๑๘
ฝ่ายพระเจ้ากรุงต้าฉิง ซึ่งเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงจีนนั้นมีทหารเอกคนหนึ่งชื่อกามะนี มีฝีมือขี่ม้าแทงทวนสันทัดดีหาผู้เสมอมิได้ จีนทั้งปวงก็สรรเสริญว่า กามะนีนี้มิใช่มนุษย์ดุจเทพยดาก็ว่าได้ อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้ากรุงจีนเสด็จออก ตรัสปรึกษาด้วยเสนาบดีมนตรีมุขทั้งปวงว่า ทำไฉนเราจะได้เห็นทหารขี่ม้าสู้กันกับกามะนีตัวต่อตัวดูเล่นให้เปนขวัญตาสักครั้งหนึ่ง กษัตริย์กรุงใดยังจะมีทแกล้วทหารที่สามารถจะสู้กามะนีได้ แต่พอชมเล่นเปนที่เจริญตาได้บ้าง เสนาบดีทั้งปวงจึงกราบทูลว่า กษัตริย์ที่จะมีทแกล้วทหารขี่ม้าสันทัดนั้น มีอยู่แต่กรุงรัตนบุระอังวะกับกรุงหงษาวดี กษัตริย์ทั้งสองพระองค์นี้ย่อมทำสงครามแก่กันอยู่มิได้ขาด
พระเจ้ากรุงจีนได้ทรงฟังก็มีพระทัยยินดีนัก จึงสั่งให้จัดพลพยุหเสนาทั้งปวงเปนอันมากจะนับประมาณมิได้ ครั้นได้ศุภฤกษ์แล้ว พระองค์ก็เสด็จทรงม้าพระที่นั่ง ยกทัพบกมายังกรุงรัตนบุระอังวะ พระเจ้ากรุงจีนยกมาครั้งนั้น อุปมาดังฝนตกห่าใหญ่ตกลงน้ำนองท่วมป่าไหลเชี่ยวมาเมื่อวสันตฤดูนั้น หาสิ่งใดจะต้านทานมิได้ ครั้นเสด็จดำเนินกองทัพมาถึงกรุงรัตนบุระอังวะ ทอดพระเนตรเห็นกำแพงเมืองถนัดก็ให้ตั้งทัพมั่นลง
ฝ่ายพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้แจ้งว่า ทัพจีนยกมามากเหลือกำลังก็มิได้ออกรบสู้ต้านทาน ให้แต่รักษาพระนครมั่นไว้เปนสามารถ ฝ่ายพระเจ้ากรุงจีน จึงให้มีพระราชกำหนดประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่าถ้าผู้ใดไม่มีอาวุธรบสู้ อย่าได้ทำอันตรายเปนอันขาด ถ้าผู้ใดมิฟังจะให้ตัดศีร์ษะเสียบเสีย ครั้นพระเจ้ากรุงจีนให้ตั้งค่ายมั่นลงแล้ว ก็ให้แต่งพระราชสาส์นฉบับหนึ่ง แล้วให้จีดแพรลายมังกรร้อยม้วน แพรลายทองร้อยม้วน กับเครื่องยศประดับหยกอย่างกษัตริย์สำรับหนึ่ง ให้ขุนนางในตำแหน่งฝ่ายพลเรือน ชื่อโจเปียวพูดภาษาพม่าได้ กับไพร่พอสมควร เชิญพระราชสาส์นกับเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวายพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง โจเปียวก็ถวายบังคมลา ถือพระราชสาส์นคุมเครื่องราชบรรณาการมากับด้วยไพร่ จึงเรียกทหารผู้รักษาหน้าที่ให้เปิดประตูเมืองรับ นายทัพนายกองได้แจ้งดังนั้น ก็เข้ากราบบังคมทูลพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง จึงโปรดให้รับผู้ถือพระราชสาส์นเข้ามา โจเปียวก็เข้ามากราบถวายบังคมหน้าพระที่นั่ง ถวายพระราชสาส์นกับเครื่องราชบรรณาการพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ๆ จึงรับสั่งให้ล่ามเจ้าพนักงานเข้ามาแปลพระราชสาส์น ล่ามแปลแล้วจึงตรัสสั่งให้อาลักษณ์อ่าน ในพระราชสาส์น นั้นว่าเรายกพยุหเสนามาครั้งนี้ ด้วยมีความปรารถนาสองประการ ๆ หนึ่งจะให้พระเจ้าอังวะอยู่ในอำนาจออกมาถวายบังคมเรา ประการหนึ่งจะใคร่ดูทหารขี่ม้ารำทวนสู้กันตัวต่อตัวชมเล่นเปนขวัญตา แม้นทหารกรุงรัตนบุระอังวะแพ้ก็ให้ยอมถวายเมืองแก่เราโดยดี อย่าให้สมณชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนเลย ถ้าทหารฝ่ายเราแพ้ก็จะเลิกทัพกลับไปยังพระนคร แลราษฎรในกรุงรัตนบุระอังวะนั้นโดยตํ่าลงไปแต่กระท่อมน้อยหลังหนึ่ง ก็มิให้เปนอันตราย พระเจ้าอังวะจะคิดประการใดก็เร่งบอกออกมา
พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้แจ้งในพระราชสาส์นนั้นแล้วก็ดีพระทัยนัก ด้วยทรงพระดำริห์ว่า การสงครามครั้งนี้เปนธรรมยุทธใหญ่ยิ่ง สมณชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎรจะมิได้ความเดือดร้อน สมควรแก่พระเจ้าแฝ่นดินผู้ตั้งอยู่ในยุติธรรม ทรงพระดำริห์แล้วจึงให้พระราชทานเงินทองเสื้อผ้าแก่ผู้ถือหนังสือเปนอันมาก แล้วให้แต่งพระราชสาส์นตอบฉบับหนึ่ง ให้จัดเครื่องราชบรรณาการ ผ้าสักหลาดยี่สิบพับ นอระมาดห้าสิบยอด นํ้าดอกไม้เทศสามสิบเต้า ช้างพลายผูกเครื่องทองข้างหนึ่ง มอบให้โจเปียวผู้จำทูลพระราชสาส์นนำกลับไปถวายพระเจ้ากรุงจีน ๆ จึงรับสั่งให้ล่ามพม่าเข้ามาแปล ให้เจ้าพนักงานอ่านถวาย ในพระราชสาส์นตอบนั้นว่า ซึ่งพระเจ้ากรุงจีนมีพระทัยปรารถนาจะใคร่ชมฝีมือทหารฝ่าย พม่าขี่ม้ารำทวนสู้กัน เปนสงครามธรรมยุทธนั้น เราเห็นชอบด้วยมีความยินดียิ่งนัก เพราะสมควรแก่พระองค์เปนกษัตริย์ผู้ใหญ่อันประเสริฐ แต่การสงครามครั้งนี้เปนมหายุทธนาการใหญ่หลวง จะด่วนกระทำโดยเร็วนั้นมิได้ ของดไว้ภายในเจ็ดวัน อนึ่งพระองค์ก็เสด็จมาแต่ประเทศไกล ไพร่พลทั้งปวงยังเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอยู่ ขอเชิญพระองค์พักพลทหารระงับพระกายให้สำราญพระทัยก่อนเถิด แล้วเราจึงจะให้มีกำหนดนัดหมายออกไปแจ้ง ตามมีพระราชสาส์นมานั้น พระเจ้ากรุงจีนได้แจ้งในพระราชสาส์นตอบแล้วก็ดีพระทัย จึงสั่งให้นายทัพนายกองทั้งปวงสงบไว้
ฝ่ายพระเจ้ามณเฑียรทอง ครั้นส่งพระราชสาส์นแลเครื่องราชบรรณาการไปแล้ว จึงตรัสปรึกษาเสนาพฤฒามาตย์ราชปโรหิตข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทแกล้วทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะรับอาสาขี่ม้าแทงทวนสู้กามะนีทหารพระเจ้ากรุงจีนตัวต่อตัวได้บ้าง เสนาพฤฒามาตย์ผู้ใหญ่ผู้น้อยทแกล้วทหารทั้งปวงก็มิอาจรับอาสาได้ พระเจ้ามณเฑียรทองก็ทรงพระวิตกเปนทุกข์พระทัยนัก จึงให้หาโหรมาคำนวณพระชันษาแลชะตาเมืองดู โหรก็คำนวณฎีกาดูทูลถวายว่าพระชันษาแลชะตาเมืองยังดีอยู่หาเสียไม่ นานไปจะได้ลาภอันประเสริฐอีก
พระเจ้ามณเฑียรทองได้ทรงฟังก็ดีพระทัย จึงให้ตีฆ้องร้องป่าวทั่วทั้งพระนครว่า ถ้าผู้ใดรับอาสาสู้กับกามะนีทหารพระเจ้ากรุงจีนได้ พระเจ้าแผ่นดินจะโปรดให้เปนมหาอุปราช เสนาบดีรับสั่งแล้วก็ให้ป่าวร้องไปทั่วพระนคร ไม่มีผู้ใดที่จะอาจออกรับอาสาได้
ฝ่ายผู้คุมซึ่งคุมสมิงพระรามนั้น จึงเจรจากับเพื่อนกันตามเรื่องราว แล้วว่าครั้งนี้พระเจ้าอยู่หัวจะแบ่งสมบัติให้กึ่งหนึ่ง ก็ยังไม่มีผู้ใดรับอาสา เห็นเมืองจะตกตํ่าเสียแลกระมัง สมิงพระรามได้ยินดังนั้นก็คิดว่า แต่เราต้องพันธนาการตรากตรำอยู่นานแล้ว มิได้ขี่ช้างขี่ม้าเหยียดมือเหยียดเท้า เยื้องแขนซ้ายย้ายแขนขวาเล่นบ้างเลยรำคาญใจนัก เราจะกลัวอะไรกับกามะนีทหารจีน อันจะเอาชัยชนะนั้นไม่สู้ยากใจนัก ครั้นจะรับอาสาบัดนี้เล่า ก็เหมือนหาบสองบ่าอาสาสองเจ้าหาควรไม่ คิดแล้วก็นิ่งอยู่ ครั้นรุ่งขึ้นผู้คุมได้ยินข้าหลวงมาเป่าร้องอีก จึงพูดกับเพื่อนกันว่า ทัพจีนยกมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก หาทหารผู้ใดที่จะรับอาสาป้องกันพระนครไว้นั้นเปนอันยากแล้ว อย่าว่าแต่เมืองพม่าเท่านี้เลย ถึงเมืองใหญ่ๆ กว่าเมืองพม่าสักสิบเมืองก็เห็นจะสู้ไม่ได้ น่าที่เห็นจะเสียเมืองแก่จีนเปนมั่งคง
สมิงพระรามได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า กรุงอังวะนี้เปนต้นทาง อุประมาดังหน้าด่านกรุงหงษาวดี พระเจ้ากรุงจีนยกทัพมาครั้งนี้ก็มีความปรารถนาจะใคร่ดูทแกล้วทหารอันมีฝีมือ ขี่ม้ารำเพลงทวนสู้กันตัวต่อตัว ถ้าไม่มีผู้ใดสู้รบ ถึงจะได้เมืองอังวะแล้วก็ไม่สิ้นความปรารถนาแต่เพียงนี้ เห็นศึกจีนจะกำเริบยกล่วงเลยลงไปติดกรุงหงษาวดีด้วยเปนมั่นคง ตัวเราเล่าก็ต้องจองจำตรากตรำอยู่ ถ้าเสียกรุงอังวะแล้วจะหมายใจว่าจะรอดคืนไปเมืองหงษาวดีได้ก็ใช่ที่ จำเราจะรับอาสาตัดศึกเสียจึงจะชอบ อย่าให้ศึกจีนยกลงไปติดกรุงหงษาวดีได้ คิดแล้วจึงพูดกับผู้คุมว่า จะกลัวอะไรกับกามะนี ทหารพระเจ้ากรุงจีนนั้นจะมีฝีมือดีสักเพียงไหน เรากลัวแต่ทหารเทพยดาที่เหาะได้ ซึ่งกามะนีกับเราก็เปนมนุษย์เดินดินเหมือนกันเราหากลัวไม่ พอจะสู้รบเอาชัยชนะได้ นายผู้คุมได้ฟังก็ดีใจจึงตอบว่า ถ้าท่านรับอาสาได้แล้วก็ดียิ่งนัก เห็นท่านจะพ้นโทษได้ที่มหาอุปราชมียศถาศักดิ์ใหญ่เปนมั่น คง ไปเบื้องหน้าเราจะขอพึ่งบุญท่าน สมิงพระรามตอบว่าซึ่งเรารับอาสานี้ จะหวังยศถาศักดิ์หามิได้ ประสงค์จะกู้พระนครให้เปนเกียรติยศไว้ แลจะให้ราษฎรสมณชีพราหมณ์อยู่เย็นเปนสุขเท่านั้น ผู้คุมได้ฟังก็ชอบใจ จึงนำถ้อยคำสมิงพระรามรีบเข้าไปแจ้งแก่เสนาบดี ๆ ได้ฟังก็มีความชื่นชม จึงนำความเข้ากราบทูลพระเจ้ามณเฑียรทอง ตามคำสมิงพระรามว่านั้นทุกประการ
พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้ทรงฟังก็เฉลียวพระทัย ทรงพระดำริห์ระลึกขึ้นมาได้ว่า สมิงพระรามนี้ขี่ช้างขี่ม้าสันทัดดี มีฝีมือเข้มแข็งแกล้วกล้าในการสงครามหาผู้เสมอตัวยาก เห็นจะสู้ทหารพระเจ้ากรุงจีนได้เปนแท้ ทรงพระดำริห์แล้วก็มีพระทัยยินดีนัก จึงตรัสแก่เสนาบดีทั้งปวงว่า สมิงพระรามนี้มีฝีมือเปนทหารเอกเมืองหงษาวดี เราลืมคิดไปพึ่งระลึกขึ้นได้ จึงตรัสสั่งขุนนางกรมนครบาล ให้ไปถอดสมิงพระรามมากระทำสัตย์เสียจึงนำเข้าเฝ้า สมิงพระรามก็เข้ามากราบถวายบังคมหน้าพระที่นั่ง พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องทอดพระเนตร์เห็นสมิงพระรามก็มีพระทัยยินดีนัก จึงตรัสถามว่า ศึกมาติดกรุงอังวะครั้งนี้ หาผู้ใดที่จะอาสาออกสู้กับทหารจีนมิได้ ท่านจะรับอาสาเราหรือประการใด สมิงพระรามจึงกราบทูลว่า อันการสงครามเพียงนี้มิพอเปนไรนัก ข้าพเจ้าจะขอรับอาสาพระองค์ออกไปต่อสู้ด้วยกามะนี สนองพระเดชพระคุณมิให้อัปยศแก่พระเจ้ากรุงจีนนั้นพอจะได้อยู่ แต่ข้าพเจ้าจะขอรับพระราชทานม้าที่ดีมีฝีเท้าตัวหนึ่ง ถ้าได้สมคเนแล้วอย่าว่าแต่กามะนีผู้เดียวเลย เว้นไว้แต่เทพยดานอกกว่านั้นข้าพเจ้าจะสู้ได้สิ้น
ฝ่ายพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้ทรงฟังสมิงพระรามทูลดังนั้น ก็มีความโสมนัสยินดียิ่งนัก จึงตรัสว่าม้าของเรามีอยู่เปนอันมากนับได้หลายหมื่นแสน ท่านจะปรารมภ์ไปใยด้วยม้าตัวเดียวที่จะให้ชอบใจนั้นพอจะหาได้ ถ้าชอบใจตัวใดแล้วก็เลือกเอาเถิด สมิงพระรามจึงทูลว่าลักษณะช้างดีต่อเมื่อขี่จึงรู้ว่าดี ม้าดีได้ต้องเอามือต้องหลังดูก่อนจึงจะรู้ว่าดี ทแกล้วทหารที่ดี ถ้าอาสาออกสงครามทำศึกจึงจะรู้ว่าดี ทองนพคุณเล่าขีดลงหน้าศิลาก่อนจึงจะรู้ว่าดี สตรีรูปงาม ถ้าพร้อมด้วยลักษณะกิริยามารยาทต้องอย่างจึงควรนับว่างาม ถ้าจะให้รู้รสอร่อยได้สัมผัสถูกต้องก่อนจึงนับถือว่ามีโอชาอร่อย ถ้าใจดีต้องทดลองให้สิ้นเชิงปัญญาก่อนจึงจะนับว่าดี ความอุประมาสี่ข้อข้าพเจ้าทูลถวายดังนี้เปนของหายาก ซึ่งพระองค์ตรัสว่าม้ามีมากนั้นก็มากจริง แต่ข้าพเจ้าเกรงว่าจะไม่ใคร่มีดีที่ดีจะหายาก พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้ทรงฟังสมิงพระรามทูลเปรียบเทียบหลักแหลมดังนั้น ก็แย้มพระสรวลชอบพระทัย จึงสั่งกรมม้าให้จัดม้าต้นม้าทรงระวางนอกระวางใน แลม้าทั้งปวงมาให้สมิงพระรามดูที่หน้าพระลานหลวง พระองค์ก็เสด็จไปทอดพระเนตร พร้อมด้วยเสนาบดีขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวง กรมม้าผู้รับๆสั่งก็ให้จัดม้าส่งเข้ามามากกว่าหมื่นแสน สมิงพระรามกราบถวายบังคมแล้วก็ออกไปยกมือขึ้นต้องหลังดู ม้าบรรดาที่ส่งเข้ามาเปนอันมากนั้น เลือกเสียสิ้นไม่ชอบใจสักตัวหนึ่ง ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็พากันหัวเราะเยาะเล่นว่ามอญพูดมาก อวดแต่ปาก ครั้นจะเอาจริงแสร้งเลือกม้าเสียนับหมื่นนับแสน ม้าทั้งปวงนี้ก็สามารถเคยผจญทำสงครามได้รับอับจนมาเปนอันมาก แต่ล้วนดีๆ ทั้งนั้นเลือกมิได้ แกล้งทำบิดเบือนแก้ไขแต่พอให้เนิ่นช้าไปกว่าจะได้ช่อง ก็จะหนีเอาตัวรอดกลับไปเมือง แต่พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องนั้นพระองค์มิได้สงสัย เพราะทรงทราบอยู่ว่าสมิงพระรามเปนคนดีมีฝีมือจริง สมิงพระรามก็เข้ามากราบทูลว่า ข้าพเจ้าเลือกม้ามิได้ชอบใจสักตัวหนึ่ง พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องจึงตรัสว่า เราจะให้หามาเลือกอีกให้ชอบใจท่านจงได้ จึงตรัสสั่งเสนาบดีให้จัดหาม้าเชลยศักดิ์ในพระนครนอกพระนครมาให้สิ้นเชิง
ขณะเมื่อพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ให้มีพระราชกำหนดออกไปแก่พระเจ้ากรุงจีนครั้งนั้น ไพร่พลทั้งสองฝ่ายแลชาวบ้านชาวเมืองก็เที่ยวไปมา เดินซื้อขายแก่กันเปนปรกติอยู่หาทำอันตรายแก่กันไม่ พวกเสนาข้าหลวงจึงเที่ยวจัดหาม้าเชลยศักดิ์ไปใกล้กองทัพนอกเมืองพบม้าสองตัวแม่ลูก หญิงหม้ายผู้หนึ่งเปนเจ้าของเลี้ยงไว้ ม้าสองตัวนั้นกินหญ้าอยู่ริมมาบนํ้าแห่งหนึ่งลึกเพียงขาม้า กว้างประมาณห้าวา ลูกม้านั้นโจนข้ามไปฟากข้างหนึ่งได้ทุกวัน หญิงม่ายเจ้าของตำเข้าฝัดรำไว้แล้ว ก็ร้องเรียกลูกม้านั้น ๆ ก็กระโดดข้ามมาบน้ำมากิน แต่แม่ม้านั้นกำลังน้อยโจนข้ามลำมาบมิได้ลงลุยข้ามน้ำมา แต่ดังนั้นทุกวันมิได้ขาด เสนาบดีเห็นลูกม้าตัวนั้นมีกำลังมาก แลประกอบด้วยลักษณะต้องอย่างก็ชอบใจ จึงให้พวกข้าหลวงช่วยกันล้อมเข้าจะจับเอาลูกม้า ๆ เปรียวอยู่ก็ดีดขบกัดด้วยกำลังจับมิได้ เสนาบดีจึงเรียกหญิงเจ้าของมาแล้วบอกว่า บัดนี้พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชประสงค์ม้า เรา เห็นม้าของท่านงามดีต้องลักษณะในตำรา ท่านจงยอมให้เรานำไปถวายเถิด จะได้รับพระราชทานรางวัล แต่ท่านเปนเจ้าของคุ้นเคยช่วยจับให้เราด้วย หญิงเจ้าของจึงคำนับว่า ถ้าท่านจะให้ข้าพเจ้าจับให้แล้ว เชิญท่านกับข้าหลวงพากันหลีกไปเสียก่อนเถิด อย่าทำวุ่นวายเลย หญิงเจ้าของว่าดังนั้นแล้ว เสนาบดีกับข้าหลวงทั้งปวงก็ชวนกันถอยออกไปให้ห่างไกล หญิงเจ้าของจึงเอาเข้าเปลือกมาตำได้รำแล้ว ก็ร้องเรียกลูกม้าดุจดังทุกวัน แม่ม้านั้นก็ท่องนํ้าข้ามคลองมา ลูกม้านั้นโจนข้ามคลองมากินรำ หญิงเจ้าของจึงยกมือขึ้นลูบหน้าลูบหลังลูกม้าแล้วก็ปลอบโยนให้กินรำ จึงค่อยเอาเชือกสอดผูกคอเข้าไว้กับต้นไม้ให้มั่นคง แล้วไปคำนับเชิญเสนาบดีกับข้าหลวงทั้งปวงให้ผูกเอาลูกม้านั้นไป เสนาบดีแจ้งแล้วก็ดีใจ จึงชวนกันมาดูให้ผูกม้านั้นจูงเข้าไปถวาย พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องเสด็จออก เสนาบดีนำม้าเข้าไปถวาย กราบทูลโดยความที่ได้แต่หญิงหม้ายนั้นทุกประการ
พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องทอดพระเนตรเห็นลูกม้ารูปร่างอ้วนงามดีก็ชอบพระทัย จึงตรัสสั่งให้สมิงพระรามมาดูม้าหน้าพระที่นั่ง สมิงพระรามกราบถวายบังคมแล้ว ก็ออกไปพิจารณาดูเห็นลูกม้านั้นรูปงาม ประกอบด้วยลักษณะดีต้องอย่าง สมเปนม้าสำหรับรบศึก จึงเอามือต้องหลังดู ม้านั้นมิได้อ่อนหลังซุดลงดุจม้าทั้งปวงที่เลือกมาแต่หลัง ก็รู้ว่าม้าตัวนี้ดีมีกำลังมาก หาม้าอื่นเสมอมิได้ จึงให้เอาบังเหียนมาใส่ผูกอานเข้าแล้ว ก็กราบทูลว่าม้าตัวนี้ดีได้ลักษณะตามตำหรับที่เคยเชื่อถือ ชอบใจข้าพเจ้านัก ข้าพเจ้าจะขอทดลองฝึกหัดเสียให้เชื่องก่อน กราบถวายบังคมแล้วก็จูงม้าออกมาพ้นหน้าพระที่นั่ง จึงถือทวนสพายแซ่เผ่นขึ้นหลังม้า พาควบออกไปนอกเมือง ผงคลีกลุ้มตลบมืดไป แลมิได้เห็นตัวม้าแลคน
ฝ่ายเสนาบดีก็ร้องอื้ออึงขึ้นว่า อ้ายมอญโกหกมันลวงพระองค์หนีกลับไปเมืองหงษาวดีแส้ว พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้ทรงฟังเสนาบดีว่าดังนั้นก็ตกพระทัย จึงให้หาผู้คุมเข้ามาตรัสถามด้วยพระองค์ว่า สมิงพระรามจะล่อลวงเราหนีไปจริงหรือประการใด ผู้คุมก็กราบทูลว่า อันสมิงพระรามผู้นี้มีความสัตย์ซื่อมั่นคงนัก ซึ่งจะหนีพระองค์ไปนั้นข้าพเจ้าเห็นหาเปนไม่ เพราะม้าตัวนี้เปนลูกม้าหนุ่ม ยังมิได้พาดอานมีกำลังนัก สมิงพระรามจึงควบไปไกล หวังจะทรมานให้เหนื่อยอ่อนลง จึงจะฝึกสอนได้โดยง่าย ข้าพเจ้าเห็นคงจะกลับมา ขอพระองค์จงเสด็จคอยท่าอยู่ก่อนเถิด พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้ทรงฟังผู้คุมทูลดังนั้นก็ยังไม่คลายพระวิตกมิได้เสด็จเข้า ตรัสบัญชาการด้วยเสนาบดีทั้งปวงตั้งพระทัยคอยท่าสมิงพระรามอยู่
ฝ่ายสมิงพระรามขึ้นม้าควบไป แต่เวลาเช้าจนสามโมงบ่าย ฝึกหัดม้านั้นให้รู้จักทำนองรบรับได้แคล่วคล่องสันทัดแล้ว ก็ชักม้าสบัดย่างน้อยเปนเพลงทวนกลับเข้ามา เสนาบดีทั้งปวงแลเห็นสมิงพระรามขี่ม้ามาแต่ไกล ก็ร้องอื้ออึงขึ้นว่า สมิงพระรามกลับมาแล้ว เหมือนคำผู้คุมทูลจริงทุกประการ
พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องทอดพระเนตรเห็น ก็ดีพระทัยนักจึงตรัสสรรเสริญว่า สมิงพระรามนี้นับว่าเปนชายผู้หนึ่ง มีความสัตย์ซื่อยิ่งนัก แลกล้าหาญเข้มแข็งรู้ศิลปสาตรสันทัด หาตัวเปรียบเสมอมิได้ ฝ่ายสมิงพระรามก็ชักม้ารำเปนเพลงทวนเข้ามา จนถึงหน้าพระที่นั่งก็ลงจากหลังม้าเข้าเฝ้า กราบถวายบังคมพระเจ้ามณเฑียรทองแล้วทูลว่า ข้าพเจ้าได้ม้าสมคะเนชอบใจแล้ว อันศีร์ษะกามะนีนั้นก็อยู่ในเงื้อมมือข้าพเจ้า จะเอามาถวายพระองค์ให้จงได้ ข้าพเจ้าจะขอรับพระราชทานขอเหล็กกับตะกรวยใบหนึ่งสำหรับผูกข้างม้า เมื่อข้าพเจ้าตัดศีร์ษะกามะนีขาดแล้ว จะได้รับเอาศีร์ษะมิให้ทันตกลงถึงดิน ใส่ในตะกรวยซึ่งแขวนไปกับข้างม้านั้นเข้ามาถวายพระองค์
ฝ่ายเสนาบันดาเฝ้าอยู่พร้อมกัน ได้ยินสมิงพระรามทูลดังนั้นก็กระซิบ เจรจากันว่า มอญพูดมากเห็นพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดสรรเสริญว่าดีแล้วกำเริบใจอวดตัวเหลือไปนัก พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องก็พระราชทานเครื่องม้าทองคำประดับพลอย สำหรับม้ากับผ้าโพกศีร์ษะเสื้อชมภูขลิบทองจีบเอว ทองต้นแขนปลายแขน แหวนสอดก้อยแต่ล้วนประดับเนาวรัตน์สิ้น จึงสั่งให้มังนันทะมิตจัดเครื่องยุทธนาการทั้งปวงให้สมิงพระรามตามปรารถนา แล้วให้มีพระราชสาส์นกำหนดนัดหมายออกไปถึงพระเจ้ากรุงจีนอีกฉบับหนึ่ง ให้จัดฉลองพระองค์อย่างดี ทาด้วยขนสมุนคู่หนึ่ง ให้มังมหาราชาเปนผู้จำทูลคุมสิ่งของออกไปถวายพระเจ้ากรุงจีน
มังมหาราชาก็ถวายบังคมลา ถือพระราชสาส์นทำหนดคุมเครื่องราชบรรณาการออกไปยังกองทัพนอกเมือง ทหารทั้งปวงเห็นก็ไปแจ้งแก่เสนาบดี ๆ จึงเข้ากราบทูล พระเจ้ากรุงจีนจึงโปรดให้รับเข้าไปณพลับพลาในค่าย มังมหาราชาก็เข้าไปกราบถวายหน้าพระที่นั่ง ถวายพระราชสาส์นกำหนด กับเครื่องราชบรรณาการแก่พระเจ้ากรุงจีน
พระเจ้ากรุงจีนจึงรับสั่งให้ล่ามแปล ให้เจ้าพนักงานอ่านถวาย ในพระราชสาส์นกำหนดนั้นว่า ซึ่งพระองค์มีพระทัยปรารถนาจะใคร่ทอดพระเนตรดูทหาร ขี่ม้ารำทวนสู้กันตัวต่อตัวนั้น ขอพระองค์ให้ตกแต่งการซึ่งจะทอดพระเนตรไว้จงพร้อมเถิด ถึงณวันพฤหัศบดีเปนคำรบเจ็ดวันแล้วเมื่อใด จงแต่งทหารให้ออกมาสู้กันตามสัญญา จะได้ทรงชมสำราญพระทัย
พระเจ้ากรุงจีนได้แจ้งในพระราชสาส์นกำหนดนั้นแล้ว ก็ดีพระทัยนัก จึงสั่งให้จัดฉลองพระองค์มังกรห้าเล็บอย่างดี กับเครื่องม้าทองประดับพลอยลายหยกสำรับหนึ่ง เปนราชบรรณาการตอบแทน มอบให้มังมหาราชาคุมเข้ามาถวายพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง มังมหาราชาก็ถวายบังคมลา คุมสิ่งของตอบแทนกลับมาถวายพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ๆ ก็มีพระทัยยินดี ครั้นกำหนดสัญญากันเสร็จแล้ว กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ก็สั่งให้เสนาบดีแต่งที่ปลูกพลับพลาหน้าเมือง เสนาบดีฝ่ายพม่าแลนายทัพนายกองฝ่ายจีน รับๆ สั่งสองกษัตริย์แล้ว ก็ให้เกณฑ์พลมาจัดการปลูกพลับพลาทั้งสองข้างให้ตรงกัน ประกอบด้วยที่ข้างหน้าข้างไน แลโรงใหญ่สำหรับเสนาข้าราชการใหญ่น้อย อันจะได้เฝ้าอยู่ตามตำแหน่งมีระยะห่างกันยี่สิบเส้น ไว้หว่างกลางเปนสนามทวน ซึ่งจะสู้กันในขบวนทวนนั้น เจ้าพนักงานก็ผูกพระวิสูตร แต่งพระที่รับเสด็จเตรียมไว้พร้อมทั้งสองข้าง
ครั้นถึงวันนัดกำหนดแล้ว กษัตริย์สองฝ่ายก็พรั่งพร้อมไปด้วยพยุหเสนา แห่แหนหน้าหลังเปนอันมาก ตามขบวนพิชัยสงครามเสด็จไปสู่ท้องสนาม ขึ้นยังที่พลับพลาประทับพร้อมกัน
ฝ่ายกามะนีก็แต่งตัวใส่เสื้อหุ้มเกราะ แล้วด้วยทองเปนอันงาม คาดสายรัดเอวประดับหยกเหน็บกระบี่ ขึ้นขี่ม้ารำทวนออกมาณท้องสนาม ฝ่ายสมิงพระรามก็แต่งตัว ใส่เสื้อสีชมภูขลิบทองจีบเอว โพกผ้าชมพูขลิบแล้วไปด้วยทอง ใส่กำไลต้นแขนปลายแขน แหวนสอดก้อยแล้วไปด้วยเนาวรัตน์ แต่ล้วนทองเปนอันงาม แล้วสอดดาบสพายแล่งขึ้นม้าฟ้อนรำเปนเพลงทวน ออกมายังท้องสนาม แลเห็นกามะนีขี่ม้าแต่งตัวหุ้มเกราะอยู่ ไม่เห็นสำคัญที่จะหมายแทงได้ จึงคิดว่ากามะนีคนนี้ชำนาญในเพลงทวนว่องไวนัก แล้วก็หุ้มเกราะใส่เสื้อบังอยู่ยังไม่เห็นช่องที่จะสอดทวนแทงแห่งใดได้ จำจะชวนให้รำดูสำคัญก่อน อนึ่งเล่ากำลังม้าก็ยังก้ำกึ่ง กันอยู่กับกำลังม้าเรา จำจะขับเขี้ยวกันไปก่อนจึงจะหย่อนกำลังลง เห็นจะเสียทีทำนองจึงจะเอาชัยชนะได้โดยง่าย คิดแล้วก็ให้ล่ามร้องแปลไปว่า เราทั้งสองเปนทหารเอกอันประเสริฐ จะสู้กันครั้งนี้เปนที่สุด จะไว้เกียรติยศการงานจนตลอดกัลปาวสาน ครั้นจะสู้กันเอาแพ้ชนะทีเดียวก็หาสิ้นฝีมือไม่ เราทั้งสองอย่าเพ่อทำอันตรายแก่กันก่อน ให้ท่านรำเพลงทวนถวายไปให้สิ้นมือแล้ว เราจะรำตามท่านให้เหมือนจงได้ แล้วเราจะรำให้ท่านรำตามเราบ้างให้สิ้นฝีมือเหมือนกัน ให้พระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ทอดทัศนาเจริญพระเนตรแลทแกล้วทหารทั้งสองฝ่ายดูเล่นเปนขวัญตา ถ้าเรารำสิ้นเพลงหยุดหายเหนื่อยแล้ว เมื่อจะสู้กันเอาแพ้แลชนะนั้นจึงจะบอกกันให้รู้ตัวทั้งสองฝ่าย
กามะนีได้ฟังล่ามร้องบอกมาดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงร้องตอบมาว่าชอบแล้ว แต่เราเปนแขกมาท่านเปนเจ้าของบ้าน เราจะรำก่อนให้ท่านรำตามเราไปเถิด ว่าแล้วกามะนีก็ขับบ้าสบัดย่างเปนเพลงทวนฟ้อนรำออกมา สมิงพระรามก็ขับม้าฟ้อนรำตามกามะนีได้ทุกเพลง
ขณะเมื่อสมิงพระรามรำตามกันนั้น พระผ้ากรุงต้าฉิงแลพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องทอดพระเนตรเห็นทหารเอกทั้งสอง รำเยื้องกรายตามขบวนเพลงทวน ดูท่วงทีรับรองว่องไวนัก งามเปนอัศจรรย์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เปรียบประดุจได้เห็นเทพยดาแลพิทยาธรอันรำณรงค์ประลองกันในกลางสนาม นายทัพนายกองทแกล้วทหารทั้งสองฝ่าย ก็สรรเสริญกามะนีแลสมิงพระรามว่า เหมือนเทพยดาลงฟ้อนรำกลางสนามงามยิ่งนัก มีตาสองตาดูมิทันเลย ดูกามะนีแล้วกลับมาดูสมิงพระรามเล่า ดูสมิงพระรามแล้วกลับมาดูกามะนีเปนขวัญตายิ่งนัก ครั้นกามะนีรำสิ้นเพลงแล้ว สมิงพระรามก็รำให้กามะนีรำตามบ้าง
ขณะเมื่อสมิงพระรามรำสิ้นเพลงทวนแล้ว แกล้งทำกลอุบายหวังจะดูช่องเกราะหมายสำคัญ ที่จะสอดทวนแทงนั้น ก็แสร้งทำยกแขนซ้ายเหยียดตรง เหยียดแขนขวาเบื้องบนแล้วทำยืนควบม้าไปมา แล้วกลับห้อยศีร์ษะลงบ้าง แล้วทำกลับเอาหลังนอนลงควบวกเวียนไปต่างๆ กามะนีหารู้กลไม่ สำคัญว่าเพลงทวนฝ่ายพม่าดั่งนั้นจริงก็มิได้สงสัย รำตามไปสิ้นทุกประการ สมิงพระรามทอดตาแลดู เห็นเปนช่องใต้รักแร้ทั้งสองเปนหว่างอยู่พอจะสอดทวนแทงได้ แล้วเมื่อกลับศีร์ษะลงมานั้น เห็นเกราะซ้อนท้ายหมวกเปิดออกพอจะย้อนฟันได้แห่งหนึ่งหมายสำคัญได้ถนัดมั่นคงแล้ว ก็ชักม้าหยุดพักพอหายเหนื่อยจึงให้ล่ามร้องบอกว่า เราทั้งสองรำถวายก็สิ้นเพลงด้วยกันแล้ว ทีนี้เราทั้งสองจะสู้กันเอาแพ้แลชนะแก่กัน
กามะนีได้ฟังดังนั้นก็ขับม้ารำเข้ามา สมิงพระรามก็ขับม้าออกไปสู้ กันเปนหลายสิบเพลง ต่างคนต่างรับรองว่องไว ยังหาเพลี่ยงพลํ้าแก่กันไม่ สมิงพระรามจึงคิดว่า ถ้าจะสู้กันอยู่ฉะนี้เห็นจะเอาชัยชนะยาก ด้วยม้ากามะนีก็ยังมิถอยกำลัง จำจะลวงให้ม้ากามะนีหย่อนกำลังลงจงได้จึงจะทำถนัด คิดแล้วแกล้งทำเปนเสียทีควบม้าหนีออกไป กามะนีเห็นได้ทีก็ควบม้าทลวงไล่ตามม้าสมิงพระรามไป
ครั้นสมิงพระรามแลเห็นกามะนี ควบม้าเต็มกำลังแล้วมิทันก็แสร้งรอม้าไว้หวังจะดูท่วงที เห็นกามะนียังไกลเชิงนักอยู่ สำคัญได้ว่าเหงื่อม้ากามะนีตกจนถึงกีบ ก็รู้ว่าม้าหย่อนกำลังลงแล้ว จึงชักม้าวกเปนเพลงโคมเวียน เข้ารับกามะนี ๆ ชักม้าเปนเพลงผ่าหมากแลกเปลี่ยนกันต่างๆ ฝ่ายม้ากามะนีหอบรวนหย่อนกำลังลงกลับตัวตามเพลงไม่ทัน สมิงพระรามได้ทีก็สอดทวนแทงถูกซอกรักแร้กามะนี ๆ เอนตัวลง สมิงพระรามจึงชักดาบกระทืบม้า เข้าฟันย้อนตามกลีบเกราะขึ้นไป ต้องศีร์ษะกามะนีขาดออกตกลงยังมิทันถึงดิน ก็เอาขอเหล็กสับเอาศีร์ษะกามะนีได้ ใส่ตะกรวยแล้วก็ชักม้าฟ้อนรำเปนเพลงทวนเข้ามา ตรงหน้าพลับพลาพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง
พระเจ้ากรุงจีน แลนายทัพนายกองทแกล้วทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็อัศจรรย์ยิ่งนัก จึงให้ทหารไปเอาศพกามะนีมาทำศีร์ษะต่อเข้า ใส่หีบไปฝังเสียในที่สมควร พระเจ้ากรุงจีนก็เสด็จกลับเข้าค่าย สมิงพระรามก็เอาศีร์ษะเข้ามาถวายพระเจ้ามณเฑียรทอง ๆ ทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็มีพระทัยยินดีนัก แล้วเสด็จกลับคืนเข้าพระนคร ฝ่ายพม่าเสนาบดีขุนนางน้อยใหญ่ไพร่พลทั้งปวง ก็สรรเสริญสมิงพระรามว่ามิใช่มนุษย์เลยเสมอเทพยดา แต่ศีร์ษะกามะนีนั้นก็มิให้ตกถึงดิน เอาขอเหล็กสับเอาได้ดังทูลไว้ทุกประการ
ฝ่ายเสนาบดีนายทัพนายกองจีนทั้งปวง ครั้นเห็นเสียกามะนีดังนั้นแล้วก็โกรธ จึงกราบทูลพระเจ้ากรุงจีนว่า พระองค์เสด็จยาตราทัพมาครั้งนี้ ตั้งพระทัยจะทำสงครามให้พระเจ้ากรุงอังวะอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ ถึงมาทว่าเสียกามะนีทหารเอกแล้ว ใช่ข้าพเจ้าทั้งปวงนี้จะตีกรุงอังวะถวายไม่ได้นั้นหามิได้ เสียแรงดำเนินกองทัพเข้ามาเหยียบถึงชานกำแพงเมืองแล้ว จะกลับไปเปล่านั้นได้ความอัปยสแก่พม่านัก ทำไมกับเมืองอังวะสักหยิบมือหนึ่งเท่านี้จะเอาแต่มูลดินทิ้งเข้าไปในกำแพงเมืองคนละก้อนๆ เท่านั้น ถมเสียให้เต็มกำแพงเมืองในเวลาเดียวก็จะได้
พระเจ้ากรุงจีนได้ฟังก็ตรัสห้ามนายทัพนายกองทแกล้วทหารทั้งปวงว่า เราเปนกษัตริย์ผู้ใหญ่อันประเสริฐ ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้แก่เขาแล้ว จะกลับคำไปดังนั้นหาควรไม่ พม่าทั้งปวงจะชวนกันดูหมิ่นได้ว่าจีนพูดมิจริง เรารักสัตย์ยิ่งกว่าทรัพย์ อย่าว่าแต่สมบัติมนุษย์นี้เลย ถึงท่านจะเอาทิพย์สมบัดิของสมเด็จอัมรินทร์มายกให้เรา ๆ ก็มิได้ปรารถนา ตรัสดังนั้นแล้วก็สั่งให้เลิกทัพเสด็จกลับไปยังกรุงจีน
พระเจ้ามณเฑียรทองเสด็จออกทรงบัญชาราชการ พร้อมด้วยเสนาพฤฒามาตย์ราชปะโรหิตทั้งปวง จึงตรัสว่าโหรซึ่งดูชตาเมืองว่าไม่ขาด พระชันษาเล่าก็ดีอยู่ นานไปจะได้ลาภอันประเสริฐอีกนั้น ก็ต้องด้วยคำทำนาย จึงให้พระราชทานบำเหน็จแลเครื่องอุปโภคบริโภคเปนอันมาก แล้วพระราชทานบ้านส่วยแห่งหนึ่ง ให้เปนค่าผลหมากด้วย แลหญิงหม้ายเจ้าของม้านั้น ก็พระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคให้ตามสมควร แลอำเภอแขวงบ้านซึ่งอยู่นั้นก็ให้ขึ้นแก่หญิงหม้ายด้วย แล้วตรัสว่าพระเจ้ากรุงจีนยกพลทแกล้วทหารมาเหยียบเมืองเราครั้งนี้ ประดุจดังแผ่นดินจะถล่มลง หามีผู้ใดที่จะรบสู้ต้านทานไม่ ครั้งนี้สมิงพระรามรับอาสากู้เมืองเราไว้ได้ชัยชนะแล้ว ศึกจีนยกทัพเลิกกลับไป สมิงพระรามมีความชอบมาก บัดนี้ควรเราจะให้สมิงพระรามเปนมหาอุปราช แลราชธิดาเราจะประทานให้เปนบาทบริจาริกาด้วย ตามสัญญาจึงจะชอบ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด เสนา พฤฒามาตย์ราชกระวีมนตรีมุขทั้งปวงยังมิทันจะกราบทูล
ขณะนั้นสมิงพระรามเฝ้าอยู่ด้วย ครั้นได้ฟังพระราชโองการก็กราบทูลว่า ข้าพเจ้ารับอาสาพระองค์ครั้งนี้ มีความปรารถนาสี่ประการ คือข้าพเจ้าต้องพันธนาการตรากตรำลำบากอยู่นานแล้ว หวังจะให้พ้นจากเครื่องจองจำหนึ่ง จะไว้ฝีมือให้เปนเกียรติยศไปชั่วกัลปาวสานหนึ่ง จะให้พระองค์ฆ่าข้าพเจ้าหนึ่ง ถ้าพระองค์มิฆ่าข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจะขอกราบถวายบังคมลากลับไปเมืองหงษาวดีหนึ่ง เปนความปรารถนาสี่ประการ ซึ่งพระองค์จะพระราชทานให้ข้าพเจ้าเปนมหาอุปราช แลพระราชทานพระราชธิดานั้นพระคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้ามิได้รับพระราชทานแล้วจะขอคืนถวายไว้ดังเก่า พระเจ้ามณเฑียรทองได้ทรงฟังก็ทรงพระดำริห์ว่า สมิงพระรามคนนี้มิเสียทีที่เกิดมาเปนเชื้อชาติทหารนับว่าชายชาตรีแท้ มิได้เกรงกลัวแก่ความตาย ทั้งราชสมบัติก็มิได้รักใคร่ แล้วองอาจแกล้วกล้าหาผู้ใดเปรียบเสมอมิได้ ครั้นจะฆ่าเสียตามดำบัดนี้เล่าก็มิควร เขาได้มีคุณแก่เรา ช่วยกู้พระนครไว้เปนความชอบใหญ่หลวงยังเสียดายนัก ครั้นจะปล่อยให้กลับไปเมือง หงษาวดีเล่า การสงครามพระเจ้าราชาธิราชกับเราก็ยังติดพ้นกันอยู่หาขาด กันไม่ ทรงพระดำริห์ดังนั้นแล้ว ก็ทรงนิ่งอยู่มิได้ตรัสประการใดแล้วก็เสด็จเข้าข้างใน
ฝ่ายเสนาที่เฝ้าผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง แลสมิงพระรามก็กลับไปที่อยู่สิ้น พระเจ้ามณเฑียรทองเสด็จเข้าข้างในแล้ว ก็ทรงพระวิตกนัก จึงตรัสบอกแก่พระอัครมเหษีว่า สมิงพระรามนี้มีความชื่อสัตย์มั่นคงนัก เราจะให้ธิดาเปนบำเหน็จรางวัลแลที่มหาอุปราชก็มิรับ จะขอให้ฆ่าเสีย ถ้าแม้นมิฆ่าก็จะลากลับไปเมืองหงษาวดี เราเสียดายนัก ด้วยเขารู้ศิลปศาตร์สันทัด แลฝีมือเล่าก็เข้มแข็งกล้าหาญยิ่งนักหาผู้เสมอมิได้ ทำไฉนจึงจะให้สมิงพระรามรับราชสมบัติอยู่ด้วยเราได้
พระอัครมเหษีได้ฟังดังนั้นจึงทูลว่า พระองค์จะทรงพระวิตกไปใย ซึ่งจะเกลี้ยกล่อมผูกพันธ์สมิงพระรามไว้ให้ตั้งใจสวามิภักดิ์อยู่ด้วยพระองค์นั้น ตกพนักงานข้าพเจ้าจะรับอาสาผูกจิตต์สมิงพระรามไว้ให้อยู่จงได้ อุประมาดังแพทย์ผู้วิเศษผูกกัณหสับปะชาติคืองูเห่าใหญ่ด้วยมนตราคมอันกล้าขลัง มิให้พ่นพิษแลเลี้อยหนีไปได้ พระเจ้ามณเฑียรทองจึงตรัสถามว่าน้องจะคิดอ่านประการใด หรือมีมนตราวิเศษจึงจะผูกจิตต์สมิงพระรามไว้ได้ พระอัครมเหษีทูลว่า ข้าพเจ้าจะได้มีเวทมนต์ผูกนั้นหามิได้ ซึ่งข้าพเจ้าจะคิดผูกสมิงพระรามให้อยู่ก็หวังจะผูกด้วยยางรัก เพราะธรรมดาชนอันเวียนวนข้องอยู่ในสงสารภพนี้ แต่ล้วนมีความกำหนัดยินดีในกามสังวาสรสสิ้นทั้งนั้น เพราะมูลตัณหาเครื่องเกี่ยวพันธ์อุดหนุนเปนปัจจัย แต่พระดาบศทรงญานสมาบัติเหาะเหินไปได้ในอากาศแล้ว พอได้ยินเสียงสตรีข้บร้องเพราะจับจิตต์เข้าก็ยังพลัดตกลงมาสู่ภูมิภาคปัถพี ด้วยความกำหนัดในรัชนียารมณ์ จะนับอะไรกับเจ้าสมิงพระรามนี้ ซึ่งว่ามิรับที่มหาอุปราชแลราชธิดานั้น เพราะยังมิได้เห็นราชธิดาของเราอันสมบูรณ์ด้วยลักษณะ แลสิริมารยาทงามยิ่งนัก ถ้าบุรุษผู้ใดได้เห็นแลได้นั่งใกล้แล้วเมื่อใด ก็มิอาจจะดำรงจิตต์อยู่ได้ ดวงกระมลก็จะหวั่นไหวไปด้วยความปฏิพัทธ์ อุประมาดังชายธงอันต้องลม ข้าพเจ้าคิดจะให้แต่งสุปะเพียญชนาหารเครื่องเลี้ยงอันประณีต เวลาพรุ่งนี้ขอพระ องค์ให้หาเจ้าสมิงพระรามเข้ามากินเลี้ยงในพระราชมณเฑียร แล้วจึงให้พระธิดาเราออกไป ให้เจ้าสมิงพระรามเห็นตัวถนัดแต่ครั้งเดียว เจ้าสมิงพระรามได้เห็นรูปโฉมธิดาเราเท่านั้น ยังมิทันจะเข้าใกล้ได้กลิ่น ก็จะมีความปลื้มปลาบจนสุดจิตต์ ไหนจะคิดกลับไปเมืองหงษาวดีได้ เพราะพระธิดาของเรางามเปนเสน่ห์อยู่ทั่วกาย ซึ่งข้าพเจ้าคิดทำดังนี้เปรียบประดุจนางเมขลาเทพธิดาล่อแก้วให้รามสูรเห็น รามสูรหรือจะไม่รักแก้ว ซึ่งข้าพเจ้าว่าจะผูกจิตต์สมิงพระรามให้อยู่ด้วยยางรักนั้น ก็คือจะให้ใจสมิงพระรามมาผูกรักอยู่ด้วยสิ่งนี้ อันจะผูกด้วยมนตราคมแลโซ่ตรวนเชือกพวนสรรพเครื่องจองจำทั้งสิ้นนั้น ก็พลันที่จะหลุดถอนเคลื่อนคลายไม่แน่นเหนียวเหมือนยางรัก ถ้าผู้ใดผูกติดอยู่ด้วยยางรักแล้ว ถึงจะเอาเชือกพวนเข้ามาฉุดชักก็มิอาจจะหลุดเคลื่อนคลายได้ เห็นสมิงพระรามจะสวามิภักดิ์อยู่ด้วยพระองค์เพราะสิ่งนี้เปนมั่นคง
พระเจ้ามณเฑียรทองได้ทรงฟังพระอัครมเหษีทูลดังนั้น ก็เห็นด้วยจึงตรัสว่า การข้างในพระน้องเข้าใจจงช่วยคิดอ่านเถิด แล้วบอกกล่าวธิดาของเราให้รู้ตัวสั่งสอนเสียด้วย พระอัครมเหษีรับสั่งแล้ว พอเวลาคํ่าก็เสด็จไปสู่ห้องตำหนักพระราชธิดา จึงตรัสบอกว่า บัดนี้สมเด็จพระราชบิดา จะโปรดให้เจ้าสมิงพระรามผู้มีความชอบเปนมหาอุปราช แล้วพระราชทานพระลูกให้เปนมเหษี พระลูกอย่ามีความโทมนัสเกี่ยงงอนขัดพระราชโองการเลย
พระราชชิดาได้ฟังก็ทรงพระกรรแสง ซบพระพักตร์ลงทูลว่า ลูกนี้คิดจะไม่มีสวามีแล้ว หวังจะบวชเปนชีบำเพ็ญกุศลหมายสวรรค์นิพพานฝ่ายเดียว เมื่อสมเด็จพระราชบิดาตรัสห้ามมิให้เดินทางตรงจะให้เดินทางอ้อมแล้วก็จนใจ แท้ว่ากรรมลูกทำมาแต่หลัง อนี่งถ้าได้สวามีเปนลูกกษัตริย์ มีชาติตระกูลเสมออันเล่าก็ตาม นี่จะได้ผัวมอญต่างภาษาเปนเพียงนายทหาร อุประมาดังหงษ์ตกลงในฝูงกา ราชสีห์เข้าปนกับหมู่เสือ ลูกมีความโทมนัสนัก พระอรรคมเหษีจึงตรัสปลอบว่า ซึ่งลูกมีศรัทธาจะบวชเปนชีหนีสงสารนั้นก็ชอบอยู่ แต่จะด่วนบวชเมื่อยังเจริญรุ่นสาวฉะนี้ แม่เกรงจะถือเคร่งบวชไปมิตลอด ด้วยโรคสาวเปนข้าศึกคอยเบียดเบียฬนั้นมีอยู่ มักกระทำศีลให้เศร้าหมอง ค่อยบวชเมื่อแก่เถิดแม่จะบวชด้วย ซึ่งลูกจะถือชาติตระกูลว่ามีอิสริยยศอยู่นั้นหาควรไม่ ด้วยสมเด็จพระราชบิดาเห็นชอบแล้ว จึงจะทรงปลูกฝัง อันสมิงพระรามนี้เขามีความชอบในแผ่นดินเปนอันมาก ช่วยกู้พระนครไว้ให้สมณพราหมณ์ราษฎรอยู่เปนสุข เหมือนรักษาชาติตระกูลของลูกไว้ ถ้ามิได้สมิงพระรามแล้วเมืองเราก็จะเสียแก่กรุงจีน ซึ่งลูกเปรียบชาติเขาเหมือนกานั้นก็ชอบอยู่ แต่เขาประกอบศิลปศาสตร์วิชาการเปนทหารมีฝีมือหาผู้เสมอมิได้ ก็เปรียบเหมือนกาขาวมิใช่กาดำ สมเด็จพระราชบิดาจะทรงชุบขึ้นแล้วก็คงเปนหงษ์ ซึ่งเปรียบเหมือนเสือนั้น ถ้าพระราชบิดาชุบย้อมแล้ว ก็คงจะกลับเปนราชสีห์ อันบุรุษเปรียบประดุจพืชธัญญาหาร ถ้าโปรยปลูกเพาะหว่านแล้ว ก็มีแต่งอกงามสูงใหญ่ขึ้นไป ลูกนี้ถึงเปนราชบุตรี เกิดในวงศ์กษัตริย์มิชาติตระกูลสูง ก็เปรียบเหมือนตัณฑุลา จะโปรยหว่านเพาะปลูกมิอาจเจริญขึ้นได้ ลูกอย่าถือทิษฐิมานะเลย สมเด็จพระราชบิดาได้ทราบจะทรงพระพิโรธนัก ถึงบุรุษจะมีชาติสูงต่ำเปนประการใด เขาได้เปนสวามีแล้วจงปฏิบัติเคารพนอบน้อม นับถือดุจเจ้าของตน จึง จะเจริญศิริราษีเปนสวัสดิมงคลอันยิ่ง พระอัครมเหษีตรัสสอนพระราชธิดาด้วยความอุประมาอุประไมยต่างๆ ให้พระราชธิดาคลายทิษฐิมานะลงแล้ว พระนางก็เสด็จกลับมายังห้องพระตำหนัก มีพระราชเสาวนีตรัสสั่งพวกวิเศษชาวเครื่อง ให้แต่งโภชนาหารของเลี้ยงอันเอมโอชทั้งปวงเตรียมไว้
ครั้นเวลาเช้าพระเจ้ามณเฑียรทอง จึงมีรับสั่งให้หาเจ้าสมิงพระรามเข้ามากินเลี้ยงบนพระราชมณเฑียร สมิงพระรามรับพระราชทานเครื่องเลี้ยงพอควรแล้ว ก็เข้ามากราบถวายบังคมเฝ้าอยู่โดยลำดับ พระเจ้ามณเฑียรทองจึงตรัสว่า เราเปนกษัตริย์อันประเสริฐได้ออกวาจาแล้ว ถึงจะตายก็หาเสียดายชีวิตไม่ เพราะรักสัตย์ยิ่งกว่ารักชีวิตได้ร้อยเท่า ซึ่งที่มหาอุปราชกับราชธิดาเรานั้น เราได้ออกปากแล้ว ว่าจะให้เปนบำเหน็จความชอบแก่ท่าน ถึงมาทว่าจะมิรับด้วยท่านคำนึงถึงพระเจ้าราชาธิราชอยู่ ก็จงรับเสียแต่พอเปนเหตุตามสัญญาเถิด อย่าให้เราเสียสัตย์เลย อนึ่งเราเกรงคนทั้งปวงจะครหานินทาได้ ท่านรับอาสากู้พระนครไว้มีความชอบเปนอันมาก มิได้รับบำเหน็จรางวัลสิ่งใด นานไปเบื้องหน้าถ้าบ้านเมืองเกิดจลาจลหรือข้าศึกมายํ่ายีเหลือกำลัง ก็จะไม่มีผู้ใดรับอาสาอีกแล้ว เห็นเราจะได้ความขัดขวางเปนมั่นคง ตรัสแล้วจึงสั่งให้พระราชธิดายกพานพระศรีมาตั้ง ให้ เจ้าสมิงพระรามกินต่อหน้าพระที่นั่ง พระราชธิดาก็อายพระทัยยิ่งนัก ด้วยเปนราชบุตรีกษัตริย์ แต่ทรงพระเยาว์มาจนเจริญพระชนม์ ยังไม่เคยยกพานพระศรีให้ทหารแลขุนนางผู้ใดกิน แต่ขยับขยั้นยั้งพระองค์อยู่มิใคร่จะแหวกพระวิสูตรออกมาได้ พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องก็ตรัสเตือนว่ามาเร็วๆ พระราชธิดาเกรงพระราชอาญาขัดรับสั่งสมเด็จพระราชบิดามิได้ ก็ยกพานพระศรีมาตั้งลงเฉพาะหน้าสมิงพระรามแต่ห่าง ๆ ช้อยชำเลืองดูสมิงพระรามไม่ทันจะเต็มพระเนตร ด้วยความอายก็เสด็จกลับเข้าไป เจ้าสมิงพระรามเห็นพระราชบุตรียกพานพระศรีออกมานั้น ประกอบด้วยเยาวรูปศิริวิลาศลักษณ์เปนอันงาม ก็แลตลึงลืมตัวไม่เปนสมประดี จนพระราชบุตรีเสด็จกลับเข้าไป พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องทอดพระเนตรเห็นแล้วก็ดีพระทัย ทรงพระดำริห์ว่า เจ้าสมิงพระรามเห็นจะมีความรักธิดาเราว่ารูปงาม สมคำพระอัครมเหษีทูลไว้ ทรงพระรำพึงนิ่งอยู่แต่พระทัยแล้วก็เสด็จขึ้น
ครั้นเวลาวันหนึ่ง เสด็จออกพร้อมด้วยเสนาบดีข้าราชการทั้งปวง พระองค์จึงตรัสแก่สมิงพระรามว่า ท่านอาสากู้พระนครเราไว้ได้ครั้งนี้ มีพระเกียรติยศปรากฎไปแก่ประเทศราชธานีทั้งปวงจนตลอดกัลปวสาน ซึ่งท่านจะไม่รับรางวัลนั้นมิชอบ ดุจทำลายเกียรติยศเราให้เสื่อมเสีย เพราะจะเปนที่ติเตียนแก่กษัตริย์ทั้งปวง ท่านดำริห์ดูจงควรเถิด
สมิงพระรามได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า เรารับอาสาทำความชอบครั้งนี้ คิดจะแก้ตัวกลับไปเมือง เมื่อพระเจ้ามณเฑียรทองมิทรงพระอนุญาต จะหน่วงเหนี่ยวไว้ฉะนี้ ครั้นเราจะหนีไปก็จะเสียสัตย์หาควรไม่ ทั้งนี้ก็ตามแต่วาสนา เมื่อพระเจ้าอังวะจะโปรดพระราชทานพระราชธิดาแล้ว เราก็จะอยู่ชมรสนางพม่าเสียก่อน เผื่อจะมีโอชาหวานดีกว่ารสมอญกระมัง ถ้าแม้นบุญยังจะกลับไปเมืองหงษาวดีได้โดยสัตย์ คิดแล้วจึงทูลว่าซึ่งพระองค์ทรงพระราชทานที่มหาอุปราชแก่ข้าพเจ้า ๆ มิรับนั้น เหตุด้วยพระราชบุตรของพระองค์ยังจะมีอยู่ อนึ่งข้าพเจ้าเล่าก็ต่างประเทศภาษา อุปมาดังนกเค้าถึงมีกำลังอยู่ก็จริง แต่ตกเข้าอยู่ในท่ามกลางฝูงกาเมื่อกลางวัน ข้าพเจ้าจะบัญชาราชกิจฉันใด ครั้นข้าพเจ้ามิรับบำเหน็จรางวัลเล่า ก็จะเสียราชประเพณีของพระองค์ไป ข้าพเจ้าจะยอมเปนทหารอยู่กับพระองค์แล้ว แต่จะขอรับพระราชทานความอนุญาตอยู่สองประการ ๆ หนึ่งห้ามมิให้คนทั้งปวงเรียกว่าเชลย ถ้าผู้ใดมิฟังขืนเรียกข้าพเจ้าได้ยินแล้ว ก็จะถวายบังคมลากลับไปเมืองหงษาวดี ประการหนึ่งถ้ามีสงครามสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช มาเมื่อใด ข้าพเจ้ามิขอเข้าทำสงครามด้วยทั้งสองฝ่าย แม้นมีสงครามกษัตริย์อื่นมา ข้าพเจ้าจะขอรับอาสาสู้รบกว่าจะสิ้นชีวิต ถ้าพระองค์โปรดอนุญาตความสองประการนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะยอมรับพระราชทานรางวัลอยู่ด้วยพระองค์สืบไป
พระเจ้ามณเฑียรทองได้ทรงฟังก็ดีพระทัยนัก จึงตรัสว่าเหตุเท่านี้ เราจะอนุญาตให้ได้ อย่าว่าแต่ท่านจะขออนุญาตเท่านี้เลย ถึงจะให้มากกว่านี้สักร้อยประการ ถ้าควรแล้วเราจะอนุญาตให้ท่านสิ้น จึงสั่งให้เสนาบดีข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง ให้ตีฆ้องร้องเป่าทั่วทั้งพระนครว่า ตั้งแต่วันนี้ไปให้คนทั้งปวงเรียกว่าเจ้าสมิงพระรามกู้เมือง ถ้าผู้ใดเรียกว่าเชลยแล้ว จะฆ่าเสียให้สิ้นทั้งโคตร ถ้าเราแต่งการอภิเศกสมิงพระรามขึ้นเปนอุปราชแล้วให้ออกนามว่า พระมหาอุปราชผดุงพระนคร เสนาบดีข้าราชการใหญ่น้อยรับๆ สั่งแล้วก็ถวายบังคมลาออกจากเฝ้า จึงแต่งคนให้เที่ยวตีฆ้องร้องเป่าไปทั่วกรุงรัตนบุระอังวะ ชาวเมืองทั้งปวงรู้แล้วก็เกรงพระราชอาญา ต่างคนชวนกันสรรเสริญพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องว่า พระเจ้าอยู่หัวของเราทรงโปรดทแกล้วทหารรักยิ่งกว่าพระราชธิดาอันเกิดแต่พระอุระ หวังจะบำรุง พระนครให้คนทั้งปวงอยู่เปนสุข แลจะให้ข้าศึกยำเกรงพระเดชานุภาพ จึงทรงปลูกเลี้ยงสมิงพระรามไว้ ตั้งให้เปนมหาอุปราช แล้วชมฝีมือแลบุญญาธิการสมิงพระรามเปนอันมาก
พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องจึงตรัสสั่งให้ปลูกตำหนักใหญ่อย่างที่มหาอุปราช แลแต่งการเฉลิมพระตำหนักเครื่องภิเศกทั้งปวงเสร็จแล้ว พระโหรจึงถวายฤกษ์อันเปนศุภมงคล เข้าพิธีเฉลิมพระตำหนักพร้อมด้วยพระญาติวงศา พราหมณ์พฤฒามาตย์ราชปโรหิตทั้งปวง อภิเศกพระราชธิดากับเจ้าสมิงพระรามเปนมหาอุปราช ตามราชประเพณีมาแต่ก่อนแล้ว พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องก็พระราชทานเครื่องยศสำหรับที่ลูกหลวงเอกให้สมิงพระรามเปนมหาอุปราช ครั้งนั้นกรุงรัตนบุระอังวะก็เงียบสงบศึกลง สมณพราหมณ์อาณาประชาราษฎรอยู่เย็นเปนสุข
ครั้นอยู่มาประมาณสามเดือน พระราชธิดาพระเจ้ามณเฑียรทองก็ทรงพระครรภ์ ถ้วนทศมาศแล้วก็ประสูตรพระราชโอรส พระเจ้ามณเฑียรทองได้ทราบก็มีพระทัยเสน่หายิ่งนัก เสด็จไปรับพระราชนัดดาด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วพระราชทานเครื่องประดับทั้งปวงสำหรับพระราชกุมารโดยขบวนลูกหลวงเอก
ครั้นพระราชกุมารมีชันษาได้ขวบเศษ พอย่างพระบาทดำเนินได้ พระเจ้ามณเฑียรทองเสด็จออกว่าราชการครั้งใด ก็ทรงอุ้มพระราชนัดดาขึ้นนั่งเหนือพระเพลาทุกครั้ง อยู่มาวันหนึ่งทรงอุ้มพระราชนัดดาเสด็จออกณพระที่นั่งพร้อมด้วยเสนาบดีทั้งปวง สมิงพระรามมหาอุปราชก็เฝ้าอยู่ที่นั่นด้วย
ฝ่ายพระราชกุมารเปนทารกยังทรงพระเยาว์ไม่แจ้งความ กำดัดคนองลุกจากพระเพลา ยืนขึ้นยุดพระอังษาพระเจ้ามณเฑียรทองไว้ แล้วเอื้อมพระหัตถ์ขึ้นไปเล่นบนที่สูง พระเจ้ามณเฑียรทองผันพระพักตร์มา ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ตรัสพลั้งพระโอษฐ์ออกไปว่า ลูกอ้ายเชลยนี้กล้าหาญนัก นานไปเห็นองอาจแทนมังรายกะยอฉะวาได้ สมิงพระรามได้ยินพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องดังนั้นก็น้อยใจ จึงติดว่าครั้งนี้สิ้นวาสนากันแล้ว เปนผลที่เราจะได้กลับไปเมืองหงษาวดีด้วยความสัตย์ ครั้นพระเจ้ามณเฑียรทองเสด็จขึ้นแล้ว
ฝ่ายสมิงพระรามก็กลับมาที่อยู่ จึงเขียนหนังสือสองฉบับ ๆ หนึ่งซ่อนไว้ใต้หมอน ฉบับหนึ่งเหน็บพกไว้ แล้วคิดเปนห่วงอาลัยบุตรแลพระราชธิดา แล้วหักจิตต์ข่มลงได้ มิได้บอกผู้ใด พระราชธิดาอันเปนที่รักนั้นก็มิแจ้งให้รู้ กลัวจะห้ามปรามขัดขวางความจะทราบถึงพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง จึงเอาเบาะบังเหียนมาผูกม้าซึ่งขี่สู้กับกามะนีนั้น แล้วจัดแจงแต่งกายนุ่งห่มเสร็จ ถือทวนสพายดาบเผ่นขึ้นหลังม้าควบหนีจากเมืองอังวะ
ฝ่ายพม่าชาวเมืองเห็นก็ร้องอื้ออึงขึ้นว่า มหาอุปราชผดุงพระนครหนีไปแล้ว ความทราบถึงเสนาบดี ๆ ก็รีบเข้าไปกราบทูลพระเจ้ามณเฑียรทอง ๆ ได้แจ้งแล้วก็สดุ้งตกพระทัย จึงสั่งให้จัดทัพม้าพันหนึ่ง ไปตามเจ้าสมิงพระราม ๆ ก็ควบม้าหนีมาเต็มพักม้าแล้วก็หยุดพักม้า นั่งคอยท่าอยู่กลางท้องนาใต้ต้นไม้แห่งหนึ่ง มีต้นตาลเรียงอยู่ที่นั้นสามต้น สูงประมาณสิบห้าวาสิบหกวา มีผลสุกต้นละสี่ทลายบ้างห้าทลายบ้าง ครั้นแลเห็นทัพพม่ายกตามมาแต่ไกล จึงขึ้นบนหลังม้า ชักม้าฟ้อนรำเปนเพลงทวน แล้วพุ่งผลตาลสุกทั้งสามต้นหล่นลงทีละผล มือขวารับทวนมือซ้ายรับผลตาลหล่นลงมา หาทันจะตกถึงดินไม่ แล้วก็โยนไปให้นายทัพนายกองพม่า ๆ เห็นดังนั้นก็ตกใจหยุดยืนอยู่สิ้น กลัวขยาดฝีมือนัก ไม่มีผู้ใดจะสามารถเข้าหักหาญจับกุมได้ ก็ค่อยรอตามมาจนสุดแดน สมิงพระรามจึงเอาหนังสือนั้น ใส่ไม้คีบปักไว้ แล้วก็รีบควบม้ากลับมากรุงหงษาวดี
ฝ่ายนายทัพนายกองพม่าทั้งปวงที่ดิดตามมานั้น ครั้นได้หนังสือแล้ว ก็พากันยกกลับไปยังกรุงรัตนบุระอังวะ จึงนำหนังสือเข้าถวายพระเจ้ามณเฑียรทอง ๆ ทรงรับหนังสือนั้น มาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เปนใจความว่า ข้าพเจ้าสมิงพระรามขอกราบถวายบังคมทูลไว้ให้ทราบใต้ฝ่าพระบาทยุคล ด้วยพระองค์ออกพระโอษฐ์ทรงพระอนุญาตให้ความสัตยํไว้แก่ข้าพเจ้าว่า จะมิให้ผู้ใดเรียกว่าเปนเชลย ถ้าผู้อื่นเรียกแล้วจะให้ลงพระราชทัณฑ์ตัดศีร์ษะเสียสิ้นทั้งโคตร บัดนี้พระ องค์กลับมาเรียกว่าอ้ายเชลยอีกเล่า ซึ่งข้าพเจ้าจะอยู่ด้วยพระองค์สืบไปนั้นก็เห็นว่าผิดประเพณี แผ่นดินเมืองอังวะแปรปรวนมิได้ยั่งยืนแล้ว ข้าพเจ้าจะขอถวายบังคมลา กลับไปเมืองหงษาวดีที่เคยอยู่ข้าพเจ้าแล้ว เชิญพระองค์จงเสวยสิริราชสมบัติเปนสุขพระทัยเถิด ซึ่งพระราชธิดาแลพระราชนัดดาของพระองค์นั้น ข้าพเจ้าขอฝากไว้ใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทด้วย ถ้าเจริญพระชนม์ยืดยืนแล้ว จะได้ อยู่ทำราชการสนองพระเดชพระคุณแทนตัวข้าพเจ้าสืบไป
พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้แจ้งดังนั้นก็ทรงทราบว่าเจ้าสมิงพระรามหนีไปทั้งนี้ด้วยมีความน้อยใจ ในถ้อยคำที่เราพูดพลั้งไปนั้น ก็มีพระทัยอาลัยเสียดายนัก มิได้ตรัสประการใดแก่เสนาบดีทั้งปวง เกรงข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยจะติเตียนได้ว่า พระองค์ไม่รักษาพระวาจาตรัสผิดไปเองสมิงพระรามจึงได้หนีไป อุประมาดังคนปลูกพฤกษาชาติให้ใหญ่สูงแล้วตัดยอดหักกิ่งเสีย จึงเสด็จเข้าข้างใน พระราชทานหนังสือนั้นให้แก่พระอัครมเหษี
พระอัครมเหษีรับมาอ่านแจ้งความแล้ว ก็เสียดายสมิงพระรามยิ่งนัก แลเกรงว่าพระราชธิดาจะเปนหม้าย จึงทูลว่าเปนธรรมดาสืบมา พลั้งปากก็ย่อมเสียการ พลั้งมีดพลั้งขวานมักจะบาดเจ็บ ซึ่งพระองค์เสียทแกล้วทหารที่ดีไปทั้งนี้ เพราะพลั้งพระโอษฐ์มิทันทรงดำริห์ ถึงกระนั้นก็อย่าเพ่อทรงพระวิตกเลย ด้วยพระราชนัดดาของพระองค์ยังมีอยู่ ถ้าเจริญพระชนม์เติบใหญ่ไปเบื้องหน้าแล้วเราจะให้ไปติดตามมา ถึงสมิงพระรามจะไม่สู้รักใคร่อาลัยแม่ก็คงอาลัยลูก ข้าพเจ้าเห็นทีจะเสียลูกมิได้คงจะกลับมา
ฝ่ายพระราชธิดาเมื่อสมิงพระรามหนีไปนั้น เปนเวลาตวันบ่าย พระราชธิดาประทมหลับอยู่ ครั้นฟื้นประทมขึ้น นางสาวใช้เข้ามาทูลว่าพระมหาอุปราชหนีไปแล้ว พระราชธิดาได้แจ้งก็ตกพระทัยทรงพระกรรแสงรํ่ารัก แล้วเข้าไปดูดาบในที่นอนสมิงพระรามก็หายไป ดูผ้าโพกแลแหวนเครื่องประดับมีค่าทั้งปวงก็หาเห็นไม่ จึงเหลือบพระเนตรเห็นหนังสือที่ใต้หมอน พระนางก็หยิบมาคลี่อ่าน ใจความในหนังสือนั้นว่า สมเด็จพระราชบิดาปลูกเลี้ยงให้เราทั้งสองอยู่ครองกันเปนสุขสถาพรแล้ว บัดนี้พระองค์เสียสัตย์ทำให้เราได้ความอัปยศ เราอยู่ด้วยมิได้จึงหนีไป ขอฝากแต่หลานหลวงไว้ด้วยเถิด ชาตินี้เรามีกรรมจึงจากกันทั้งรัก ไปในชาติเบื้องหน้าขอให้เราได้เป็นคู่ครองกัน อย่ารู้แรมนิราสจนบันลุนฤพาน พระราชธิดาได้แจ้งในหนังสือนั้นแล้ว ก็ยิ่งทรงพระโศกด้วยความอาลัย แค้นสมเด็จพระราชบิดานัก
ฝ่ายสมิงพระรามเข้ามาถึงกรุงหงษาวดีแล้ว ชาวพระนครทั้งปวงเห็นก็ร้องชมอื้ออึงไปว่า เจ้าสมิงพระรามหนีกลับมาได้แล้ว เสนาบดีทั้งปวงรู้ ต่างคนก็ออกมาพูดไต่ถามกันแล้ว จึงพากันเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช เจ้าสมิงพระรามจึงกราบทูลตามกิจการทั้งปวง ซึ่งได้กระทำมาแต่หนหลังสิ้นทุกประการ
สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ฟังดังนั้น ก็มีพระทัยโสมนัสยิ่งนัก จึงสั่งให้เล่นการมหรสพ สมโภชเจ้าสมิงพระรามเจ็ดวันเจ็ดคืน แล้วพระราชทานเครื่องยศแลเครื่องอุปโภคบริโภคเปนอันมาก แล้วโปรดให้กินเมืองวาน ขณะเมื่อเจ้าสมิงพระรามกลับมาได้แต่กรุงอังวะครั้งนั้น จุลศักราชได้ ๗๘๗ ปี