ตำนานอากรค่าน้ำ

หนังสือเจ้าพระยาจักรี มาถึงเมืองกรมการกรุงเก่า เมืองอ่างทอง เมืองพรหมบุรี เมืองสิงหบุรี เมืองสรรคบุรี เมืองลพบุรี เมืองไชยนาท เมืองนครสวรรค์ เมืองสุพรรณบุรี เมืองนครไชยศรี เมืองฉะเชิงเทรา เมืองปราจิณบุรี เมืองนครนายก เมืองอินทบุรี เมืองพิจิตร เมืองพิษณุโลก เมืองพิไชย เมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย แลกรมการทั้งหลาย

ด้วยพระศรีชัยบานทำเรื่องราวมายื่นแก่เจ้าจำนวนพระคลังมหาสมบัติว่า อากรค่าน้ำจืดน้ำเค็ม มีนายอากรรับผูกขาดเก็บเงินส่งท้องพระคลังสืบมาแต่ก่อน ครั้นเมื่อแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้ยกเลิกอากรค่าน้ำเสีย หามีผู้ใดเปนเจ้าของพิทักรักษาบ่อ ห้วย หนอง คลอง บึงบางไม่ ราษฎรทุกภาษาพากันทำปาณาติบาตทุกแห่งทุกตำบล ตั้งปิดทำนบบ่อวิดน้ำ บ่อห้วยหนองคลองบึงบาง ปลาเล็กน้อยก็พลอยตายสูญพันธุ์ไปเสียโดยมาก ราคาปลาซึ่งราษฎรซื้อขายกันทุกวันนี้จึงได้แพงกว่าแต่ก่อน แล้วก็ไม่เปนประโยชน์แก่แผ่นดิน พระศรีชัยบานจะขอรับพระราชทานทำอากรค่าน้ำจืดน้ำเค็มในแขวง กรุงเทพ ฯ แลหัวเมือง ๓๗ เมือง ๘ ตำบลเก็บค่าน้ำตามพิกัดเดิม ปีหนึ่งเปนจำนวนเงินอากรขึ้นพระคลังมหาสมบัติ ๓๑๔ ชั่ง ขึ้นพระคลังเดิม ๒๐ ชั่ง ขึ้นพระบวรราชวัง ๓๐ ชั่ง กรมสมเด็จพระเดชาเืศร ๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ขึ้นกรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ ๑ ชั่ง ขึ้นกรมพระพิทักษเทเวศร์ ๑ ชั่ง ขึ้นกรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ ๓๐ ตำลึง ขึ้นกรมหลวงวงศาธิราชสนิท ๑ ชั่ง ขึ้นกรมขุนสรรพศิลป์ปรีชา ๑๐ ตำลึง ขึ้นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้านพวงศ์ ๑๐ ตำลึง รวม ๓๗๐ ชั่ง

พระศรีชัยบานจะขอแต่งให้จีนอ้นเปนนายอากร เรียกค่าน้ำณกรุงเทพ ฯ ตำบลบางแวก ๑ บางบอน ๑ บางโทรัด ๑ หัวกระบือ ๑ แสนแสบ ๑ รวม ๕ ตำบล แลเมืองนนทบุรี เมืองประทุมธานี เข้ากัน ๓ เมืองเปนจำนวนเงินอากรขึ้นพระคลังมหาสมบัติ ๓๒ ชั่ง ขี้นกรมสมเด็จพระเดชาดิศร ๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ขึ้นกรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ ๑ ชั่ง ขึ้นกรมขุนสรรพศิลป์ปรีชา ๑๐ ตำลึง รวม ๓๐ ชั่ง

ขอแต่งให้จีนชุ่มเปนนายอากรเรียกค่าน้ำณกรุงเก่า อำเภอนคร อำเภอเสนา อำเภออุทัย รวม ๓ อำเภอ เมืองอ่างทอง เมืองอินทบุรี เมืองพรหมบุรี เมืองสิงหบุรี เมืองสรรคบุรี เมืองลพบุรี เมืองไชยนาท เมืองนครสวรรค์ เมืองพิจิตร เมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองสุพรรณบุรี เมืองพิไชย เมืองสวรรคโลก เมืองนครไชยศรี เมืองราชบุรี เข้ากัน ๑๗ เมือง เปนจำนวนเงินอากรขึ้นพระคลังมหาสมบัติ ๑๕๔ ชั่ง ๑๕ ตำลึง ขึ้นพระคลังเดิม ๒๐ ชั่ง ขึ้นพระบวรราชวัง ๓๐ ชั่ง รวม ๑๐๔ ชั่ง ๑๕ ตำลึง

ขอแต่งให้จีนหนูเปนนายอากรเรียกค่าน้ำณเมืองสมุทสงคราม เมืองสาครบุรี เมืองเพ็ชร์บุรี เมืองปะทิว เมืองชุมพร เมืองไชยา เมืองสงขลา เมืองพัทลุง ๘ เมือง เปนจำนวนเงินอากรขึ้นพระคลังมหาสมบัติ ๕๘ ชั่ง ๕ ตำลึง ขึ้นกรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ ๑๐ ตำลึง ขึ้นกรมหลวงวงศาธิราชสนิท ๑ ชั่ง รวม ๕ ชั่ง ๑๕ ตำลึง

ขอแต่งให้จีนสีเปนนายอากรเรียกค่าน้ำ เมืองนครนายก เมืองปราจิณบุรี เมืองฉะเชิงเทรา เมืองสมุทปราการ เมืองชลบุรี เมืองบางละมุง เมืองระยอง เมืองจันทบุรี เมืองตราษ ๙ เมือง เปนจำนวนเงินอากรขึ้นพระคลังมหาสมบัติ ๖๙ ชั่ง ขึ้นพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้านพวงศ์ ๑๐ ตำลึง รวม ๖๙ ชั่ง ๑๐ ตำลึง

เข้ากัน ๓๗ เมือง ๘ ตำบล เปนเงินอากรปีละ ๓๗๐ ชั่ง ก่อนแต่ในจำนวนปีชวดจัตวาศก (พ.ศ. ๒๓๙๕ อันเปนปีที่ ๒ ในรัชกาลที่ ๔) พระศรีชัยบานจะส่งเงินอากรให้ครบ ถ้าทำอากรครบปีเงินอากรมีภาษีจะบวกทูลเกล้าฯ ถวายขึ้นอีก

จึงได้นำเรื่องราวพระศรีชัยบาน ขึ้นปรึกษากรมสมเด็จพระเดชาดิศร กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ กรมพระพิทักษเทเวศร์ กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท แลสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ วรุตมพงศนายก สยามดิลกโลกานุปาลนนาถ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ นรเนตรนาถราชสุริยวงศ์ แลเสนาบดีข้าราชการปรึกษาพร้อมกันว่า พระราชทรัพย์ของหลวงซึ่งจะได้มาใช้สอยในราชการทำนุบำรุงกรุงเทพ ฯ แลถวายนิตยภัตเงินเดือนใช้ในการพระราชกุศล แลแจกเบี้ยหวัดพระประยุรวงศานุวงศ์ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั่วไป ได้มาแต่ภาษีอากรสมพักสรซึ่งราษฎรทำมาหากินในพระราชอาณาเขตร์ แลราษฎรทำสวนปลูกต้นผลไม้ทำไร่ปลูกถั่วปลูกผักต่าง ๆ แลทำนาทำกินหาผลประโยชน์ซื้อขายเลี้ยงชีวิตสัมมาชีพ ก็ต้องเสียหางเข้าค่านาอากรสมพักสรทั้งสิ้น ซึ่งราษฎรทำการปาณาติบาตหาผลประโยชน์เลี้ยงชีวิตโดยมิจฉาชีพจะไม่ต้องเสียอากรค่าน้ำนั้น เห็นว่าเหมือนหนึ่งยินดีด้วยคนทำปาณาติบาตหาควรไม่ ซึ่งพระศรีชัยบานทำเรื่องราวมาว่า จะขอรับพระราชทานทำอากรค่าน้ำนั้นก็ชอบอยู่แล้ว ผู้ซึ่งทำมาหากินในพระราชอาณาเขตร์จะได้เสียอากรเสมอกัน ที่ห้วย ที่หนอง คลอง บึงบางมีนายอากรเปนเจ้าของหวงแหนอยู่แล้ว การปาณาติบาตที่ราษฎรจะทำซื้อขายแก่กันก็เลือกทำเอาแต่ที่ควรจะซื้อขายกันได้ ปลาเล็กน้อยที่ไม่ควรจะซื้อขายกัน ก็จะได้มีชีวิตเหลืออยู่เปนพืชพันธุ์ต่อไป

พระยาพิพิธโภไคย หมื่นศรีสรรักษ์ จึงนำเรื่องราวแลคำปรึกษาพระบรมวงศานุวงศ์ แลเสนาบดีข้าราชการ ขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทราบใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทสมเด็จพระบรมนาถราชบพิตร พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วมีพระบรมราชโองการตรัสเหนือเกล้า ฯ โดยพระราชดำริห์ว่า อากรค่าน้ำนี้ก็เปนทางที่ให้บังเกิดพระราชทรัพย์อย่างหนึ่ง สำหรับแผ่นดินในสยามประเทศนี้มีมาแต่โบราณสืบ ๆ กาลพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนทุก ๆ พระองค์ แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเก่ามาจะได้ยินว่าในแผ่นดินพระเจ้าแผ่นดินองค์ใดองค์หนึ่งจะให้เลิกถอนเสียนั้นหามิได้ เพราะคนชาวประเทศไทยมีปรกติดังธรรมดา มีเนื้อแลปลาเปนกับเข้าเปนนิจทุกตัวคนทุกตำบลทุกแห่ง จะเปนคนกินแต่ของเครื่องเค็มแลเต้าหู้ซึ่งเปนสิ่งมิใช่เนื้อปลาเปนกับเข้าดังจีนบางจำพวกก็ดี หรือเปนคนกินนมเนยถั่วงาเปนกับเข้าดังพราหมณ์แลคนชาวมัชฌิมประเทศโดยมากก็ดี หามีไม่ เพราะฉนั้นท่านผู้ครองแผ่นดินมาแต่ก่อนจึงได้เก็บอากรแก่คนหากุ้งหาปลาเหมือนเก็บค่านาสมพักสรแก่ผู้ทำนา ทำไร่ ทำสวน เสมอกันไปทั้งพระราชอาณาเขตร์ รวบรวมพระราชทรัพย์มาใช้จ่ายเปนการทำนุบำรุงแผ่นดิน คุ้มครองราษฎรทั้งปวงไว้ให้อยู่เย็นเปนสุข ก็แลประเพณีรักษาแผ่นดินอย่างประเทศไทยนี้ ก็เห็นว่าสมควรแก่กาลแลประเทศอันนี้อยู่แล้ว เพราะพระเจ้าแผ่นดินกรุงไทยสืบมาแต่โบราณองค์ใดองค์หนึ่งซึ่งจะมีบุญญาธิการเหลือล้นนัก จนถึงขุนคลังแก้วมีทิพจักษุเห็นทรัพย์แผ่นดิน หยิบเอาทรัพย์ในแผ่นดินขึ้นมาถวายได้ทุกขณะทุกเวลา เหมือนขุนคลังแก้วของบรมจักรพรรดินั้นก็ดี แลจะมีบุญฤทธิวิเศษยิ่งจนบันดาลห่าฝนแก้ว ๗ ประการ ให้ตกลงมาได้ดังพระหฤทัยปราถนา เหมือนพระเจ้ามันธาตุราชแลพระเพสยันดรก็ดี หามีไม่แต่สักพระองค์หนึ่ง

ครั้นมาเมื่อแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว มีพระบวรสันดานเพลิดเพลินในการพระราชกุศล ทรงสดับเรื่องราวโบราณนิทานชาดกแลอื่น ๆ มากแล้ว มีพระราชประสงค์จะให้ภิกษุสงฆ์แลสัปรุสในพระพุทธสาสนาสร้องสรรเสริญนับถือว่าเปนมหาสัพพัญญูโพธิสัตว์ มหัศจรรย์กว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์อื่น ๆ จึงทรงพระราชดำริห์ตริตรองจะทรงปฏิบัติให้เหมือนพระโพธิสัตว์ที่มีเรื่องราวมาในชาดก ซึ่งกล่าวด้วยพระโพธิสัตว์เปนกษัตริย์ เสวยสมบัติในเมืองพาราณสีแลเมืองอื่น ๆ ในมัชฌิมประเทศที่มีประชาชนกินนมเนยแลถั่วงาเปนกับเข้านั้น เอามาเปนพระอารมณ์ว่า พระโพธิสัตว์แต่ก่อนได้เสวยสมบัติแล้วพระราชทานอภัยให้แก่สัตว์ในป่านกบินอยู่บนฟ้า ปลาในน้ำทั้งสิ้น ไม่ให้ใครทำปาณาติบาตเลยทีเดียวได้อย่างไร การอย่างนั้นจะทรงปฏิบัติได้บ้าง

อนึ่งทรงระแวงแคลงไปว่า เมื่อตั้งนายอากรไปให้เปนเจ้าของเขตร์แดนห้วยหนองคลองบึงบางแลเกาะในชเล เมื่อนายอากรจะเก็บเอาทรัพย์ที่เกิดด้วยปาณาติบาตของราษฎรรวบรวมมาส่งเปนพระราชทรัพย์แล้ว พระมหากษัตริย์จะทรงใช้สอยพระราชทรัพย์นั้นก็จะเปนมิจฉาชีพไปด้วย จึงโปรดให้เลิกอากรฟองจันละเม็ดในชเล แลค่าน้ำเสียให้หมด แต่ครั้งปีจออัฐศก จุลศักราช ๑๑๘๘ (พ.ศ. ๒๓๖๙) มา ในปีนั้นปีเดียวโปรดให้มีข้าหลวงขึ้นไปเปิดกระบังรังเฝือก ซึ่งราษฎรรับแต่นายอากรปิดห้วยหนองคลองบึงไว้ ปล่อยปลาอยู่ในที่ขังให้พ้นไป แล้วทรงประกาศการอันนั้นให้พระสงฆ์ราชาคณะอนุโมทนาสาธุการเปนพระเกียรติยศครั้งหนึ่งเท่านั้น

(เมื่อปีมะโรงอัฐศก พ.ศ. ๒๓๙๙ มีประกาศในรัชกาลที่ ๔ ว่าด้วยเรื่องอากรค่าน้ำฉบับ ๑ ประกาศนั้นก็เปนพระราชนิพนธ์ ทรงบรรยายเรื่องอากรค่าน้ำครั้งรัชกาลที่ ๓ ทำนองเดียวกับความในท้องตราฉบับนี้ แต่มีพลความบางข้อซึ่งมิได้ปรากฎในท้องตราฉบับนี้ คือ

ข้อ ๑ ว่าเงินอากรค่าน้ำในรัชกาลที่ ๓ เมื่อก่อนจะเลิกอากรนั้น เปนจำนวนเงินนายอากรนำส่งคลังปีละ ๗๐๐ ชั่ง

อีกข้อ ๑ ทรงสืบทราบว่านายอากรไปเก็บอากรค่าน้ำ แล้วตัดตอนขายหนองคลองบึงบางเปนคลองเขิน ให้แก่ราษฎรเปนเจ้าของที่ต่าง ๆ จึงผู้ซึ่งซื้อตอนทั้งปวงนั้นปิดพนบลงกระบังรังเฝือกกั้นคลองบึงบางรุกรวมเอาปลากักขังไว้ในส่วนของตัว ๆ ปลาจะว่ายไปมาตลอดไปในที่มีน้ำทั้งปวงตามธรรมดาก็ไม่ได้ คนที่มีประโยชน์จะเดินเรือก็เดินไม่ได้ จึงทรงพระกรุณากับปลาว่าเปนสัตว์มีชีวิต อย่าให้ต้องติดขังจำตายเลย แลจะให้คนที่มีประโยชน์เดินเรือไปมาได้คล่องไม่ต้องเขนข้ามพนบแลเฝือก เปนเหตุให้มีเทลาะวิวาทกันนั้นด้วย จึงโปรดให้มีข้าหลวงขึ้นไปเปิดกระบังรังเฝือก ซึ่งราษฎรรับแต่นายอากรปิดห้วยหนองคลองบึงบางไว้ ปล่อยปลาอยู่ในที่ขังให้พ้นไป ให้นายอากรเก็บค่าน้ำต่อไปแต่โดยพิกัดตามเครื่องมืออย่างเดียว อย่าตัดทอนขายต่อไปเลย เมื่ออากรจะขาดสักเท่าไร ก็ให้นายอากรมาร้องขาดเถิดจะลดให้ ฝ่ายนายอากรก็มาร้องขาด ให้ลอเงินอากรลงปีหนึ่ง ๓๐๐ ชั่งเศษ คงเงินอากรอยู่แต่ปีละ ๔๐๐ ชั่งเศษ ครั้นภายหลังมายังทรงรังเกียจกลัวบาปต่อไป ด้วยทรงแคลงว่าเพราะมีค่าน้ำคนจึงหาปลามากขึ้น จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมอิกครั้งหนึ่งให้ยกอากรค่าน้ำที่เคยเรียกได้เปนเงินอากรเพียงปีละ ๔๐๐ ชั่งเศษนั้นเสียทีเดียว)

ครั้นกาลภายหลังต่อมาทรงพระราชดำริห์ว่า ครั้นจะห้ามการปาณาติบาตทุกแห่งทุกตำบล ด้วยพระราชอาชญาหาเหตุแลเขตร์บมิได้ก็ไม่ควร การจะไม่สำเร็จ จึงโปรดเกล้า ฯ ให้มีตราออกไปให้กรมการหัวเมืองฝ่ายตวันออกซึ่งขึ้นกรมท่า แต่งกองจับออกจับคนผู้หาฟองจันละเม็ดในชเล จับตัวได้ให้เอามาทำโทษแลเรียกค่าปรับไหมโดยสมควร แต่การหากุ้งหาปลานั้นให้ห้ามแต่ในเขตร์เสาศิลา ซึ่งปักไว้แต่ก่อนเปนอาถรรพ์กันปิศาจทุกทิศในเขตร์พระนคร ถ้าใครทำปาณาติบาตในเขตร์พระนครแล้วให้กรมเมืองจับปรับเอาทรายทำวัด การที่มีผู้ทำปาณาติบาตในที่อื่น ๆ นอกจากเสาศิลาเขตร์พระนครนั้น เปนแต่ตรัสประภาษไว้ว่าเมื่อมีใครเปนเข้าของห้วยหนองคลองบึงบางแล้ว ราษฎรก็จะแย่งกันทำปาณาติบาตในที่นั้น ๆ ก็จะเกิดวิวาทขึ้น แล้วจึงจะยึดเอาที่นั้นเปนที่หลวงเสีย แล้วจึงจะได้ห้ามมิให้ใครทำปาณาติบาตในที่นั้นต่อไป ที่นั้น ๆ จะทำปาณาติบาตของราษฎรก็จะน้อยแคบเข้าทุกที ก็จะเปนที่เจริญอภัยทานเปนการพระราชกุศลเสมอไป ความข้อนี้เปนแต่ตรัสประภาษไว้ตั้งแต่ปีจออัฐศก (พ.ศ. ๒๓๖๙) มาจนถึงปีจอโทศก (พ.ศ. ๒๓๙๓) เปน ๒๕ ปี ก็ไม่มีใครซึ่งแย่งกันจนถึงเกิดความจนถึงได้ยึดเอาที่นั้นเปนที่หลวง แม้ถึงจะเกิดวิวาทกันบ้างก็ชำระแล้วไปแต่ในเจ้านายเท่านั้น ไม่เปนไปได้ตามพระราชประสงค์ ซึ่งมีพระราชโองการรับสั่งให้กรมการหัวเมืองจับผู้หาฟองจันละเม็ดในชเลแลให้กรมเมืองจับผู้หากุ้งหาปลาในภายในเขตร์เสาศิลานั้น เมื่อมีรับสั่งครั้งหนึ่งแล้ว ก็ทรงไปด้วยราชการอื่น ๆ ด้วยว่ามีราชกิจเปนการใหญ่ ๆ มาก มิได้ทรงตักเตือนตรวจตราประการใดอรก การนี่นก็จืดจางไป ผู้ที่ทำปาณาติบาตก็ได้ช่องที่จะทำกำเริบขึ้น เพราะฉนี้ที่เลิกอากรค่าน้ำเสียนั้น ไม่เปนคุณอันใดแก่แผ่นดินแลพระพุทธสาสนา แลตัวสัตว์คือกุ้งปลาในนี้ กลับเปนคุณแก่ผู้ที่ทำปาณาติบาตเปนคนบาปนั้นยิ่งกว่าคนที่เลี้ยงชีวิตโดยชอบธรรม คือทำไร่นาเรือกสวนทั้งปวงนั้นเสียอีก. เปนการไม่เสมอในการที่จะถือเอาส่วยแต่ราษฎรทั้งปวงไป ซึ่งเสนาบดีข้าราชการผู้ใหญ่ได้ปรึกษาพร้อมกันจะให้มีอากรค่าน้ำขึ้นตามเดิมที่เคยมีมาแต่ก่อน ตามธรรมเนียมบ้านเมืองนี้นั้นชอบแล้ว ตามแต่เจ้านายผู้ใหญ่แลเสนาบดีที่เปนผู้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินจะเห็นควรนั้นเถิด ก็ให้ตั้งพระศรีชัยบานเปนนายอากรไปตามคำปรึกษาแลเรื่องราวพระศรีชัยบาน แลพระบรมวงศานุวงศ์แลเสนาบดีข้าราชการเห็นพร้อมกัน

เจ้าจำนวนได้เรียกเอานายประกันพระศรีชัยบาน จีนอ้น จีนชุ่ม จีนหนู จีนสี ไว้มั่นคงสมควรแก่เงินอากรของหลวงอยู่แล้ว ตั้งพระศรีชัยบานเปนนายอากรเรียกค่าน้ำณกรุงเทพ ฯ แลหัวเมือง ๓๗ เมือง ๘ ตำบลตั้งแต่จำนวนปีชวดจัตวาศก เปนเงินอากรจำนวนปีละ ๓๗๐ ชั่งสืบไป

พระศรีชัยบานแต่งให้จีนอ้นเปนหมื่นเทพอากร ไปเรียกค่าน้ำณกรุงเทพ ฯ ตำบลบางแวก บางบอน บางโทรัด หัวกระบือ แสนแสบ รวม ๕ ตำบล เมืองนนทบุรี เมืองประทุมธานี รวม ๓ เมืองเปนจำนวนเงินอากรขึ้นพระคลังมหาสมบัติ ๓๒ ชั่ง ขึ้นกรมสมเด็จพระเดชาดิศร ๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ขึ้นกรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ ๑ ชั่ง ขึ้นกรมพระพิทักษเทเวศร์ ๑ ชั่ง ขึ้นกรมขุนสรรพศิลป์ปรีชา ๑๐ ตำลึง รวม ๓๖ ชั่ง

แต่งให้จีนชุ่มเปนหมื่นวิสูตรอากร ไปเรียกค่าน้ำณกรุงเก่า อำเภอนคร อำเภอเสนา อำเภออุทัย รวม ๓ จำเภอ เมืองอ่างทอง เมืองอินทบุรี เมืองพรหมบุรี เมืองสิงหบุรี เมืองสรรคบุรี เมืองลพบุรี เมืองไชยนาท เมืองนครสวรรค์ เมืองพิจิตร เมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองสวรรคโลก เมืองพิชัย เมืองสุพรรณ เมืองนครไชยศรี เมืองราชบุรี ๑๗ เมือง เปนจำนวนเงินอากรขึ้นพระคลังมหาสมบัติ ๑๕๔ ชั่ง ๑๕ ตำลึง ขึ้นพระคลังเดิม ๒๐ ชั่ง ขึ้นตระบวรราชวัง ๓๐ ชั่ง รวม ๒๐๔ ชั่ง ๑๕ ตำลึง

แต่งให้จีนหนูเปนหมื่นอินทรอากร ไปเรียกค่าน้ำเมืองสมุทสงคราม เมืองสาครบุรี เมืองเพ็ชรบุรี เมืองปะทิว เมืองชุมพร เมืองไชยา เมืองสงขลา เมืองพัทลุง ๘ เมือง เปนจำนวนเงินอากรขึ้นพระคลังมหาสมบัติ ๕๘ ชั่ง ๕ ตำลึง ขึ้นกรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ ๑๐ ตำลึง ขึ้นกรมหลวงวงศาธิราชสนิท ๑ ชั่ง รวม ๕๙ ชั่ง ๑๕ ตำลึง

แต่งให้จีนสีเปนที่หมื่นศรีอากร ไปเรียกค่าน้ำณเมืองนครนายก เมืองปราจิณบุรี เมืองฉะเชิงเทรา เมืองสมุทปราการ เมืองชลบุรี เมืองบางละมุง เมืองระยอง เมืองจันทบุรี เมืองตราษ รวม ๙ เมือง เปนจำนวนเงินอากรขึ้นพระคลังมหาสมบัติ ๖๕ ชั่ง ขึ้นพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้านพวงศ์ ๑๐ ตำลึง รวม ๖๙ ชั่ง ๑๐ ตำลึง เข้ากัน ๓๗ เมือง ๘ ตำบล ปีหนึ่งเปนเงินอากรจำนวนปีละ ๓๗๐ ชั่งสืบไป

ให้พระศรีชัยบาน หมื่นเทพ หมื่นวิสูตร หมื่นอินทร์ หมื่นศรี ส่งเงินอากรค่าน้ำคิดแต่จำนวนปีชวดจัตวาศก ส่งเงินอากรแก่เจ้าจำนวนปีละงวด ๆ เดือน ๔ แรม ๑๕ ค่ำ ปีชวดจัตวาศกงวดหนึ่ง เปนเงิน ๓๗๐ ชั่งจงทุกงวดทุกปีสืบไป อย่าให้เงินอากรขาดค้างล่วงงวดล่วงปีไปได้เปนอันขาดทีเดียว แลให้พระศรีชัยบาน หมื่นเทพ หมื่นวิสูตร หมื่นอินทร์ หมื่นศรี เรียกอากรค่าน้ำแก่ราษฎรตามพิกัดอัตรา ซึ่งสรรพากรในยื่นไว้ ให้นายอากรเรียกค่าน้ำแก่ผู้ทำกินน้ำจืดโพงพางละ ๓ ตำลึง เรือแหพานลำละ ๒ ตำลึง ๒ บาท เรือแหโป่งลำละ ๑ ตำลึง ๒ บาท เรือแหทอดลำละ ๑ บาท ช้อนใหญ่ลำละ ๒ สลึง ช้อนเล็กลำละ ๑ สลึง สุ่มเรียกคนละ ๑ สลึง ดักชุดคนละ ๑ บาท ข่ายดักปลาตะเพียนคนละ ๑ บาท แทงตะกรบคนละ ๑ สลึง ฉมวกคนละ ๑ เฟื้อง ลอบยืนคนละ ๑ บาท ๒ สลึง ลอบนอนคนละ ๑ บาท ดักตุมคนละ ๑ สลึง ดักไซคนละ ๒ สลึง ดักลันคนละ ๑ เฟื้อง เบ็ดราวคนละ ๒ สลึง ตกเบ็ดปลาช่อนปลาชะโดคนละ ๑ เฟื้อง สวิงกุ้งสวิงปลาคนละ ๑ เฟื้อง อวนลำละ ๒ ตำลึง ๒ บาท ยกยอขันช่อปากกว้างตั้งแต่วาหนึ่งขึ้นไปให้เรียกลำหนึ่งวาละ ๑ บาท เชงเลงให้เรียกคนละ ๑ บาท ยกยอเล็กปากกว้างต่ำกว่า ๔ ศอกลงมาให้เรียกคนละ ๑ สลึง ดักจั่นให้เรียกคนละ ๑ สลึง ฉะนางให้เรียกคนละ ๒ สลึง ตกเบ็ดทรง ๑๐๐ ละ ๒ สลึง

น้ำเค็มรั้วปะกักคอกลำละ ๒ ตำลึง ๒ บาท รั้วปะกักลาลำละ ๑ ตำลึง ๒ บาท เรือฉลอมอวนลำละ ๒ ตำลึง ๒ บาท เรือไซมานลำละ ๓ ตำลึง เบ็ดลากลำละ ๒ บาท ๒ สลึง ซูกันรั้วไซมานหางหนึ่งปีละ ๑ ตำลึง ที่โพงพางปากน้ำ ๑ ตำลึง ที่โพงพางถัดขึ้นมา ๓ บาท ที่โพงพางถัดมา ๒ บาท รั้วกางเคยบางเหี้ยลำละ ๑ บาท ๒ สลึง ทอดแหทะเลลำละ ๑ บาท เบ็ดกุเรา ๑ สลึง แทงรั้วปู ๒ สลึง สองคนลากอวนคนละ ๑ บาท เบ็ดวางตับ ๆ ๒ สลึง ช้อนกุ้งช้อนปลาคนละ ๑ เฟื้อง รุนกุ้งทะเล ๒ บาท รั้วโพงพางลากปลาในคลองลำละ ๒ สลึง รั้วโพงพางลำละ ๑ ตำลึง รั้วดักปูลำละ ๒ สลึง ปะกักคอกล้อมฉนากยกนายเรือเสียนอกนั้นเอาคนละ ๑ บาท ไสกุ้งไสเคยคนหนึ่งปีละ ๒ บาท ๒ สลึง ครึ่งปี ๑ บาท ๒ สลึง เดือนหนึ่งเปนเงิน ๒ สลึง เรือกางกุ้งกางเคยน้ำจืดน้ำเค็มรั้วละ ๑ บาท เบ็ดลากกระเบนลำละ ๓ บาท เบ็ดวาสายลากเบ็ดลำละ ๑ บาท ๒ สลึง เบ็ดล่อกะพงคนละ ๒ สลึง เบ็ดราวหางกิ่ว ๒ สลึง เบ็ดสายหางกิ่ว ๑ สลึง แทงปลาหมอน้ำลำละ ๑ สลึง อวนลากยกนายเรือนอกนั้นเอาคนละ ๑ บาท รั้วไซมานรองคลองละ ๓ ตำลึง รั้วไซมานริมคลองละ ๒ ตำลึง ๒ บาท ฉลอมกุเรา ๑ ตำลึง ปะกักคอกกะพงลำละ ๑ ตำลึง ๒ บาท อีชุดน้อยใส่เคยริมฝั่งคนละ ๑ สลึง กระดานถีบหอยคนละ ๓ สลึง (กระดานล้วงปลา) หมึก ๒ สลึง ขุดหอยปากเปด ๒ สลึง ฉมวกคนละ ๑ สลึง สวิงตักกุ้งไม่มีคัน ๑ เฟื้อง เรือหาหอยแครงคนหนึ่ง ๑ สลึงเฟื้อง เรือหาหอยกะพงคนหนึ่ง ๑ เฟื้อง เรือหาหอยแมงภู่คนหนึ่ง ๔๐๐ เบี้ย เรือหาหอยหลอดคนหนึ่ง ๔๐๐ เบี้ย

ซึ่งราษฎรชักหญ้ากร่ำลงกระบังรังเฝือกห้วยหนองคลองบึงบางบ่อหลุมเอาตัวปลานั้น บางทีทำบ่อหลุมน้อยก็มีบ้างใหญ่ก็มีบ้าง ที่ชักหญ้ากร่ำลงกระบังรังเฝือก ที่ใหญ่ยาวกว้างบ้างเล็กบ้างไม่เสมอกัน นอกกว่าพิกัดนั้นเปนอย่างธรรมเนียมสืบ ๆ มา สุดแต่นายอากรกับราษฎรผู้ทำกินจะเห็นพร้อมยอมกัน แล้วแต่นายอากรจะเรียกราษฎร จะผูกแก่กันตามสมควรจะยอมกันนั้นเถิด ถ้านายอากรยอมให้ทำก็ได้ ถ้านายอากรไม่ยอมให้ทำ ก็อย่าให้ราษฎรลักลอบทำเปนอันขาด จะกำหนดลงในพิกัดด้วยไม่ได้ ให้นายอากรเรียกอากรค่าน้ำตามพิกัดมีมาในท้องตราแต่เท่านี้ ห้ามอย่าให้นายอากรเรียกอากรค่าน้ำล่วงแขวงล่วงอำเภอให้ล้ำเหลือผิดด้วยพิกัดอย่างธรรมเนียมแต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้

ประการหนึ่งถ้าพรรคพวกบ่าวแลทาส ซึ่งไปทำอากรด้วยกันนั้น เกิดวิวาทแก่กันเปนแต่เนื้อความเล็กน้อย ก็ให้นายอากรสมัคสมานว่ากล่าวให้สำเร็จแต่ในกันเอง ถ้าเปนเนื้อความมหันตโทษข้อใหญ่ ก็ให้ส่งไปยังผู้รักษาเมือง กรมการ พิจารณาว่ากล่าวตามพระราชกำหนดกฎหมาย ถ้าแลราษฎรฟ้องหากล่าวโทษสมัคพรรคพวกนายอากรก็ให้นายอากรส่งตัวผู้ต้องคดีให้ผู้รักษาเมือง ให้กรมการพิจารณาว่ากล่าว ถ้าคดีต้องตัวนายอากรก็ให้แต่งทนายไปว่าต่างไปแก้ต่างอย่าให้ขัดขวางคดีของราษฎรไว้

อนึ่งห้ามอย่าให้ผู้รักษาเมือง กรมการ แขวงนายบ้านนายอำเภอเกาะกุมนายอากรพรรคพวกบ่าวแลทาส ซึ่งไปทำอากรด้วยกันนั้นกะเกณฑ์ไปใช้ราชการเบ็ดเสร็จซึ่งมิได้เปนพนักงาน แลเก็บยืมเรือจังกูดกันเชียงถ่อพายเครื่องสำหรับเรือ ไปให้ป่วยการทำอากรแต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ แลให้นายอากรกำชับห้ามปรามว่ากล่าวแก่พรรคพวกบ่าวแลทาส อย่าให้กระทำคุมเหงฉกชิงช่อกระบัตรทำการข่มเหงราษฎร แลเปนโจรผู้ร้าย ปล้นสดมภ์เอาพัสดุทองเงินเครื่องอัญมณีของสมณะชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎร ไพร่บ้านพลเมืองลูกค้าพาณิช ทำลายพระพุทธรูปพระสถูปเจดีย์พระศรีมหาโพธิ พระอุโบสถพระวิหารการบุเรียนวัดวาอาราม ฆ่าช้างเอางาแลขนายฆ่าสัตว์อันมีคุณ แลห้ามอย่าให้รับซื้อเอาฝิ่นขายฝิ่นให้แก่กรมการราษฎรไทย มอญ ลาว เขมร แขก ญวน พม่า ทวาย ฝรั่งพุทธเกตเดิม ซึ่งเปนกำลังราชการแลหหารสำหรับไปณรงค์สงครามนั้น ซื้อขายสิ่งของต้องห้าม ทำให้ผิดด้วยพระราชกำหนดกฎหมายห้ามปรามเก่าใหม่ แต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้

ครั้นลุท้องตรานี้ไซร้ ถ้ามีตรานกวายุภักษ์ มีหนังสือเจ้าจำนวนนำตั้งมาตั้งมาด้วยฉบับหนึ่ง เรื่องราวจำนวนเงินต้องกันแล้ว ก็ให้เจ้าเมืองกรมการ ลอกเอาท้องตรานี้ไว้ แล้วให้ประทวนส่งตรานี้ให้แก่พระศรีชัยบาน หมื่นเทพ หมื่นวิสูตร หมื่นอินทร์ หมื่นศรีผู้เปนนายอากร เข้าเรียกอากรค่าน้ำจืดน้ำเค็ม แต่จำนวนปีชวดจัตวาศกสืบไป ตามท้องตราแลรับสั่งมานี้จงทุกประการ

สาตรามาณวันเสาร์ เดือน ๑๑ แรม ๑๑ ค่ำ ปีชวดจัตวาศก จุลศักราช ๑๒๑๔ (พ.ศ. ๒๓๙๕)

----------------------------

  1. ๑. ความต่อไปนี้ไปเปนพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

  2. ๒. พระราชนิพนธ์หมดเพียงนี้

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ