๗
ลุศักราช ๗๔๙ ปี ครั้นเสร็จการพระราชพิธีปราบดาภิเศกแล้ว แต่นั้นมา เมืองพะโคก็โปรดให้เรียกว่ากรุงหงษาวดีตามเดิม ด้วยเปนเมืองหลวงมาแต่ก่อน ครั้นว่าเวลาค่ำพระเจ้าราชาธิราชเสด็จเข้าที่ศิริไสยาศน์เหนือแท่นที่พระบรรทม ครั้นเวลาอุสาโยค ตื่นจากที่พระศิริไสยาศน์ ก็ทรงจินตนาการถึงผู้มีบำเหน็จความชอบซึ่งได้ทำสงครามมาแต่ปางหลัง บัดนี้ก็เสร็จราชการได้ปราบดาภิเศกเปนกษัตราธิราช แล้วก็ยังจะได้ปราบบรรดาเมืองขึ้นเมืองออกสืบไปอยู่ ซึ่งผู้ใดกระทำการมาด้วยแต่ก่อน จำจะปลูกเลี้ยงจัดแจงตั้งแต่งตามถานานุศักดิ์โดยสมควร ครั้นทรงพระดำริห์แล้ว ก็เสด็จออกยังท้องพระโรงราชพินิจฉัย พรั่งพร้อมด้วยเสนาพฤฒามาตย์ทั้งปวง หมอบเฝ้าอยู่ตามตำแหน่งผู้ใหญ่ผู้น้อย จึงทรงพระกรุณาโปรดตั้งให้พ่อมอญเปนสมิงพ่อเพ็ชร์ โปรดตั้งมังกันจีเปนราชามะนู โปรดให้พ่อเลิศเปนสมิงนนทะสุริยะ มะสอดเปนสมิงนนทะพะละ พ่ออู่หมอเฒ่าเปนสมิงพระตะเบิด มะเดาะเปนสมิงสิริยพรหมา มะละเปนสมิงอินท์ มะเริดเปนสมิงธรรมราชา มะพะโคเปนสมิงจะอะสู แต่บรรดาผู้มีบำเหน็จความชอบทั้งนั้น ก็โปรดตั้งแต่งตามตำแหน่งผู้ใหญ่ผู้น้อย ตั้งอยู่ในยศถาศักดิ์เปนอันมาก แล้วก็ทรงพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคโดยสมควรตามถานานุกรมเสร็จแล้ว สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชจึงตรัสสั่งชาวพระคลังเจ้าพนักงานทั้งปวง ให้ตรวจตราดูสิ่งของในท้องพระคลังจงทุกพนักงาน
ฝ่ายชาวพระคลังทั้งปวงตรวจดูเสร็จแล้ว จึงเข้ากราบบังคมทูลว่า สิ่งของในท้องพระคลังทั้งนั้นอื่น ๆ ดีอยู่สิ้นมิได้เปนอันตราย บัดนี้ยังขาดอยู่แต่พระธำมรงค์เพ็ชร์สิบวงของค่าควรเมือง ด้วยพระมหาเทวีให้มาเรียกเอาไปแต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังมิได้เสด็จสวรรคต พระเจ้าราชาธิราชก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสสั่งให้ไปเรียกเอามา
ฝ่ายเสนาบดีก็ออกมาเรียกเอากับพระมหาเทวี ๆ เอาซ่อนไว้ในมวยพระเกษแล้วก็แก้ออกส่งให้ เสนาบดีจึงนำเข้าไปถวายพระเจ้าราชาธิราช ๆ ก็ทรงพระราชทานให้แก่เม้ยมะนิกซึ่งเปนพระนางปิยราชเทวี แล้วพระองค์จึงตรัสสั่งให้จัดแจงทแกล้วทหารช้างม้า แลเครื่องสาตราวุธสำหรับทัพบกทัพเรือ ตระเตรียมตามขบวนพิชัยสงครามพร้อมมูลเสร็จแล้ว พระเจ้าราชาธิราชจึงตรัสสั่งให้นำเครื่องราชาภิเศกของสมเด็จพระราชบิดานั้นไปบูชาไว้ที่พระมุเตาแลเจดีย์ฐาน ซึ่งต้องกับพระนามของพระองค์นั้นเสร็จแล้ว ครั้นอยู่มาเปนเวลากลางคืน สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชเสด็จเข้าสู่ที่พระบรรทม พอเวลาใกล้รุ่งก็ทรงพระสุบินนิมิตว่า มีดาวลอยมาแต่บนนภาลัยอากาศเปนหลายดวงตกลงมาอยู่ที่พานพระศรี พระองค์จึงเอาฝ่าพระหัตถ์ปิดดวงดาวเหล่านั้นไว้ได้หมด พอสิ้นลักษณะพระสุบินนิมิต สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชก็ตื่นจากที่พระบรรทม จึงเสด็จออกพร้อมด้วยเสนาพฤฒามาตย์ราชปะโรหิตทั้งปวง ตรัสสั่งให้หาราชามะนูมาทำนายพระสุบิน ตรัสเล่าให้ฟังถี่ถ้วนโดยในนิมิต ราชามะนูจึงกราบทูลทำนายว่า ซึ่งดวงดาวลงมาแต่นภากาศอยู่ที่พานพระศรีเปนหลายดวง แลซึ่งพระองค์ฝ่าพระหัตถ์ปิดไว้ได้นั้น ลักษณะพระสุบินดังนี้ เปนชัยมงคลศุภนิมิตประเสริฐยิ่งนัก คือสำแดงเหตุที่พระองค์จะได้ปราบเสี้ยนศึกสัตรูให้ราบคาบ แต่บรรดาเมืองขึ้นเมืองออก แลรามัญประเทศทั้งปวงซึ่งเปนเสี้ยนหนามหลักตอยังมิได้อ่อนน้อมนั้น ก็เกรงพระเดชานุภาพเข้ามาอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระองค์สิ้น
พระเจ้าราชาธิราชได้ทรงฟังราชามะนูทูลทำนายนิมิตดังนั้น ก็ยินดีพระทัยนัก จึงพระราชทานขันสรงพระพักตร์ทองคำประดับพลอยใบหนึ่งให้แก่ราชามะนู ครั้นอยู่มาพระเจ้าราชาธิราชเสด็จไปกระทำพลีกรรมบวงสรวงเทพยดาอารักษ์ที่ต้นโพธิ์แห่งหนึ่ง อยู่ในทิศตวันตกเมืองหงษาวดี ตามประเพณีพระมหากษัตราธิราชเจ้าแต่ก่อน แล้วก็เสด็จกลับคืนเข้าพระนคร ครั้นเวลากลางคืนก็ทรงพระสุบินนิมิตอีก ว่าพระจันทร์ชักรถไปตามจักรราษีส่องสว่างโลก บรรดาดาวตรงหน้าพระจันทร์นั้นหายไปสิ้น พระเจ้าราชาธิราชก็ให้หาราชามะนูเข้ามาทำนาย ราชามะนูจึงทูลทำนายความว่า ดวงพระจันทร์นั้นคือได้แก่พระองค์ผู้ทรงพระเดชานุภาพ ดาวนั้นได้แก่เมืองขึ้นทั้งปวงอันยังมิได้อ่อนน้อม ซึ่งว่าพระจันทร์ชักรถลอยไปตามจักรราษี แลดวงดาวหายไปสิ้นนั้น ถ้าพระองค์เสด็จยกพยุหโยธาทัพไปเมืองใด เมืองนั้นก็มิได้ต่อต้านกับพระองค์ได้เลย จะระย่อกลัวเกรงพระเดชไปสิ้น
พระเจ้าราชาธิราชได้ทรงฟังราชามะนูทำนายดังนั้น ต้องกันกับพระสุบิน ชอบพระทัยนัก จึงพระราชทานเมืองรอญยะให้ขึ้นแก่ราชามะนู ครั้นอยู่มาสมิงสามแหลกซึ่งกินเมืองวานนั้น ตั้งแข็งเมืองต่อพระเจ้าราชาธิราช ๆ จึงตรัสสั่งให้กำหนดทหารช้างม้าเครื่องสาตราวุธพร้อมเสร็จ พระองค์ก็เสด็จพระราชดำเนินกองทัพยกไปตีเมืองวาน ครั้นไปถึงเมืองวานทหารทั้งปวงตีหักเข้าเอาเมืองได้
ฝ่ายทหารจับได้สมิงสามแหลกเจ้าเมืองวานนั้น ก็ฆ่าเสียในที่รบ พระเจ้าราชาธิราชได้ทราบแล้ว จึงตรัสติเตียนทหารทั้งปวง ว่าสมิงสามแหลกคนนี้มีฝีมือแกล้วกล้าหายากนัก ซึ่งว่าเขาแข็งเมืองไว้ทั้งนี้ เพราะยังไม่เชื่อบุญญาภิสมภารแห่งเรา เขาผิดแต่ครั้งเดียวพอจะเลี้ยงได้อยู่ ถ้าพาตัวมาถึงเรา ๆ ก็จะงดโทษไว้ ว่ากล่าวสั่งสอนให้อ่อนน้อมต่อเราได้
ฝ่ายทหารซึ่งฆ่าสมิงสามแหลกเสียนั้น ครั้นได้ฟังพระราชโองการตรัสก็ตกใจ รู้ว่าตัวผิดก็ทูลขอโทษ พระเจ้าราชาธิราชก็ทรงพระกรุณาโปรดยกให้
ขณะนั้นจึงสมิงสามผลัดเจ้าเมืองแตร ครั้นรู้ว่าพระเจ้าราชาธิราชยกมาตีเมืองวานได้แล้วก็คิดสดุ้งกลัว จึงเข้ามาอ่อนน้อมต่อพระเจ้าราชาธิราช แลพระเจ้าราชาธิราชตีได้เมืองวานแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดตั้งให้พ่อสามเกลียวซึ่งเอาทองมาถวายทูลขอเมืองวานแต่ก่อนนั้น เปนสมิงสามแหลกกินเมืองวานแล้ว จึงจัดแจงกองทัพจะยกไปตีเมืองนครเพน สมิงสามผลัดนั้นก็ยกไปด้วย
ขณะเมื่อพระเจ้าราชาธิราชยกไปยังมิทันถึงนั้น สมิงอายพะบูญเจ้าเมืองนครเพน มีกิจธุระลงไปหาพระตะบะเมืองเมาะตะมะ ให้พ่อกองผู้บุตร์อยู่รักษาเมือง ครั้นพระเจ้าราชาธิราชยกมาถึงเมืองนครเพน จึงตรัสสั่งให้พลทหารล้อมเมืองเข้าไว้แน่นหนาเปนสามารถ
ฝ่ายพ่อกองก็ครั่นคร้ามกลัว มิได้แต่งทหารออกสู้รบ รักษาแต่เมืองมั่นไว้ สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชก็เสด็จทรงช้างพระที่นั่งเลียบเมืองนครเพน ทอดพระเนตร์เห็นโรงช้างแห่งหนึ่งซึ่งปลูกไว้ริมเมือง จึงให้ทหารเอาไฟจุดโรงช้างเข้า เปลวไฟลุกแรงนัก ลมพัดหอบเอาลูกไฟเข้าไปติดไหม้เรือนพ่อกองผู้บุตรสมิงอายพะบูญ ช้างม้าผู้คนในเมืองก็แตกตื่นวุ่นวาย
ฝ่ายพ่อกองก็วิ่งออกมาให้ทหารดับไฟ ช้างตื่นมาเบียดพ่อกองล้มทับเข้ากับเพิงเรือน ตัวบี้แบนยับย่อยไป ทหารทั้งปวงช่วยมิทัน ตัวพ่อกองก็ถึงแก่ความตายในขณะนั้น สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ทรงทราบก็ให้ทหารยกเข้าตี ก็ได้เมืองโดยง่าย พระเจ้าราชาธิราชก็เสด็จเข้าประทับอยู่ในเมืองนครเพน แต่ฝ่ายทแกล้วทหารทั้งปวงนั้นให้ตั้งอยู่นอกเมือง
ขณะนั้นสมิงสามผลัดซึ่งยกมาแต่เมืองแตร แลมาอ่อนน้อมต่อพระเจ้าราชาธิราชนั้น ทหารเอกมีฝีมือผู้หนึ่งชื่อมะสะลุมมาด้วย สมิงสามผลัดกับมะสะลุมเกิดวิวาทบาดหมางกันด้วยเหตุการณ์สิ่งหนึ่ง มะสะลุมก็มีความน้อยใจ เข้ามาถวายตัวเปนทหารอยู่ด้วยพระเจ้าราชาธิราช
ฝ่ายมะกรานเจ้าเมืองกรานรู้ว่า พระเจ้าราชาธิราชยกมาตั้งทัพอยู่เมืองนครเพน มะกรานจึงจัดทหารมีฝีมือได้ห้าร้อย ยกมาตีปล้นพระเจ้าราชาธิราชซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองนั้นแตกในเวลากลางคืน ให้ทหารเอาเพลิงจุดเผาค่ายนอกเมืองเสียสิ้น กองทัพซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองนั้นก็แตกกระจัดกระจายไป ทหารพระเจ้าราชาธิราชล้มตายเปนอันมาก ขณะเมื่อมะกรานมาปล้นทัพนั้น แสงเพลิงเผาค่ายสว่างไปเห็นตัวคนถนัด มะกรานนั้นขี่ช้างยืนอยู่ สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชเสด็จมาประทับอยู่บนเชิงเทิน ทอดพระเนตร์ออกไปเห็นมะกรานขี่ช้างอยู่ ก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสว่า อ้ายมะกรานนี้มันองอาจนัก ทำไฉนเราจะได้ศีร์ษะมัน แลเมื่อทรงตรัสอยู่นั้น มะสะลุมทหารมีฝีมือสพายดาบรักษาพระองค์อยู่ริมพระเจ้าราชาธิราช ครั้นได้ยินพระโองการตรัสดังนั้นก็ดีใจ จึงคิดว่าเราพึ่งมาถวายตัวเปนข้าทหารใหม่ ยังหาได้บำเหน็จความชอบชนะศึกแลหัดศึกสักครั้งหนึ่งไม่ ครั้งนี้ก็เปนการหน้าพระที่นั่ง เห็นได้ท่วงทีดีอยู่แล้ว เราจะออกไปตัดเอาศีร์ษะมะกรานเข้ามาถวายให้จงได้ ครั้นคิดดังนั้นแล้วก็ใจเบาไป จะได้กราบทูลสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชให้ทราบก่อนหามิได้ มะสะลุมก็หยิบได้ชลอมใบหนึ่ง แล้วเอาหม้อเข้าใส่ลงในชลอม มือหนึ่งถือดาบมือหนึ่งถือชลอมจะออกประตู นายประตูเปิดให้มิทัน จึงโดดเผ่นลงจากกำแพงไกลออกไปสามวา แล้วทำกลอุบายวิ่งปลอมร้องออกไปว่า ข้าพเจ้าตัดศีร์ษะทหารเอกพระเจ้าราชาธิราชได้คนหนึ่งจะเอามาถวาย
ฝ่ายทหารมะกรานได้ยินดังนั้นไม่ทันพิจารณาก็หาสงสัยไม่ คิดว่าทหารพวกตัว จึงนิ่งให้มะสะลุมถือชลอมเข้าไปจนถึงมะกราน ๆ ได้ยินเสียงมะสะลุมร้องดังนั้น คิดว่าทหารของตัวได้ศีร์ษะมาจริงก็ดีใจ มะกรานจึงโชงกหน้าลงมาดู มะสะลุมเห็นได้ทีก็โดดขึ้นฟันตัดเอาศีร์ษะมะกรานแม่ทัพได้ มะสะลุมก็สลัดหม้อเข้าในชลอมนั้นออกเสีย แล้วก็เอาศีร์ษะมะกรานใส่ลงในชลอม แล้วก็วิ่งออกมาทำอุบายร้องว่า ท่านให้เอาศีร์ษะข้าศึกไปเสียบเสีย มะสะลุมก็วิ่งกลับเข้ามาเมือง แลขณะเมื่อมะสะลุมออกไปตัดศีร์ษะมะกรานบนคอช้างนั้น แสงเพลิงสว่างรุ่งเรือง พระเจ้าราชาธิราชทอดพระเนตรเห็นรู้จักตัวอยู่ จึงตรัสสั่งให้เปิดประตูเมืองรับ มะสะลุมก็เอาศีร์ษะมะกรานเข้ามาถวาย แล้วกราบทูลซึ่งทำกลอุบาย มิให้พวกทหารมะกรานสงสัยได้ดังนั้นทุกประการ พระเจ้าราชาธิราชได้ทรงฟังก็ดีพระทัย จึงตรัสสรรเสริญมะสะลุมว่า ท่านนี้ฝีมือเข้มแข็งยิ่งนัก มิเสียทีที่เกิดมาเปนชายชาติทหาร นานไปเบื้องหน้าเราจะชุบเลี้ยงท่านให้ถึงขนาด สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชตรัสสรรเสริญดังนี้ แต่หาได้พระราชทานสิ่งใดให้แก่มะสะลุมไม่ ด้วยทรงพระราชดำริห์ว่า มะสะลุมกระทำความชอบทั้งนี้ก็ดีอยู่แล้ว แต่เสียหน่อยหนึ่งเพราะใจเบาหาบอกเล่ากับเราก่อนไม่ ครั้นจะพระราชทานบำเหน็จรางวัลในขณะนี้ก็มิควร สืบไปเมื่อหน้าทหารทั้งปวงจะดูเยี่ยงอย่าง มีจิตต์ประมาทในกิจราชการ ก็จะเสียขนบธรรมเนียมพระราชประเพณีไป
ฝ่ายพวกกองทัพมะกรานซึ่งยกมา พอรู้ว่ามะกรานตายก็แตกหนียกกลับไป สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชจึงตรัสปรึกษาด้วยเสนาบดีทแกล้วทหารทั้งปวงว่า เมืองวานเมืองนครเพนเราก็ดีได้แล้ว บัดนี้เราจะยกลงไปตีเมืองเมาะลำเลิงแลเมืองเมาะตะมะ สมิงสามผลัดจึงกราบทูลว่า เมืองเมาะลำเลิง เมืองเมาะตะมะ สองเมืองนี้เข้มแข็งนัก ถ้ายกไปตีเห็นจะต้องรบพุ่งกันถึงสาหัส ผู้คนจะล้มตายมาก จึงจะได้ขอเชิญพระองค์ประทับแรมอยู่ณเมืองนครเพนให้สำราญพระทัยก่อนเถิด ข้าพเจ้ากับเสนาบดีทแกล้วทหารทั้งปวง จะขอยกไปตีเมืองกราน ด้วยบัดนี้เจ้าเมืองกรานยกลงมาปล้นกองทัพหลวง ทหารก็ออกไปตัดศีร์ษะได้ถึงแก่ความตาย เมืองกรานก็ว่างเปล่าอยู่หาเจ้าเมืองมิได้ ผู้คนมีเปนอันมากก็จะระส่ำระสายอยู่ ข้าพเจ้าจะขออาสาขึ้นไปตีเมืองกราน กวาดเอาผู้คนช้างม้าทั้งปวงมาประกอบด้วยทัพหลวงได้มากแล้ว จึงยกเข้าตีเมืองเมาะลำเลิงเมืองเมาะตะมะ ก็เห็นจะได้โดยง่าย
พระเจ้าราชาธิราชทรงเห็นชอบด้วย จึงโปรดให้สมิงสามผลัดทัพหนึ่ง สร่ายสงครามทัพหนึ่ง อำมาตย์ทินมณีกรอดทัพหนึ่ง หะนารายน์ทัพหนึ่ง เป็ดไข ทัพหนึ่ง เปนห้าทัพประกอบด้วยช้างม้ารี้พลเครื่องสรรพาวุธพร้อมเสร็จ ครั้นได้ฤกษ์นายทัพทั้งห้าก็ถวายบังคมลายกออกไป ขณะเมื่อนายทัพทั้งห้าเดินกองทัพไปยังไม่ถึงเมืองกราน
ฝ่ายสมิงพระตะบะเจ้าเมืองเมาะตะมะ กับสมิงอายพะบูญแลอุเลว จึงปรึกษากันว่า กองทัพพระเจ้าราชาธิราชครั้งนี้เข้มแข็งนัก ยกมาตีได้เมืองวานแล้ว ยกลงมาเมืองนครเพนก็ได้เมืองโดยง่าย กำลังเราก็น้อยลง ประการหนึ่งเจ้าเมืองกรานยกทัพไปต่อต้านก็เสียตัว ผู้คนในเมืองกรานก็ระส่ำระสายหาที่พึ่งมิได้ ครั้งนี้ เห็นว่าศึกพระเจ้าราชาธิราช จะยกมาตีถึงเมืองเราเปนมั่นคง ถ้าแลกองทัพพระเจ้าราชาธิราชยกมาตั้งเมืองกรานเหนือน้ำได้แล้ว กำลังศึกก็จะมากขึ้น ฝ่ายผู้คนข้างเราน้อยจะขัดสนนัก จำจะให้กองทัพไปรักษาเมืองกรานไว้ให้มั่นจงได้ ครั้นปรึกษาเห็นชอบด้วยกันแล้ว พระตะบะจึงแต่งให้สมิงอายพะบูญกับอุเลวคุมกองทัพเรือยกขึ้นไปถึงเมืองกราน พอกองทัพเป็ดไข กองทัพสร่ายสงคราม กองทัพหะนารายน์ สามนายนี้มาถึงก่อน กองทัพอำมาตย์ทินมณีกรอดกับสมิงสามผลัดสองทัพนั้นยังมิมาถึง แลกองทัพเมืองเมาะตะมะกับกองทัพสร่ายสงคราม กองทัพหะนารายน์ กองทัพเป็ดไขถึงพร้อมกันเข้า
ฝ่ายกองทัพสมิงอายพะบูญก็ยกเข้าตีกองทัพสร่ายสงคราม หะนารายน์ เป็ดไข แตกกระจัดกระจาย ทหารทั้งปวงล้มตายบ้างหนีเข้าป่าบ้าง หนีลงมาถึงกองทัพอำมาตย์ทินมณีกรอด สมิงสามผลัด อำมาตย์ทินมณีกรอดแลสมิงสามผลัดเห็นกองทัพทั้งสามกองแตกมา ก็ให้หยุดทหารมั่นไว้ อำมาตย์ทินมณีกรอดกับสมิงสามผลัดจึงปรึกษากันว่า กองทัพเราถึงห้าทัพแตกเสียสามทัพแล้ว แต่เราสองทัพนี้เห็นกำลังน้อยนัก เราถอยกองทัพไปก่อนหรือ ๆ จะยกเข้าตีเปนประการใด
ฝ่ายสมิงสามผลัดจึงว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการตรัสใช้ให้เรามากระทำสงครามด้วยกันทั้งห้าทัพ ถึงมาทว่าแตกไปสามทัพแล้ว แต่กองเราทั้งสองยังมิได้รบพุ่ง พวกทแกล้วทหารทั้งปวงก็เปนปรกติดีอยู่ ถ้าถอยทัพไปนั้นมิควร จะเปนโทษ จำเราจะให้สงบไว้ดูท่วงทีข้าศึกก่อน เห็นกองทัพอายพะบูญจะสำคัญว่ากองทัพนั้นแตกไปสิ้นแล้ว หามีทัพผู้อื่นอีกไม่ ก็จะประมาทเที่ยวเก็บเอาเข้าของเครื่องสาตราวุธลงบรรทุกเรือ พอผู้คนกระจัดกระจายเสียขบวนแล้ว เราจะยกโจมตีในขณะนั้นก็จะได้ชัยชนะคืนโดยง่าย อำมาตย์ทินมณีกรอดก็เห็นชอบด้วย จึงสรรเสริญว่าปัญญาท่านคิดนี้ดีนัก จึงให้กองทัพทั้งนั้นตั้งสงบอยู่ชายป่ามิให้ข้าศึกเห็น
ฝ่ายกองทัพสมิงอายพะบูญ ครั้นมีชัยชนะแล้วก็มีจิตต์ประมาทคิดว่ากองทัพแตกหนีไปสิ้นแล้ว ก็ชิงกันขึ้นเก็บเอาเครื่องสาตราวุธแลเข้าของบรรทุกเรือสับสนวุ่นวายอยู่ อำมาตย์ทินมณีกรอดกับสมิงสามผลัดเห็นได้ท่วงทีดังนั้น ก็ยกพลทหารออกโจมตีกองทัพสมิงอายพะบูญแลอุเลว ทหารสมิงอายพะบูญแลอุเลวนั้นไม่ทันรู้ตัว ก็แตกหนีล้มตายพลัดพรายไปเปนอันมาก แลไพร่พลทั้งสองทัพนั้นทิ้งเรือเสียหนีไปทางบก แต่ตัวสมิงอายพะบูญกับอุเลวนั้น ฝีมือกล้าฉวยดาบคนละสองมือโจนหนีลงเรือน้อยได้ ทหารตามจับมิทันก็รีบหนีล่องลงไปเมืองเมาะตะมะ
ขณะนั้นสร่ายสงครามเป็ดไขหะนารายน์ แลรี้พลทั้งสามทัพซึ่งแตกไปก่อนนั้น ตั้งกองส้องสุมควบคุมกันเข้าได้ ครั้นรู้ว่ากองทัพอำมาตย์ทินมณีกรอดสมิงสามผลัด เข้าโจมตีกองทัพสมิงอายพะบูญแลอุเลวแตกหนีไปแล้ว ก็เข้ามาพร้อมกันด้วยกองทัพอำมาตย์ทินมณีกรอดแลสมิงสามผลัด ฝ่ายสมิงอายพะบูญแลอุเลวรีบหนีล่องลงมาถึงเมืองเมาะตะมะแล้ว ก็เข้าไปแจ้งเหตุแก่พระตะบะตามความได้สู้รบแพ้แลชนะทุกประการ สมิงพระตะบะได้แจ้งดังนั้นก็ตกใจ คิดกลัวเกรงเดชานุภาพพระเจ้าราชาธิราชเปนอันมาก จึงปรึกษากันว่าถ้ากระนั้นเราจะอยู่สู้รบมิได้ ด้วยกองทัพพระเจ้าราชาธิราชมีกำลังนัก ถ้าพระเจ้าราชาธิราชยกมาย่ำยีเมืองเราแล้ว รี้พลทแกล้วทหารข้างเราน้อยกว่า เห็นเหลือกำลังจะสู้รบจะได้ความขัดสน เราเร่งคิดอ่านหนีเสียเถิด สมิงพระตะบะกับสมิงอายพะบูญแลอุเลว ก็ให้ขนเข้าของเงินทองเสบียงอาหารลงบรรทุกเรือรบใหญ่ ทั้งผู้คนบ่าวไพร่พร้อมแล้ว แต่แม่อายพะโรภรรยานั้นมิยอมไป จะอยู่สู้ตายในเมือง สมิงพระตะบะกับสมิงอายพะบูญแลอุเลวนั้นก็ให้ใช้ใบออกเรือพากันแล่นหนีไปข้างเมืองแขก
ฝ่ายชาวเมืองเมาะตะมะก็พากันหนีไปหากองทัพพระเจ้าราชาธิราชเปนอันมาก สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ทรงทราบว่า พระตะบะหนีไปจากเมืองแล้ว พระองค์ก็รีบเสด็จดำเนินกองทัพยกมายังเมืองเมาะตะมะ กองทัพอำมาตย์ทินมณีกรอดแลสมิงสามผลัด เป็ดไขหะนารายน์สร่ายสงครามห้าทัพนั้น ก็ยกลงมาบรรจบกองทัพพระเจ้าราชาธิราช ณ เมืองเมาะตะมะ อำมาตย์ทินมณีกรอดกับสมิงสามผลัด จึงเข้ากราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชตามมีเนื้อความมาแต่หลังทุกประการ ครั้นพระเจ้าราชาธิราชได้ทรงฟังสมิงสามผลัดแลอำมาตย์ทินมณีกรอดทูลซึ่งคิดการสงครามเอาชัยชนะได้ พระองค์ก็ดีพระทัยนัก แต่ทรงพระโกรธสร่ายสงคราม เป็ดไข หะนารายน์ ผู้แตกทัพนั้น ว่าไม่ระมัดระวังข้าศึกทำให้แตกพ่ายมาเสียพระเกียรติยศ ตรัสสั่งให้ลงโทษนายทัพทั้งสามถึงสิ้นชีวิต จึงสมิงสามผลัด อำมาตย์ทินมณีกรอดกราบทูลว่า ซึ่งนายทัพทั้งสามแตกพ่ายมานั้นโทษผิดถึงสิ้นชีวิตตามบทพระอัยการศึกก็จริงอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้าทั้งสองขอรับพระราชทานโทษนายทัพทั้งสามไว้ครั้งหนึ่ง จะได้ทำราชการสงครามฉลองพระเดชพระคุณสืบไปภายหน้า ซึ่งนายทหารทั้งสามแตกทัพมานั้น จะเปนเพราะประมาทไม่ระมัดระวังหามิได้ เพราะรีบเดินกองทัพไปรวดเร็วมิได้พักผ่อนทหาร ๆ ทั้งปวงก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ครั้นไปถึงก็อิดโรยถอยกำลังลง ฝ่ายข้าศึกยกกองทัพเรือมา ทหารทั้งปวงมีกำลังมิได้เหน็ดเหนื่อย จึงสู้รบกันเอาชัยชนะมิได้ อุปมาดังคนอดอาหารอยู่สามวันกำลังน้อย จะเข้าปล้ำชกกับคนที่บริโภคอาหารอยู่ทุกวัน ๆ ละสามเวลา ก็ย่อมแพ้แก่คนมีกำลังซึ่งได้บริโภคอาหารอยู่ทุกวัน
สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ทรงฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงพระราชทานยกโทษให้ แล้วทรงพระกรุณาโปรดตั้งให้สมิงสามผลัดเปนสมิงพัชชะ พระราชทานเครื่องยศแลเงินทองเสื้อผ้าเปนบำเหน็จรางวัลโดยสมควรแก่ความชอบ ครั้นแล้วพระเจ้าราชาธิราชจึงตรัสสั่งให้คุมเอาตัวแม่อายพะโรภรรยาพระตะบะออกมา ทรงซักถามด้วยพระองค์ว่า ทรัพย์เข้าของเงินทองเอาไปไหนเสียสิ้น แม่อายพะโรจึงให้การทูลว่า สิ่งของเงินทองนั้นสมิงพระตะบะเอาไปสร้างพระพุทธรูปเปนการกุศลเสียสิ้นแล้ว สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชจึงตรัสตวาดว่า ซึ่งเงินทองของพระตะบะ ๆ เอาไปทำพระปฏิมากรเปนการกุศลเสียแล้วนั้นยกไว้ แต่เงินทองสิ่งของ ๆ พระราชบิดากูเปนอันมาก ซึ่งพระตะบะเก็บริบไว้นั้น เอาไปไว้เสียไหนเล่า
ฝ่ายแม่อายพะโร ครั้นพระเจ้าราชาธิราชตรัสซักถามดังนั้นก็เกรงกลัวพระราชอาญายิ่งนัก ทูลความมิใคร่ออก ให้ประหม่าเสียงสั่นกราบทูลหน้าเปนหลัง ๆ เปนหน้าเลื่อนเปื้อนอยู่ สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสว่าเดิมมันให้การเปนสำนวน ครั้นซักถามหนักเข้า มันพูดไม่ใคร่ออก จึงตรัสสั่งให้เจ้าเสิน เชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่งเปนตุลาการ ให้คุมตัวแม่อายพะโรออกไปซักถาม สืบสาวเอาเงินทองของสมเด็จพระราชบิดาให้สิ้นเชิงจงได้ เจ้าเสินรับพระบรมราชโองการแล้ว ก็ถวายบังคมลาคุมเอาตัวแม่อายพะโรออกไปซักถาม แล้วก็เร่งเอาเงินทองของหลวงแก่แม่อายพะโรได้สิ้น จึงนำเข้ามาถวายสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช ๆ จึงสั่งให้หาเสนาบดีเข้ามาเฝ้าพร้อมกันแล้วก็ตรัสปรึกษาความชอบ โปรดให้พระยาพระตะเบิดไปกินเมืองวาน นายทัพนายกองทั้งปวงซึ่งมีความชอบในสงครามนั้น ก็ทรงพระกรุณาโปรดให้รั้งเมืองทุกคนตามถานานุกรม แล้วให้สมิงดิศกุมารกินเมืองเมาะตะมะ ตามได้ว่าไว้แต่ก่อน
ขณะนั้นยีกำกองเจ้าเมืองทะละตั้งแข็งเมืองอยู่ มิได้มาอ่อนน้อมต่อพระเจ้าราชาธิราช ครั้นสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชจัดแจงเมืองเมาะตะมะให้ราบคาบเสร็จแล้ว ก็ยกพยุหโยธาทัพจะเสด็จกลับมากรุงหงษาวดี ขณะเมื่อพระเจ้าราชาธิราชได้เมืองเมาะตะมะนั้นลุศักราช ๗๕๐ ปี ครั้นเสด็จดำเนินกองทัพมาถึงเมืองตึกคล้า เปนเมืองขึ้นแก่กรุงหงษาวดี แต่ว่างอยู่ยังหาเจ้าเมืองมิได้ สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชก็เสด็จหยุดประทับพักพลทหารอยู่ในเมือง จึงทรงพระราชดำริห์ว่า บรรดาทแกล้วทหารซึ่งมีชัยชนะแก่สงครามนั้น เราก็ได้ปลูกเลี้ยงให้มียศถาศักดิ์ ให้เครื่องอุปโภคบริโภคเสร็จแล้ว แต่มะสะลุมเปนทหารมีฝีมือ ซึ่งองอาจออกไปตัดศีร์ษะมะกรานมาได้ดังใจประสงค์นั้นเปนคนมีความชอบมาก ยังหาได้ปูนบำเหน็จรางวัลสิ่งใดไม่ ครั้นจะให้หาตัวมาปูนบำเหน็จต่อหน้าคน ดุจผู้มีความชอบทั้งปวงบัดนี้เล่าก็ไม่สมควร เพราะว่าเมื่อมะสะลุมจะออกไปตัดศีร์ษะมะกรานนั้น ก็มิได้เข้ามารับอาสาบอกกล่าวให้เรารู้เหตุผลก่อน เปนคนเบาความอยู่หน่อยหนึ่ง ทำให้เสียขนบธรรมเนียมเสนานุวัตร์ เปนคุณกับโทษเจือกัน เราจะปูนบำเหน็จรางวัลมะสะลุมมิให้รู้ตัวบ้าง ครั้นทรงพระดำริห์ดังนั้นแล้วจึงตรัสสั่งให้ปลูกตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง ประกอบด้วยเตียงตั่งที่นั่งที่นอนเครื่องปัจฐรณ์ปูลาดอาสน์อิงเขนย พร้อมด้วยธูปเทียน ชวาลา เจียดทอง พานทอง น้ำเต้าทอง ดาบฝักทอง ครบเครื่องยศสำหรับผู้รักษาเมือง มีนางนักสนมขับรำบำเรออยู่ แล้วพระราชทานนางห้ามสาวรูปงามผู้หนึ่ง ชื่อนางเกษราเปนบุตรีผู้มีตระกูล ให้อยู่รักษา จึงให้เขียนเปนอักษรสำเนาความ แลพระราชทานนามที่ตั้งลงในแผ่นสุพรรณบัตร ใส่ผ้ากระหมวดไว้ในพานทองตั้งไว้บนที่สูง จึงตรัสสั่งสมิงพัชชะว่า ถ้าเราไปแล้ว ให้สมิงพัชชะหาตัวมะสะลุมมากินเลี้ยง แล้วชักชวนให้มะสะลุมให้กินสุราเมาจงหนัก ถ้าเห็นมะสะลุมเมาสิ้นสติสมประดีแล้ว จึงให้คนยกขึ้นไปวางบนเตียงในที่ตำหนักนั้น ให้พระราชทานสิ่งของทั้งนี้แก่มะสะลุมสิ้น แลให้กินเมืองตึกคล้าด้วย สมิงพัชชะก็รับพระราชโองการใส่เกล้า ครั้นสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชตรัสสั่งการเสร็จแล้ว ก็ให้เคลื่อนพลพยุหโยธาทัพ เสด็จกลับไปกรุงหงษาวดี
ฝ่ายสมิงพัชชะจึงสั่งคนใช้ให้แต่งโต๊ะเครื่องเลี้ยงพร้อมด้วยเหล้าเข้าคาวหวานเสร็จแล้ว ก็ให้เชิญขุนนางกรมการแลนายทหารทั้งปวงมากินเลี้ยง ที่ตำหนักใหม่นั้นแล้ว จึงให้หาตัวมะสะลุมเข้ามากินเลี้ยงกับด้วยขุนนางกรมการทั้งปวงหวังจะให้รื่นเริงสบาย มะสะลุมมาถึงก็คำนับสมิงพัชชะตามอย่างธรรมเนียม สมิงพัชชะรับคำนับแล้วก็พูดปราสัย เชิญให้มะสะลุมกินเลี้ยง ชวนให้เสพสุราพลางพูดกันพลางด้วยเรื่องการสงคราม สมิงพัชชะจึงเรียกหญิงคนใช้เข้ามา คอยรินสุราคำนับให้มะสะลุมแล้วจึงกล่าวสรรเสริญยกยอมะสะลุมว่า ท่านนี้มีฝีมือกล้าหาญนัก สมควรเปนทหารเอกของพระเจ้าอยู่หัวแล้ว เมื่อท่านออกไปตัดศีร์ษะมะกรานเข้ามาถวายนั้น เราเห็นแล้วก็ให้ครั่นคร้ามใจ นึกชมฝีมือท่านอยู่มิได้ขาด ถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแลขุนนางทั้งปวงก็สรรเสริญปัญญาความคิดท่านเปนอันมาก ไม่ช้านานเห็นท่านจะได้ยศถาศักดิ์อันใหญ่ยิ่ง มีชื่อเสียงปรากฎในแผ่นดินเปนมั่นคง เรามีใจรักท่านเหมือนหนึ่งญาติ เพราะจะได้ทำราชการสนองพระเดชพระคุณสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปภายหน้า ขัดขวางสิ่งใดในการสงครามจะได้พึ่งกัน ซึ่งท่านกับเรามีความบาดหมางกันเล็กน้อยแต่หลังนั้น ท่านอย่าถือโกรธจงอดโทษให้แก่เราเถิด
มะสะลุมเสพสุรายังไม่เมานัก จึงพูดถ่อมตัวว่า อันฝีมือแลสติปัญญาข้าพเจ้านี้ก็เปนประมาณ จะจัดว่าเปนเอกอย่างยิ่งนั้นมิได้ ซึ่งไปตัดศีร์ษะมะกรานมาถวายนั้น ก็เพราะบุญบารมีของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปกแผ่คุ้มครองไปจึงได้ ซึ่งท่านว่าข้าพเจ้าจะได้ยศถาศักดิ์มีชื่อเสียงปรากฎนั้น ก็ขอสมพรปากท่านเถิด แต่ทแกล้วทหารทั้งปวงซึ่งได้ทำราชการสงครามนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดพระราชทานปูนบำเหน็จรางวัลตามความชอบถ้วนทั่วกันแล้ว แต่ข้าพเจ้าผู้เดียวมิได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัลสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งท่านจะหมายพึ่งข้าพเจ้าผู้น้อยเปนคนอาภัพหายศศักดิ์มิได้นั้นเห็นไม่สม ชอบแต่ข้าพเจ้าผู้น้อยจะพึ่งท่านเปนผู้ใหญ่ ตั้งอยู่ในยศถาศักดิ์จึงจะควร แลซึ่งความขุ่นเคืองกันแต่หลังนั้น ข้าพเจ้าหาถือโกรธพยาบาทไม่ ซึ่งท่านรักข้าพเจ้าเหมือนหนึ่งญาตินั้น คุณหาที่สุดมิได้ข้าพเจ้าขอบใจนัก
สมิงพัชชะจึงตอบว่า เรารักท่านโดยฉันญาติอันสนิทมิได้คิดรังเกียจสิ่งใด ซึ่งท่านอดโทษให้นั้น เราขอบใจที่สุด พอมะสะลุมพูดขาดคำลงทีใด หญิงคนใช้ก็รินสุราคำนับส่งให้ทุกที สมิงพัชชะชวนให้มะสะลุมเสพสุราตั้งแต่เวลาบ่ายจนค่ำ หญิงคนใช้ก็จุดประทีปเทียนชวาลาออกมาตั้งไว้ณที่เลี้ยง สมิงพัชชะเสพสุราแต่น้อยไม่เมานัก แต่มะสะลุมนั้นเสพสุราเมาเหลือขนาดสิ้นสติสมประดีก็เอนตัวหลับไปในที่นั้น สมิงพัชชะจึงให้หญิงคนใช้ช่วยกันยกมะสะลุมขึ้นไว้บนเตียงที่นอนในตำหนัก แล้วสั่งหญิงเหล่านั้นให้คอยปฏิบัติรักษาอย่าหลับนอน ครั้นเวลาดึก น้ำค้างพรมมะสะลุมก็ส่างเมาตื่นขึ้น เห็นตัวนอนอยู่บนเตียงที่สูง แลเห็นนางเกษรารูปงามกับนางบำเรอนั่งเฝ้ารักษาอยู่ดังนั้นก็ตกใจ คิดว่าสมิงพัชชะแกล้งทำกลล่อลวง จึงลุกขึ้นจะลงจากเตียงที่นอน
ฝ่ายนางเกษราก็ให้นางนักสนมทั้งปวงซึ่งรักษาตำหนักอยู่นั้นเข้ายุดตัวไว้ นางสนมทั้งปวงก็ชวนกันเข้าไปยุดมือเท้ามะสะลุมไว้แล้วคำนับถามว่า หม่อมจะไปไหนเวลาดึกปานนี้ บุญมาถึงได้ขึ้นอยู่ในทิพวิมานแล้ว ไม่ชอบใจฤๅ ฝ่ายมะสะลุมครั้นสตรีเข้ามาจับต้องถูกตัวดังนั้น ก็ให้เสียวซ่านไปทั้งกายด้วยความกำหนัดยินดี หายกลัวแล้วจึงแสร้งพูดอ่อนน้อมว่า ข้าพเจ้าเมาสุรานักหลับไปไม่รู้สึกตัว มิได้แจ้งว่าผู้ใดยกขึ้นมาให้นอนอยู่บนเตียงที่สูงดังนี้ ก็เกรงกลัวความผิดนัก แลข้าพเจ้าขอถามหน่อยหนึ่ง แม่เทพธิดาทั้งปวงนี้เปนเจ้าของทิพวิมานฤๅ ๆ นางอับษรผู้ใดเปนเจ้าของ นางสนมทั้งปวงได้ฟังก็อายยิ้มอยู่ในที ชำเลืองค้อนแล้วบอกว่า ข้าพเจ้าเหล่านี้มิใช่เจ้าของเปนแต่บริวาร นางเทพธิดาชื่อหม่อมแม่เกษรา ที่นั่งยิ้มแอบฉากอยู่นั้น เปนเจ้าของรักษาทิพวิมาน ท่านมาเกิดคอยท่าเทพบุตรอยู่ มะสะลุมได้ฟังก็ดีใจ ยิ้มแล้วจึงถามว่า เมื่อไรเทพบุตรจะมาบังเกิดเล่า
นางสนมทั้งปวงแกล้งทำเอื้อนอายมิใคร่บอก ครั้นมะสะลุมซักถามหนักเข้าก็บอกว่า เทพบุตรนั้นท่านมาเกิดอยู่นานแล้ว แต่บุญยังไม่ถึง ท่านก็ทำราชการอยู่ก่อน บัดนี้บุญมาถึงแล้ว เทพดาจึงอุ้มท่านให้ขึ้นมานอนอยู่ในทิพวิมาน แต่ท่านเปนเทพบุตรขลาด พอเห็นนางฟ้าเข้าก็ตื่นตกในกลัวจะวิ่งหนีนางเทพธิดาผู้รักษาทิพวิมานจึงให้ข้าพเจ้าทั้งปวงมายุดตัวไว้ มะสะลุมจึงว่า ซึ่งท่านเปรียบเทียบว่าตัวข้าพเจ้านั้น เห็นเกินวาสนานัก แต่อ้างเทพบุตรเทพธิดามาพูดเปรียบเล่นนี้ ข้าพเจ้าก็ยังกลัวความผิดอยู่เพราะไม่รู้เหตุการณ์ตื้นลึก นางสนมทั้งปวงจึงว่า หม่อมอย่าคิดแคลงกลัวเกรงสิ่งใดเลย เชิญดูอักษรซึ่งใส่ไว้ในกระหมวดผ้าที่อยู่ในพานทองนั้นเถิด
มะสะลุมได้ฟังดังนั้น ก็ไปหยิบเอากระหมวดผ้ามาแก้ดูอักษรที่จารึกในแผ่นสุวรรณบัตร์นั้น มีความว่าซึ่งมะสะลุมเปนทหารมีฝีมือเข้มแข็ง วิ่งออกไปตัดศีร์ษะข้าศึกมาได้ดังใจประสงค์นั้นเปนผู้มีความชอบมาก ให้มะสะลุมเปนเจ้าสมิงนครอินท์กินเมืองตึกคล้า ในลักษณะอักษรนั้นจะได้ออกพระนามพระเจ้าราชาธิราชหามิได้ มะสะลุมครั้นอ่านสิ้นความแล้ว ก็รู้ว่าสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชผู้เปนพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานปูนบำเหน็จให้ด้วยมีความชอบ เมื่อไปตัดศีร์ษะข้าศึกมาถวายนั้น มะสะลุมก็มีความยินดี จึงบ่ายหน้ามาข้างทิศกรุงหงษาวดี ยกมือขึ้นถวายบังคมสามครั้งแล้ว ก็รับพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภค แลนางนักสนมเครื่องดุริยางค์ดนตรี กินเมืองตึกคล้าตามโปรดพระราชทานนั้น แลมะสะลุมได้เปนเจ้าสมิงนครอินท์กินเมืองตึกคล้า ครั้งนั้นชาวเมืองทั้งปวงก็สรรเสริญนครอินท์ว่าเปนบุญลาภยิ่งนัก เปรียบประดุจได้ทิพย์สมบัติ ครั้งนั้นกิตติศัพท์ก็เลื่องลือไปในรามัญประเทศทั้งปวง แลคนทั้งปวงก็สรรเสริญพระเกียรติยศสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชเปนอันมาก ว่าพระองค์รักข้าทหารยิ่งนัก ปลูกเลี้ยงปูนบำเหน็จให้สมความชอบมิได้ตระหนี่พระราชทรัพย์