๙
ลุศักราช ๗๕๓ สมเด็จพระเจ้าราชาธิราช จึงโปรดให้ปูนบำเหน็จเสนาบดีทั้งปวง ซึ่งมีความชอบตามถานานุศักดิ์ใหญ่น้อยถ้วนทั่วกัน ครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช เสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงหงษาวดี บ้านเมืองก็บริบูรณ์มั่นคง ฝนก็ตกตามฤดูกาล สรรพพืชธัญญาหาร อปรัณณะชาติก็งอกงามให้ผล สมณชีพราหมณ์แลอาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็อยู่เย็นเปนสุขมา
ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวาณกรุงรัตนอังวะ ซึ่งเปนใหญ่ในภุกามประเทศทั้งปวง ได้ทราบข่าวว่าพระเจ้าอู่ ซึ่งรามัญเรียกว่าพระเจ้าช้างเผือก เสวยราชสมบัติอยู่ในเมืองพะโคนั้นเสด็จสวรรคตแล้ว บัดนี้มังสุระมณีจักร์ราชบุตรพระเจ้าช้างเผือก ซึ่งเรียกว่าพระยาน้อย ได้ราชสมบัติเปนใหญ่ในเมืองพะโค ๆ ก็เปลี่ยนนามให้เรียกกรุงหงษาวดีตามเดิม ด้วยเปนราชธานีใหญ่มาแต่ครั้งกษัตริย์สิบเจ็ดพระองค์ ฝ่ายรามัญประเทศทั้งปวงก็ยังมิราบคาบ มอญบังอาจยกกองทัพมาตามจับสมิงโลกนรินทร์เหยียบแดนพม่าล่วงเข้ามาถึงเมืองทรางทวย อันเปนแว่นแคว้นของเรา ครั้นจะละไว้กำลังศึกมอญจะมากไป จำจะยกพลโยธาทวยหารลงไปหักเมืองพะโคเสียก่อน แต่ยังมิทันตั้งตัวถนัดเห็นจะได้โดยง่าย ครั้นทรงพระดำริห์แล้ว จึงตรัสปรึกษาด้วยเสนาบดีทั้งปวงว่า ซึ่งเราคิดดังนี้ใครจะเห็นชอบผิดประการใด
เสนาบดีทั้งปวงก็เห็นด้วยโดยพระราชบริหาร จึงกราบทูลว่า ซึ่งพระองค์ทรงพระราชดำริห์จะกระทำสงครามแผ่พระราชอาณาจักร์ให้กว้างขวางนั้น ก็ต้องด้วยโบราณราชประเพณีหาผิดไม่ เพราะมอญบังอาจมาก่อเหตุสงครามให้เกิดก่อน สมเด็จพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวาได้ทรงฟังเสนาบดีทั้งปวงกราบทูลดังนั้นก็ดีพระทัย จึงตรัสสั่งให้จัดพลพยุหโยธาทัพทแกล้วทหารพม่าแลไทยใหญ่เปนอันมาก ให้มังสุเหนียดพระราชบุตรเปนทัพหน้าคุมพลทหารช้างม้าเปนอันมาก ยกรีบตีรุดลงมาตั้งอยู่ใกล้กรุงหงษาวดี ทางประมาณสองร้อยเส้น แล้วสมเด็จพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวาเปนทัพหลวง เสด็จเคลื่อนพลพยุหจัตุรงค์ตามลงมาต่อภายหลัง จึงตรัสสั่งให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ ไม่ไกลไม่ห่างนักพอเดินถึงกันกับทัพหน้า
ฝ่ายหัวเมืองด่านทั้งปวง ในขณะเมื่อกองทัพพม่าทั้งสองยกรีบรุดตีลงมานั้น ที่รบสู้ต้านทานมิได้ ป้องกันรักษาเมืองมั่นไว้บ้าง ที่อพยพครอบครัวหนีเข้าป่าก็มีบ้าง แล้วแต่งหนังสือให้ม้าใช้รีบถือลงมายังเสนาบดีณกรุงหงษาวดี ให้นำขึ้นกราบทูลพระกรุณา เสนาบดีทั้งปวงก็นำหนังสือบอก ขึ้นกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช
ครั้นสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้แจ้งว่า กองทัพพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวา ยกลงมาตั้งอยู่ใกล้เมืองแล้ว จึงเสด็จออกตรัสปรึกษาด้วยเสนาบดีทแกล้วทหารทั้งปวงว่า บัดนี้พระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวายกกองทัพตีล่วงเข้ามาถึงพระนครเราแล้ว ครั้นจะละไว้ช้าก็มิได้ ศึกพม่าจะกระทำย่ำยีหนัก ไพร่ฟ้าประชาราษฎรจะได้ความยากแค้นขัดสน แลศึกครั้งนี้เปนศึกกษัตริย์อันประเสริฐ เราคิดจะยกออกไปชนช้างด้วยพระเจ้ามณเฑียรทอง ให้เปนเกียรติยศไว้ เสนาบดีทั้งปวงจะเห็นประการใด
ฝ่ายเสนาบดีทั้งปวงก็เห็นด้วย สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชจึงให้ราชามะนูแต่งหนังสือนัดรบฉบับหนึ่ง ครั้นแต่งหนังสือเสร็จแล้วจึงจัดให้ขุนนางผู้ฉลาดคนหนึ่ง ถือออกไปถวายพระเจ้ากรุงรัตนะอังวะ ขุนนางผู้นั้นรับสั่งแล้วก็ถวายบังคมลาออกมาจัดบ่าวไพร่ ขึ้นม้ารีบถือหนังสือออกไปยังกองทัพพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวา ฝ่ายทหารกองตระเวนพม่า ก็เข้ามาคุมเอาตัวขุนนางผู้ถือหนังสือแลบ่าวไพร่ไว้ก่อน จึงบอกส่งเข้าไปให้เสนาบดีกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวา ๆ ได้ทราบว่า ขุนนางในเมืองถือหนังสือออกมา ก็โปรดให้เสนาบดีไปรับเข้ามา ณ พลับพลาค่ายหลวง ขุนนางรามัญนั้นก็เข้ามากราบถวายบังคม ถวายหนังสือนัดรบแก่พระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวา ๆ ก็ให้อาลักษณ์ฉีกผนึกออกอ่าน ในหนังสือนั้นว่า พระเจ้าราชาธิราชผู้เปนใหญ่ในกรุงหงษาวดี แจ้งความมาถึงพระเจ้ามณเฑียรทองพระเจ้าน้าเรา ผู้เปนกษัตราธิราชอันประเสริฐ ซึ่งพระเจ้าน้าเราทรงพระอุส่าห์ยกพลทวยหารลงมา ปรารถนาจะทำสับประยุทธสงครามด้วยเราผู้หลานนั้น เรามีความยินดียิ่งนัก เปรียบประดุจได้สมบัติบรมจักรพรรดิก็มิเท่าเทียม ฝ่ายพระเจ้าน้าท่านก็เปนใหญ่ในกรุงรัตนะอังวะ เราผู้หลานก็เปนใหญ่ในกรุงหงษาวดี ครั้นจะรบกันด้วยฝีมือทแกล้วทหารนั้น ดุจหนึ่งศึกโจรหาต้องการเปนเกียรติยศไม่ ซึ่งกษัตริย์ชนช้างกันโดยธรรมยุทธ์นั้น ยากที่ผู้ใดจะได้พบเห็น เวลาพรุ่งนี้เชิญสมเด็จพระเจ้าน้า กับเราผู้หลานทั้งสองมาชนช้างกัน ณ ที่สนามกลางแปลง ให้เทพยดาแลทแกล้วทหารทั้งสองฝ่ายดูเล่นรื่นเริงสบายเปนขวัญตา ให้ปรากฎเกียรติยศไว้ชั่วกัลปาวสาน อันกษัตริย์สืบมาภายหน้า ซึ่งจะกล้าหาญในการสงครามออกชนช้างกันนั้นหายากแล้ว เราทั้งสองช่วยกันกระทำแบบแผนไว้ให้บุตรแลนัดดาอันจะเปนพระเจ้าแผ่นดิน ได้รู้เห็นเปนอย่างไปในเบื้องหน้า สมเด็จพระเจ้าน้าจะเห็นประการใด จงตอบมาให้เราทราบ
ครั้นพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวาได้แจ้งในหนังสือนั้นแล้ว ก็มีพระทัยยินดีนัก ทรงพระสรวลตรัสว่า ซึ่งพระเจ้าหงษาวดีมีหนังสือว่ากล่าวมานี้ เรายินดีราวกับได้ทิพยสมบัติ จึงโปรดพระราชทานเงินทองเสื้อผ้าแก่ผู้ถือหนังสือแล้ว ก็ตรัสสั่งว่า ท่านจงกลับไปกราบทูลพระเจ้าหงษาวดีเถิด ว่าเราจะกระทำตามมีหนังสือกำหนดมานั้น ขุนนางผู้ถือหนังสือกราบถวายบังคมลาออกมาขึ้นม้ากับบ่าวไพร่ รีบกลับเข้ามากราบทูลสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช ตามที่พระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวาตรัสตอบมาทุกประการ
สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้แจ้งแล้วก็ดีพระทัยนัก ครั้นรุ่งขึ้นวันใหม่ สมเด็จพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวา จึงตรัสสั่งให้จัดแจงทแกล้วทหารแลทัพช้างม้าทั้งปวง ให้มังสุเหนียดพระราชบุตรเปนทัพหน้า แล้วพระองค์ให้ผูกพลายนรูปะโคเปนพระคชาธาร พร้อมไปด้วยเครื่องสรรพาวุธทั้งปวง ตามกระบวนพิไชยสงครามเสร็จแล้ว ครั้นได้เวลาศุภนิมิตมงคลฤกษ์ สมเด็จพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวาก็เสด็จขึ้นทรงพระคชาธาร ให้ยกพลคชสารทั้วปวงออกจากค่าย มีทวนทองจามจุรีแห่หน้าพระคชาธารสามพัน พลดาบดั้งสองพันยกมา พลโตมรเกาทัณฑ์สรรพเครื่องสาตราอื่น อันโยธาถือแลสะพายครบถ้วน พลทหารช้างม้าก็เดินโดยขบวนพยุห เปนหมู่เปนกองเนื่องกันสล้างสลอนด้วยธงชายธงฉานธงสีต่างๆ เสียงสนั่นกึกก้องด้วยฆ้องกลองม้าฬ่อ ทหารถือธงนำหน้าพลก็รีบดำเนินมา
ฝ่ายม้าใช้กองคอยเหตุรู้ว่ากองทัพยกมาแล้ว ก็รีบเข้ามาเฝ้ากราบทูลสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช ๆ ได้แจ้งว่า พระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวายกกองทัพออกมาแล้ว จึงสั่งให้เร่งจัดพลเปนกระบวนพยุห ทัพช้างประกอบไปด้วยทหารโยธา แลพลช้างโคดแล่นโจมทัพดั้งกัน สารค้ำค่ายสารแซงแลช้างล้อมวง พังคาพลายเพรียวทั้งปวง แล้วตรัสสั่งให้ผูกพลายสิงหนารายน์เปนพระคชาธาร พ่ออู่หมอเฒ่าซึ่งเปนสมิงพระตะเบิด ขี่พลายประกายมาศเปนโคดแล่น เจ้าสมิงนครอินท์ขี่ช้างพลายธนูเพ็ชร์เปนโจมทัพ สมิงอังวะมังศรีขี่พลายสุริยะเปนค้ำ สมิงพระรามขี่พลายผจญมารเปนดั้ง สมิงมาสมันขี่พลายรักน้อยเปนกัน สมิงอุบากองขี่พลายทเริงเดชเปนค่าย พร้อมไปด้วยแพนหางนกยูงแลทวนธงสีต่างๆ สรรพไปด้วยเครื่องสรรพาวุธพร้อมเสร็จ
ฝ่ายราชามะนูจึงทูลถวายพระฤกษ์กำหนดเวลาว่า พระองค์จะเสด็จยกพลพยุหโยธาหาร ไปต่อด้วยราชสัตรูครั้งนี้ ต้องด้วยนามยายี กำลังศึกองอาจดังพระยาราชสีห์ เทพยดาอันมีมหิทธิฤทธิ์จะสำแดงฤกษ์ในนภาดลอากาศเปนมหัศจรรย์ให้ปรากฎแก่พลทแกล้วทหารทั้งสองฝ่าย พระองค์จะได้ชัยชนะแก่อริราชปรปักส์โดยง่าย
สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ทรงฟังราชามะนูทูลดังนั้น ก็ทรงพระโสมนัสนัก ครั้นได้เวลามหาพิไชยฤกษ์ศุภนิมิตอันดี ก็เสด็จขึ้นทรงพระคชาธาร ให้ลั่นฆ้องไชยโบกธง ยกพลทวยหารไปตามเกล็ดนาคออกจากพระนคร ดูสล้างสลอนด้วยเครื่องสูง มยุระธงไชยฉัตร์พัดโบกแลจามรบังพระสุริยาระดาดาษ ศัพท์ฆ้องกลองกึกก้องโกลาหล หมู่พลทหารทั้งปวงก็เดินโดยขบวน ตั้งตาริ้วเปนทิวแถวเนื่องกัน พอทัพหน้าต่อทัพหน้าปะทะกันเข้า ทหารธงทั้งสองฝ่ายก็ตั้งธงลงณที่สนามท้องทุ่ง ด้วยเดชบรมโพธิสมภารของสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช ซึ่งจะมีชัยชนะแก่พระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวา ครั้งนั้นให้บังเกิดพายุใหญ่ดูพิลึกสพึงกลัว พัดไปข้างทัพพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวา แล้วหอบเอาเสวตรฉัตร์อันตั้งอยู่บนหลังพระคชาธารสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชลอยขึ้นไปในนภาดลอากาศ กระทำเปนประทักษิณวงถ้วนสามรอบแล้ว ก็กลับลงมาประดิษฐานอยู่ดังเก่าควรจะพิศวง
ฝ่ายพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวา แลไพร่พลทหารพม่าไทยใหญ่ทั้งปวงเห็นอัศจรรย์ดังนั้นก็สดุ้งตกใจ กลัวอานุภาพสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช ขณะนั้นพระเจ้าราชาธิราชก็ให้พลทแกล้วทหารยกเข้าต่อด้วยทแกล้วทหารพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวา พลดาบดั้งต่อดาบดั้ง พลทวนต่อทวน พลง้าวต่อง้าว พลดาบสองมือต่อดาบสองมือ เข้ารบพุ่งกันตลุมบอนเปนสามารถ รี้พลตายลงเปนอันมากด้วยกันทั้งสองฝ่าย พลพม่าตายมากกว่ามอญ
ฝ่ายพระยาภุกามซึ่งขี่ช้างโคดแล่น ยืนหน้าทัพพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวา เห็นพลทหารพม่าเสียทีแก่รามัญดังนั้น ก็ขับช้างโคดแล่นไล่พลทหารรุกเข้ามา ขณะนั้นสมิงพระตะเบิด ซึ่งขี่ช้างพลายประกายมาศ ยืนหน้าทัพสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช เห็นพระยาภุกามไล่พลมาดังนั้น ก็ไสพลายประกายมาศออกรับ แลพลายประกายมาศนั้นวิ่งด้วยกำลังพระยาสารอันแรง โจมแทงต้องช้างพระยาภุกามล้มลงทั้งยืน สมิงพระตะเบิดก็จ้วงฟันด้วยของ้าวถูกพระยาภุกามคอขาดตาย ฝ่ายช้างพม่าทั้งปวงก็เข้ารุมชนช้างประกายมาศ ๆ ก็รับแทงขวิดค้อนเดาะป้ายปลายงา ถูกช้างพม่าเจ็บปวดเปนหลายช้าง สมิงพระรามเห็นดังนั้น ก็ไล่พลายผจญมารเข้าช่วยพลายประกายมาศรับประจัน สมิงนครอินท์ก็วางพลายธนูเพ็ชร์เข้าโจมชน แลช้างโจมทัพทั้งปวงก็เข้าระดมช่วยกัน ช้างพม่าไม่อาจจะต่อได้ก็แตกกระจายไป สมิงอังวะมังศรีก็ขับพลายสุริยไล่ค้ำช้างพม่าส่งไป จนถึงหน้าพระคชาธาร มังสุเหนียดผู้เปนพระราชบุตรพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวาซึ่งยืนช้างเปนกองหน้าอยู่ ช้างมังสุเหนียดก็ตื่นตลบหลังไปเอาไว้มิอยู่ วิ่งผ่านพระคชาธารพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวาลงมา พระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวาเห็นดังนั้น ก็ตกพระทัยเกี่ยวช้างพระที่นั่งหนี ไพร่พลทหารฝ่ายพม่าทั้งปวงก็แตกกระจัดกระจายเสียขบวนไปหาเปนสมประดีไม่ ทิ้งเข้าของเครื่องสาตราวุธเสียสิ้น พากันหนีรีบเร่งขึ้นไปเมืองอังวะ ขณะเมื่อรบกันนั้นพลทหารทั้งสองฝ่ายเข้าต่อยุทธเปนตลุมบอน ผงคลีฟุ้งตลบกลบกลุ้มไปแลมิใคร่เห็นกัน
ครั้นสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชแจ้งว่า กองทัพพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวาแตกไปสิ้นแล้ว ก็แต่งให้กองทัพไปติดตามตีให้ยับเยิน จึงตรัสสั่งให้ฟ้อนแพนหลังช้างพระที่นั่งคชาธาร แลช้างคชาธารทั้งปวงเห็นแล้วก็รำรับต่อพ้นออกไป ให้ไพร่พลทั้งปวงสงบลง ไพร่พลทั้งปวงก็สงบลงตามสัญญาซึ่งได้เห็นแพนรับสั่งนั้น แล้วก็สั่งให้เก็บเอาเข้าของเครื่องสาตราวุธได้ครั้งนั้นเปนอันมาก แล้วพระองค์ก็ยกทัพกลับเข้ายังกรุงหงษาวดี จึงโปรดพระราชทานปูนบำเหน็จรางวัลแก่ทแกล้วทหารนายทัพนายกองทั้งปวงเปนอันมาก แต่สมิงพระตะเบิดซึ่งฆ่าพระยาภุกามตายนั้นมีความชอบมาก โปรดพระราชทานรางวัลให้มากกว่าคนทั้งปวง แล้วตรัสสรรเสริญว่า สมิงพระตะเบิดนี้อายุก็แก่อยู่แล้ว แต่กำลังยังกล้าแข็งมีฝีมือเอาชัยชนะหนุ่มได้ ราวกับไก่แก่แม่ปลากัดที่ตัวเก่ง ซึ่งเราได้อำมาตย์ทินมณีกรอดกับสมิงพระตะเบิดสองคนไว้นี้ อุปมาดังได้ไก่แก่ไว้สองตัว สำหรับจะได้ชนกับไก่หนุ่ม สมิงพระตะเบิดได้ฟังยิ้มแล้วจึงทูลว่า ซึ่งข้าพเจ้ามีชัยชนะนั้น ก็เพราะบุญบารมีของพระองค์ช่วยปกแผ่คุ้มครอง จึงได้ชัยชนะ
ฝ่ายกองทัพรามัญซึ่งไปติดตามตีทัพพม่าจนสุดแดน ครั้นไม่ทันแล้ว ก็กลับมากราบทูลสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช ๆ ได้แจ้งแล้วก็ทรงดำริห์ว่า พระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวายกกองทัพลงมาทำยุทธสงครามด้วยเราปราชัยแตกหนีไปครั้งนี้ เห็นจะอายอัปยศแก่หัวเมืองทั้งปวงเศร้าใจอยู่ เราจะมีหนังสือไปว่าเยาะเย้ยให้ตรอมใจตายจงได้ จึงตรัสปรึกษาด้วยเสนาบดีทั้งปวงโดยความที่ทรงพระดำริห์ เสนาบดีทั้งปวงเห็นด้วย สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชจึงสั่งให้จัดผ้าแดงโมรีสิบพับ ผ้าดำสิบพับ ทวนทองคู่หนึ่ง พระแสงดาบฝักทองคำเล่มหนึ่ง ซึ่งเก็บของพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวาได้ไว้นั้น ทำเปนเครื่องราชบรรณาการแล้วให้แต่งหนังสือฉบับหนึ่ง จัดขุนนางผู้ฉลาดให้ถือขึ้นไปถึงพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวา ขุนนางผู้รับสั่งก็ถวายบังคมลาออกมาจัดบ่าวไพร่ขึ้นม้าเร็วรีบถือหนังสือไปยังกรุงรัตนะอังวะ
ครั้นถึงจึงเข้าไปแจ้งแก่เสนาบดีให้นำเข้าเฝ้า เสนาบดีเจ้าพนักงานรู้สำเนาความในหนังสือแล้ว ก็เห็นว่ามิเปนราชสาส์นทางพระราชไมตรีโดยแท้ จึงว่าเราจะพาเข้าเฝ้านั้นยังมิควร จะกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทราบก่อน เสนาบดีจึงเข้ากราบทูลสมเด็จพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวา ๆ ก็ตรัสปรึกษาด้วยเสนาบดีทั้งปวงว่า จะให้รับขุนนางรามัญเข้ามาดีหรือประการใด เสนาบดีทั้งปวงจึงกราบทูลว่า ซึ่งจะมิให้รับเข้ามานั้น มอญจะดูหมิ่นว่ากล่าวจะเสียพระเกียรติยศไป ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดให้รับเข้ามาจึงจะควร
สมเด็จพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวาทรงเห็นด้วย จึงโปรดให้รับขุนนางผู้ถือหนังสือเข้ามา ขุนนางรามัญก็เข้ามากราบถวายบังคมสมเด็จพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวา ทูลถวายหนังสือกับเครื่องราชบรรณาการ พระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวาก็มิได้ตรัสด้วยขุนนางผู้ถือหนังสือ สั่งให้เสนาบดีพาขุนนางรามัญไปรับพระราชทานเครื่องเลี้ยงอยู่ณโรงรับแขกเมืองก่อน แล้วโปรดให้อาลักษณ์อ่านหนังสือ ในหนังสือนั้นว่าสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช ขอเจริญทางพระราชไมตรีมาถึงสมเด็จพระเจ้ามณเฑียรทอง พระเจ้าน้าเราผู้เปนกษัตราธิราชอันประเสริฐ ด้วยแต่ก่อนกรุงรัตนบุระอังวะกับกรุงหงษาวดี ราชธานีทั้งสองนี้เปนสุวรรณปถพีเดียวกัน ฝ่ายพระเจ้าช้างเผือกสมเด็จพระราชบิดาเรา กับพระเจ้ามณเฑียรทองพระเจ้าน้าเรา ก็เปนสัมพันธมิตรสนิทเสน่หาโดยทางพระราชไมตรี แลไมตรีมีถึงกันยิ่งนัก อนึ่งลูกค้าพาณิชก็ไปมาค้าขายตามประเพณี มิได้มีพิโรธสิ่งใดแก่กัน แลบัดนี้สมเด็จพระเจ้าน้าเราผู้เปนกษัตราธิราชอันใหญ่ยิ่ง ดำริห์ถึงทางพระราชไมตรีซึ่งมีมาแต่ก่อน ทรงพระอุสาหล่วงแดนลงมาถึงกรุงหงษาวดี ข้าพเจ้าแจ้งว่า สมเด็จพระเจ้าน้าท่านเสด็จลงมา ก็แต่งเครื่องราชบรรณาการจะออกมาถวายตามพระราชประเพณี ยังมิได้ทันเห็นพระพักตร์สมเด็จพระเจ้าน้าเราตระหนัก แลพระเจ้าน้าเราก็ด่วนเสด็จกลับมายังกรุงรัตนอังวะเสียก่อน ข้าพเจ้าจึงแต่งเครื่องราชบรรณาการให้ขุนนางคุมตามขึ้นมาถวาย เพื่อจะมิให้เสียทางพระราชไมตรีแต่ก่อน ควรมิควรประการใด ขอสมเด็จพระเจ้าน้าเราอย่าได้น้อยพระทัยเลย
ครั้นพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวาได้แจ้งในหนังสือนั้นแล้ว ก็ทรงพระโกรธ ดวงพระเนตร์เปนขอบเขียวขึ้นทันที พระเสโทไหลซึมซาบออกทุกขุมพระโลมา แค้นพระทัยยิ่งนัก ราวกับลูกศรเข้าไปเสียบสลักอยู่ในพระกรรณแลพระอุระ จึงให้เอาหนังสือนั้นเผาไฟเสียแล้วตรัสว่า เราเปนกษัตริย์ผู้ใหญ่อันประเสริฐ พระยามอญน้อยมากล่าวถ้อยคำเสียดแทงเยาะเย้ยฉนี้ เปรียบประดุจบุคคลป่วยเปนไข้หนัก หมอประกอบยามิชอบโรค ๆ ก็ยิ่งกำเริบมากขึ้นกว่าเก่า ถ้าพระยามอญน้อยถองเราด้วยศอก ก็จะมิเจ็บช้ำเท่าถ้อยคำซึ่งว่าเยาะเย้ยฉนี้ เราจะยกลงไปแก้แค้นพระยามอญอีกให้จงได้ จึงตรัสสั่งให้เอาขุนนางผู้ถือหนังสือกับบ่าวไพร่มาฆ่าเสีย เว้นไว้สองคนมันจะได้กลับลงไปบอกแก่เจ้ามัน ทำประชดให้สมน้ำหน้าที่กล่าวเยาะเย้ยเรา
ฝ่ายมังนันทะมิตร์เสนาบดีผู้ใหญ่จึงทูลทัดทานว่า ซึ่งพระองค์ทรงพระพิโรธแก่พระเจ้ากรุงหงษาวดี จะให้ฆ่าตีขุนนางผู้ถือหนังสือกับบ่าวไพร่เสียนั้นมิชอบ ผิดอย่างโบราณราชประเพณี ถ้ารู้ไปถึงนาๆ ประเทศทั้งปวง ก็จะเปนที่หมิ่น เสียพระเกียรติยศเสื่อมพระเดชานุภาพ แม้นพระเจ้าราชาธิราชได้แจ้ง ก็จะมีพระทัยพิโรธกำเริบหนักขึ้น สงครามมอญกับพม่าจะติดพันกันช้านาน อันพระเจ้าราชาธิราชอุปมาดังต้นไทรใหญ่ เสนาบดีไพร่พลทั้งปวงอุปมาดังก้านแลกิ่ง ซึ่งพระองค์จะให้ฆ่าขุนนางผู้ถือหนังสือแลบ่าวไพร่นั้น เปรียบเหมือนหนึ่งตัดก้านแลกิ่งให้ขาดไปเล็กน้อยเท่านั้น ต้นไทรจะหักโค่นล้มลงก็หามิได้ อันจะทำลายต้นไทรนั้น ต้องตัดต้นขุดรากถากเปลือกเอาเพลิงเผาจึงจะสิ้น ซึ่งพระองค์ได้ความอัปยศครั้งนี้ ขอจงเอาพระขันตีเข้ามาข่มอดกลั้นพระทัยไว้สักครั้งหนึ่งแล้ว ข้าพเจ้ากับทแกล้วทหารทั้งปวง จะขออาสายกลงไปแก้แค้นสนองพระเดชพระคุณจนสิ้นชีวิต ให้ลบล้างความอัปยศของพระองค์จงได้ แต่ขุนนางผู้ถือหนังสือนั้นเปนข้าเจ้า ๆ ใช้จึงมา ขอได้ทรงโปรดปล่อยให้กลับไปจึงจะควร เพราะเขานำเครื่องราชบรรณาการมาถวายเปนคุณเจือโทษอยู่ ฝ่ายในขุ่นอยู่ภายนอกใส ซึ่งพระองค์โปรดปล่อยกลับไปนั้น เปนการสนองคุณอยู่ภายนอก โทษอยู่ภายในซ่อนไว้เหมือนกัน แล้วจึงคิดกลอุบายให้มอญตายด้วยน้ำเย็นน้ำใสบ้าง
สมเด็จพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวาได้ทรงฟังก็เห็นด้วย แต่ทรงพระดำริห์ขึ้นมาถึงถ้อยคำในหนังสือนั้นแล้ว ก็โทมนัศน้อยพระทัยไม่สิ้น เสมือนหนึ่งหนามเหน็บอยู่ในพระอุระ จึงมิได้ตอบพระราชสาส์นประการใด ตรัสสั่งให้มังนันทะมิตร์ตอบแต่เครื่องราชบรรณาการตามสมควรแล้วก็เสด็จขึ้น
ฝ่ายมังนันทะมิตร์เสนาบดี ก็จัดเครื่องราชบรรณาการตอบแทนโดยควร แล้ว จึงว่าแก่ขุนนางรามัญว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่สบายพระทัยทรงพระประชวรมาหลายวันแล้ว มิได้เสด็จออกว่าราชการ นี่ท่านเปนแขกเมืองมาก็เกรงจะเสียขนบธรรมเนียม จึงทรงพระอุสาหออกรับ ซึ่งท่านจะกลับไปนั้น จงดูแก่การควรเถิด ไม่ต้องเข้าเฝ้าทูลลาทรงอนุญาตแล้ว ขุนนางรามัญก็คำนับลาเสนาบดี ขึ้นม้ามากับบ่าวไพร่รีบกลับลงมายังกรุงหงษาวดี เข้าเฝ้ากราบถวายบังคมสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช ถวายเครื่องราชบรรณาการตอบแทน แล้วทูลว่าพระเจ้ากรุงรัตนอังวะให้เอาหนังสือเผาเพลิงเสีย มิได้ตอบพระราชสาส์นประการใด แล้วทูลเหตุผลที่ตนได้รู้ดูฟังทุกประการ สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ฟังก็ทรงพระสรวล จึงตรัสแก่เสนาบดีทั้งปวงว่า พระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวานี้ เห็นไม่อาจยกมาอีกแล้ว คงจะตรอมใจตายเปนแท้
ฝ่ายพระเจ้าฝรั่งมังศรีฉะวา ก็ตรัสปรึกษาด้วยเสนาบดีทั้งปวงว่าจะยกลงมาตีกรุงหงษาวดีอีก เสนาบดีทั้งปวงจึงทูลว่า พระองค์ยกลงไปครั้งก่อนนั้นปราชัยเสียทีมา ไพร่พลทั้งปวงก็ล้มตายเปนอันมาก ทแกล้วทหารช้างม้ายังบอบช้ำอิดโรยนัก ทั้งเสบียงอาหารก็ยังไม่ได้ส้องสุมพรักพร้อม อนึ่งก็จวนเทศกาลฝน รี้พลทั้งปวงจะบอบช้ำลำบากนัก ขอได้ทรงพระกรุณางดก่อนพอบำรุงช้างม้ารี้พลให้มีกำลัง พ้นฤดูฝนแล้วจึงยกลงไป ทำไมกับศึกมอญถึงได้ชัยชนะครั้งหนึ่ง ขอพระองค์อย่าเพ่อทรงพระโทมนัศ ถ้ายกลงไปครั้งนี้ ข้าพเจ้าทั้งปวงจะคิดอาสาสู้รบจนสิ้นชีวิต เอาชัยชนะถวายให้จงได้
สมเด็จพระเจ้ามังศรีฉะวาได้ทรงฟัง เห็นยังขัดขวางอยู่ก็จนพระทัย ตั้งแต่นั้นมามิได้มีความสบาย ทรงพระโทมนัศขัดแค้นด้วยได้ความอัปยศอยู่ทุกวันทุกเวลามิได้ขาด เสวยพระยาหารก็น้อยกว่าเก่า จนพระโรคกำเริบขึ้นทรงพระประชวรหนักลงก็เสด็จสวรรคต