมุทลำ ๑ (เข้าใจว่ายังมีเรือหลวงที่เมืองนครศรีธรรมราชอิกสักลำหนึ่งหรือสองลำ) แต่งไปค้าขายถึงเมืองเกาะหมาก เมืองสิงคโปร์ เมืองหมาเก๊า แลบางทีก็ไปถึงอินเดีย

ผลประโยชน์แผ่นดินในรัชกาลที่ ๒ ครอเฟิตประมาณว่าเก็บได้ราวปีละ ๒,๒๖๐,๐๐๐ บาท

ถึงรัชกาลที่ ๓ จัดการแก้ไขวิธีการเก็บผลประโยชน์แผ่นดินหลายอย่าง เหตุด้วยเมื่อในรัชกาลที่ ๒ ผลประโยชน์แผ่นดินได้ไม่พอจ่ายราชการดังกล่าวมาแล้ว ครั้นมาถึงรัชกาลที่ ๓ มีศึกสงครามจำเปนต้องการเงินใช้ราชการมากกว่าแต่ก่อน พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระราชดำริห์จัดการฟื้นวิธีเก็บเงินผลประโยชน์แผ่นดิน การที่ทรงจัดนั้น คือแก้ไขวิธีเก็บภาษีอากรเดิม เช่นเรียกเก็บค่านาเปนตัวเงินแทนเก็บเข้าเปลือกขึ้นฉางหลวง คิดเปนไร่ละสลึง แลเก็บเงินแทนค่าขนเข้าส่งฉางหลวงอิกไร่ละเฟื้อง เปนต้น นอกจากแก้ไขวิธีเก็บ ทรงตั้งภาษีขึ้นใหม่อิกหลายอย่าง คำว่า “ภาษี” แต่เดิมในภาษาไทยใช้แต่หมายความว่าได้เปรียบ ดังเช่นกล่าวว่าสิ่งนี้มีภาษีกว่าสิ่งโน้น ที่มาใช้หมายความว่าเก็บผลประโยชน์แผ่นดิน ดูเหมือนจะพึ่งปรากฎขึ้นเมื่อในรัชกาลที่ ๓ เห็นจะมาแต่ภาษาจีนแต้จิ๋ว “บู้ซี” หมายความว่าสำนักเจ้าพนักงานทำการเก็บผลประโยชน์แผ่นดิน เพราะมาจัดวิธีให้มีผู้มาว่าประมูลเงินหลวงรับผูกขาดเก็บผลประโยชน์แผ่นดินขึ้นเมื่อรัชกาลที่ ๓ ใครประมูลได้ก็ได้ชื่อว่า “เจ้าภาษี” ดังนี้

ภาษีซึ่งตั้งขึ้นเมื่อในรัชกาลที่ ๓ เจ้าพระยาทิพากรวงศกล่าวไว้ในหนังสือพระราชพงศาวดารว่ามี ๓๘ อย่าง คือ

๑ บ่อนเบี้ยจีน เดิมมีแต่บ่อนเบี้ยไทย คือตั้งโรงให้คนไปเล่นเบี้ยกันเอง นายอากรเปนแต่เก็บต๋งหัวเบี้ยส่งหลวง ที่เรียกว่าบ่อนเบี้ยจีนนั้น สำหรับพวกจีนเล่นกัน ยอมให้เล่มตามประเพณีในเมืองจีน

๒ หวย ก.ข.

๓ ภาษีเบ็ดเสร็จ (เก็บจากของลงสำเภา)

๔ ภาษีของต้องห้ามหกอย่าง

๕ ภาษีพริกไทย (เก็บจากผู้ซื้อลงสำเภา)

๖ ภาษีพริกไทย (เก็บจากชาวไร่ที่ปลูกพริกไทย)

๗ ภาษีฝาง

๘ ภาษีไม้แดง (เก็บจากผู้ซื้อลงสำเภา)

๙ ภาษีไม้แดง (เก็บสิบลดจากผู้ขาย)

๑๐ ภาษีเกลือ

๑๑ ภาษีน้ำมันมะพร้าว

๑๒ ภาษีน้ำมันต่าง ๆ

๑๓ ภาษีกะทะ

๑๔ ภาษีต้นยาง

๑๕ ภาษีไต้ชัน

๑๖ ภาษีฟืน

๑๗ ภาษีจาก

๑๘ ภาษีกระแชง

๑๙ ภาษีไม้ไผ่ป่า

๒๐ ภาษีไม้รวก

๒๑ ภาษีกอไม้สีสุก

๒๒ ภาษีไม้ค้างพลู

๒๓ ภาษีไม้ต่อเรือ

๒๔ ภาษีไม้ซุง

๒๕ ภาษีฝ้าย

๒๖ ภาษียาสูบ

๒๗ ภาษีปอ

๒๘ ภาษีคราม

๒๙ ภาษีเนื้อแห้ง ปลาแห้ง

๓๐ ภาษีเยื่อเคย

๓๑ ภาษีน้ำตาลทราย

๓๒ ภาษีน้ำตาลหม้อ

๓๓ ภาษีน้ำตาลอ้อย

๓๔ ภาษีสำรวจ

๓๕ ภาษีเตาตาล

๓๖ ภาษีจันอับ, ไพ่, เทียนไขเนื้อ, แลขนมต่าง ๆ

๓๗ ภาษีปูน

๓๘ ภาษีเกวียน, โคต่าง, เรือจ้าง, ทางโยง

ในรัชกาลที่ ๓ โปรด ฯ ให้เลิกอากรซึ่งเคยมีมาแต่ครั้งกรุงเก่า ๒ อย่าง คือ

๑ อากรรักษาเกาะ

๒ อากรค่าน้ำ

ที่ในหอพระสมุด ฯ มีบาญชีเงินภาษีอากรในรัชกาลที่ ๓ จำนวนปีมะเสง พ.ศ. ๒๓๘๘ พระยาราชมนตรี (ภู่) ผู้ว่าการพระคลังมหาสมบัติ ทำทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวฉบับหนึ่ง มีรายชื่อเจ้าภาษี แลจำนวนเงินที่รับทำ ทั้งจำนวนเงินส่วนแบ่งภาษีอากรเหล่านั้น ดังพิมพ์ไว้ต่อไปนี้

บาญชีเงินภาษีอากร

จำนวนปีมะเสงสัปตศก จุลศักราช ๑๒๐๗

ภาษีฝาง พระสวัสดิวารีรับทำ

รวมเงิน ๗๔๐ ชั่ง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๖๕๐ ชั่ง
ขึ้น พระราชวังบวร ฯ ๗๐ ชั่ง
ขึ้น กรมหมื่นสุรินทร ๑๐ ชั่ง
ขึ้น กรมหลวงรักษรณเรศ ๑๐ ชั่ง

ภาษีพริกไทย หลวงอภัยวาณิชรับทำ

รวมเงิน ๔๒๐ ชั่ง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๓๘๐ ชั่ง
ขึ้น พระราชวังบวร ฯ ๓๐ ชั่ง
ขึ้น กรมหมื่นสุรินทร ๕ ชั่ง
ขึ้น กรมหลวงรักษรณเรศ ๕ ชั่ง

ภาษีเบ็ดเสร็จสำเภา จีนชินรับทำ

รวมเงิน ๒๗๕ ชั่ง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๒๕๕ ชั่ง
ขึ้น พระราชวังบวร ฯ ๑๕ ชั่ง
ขึ้น กรมหมื่นสุรินทร ๒ ชั่ง
ขึ้น กรมหลวงรักษรณเรศ ๓ ชั่ง
ขึ้น เจ้าคุณวัง (เจ้าจอมมารดา กรมหมื่นสุรินทร์) ๓ ชั่ง

ภาษีของต้องห้าม จีนชินรับทำ

รวมเงิน ๑๗๐ ชั่ง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๑๕๐ ชั่ง
ขึ้น พระราชวังบวร ฯ ๑๕ ชั่ง
ขึ้น กรมหมื่นสุรินทร ๒ ชั่ง
ขึ้น กรมหลวงรักษรณเรศ ๑ ชั่ง
ขึ้น เจ้าคุณวัง ๒ ชั่ง

ภาษีเนื้อปลา จีนเล่าแชเปนขุนวิเศษภักดีรับทำ

รวมเงิน ๑๑๐ ชั่ง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๙๓ ชั่ง
ขึ้น พระราชวังบวร ฯ ๑๒ ชั่ง
ขึ้น กรมหมื่นสุรินทร ๓ ชั่ง
ขึ้น กรมหลวงรักษรณเรศ ๒ ชั่ง

ภาษีฝ้าย, ครั่ง จีนพลับเปนขุนจำเริญโภคารับทำ

รวมเงิน ๑๘๕ ชั่ง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๑๗๗ ชั่ง
ขึ้น พระราชวังบวรฯ ๗ ชั่ง
ขึ้น กรมหมื่นสุรินทร ๑ ชั่ง

ภาษีฝ้าย, ยาสูบ จีนชินเปนขุนศรีสมบัติรับทำ

รวมเงิน ๑๗๔ ชั่ง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๑๖๑ ชั่ง
ขึ้น พระราชวังบวร ฯ ๑๐ ชั่ง
ขึ้น พระศรีสุลาไลย ๒ ชั่ง
ขึ้น กรมหลวงรักษรณเรศ ๑ ชั่ง

ภาษีของเบ็ดเสร็จสิบลด จีนเกงซัวเปนขุนภักดีอากรรับทำ

รวมเงิน ๑๑๒ ชั่ง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๑๐๑ ชั่ง
ขึ้น พระราชวังบวร ฯ ๙ ชั่ง
ขึ้น พระศรีสุลาไลย ๒ ชั่ง

ภาษีงาปีสิบลด จีนต่วนเปนขุนโกชาวาณิชรับทำ

รวมเงิน ๕๒ ชั่ง ๑๐ ตำลึง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๔๔ ชั่ง ๑๐ ตำลึง
ขึ้น พระราชวังบวร ฯ ๓ ชั่ง ๑๐ ตำลึง
ขึ้น พระศรีสุลาไลย ๒ ชั่ง ๑๐ ตำลึง
ขึ้น กรมหมื่นสุรินทร ๒ ชั่ง

ภาษีน้ำตาลทราย หลวงพิทักษ์ทศกรรับทำ

รวมเงิน ๖๖๐ ชั่ง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๖๖๐ ชั่ง
ขึ้น พระราชวังบวร ฯ ๑๕ ชั่ง
ขึ้น พระศรีสุลาไลย ๓ ชั่ง
ขึ้น กรมหมื่นสุรินทร ๓ ชั่ง
ขึ้น กรมหลวงรักษรณเรศ ๒ ชั่ง
ขึ้น กรมหมื่นอับสรสุดาเทพ ๑๗ ชั่ง
ขึ้น เจ้าคุณวัง ๒ ชั่ง

ภาษีฟืนโรงน้ำตาล หลวงพิทักษ์ทศกรรับทำ

รวมเงิน ๗๐ ชั่ง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๖๕ ชั่ง
ขึ้น พระราชวังบวร ฯ ๕ ชั่ง

ภาษีน้ำตาลกรวด จีนบี๊เปนหมื่นมธุรสวาณิชรับทำ

รวมเงิน ๑๐๐ ชั่ง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๙๕ ชั่ง
ขึ้น กรมหมื่นอับสรสุดาเทพ ๕ ชั่ง

ภาษีน้ำตาลโตนดเมืองเพ็ชรบุรี จีนเกียดเปนขุนวิเศษทศกรรับทำ

รวมเงิน ๗๕ ชั่ง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๗๕ ชั่ง
ขึ้น พระราชวังบวร ฯ ๕ ชั่ง
ขึ้น พระศรีสุลาไลย ๖ ชั่ง
ขึ้น กรมหมื่นสุรินทร ๑ ชั่ง
ขึ้น กรมหลวงรักษรณเรศ ๑ ชั่ง
ขึ้น กรมหมื่นอับสรสุดาเทพ ๕ ชั่ง

ภาษีน้ำตาลโตนดเมืองนนทบุรี จีนนิ่มรับทำ

รวมเงิน ๔ ชั่ง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๔ ชั่ง

ภาษีน้ำตาลโตนดเมืองสุพรรณบุรี นายอยู่รับทำ

รวมเงิน ๒ ชั่ง ๕ ตำลึง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๒ ชั่ง ๕ ตำลึง

ภาษีน้ำอ้อย หลวงพิทักษ์ทศกรรับทำ

รวมเงิน ๑๖๐ ชั่ง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๑๔๐ ชั่ง
ขึ้น กรมหมื่นอับสรสุดาเทพ ๒๐ ชั่ง

อากรรังนก เมืองชุมพร เมืองไชยา หลวงบรรจงวาณิชรับทำ

รวมเงิน ๙๕ ชั่ง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๗๑ ชั่ง ๑๕ ตำลึง ๒ บาท ๒ สลึง ๕๕๐ เบี้ย
ขึ้น พระราชวังบวร ฯ ๓ ชั่ง ๙ ตำลึง ๑ สลึง ๑๐๘ เบี้ย
ขึ้น พระคลังนอก ๔ ชั่ง ๔ ตำลึง ๒ สลึง ๑๔๒ เบี้ย
ขึ้น พระคลังใน ๒ ชั่ง ๘ ตำลึง ๒ บาท
ขึ้น พระศรีสุลาไลย ๑ ชั่ง ๑๖ ตำลึง ๑ สลึง
ขึ้น กรมหมื่นสุรินทร ๔ ชั่ง ๖ ตำลึง ๑ บาท ๑ สลึง ๑ เฟี้อง
ขึ้น กรมหลวงรักษรณเรศ ๑ ชั่ง ๓ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึง ๑ เฟื้อง
ขึ้น กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ๑๒ ตำลึง ๓ บาท ๑ สลึง ๑ เฟื้อง
ขึ้น เจ้าคุณวัง ๕ ชั่ง ๓ ตำลึง ๒ บาท

อากรรังนก กุ้งแห้ง เมืองสงขลา พระยาสงขลารับทำ

รวมเงิน ๕๕ ชั่ง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๕๕ ชั่ง

อากรรังนกเมืองไทย พระยานครรับทำ

รวมเงิน ๗๓ ชั่ง ๕ ตำลึง ๒ บาท ๒ สลึง

ขึ้น พระคลังสินค้า ๗๓ ชั่ง ๕ ตำลึง ๒ บาท ๒ สลึง
ภาษีกอไม้ไผ่สีสุก หลวงแพ่ง หมื่นทิพย์รับทำ เมืองกรุงเก่า เมืองอ่างทอง เมืองลพบุรี เมืองจันท์ เมืองพรหม เมืองสิงห์ เมืองสรรค์ เมืองไชยนาท รวมเงิน ๑๐๐ ชั่ง
ขึ้น พระคลังสินค้า ๗๘ ชั่ง ๑๐ ตำลึง
ขึ้น พระราชวังบวร ฯ ๖ ชั่ง ๑๐ ตำลึง
ขึ้น พระศรีสุลาไลย ๗ ชั่ง
ขึ้น กรมหลวงรักษรณเรศ ๔ ชั่ง
ขึ้น กรมหมื่นอับสรสุดาเทพ ๔ ชั่ง
ภาษีกอไม้ไผ่สีสุก นายคงรับทำ เมืองสุพรรณบุรี เมืองนครไชยศรี เมืองประทุมธานี รวมเงิน ๘ ชั่ง ๑๐ ตำลึง
ขึ้น พระคลังสินค้า ๖ ชั่ง ๑๐ ตำลึง
ขึ้น พระราชวังบวร ฯ ๑๕ ตำลึง
ขึ้น พระศรีสุลาไลย ๑๕ ตำลึง
ขึ้น กรมหลวงรักษรณเรศ ๕ ตำลึง
ขึ้น กรมหมื่นอับสรสุดาเทพ ๕ ตำลึง

ภาษีกอไม้ไผ่สีสุก ข้าหลวงกรมการเก็บเปนหลวง เมืองราชบุรี เมืองเพ็ชรบุรี เมืองสมุทสงคราม

รวมเงิน ๑๒ ชั่ง ๑ บาท ๒ สลึง ๑ เฟื้อง

ภาษีฝ้ายเม็ด ฝ้ายบด กรมการเก็บเปนหลวง เมืองปราณบุรี รวมเงิน ๒ ชั่ง ๑๙ ตำลึง ๒ บาท ๑ เฟื้อง ๓๕๒ เบี้ย
ภาษีไม้ท่อน ไม้กะดาน กงฉาก กงค้าง กรมการเก็บเปนหลวง กรุงเทพ ฯ เมืองสมุทสงคราม เมืองนคร รวมเงิน ๓ ชั่ง ๒ ตำลึง
ภาษีปลาทู เจ้าภาษีเนื้อ เจ้าภาษีปลาเก็บเปนหลวง รวมเงิน ๒๐ ชั่ง ๒ ตำลึง

รวมทั้งสิ้น ๓,๖๘๐ ชั่ง ๙ ตำลึง ๒ บาท ๑ สลึง ๑ เฟื้อง ๓๕๒ เบี้ย (๒๙๔,๔๓๘ บาท ๔๖ สตางค์)

ตามรายการที่ปรากฎในบาญชีนี้ กล่าวถึงแต่ภาษีอากรบางอย่าง เงินผลประโยชน์แผ่นดินครั้งรัชกาลที่ ๓ มากกว่าที่ปรากฎในบาญชีนี้อีกเปนอันมาก ประมาณเห็นจะไม่ต่ำกว่า ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท

ในรัชกาลที่ ๓ นอกจากที่จัดวิธีเก็บภาษีอากรและตั้งภาษีขึ้นใหม่ การค้าขายของหลวง และของเจ้านายข้าราชการผู้ใหญ่ ด้วยแต่งเรือไปค้าขายต่างประเทศ ก็ยังคงทำมาตลอดรัชกาล

ถึงรัชกาลที่ ๔ กรุงสยามทำหนังสือสัญญาค้าขายกับฝรั่งต่างประเทศ การที่ทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศนั้น เปนปัจจัยต่อการเก็บภาษีอากรเปนข้อสำคัญในเวลาต่อมา เหตุด้วยยอมให้ชาวต่างประเทศที่เข้ามาค้าขาย เมื่อเสียภาษีตามพิกัดอัตราอันกำหนดไว้ในหนังสือสัญญาแล้ว ซื้อขายได้โดยสดวก ตัดทางค้าขายของหลวงในพระคลังสินค้า และทางค้าขายผู้มีบันดาศักดิ์ซึ่งเคยทำมาแต่ก่อน รัฐบาลจำต้องตั้งภาษีอากรหาผลประโยชน์แผ่นดิน และแบ่งส่วนพระราชทานทดแทนผู้มีบันดาศักดิ์ซึ่งขาดตกไปเพราะการทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศ ภาษีอากรซึ่งตั้งขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ ๔ เจ้าพระยาทิพากรวงศแสดงไว้ว่ามี ๑๔ อย่าง คือ

๑ ภาษีฝิ่น

๒ ภาษีสุกร

๓ ภาษีปลาสด

๔ ภาษีปลาทู

๕ ภาษีไหม

๖ ภาษีขี้ผึ้ง

๗ ภาษีผัก

๘ ภาษีหม้อหวด

๙ ภาษีถัง

๑๐ ภาษีเตาหล่อ

๑๑ ภาษีมาดเรือโกลน

๑๒ ภาษีแจว พาย โกลน

๑๓ อากรการพนัน

๑๔ อากรมหรศพ

กลับตั้งภาษีซึ่งเลิกในรัชกาลที่ ๓ สองอย่าง คือ

๑ อากรค่าน้ำ

๒ อากรรักษาเกาะ

ลดเลิกแลแก้ไขวิธีเก็บภาษีอากร ๖ อย่าง คือ

๑ เปลี่ยนอากรตลาด เปนภาษีเรือโรงร้าน

๒ ลดพิกัดเก็บสมพักสร ซึ่งเดิมเก็บไร่ละบาท ลงเปนไร่ละเฟื้อง

๓ เลิกวิธีเก็บภาษีพริกไทยตามจำนวนค้างพริกไทย เปลี่ยนเปนเก็บอย่างสมพักสร

๔ เลิกภาษีเกวียน และเรือจ้าง ทางโยง

๕ ลดอากรต้นทุเรียน ซึ่งเคยเก็บต้นละบาท ลงเปนต้นละสลึงเฟื้อง

๖ เลิกภาษีน้ำมันมะพร้าว เปลี่ยนเปนเก็บตามจำนวนต้นมะพร้าว (ต่อมาเลิกทีเดียว)

จำนวนเงินภาษีอากร ซึ่งเก็บได้ในตอนต้นรัชกาลที่ ๔ (เข้าใจว่าจะไม่สูงต่ำผิดกับในรัชกาลที่ ๓ นัก) สังฆราชปาละกัว ได้สืบจำนวนเงินปีหนึ่งได้ดังนี้

ค่านา ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท
อากรสวน ๕,๕๔๕.๐๐๐ บาท
อากรสมพักสร ๕๐๐,๐๐๐ บาท
ภาษีซุง ๘๐,๐๐๐ บาท
ภาษีฝาง ๒๐๐,๐๐๐ บาท
ภาษีน้ำมันมะพร้าว ๕๐๐,๐๐๐ บาท
ภาษีน้ำตาลทราย ๒๕๐,๐๐๐ บาท
ภาษีน้ำตาลโตนด ๑๐,๐๐๐ บาท
ภาษีเข้าขาออก ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ภาษีเกลือ ๕๐,๐๐๐ บาท
ภาษีพริกไทย ๔๐๐,๐๐๐ บาท
ภาษีกระวาน ๑๐,๐๐๐ บาท
ภาษีเร่ว ๒๐,๐๐๐ บาท
ภาษีครั่ง ๑๒,๐๐๐ บาท
ภาษีดีบุก ๖๐,๐๐๐ บาท
ภาษีเหล็ก ๖๐,๐๐๐ บาท
ภาษีงาช้าง ๔๕,๐๐๐ บาท
ภาษียางไม้ ๒๔,๐๐๐ บาท
ภาษีหน่อแรด ๒,๐๐๐ บาท
ภาษีเขากวาง ๔,๐๐๐ บาท
ภาษีเขาควาย ๕๐๐ บาท
ภาษีหนังสัตว์ ๒,๖๐๐ บาท
ภาษีกำยาน ๑,๐๐๐ บาท
ภาษีรังนก ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ภาษีปลาแห้ง ๓๐,๐๐๐ บาท
ภาษีกุ้งแท้ ๖,๐๐๐ บาท
ภาษีเยื่อเคย ๑๐,๐๐๐ บาท
ภาษีน้ำมันยาง ๘,๐๐๐ บาท
ภาษีชัน ๗,๐๐๐ บาท
ภาษีไม้แดง ๔๐,๐๐ บาท
ภาษีไต้ ๒๐,๐๐๐ บาท
ภาษีหวาย ๑๒,๐๐๐ บาท
ภาษีเปลือกโปลง ๑๐,๐๐๐ บาท
ภาษีเสา ๙,๐๐๐ บาท
ภาษีไม้ไผ่ ๙๐,๐๐๐ บาท
ภาษีจาก ๑๕,๐๐๐ บาท
ภาษีฟืน ๑๕,๐๐๐ บาท
ภาษีฝิ่น ๔๐๐,๐๐๐ บาท
อากรสุรา ๕๐๐,๐๐๐ บาท
อากรบ่อนเบี้ย ๕๐๐,๐๐๐ บาท
อากรค่าน่ำ ๗๐,๐๐๐ บาท
อากรตลาด ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ภาษีแพ ๑๕๐,๐๐๐ บาท
ภาษียาสูบ ๒๐๐,๐๐๐ บาท
ภาษีไม้หอม ๕๔,๐๐๐ บาท
อากรรักษาเกาะ ๖,๐๐๐ บาท
ภาษีขาออก (ศุลกากร) ๓๐๐,๐๐๐ บาท
ค่าแรงแทนรับราชการ ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท
เงินผูกปี้ข้อมือจีน (๓ ปีเก็บครั้ง ๑) เงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท
จังกอบเก็บเรือทเล ๘๐,๐๐๐ บาท
ภาคหลวงบ่อทองบางตะพาน ๑๐,๐๐๐ บาท
ภาษีนครโสเภณี ๕๐,๐๐๐ บาท
เงินค่าธรรมเนียมความ ๑๕,๐๐๐ บาท
ผลประโยชน์ส่งจากหัวเมืองฝ่ายเหนือ ๕๐,๐๐๐ บาท
ผลประโยชน์ส่งจากหัวเมืองใต้ ๔๐,๐๐๐ บาท
อากรหวย ก. ข. ๒๐๐,๐๐๐ บาท

รวมยอดจำนวนเงินผลประโยชน์แผ่นดินครั้งรัชกาลที่ ๔ ปีหนึ่งประมาณเงิน ๒๖,๙๖๔,๑๐๐ บาท (จำนวนเงินที่ประมาณนี้เปนต้นรัชกาลที่ ๔ เห็นจะไม่ห่างไกลกับจำนวนผลประโยชน์แผ่นดินที่เก็บได้เมื่อในรัชกาลที่ ๓ นัก)

การเก็บภาษีอากรแบ่งเปนหน้าที่กระทรวงต่าง ๆ (จะจัดมาแต่รัชกาลที่ ๓ หรือรัชกาลที่ ๔ ไม่ทราบแน่) มีบาญชีทำในรักาลที่ ๕ เมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๔๑๕ ชั้นก่อนจัดการพระคลังตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ปรากฎอยู่ดังนี้

ขึ้นกรมพระคลังมหาสมบัติ

ภาษีน้ำมันมะพร้าว

ภาษีน้ำมันปลา

อากรสุรา ๒๖ หัวเมือง

บ่อนเบี้ย ๕๑ ตำบล

ค่าน้ำ ๑๖ ตำบล

สมพักสร ๓๔ เมือง

ภาษีทางโยงบางพลี

ภาษีเสา

อากรสวนใน ๓๔,๒๓๖ สวน

อากรสวนนอก ๗,๓๐๕ สวน

ขึ้นกรมพระคลังสินค้า

อากรหวย ก. ข.

บ่อนเบี้ยไทย บ่อนเบี้ยจีน รวม ๒๐ ตำบล

อากรการพนันต่าง ๆ ในหัวเมือง

ภาษีน้ำตาลทราย

ภาษีถั่วงาปลาทู

ภาษีสุกร

ภาษีจันอับ

ภาษีเยื่อเคย

ภาษีฝ้ายปอคราม

ภาษียาสูบ

ภาษีไหมขี้ผึ้ง

ภาษีหม้อหวด

ภาษีพริกไทย

ภาษีปลาน้ำจืด, น้ำเค็ม

อากรรังนก

ภาษีกุ้งแห้ง

ขึ้นกรมพระกลาโหม

อากรสุรากรุงเทพ ฯ

อากรแป้งเข้าหมาก

ภาษีน้ำอ้อยเหลว

ภาษีกะทะ

ภาษีเหล็กก้อน, เหล็กหล่อ

ภาษีถ่าน

อากรรังนก (เมืองสงขลา และเมืองตรัง)

ขึ้นกรมมหาดไทย

ภาษีเรือโรงร้าน

ภาษีมาดเรือโกลน

ภาษีหีบฝ้าย

ภาษีละคอน

ภาษีไม้ไผ่

ภาษีซุง

ขึ้นกรมพระคลังในซ้าย

อากรนาเกลือ

อากรป่าผึ้ง

ภาษีนุ่น

ขึ้นกรมพระคลังในขวา

สมพักสรยาสูบ ๒๓ เมือง

ภาษีถ่านไม้ไผ่

ขึ้นกรมท่ากลาง

อากรสมพักสรพริกไทย

ภาษีไหม

ภาษีไม้ไผ่ป่า

ภาษีจาก

อากรรักษาเกาะ

อากรป่าผึ้ง (หัวเมืองชายทเลตวันออก)

ภาษีไม้กระดาน

ภาษีเบ็ดเสร็จ

ภาษีฝาง

ภาษีเข้า ขาออก

ขึ้นกรมพระคลังราชการ

อากรสวนจาก ๑๐ เมือง

ค่าจองสวน

ภาษีไต้ชัน น้ำมันยาง

ภาษีฟืน

ขึ้นกรมท่าซ้าย

ภาษีเกลือ

ภาษีไม้เครื่องเรือ

ขึ้นกรมนา

ค่านำ

รวมจำนวนเงินผลประโยชน์ภาษีอากร (นอกจากค่าราชการส่วยและภาษีฝิ่น อันมิได้กล่าวถึงในบาญชีที่แสดงมา) เปนเงินปีละ ๒๙,๙๑๒,๘๐๐ บาท นับว่าที่ได้ในรัชกาลที่ ๔

ถึงรัชกาลที่ ๕ เมื่อพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบัญชาราชการแผ่นดินเอง ความปรากฎว่าเงินผลประโยชน์แผ่นดินได้เข้าพระคลังไม่เต็มจำนวน มักติดค้างอยู่ตามเจ้ากระทรวงและเจ้าภาษีนายอากรเสียโดยมาก เงินพระคลังมหาสมบัติไม่พอจ่าย ถึงรัฐบาลต้องเปนหนี้อยู่ จงทรงพระราชดำริห์ให้จัดการพระคลัง ตั้งแต่ปีระกา พ.ศ. ๒๔๑๖ ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์เปนที่สำนักงาน ชั้นแรกเปนแต่ให้มีกรมบาญชีกลาง สำหรับรวมบาญชีเงินผลประโยชน์แผ่นดิน ซึ่งต่างกระทรวงเปนเจ้าหน้าที่เก็บนั้น ให้รู้ว่าเปนจำนวนเงินเท่าใด และเร่งเรียกเงินให้ส่งเข้าพระคลังมหาสมบัติตามกำหนดแล้วจัดการแก้ไข ค่อยรวมการเก็บภาษีอากรเข้าในกระทรวงพระคลังเปนลำดับมา และทรงพระราชดำริห์จัดระเบียบการเก็บภาษีอากรเลิกเสียบ้าง แก้ไขวิธีเก็บบ้าง เปลี่ยนแปลงมาเปนลำดับ จนเปนกระทรวงเสนาบดีอยู่ในบัดนี้

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

นายกราชบัณฑิตยสภา

  1. ๑. คำว่า ส่วย เห็นจะมาแต่ภาษาจีนแต้จิ๋ว “ส่วยโบ๊ว” หมายความว่าเก็บส่วนลดจากผลประโยชน์ของราษฎร

  2. ๒. พิกัดที่ว่านี้ จะเปลี่ยนเมื่อรัชกาลไหนไม่ทราบแน่

  3. ๓. ในหนังสือมองสิเออร์เดอลาลุแบร์ว่า เมื่อรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เก็บค่านาเปนตัวเงิน ที่มาเปลี่ยนเปนเก็บเข้าเปลือกนั้น เข้าใจว่าเห็นจะเปนครั้งกรุงธนบุรี เพราะเปนเวลาราษฎรขัดสนเงิน แลรัฐบาลต้องการเข้าเปนสะเบียงสำหรับทำสงคราม

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ