๑๗
ฝ่ายนายทัพนายกองพม่าทั้งปวง ซึ่งแตกขึ้นไปเมืองอังวะนั้นก็กลัวพระราชอาญายิ่งนัก พากันขืนใจเข้าเฝ้าพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง กราบทูลโดยความที่พระราชบุตรเสียทีข้าศึกนั้นทุกประการ พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องนั้นได้แจ้งว่า เสียมังรายกะยอฉะวาพระราชโอรสที่รักแล้วก็ทรงพระโกรธเปนกำลัง จึงตรัสว่าลูกรักกูคนนี้ตาย เปรียบดังดวงตาข้างขวากูแตก อ้ายพวกนี่มันพาลูกกูไปฆ่าเสียกูแค้นใจนัก จึงตรัสสั่งให้เอานายทัพนายกองทั้งปวงเปนโทษจำไว้ แล้วให้เอาบุตรภรรยาไปคลอกเสียให้สิ้น
ฝ่ายพระสังฆราชาคณะทั้งปวง ครั้นแจ้งเหตุก็เข้ามาพร้อมกัน จึงถวายพระพรขอโทษนายทัพนายกอง แลบุตรภรรยาทั้งปวงซึ่งจะคลอกเสียนั้น พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องมิได้ตรัสประการใด มังนันทะมิตรจึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าทราบว่าพระราชบุตรของพระองค์ยกกองทัพลงไปทำสงครามแก่มอญครั้งนี้ได้ท่วงทีอยู่อีก เหตุว่าพระชันษาของพระราชบุตรนั้นขาด ฝ่ายโหรเล่าก็คำนวณฎีกาถวาย ขอให้งดสงครามแต่พอพ้นพระเคราะห์ นายทัพนายกองทั้งปวงก็ได้ทูลทัดทานหลายครั้งแล้วก็มิฟัง เปนเหตุฉะนี้ประเพณีการศึกถ้าได้ทีก็มีชัยชนะ ถ้าทำผิดก็แพ้จะนิ่งเสียก็ไม่ได้ เกลือกทัพมอญจะกำเริบยกติดตามขึ้นมา ฝ่ายพระเจ้าราชาธิราชทุกวันนี้ หาสมิงพ่อเพ็ชร์ สมิงนครอินท์ไม่แล้ว ซ้ำเสียสมิงพระรามด้วยอีกเล่า อุปมาดุจนกกาเรียนอันผลัดขนชัยเสียแล้ว ยังมีกำลังอยู่แต่ปากแลเท้ากับขนสั้นแต่พอห่อกาย เท่านั้น จำจะคิดทำการเสียก่อน อย่าให้ทันงอกขนกล้า บัดนี้พึ่งจะเข้าเหมันตฤดูเปนเทศกาลศึกอยู่แล้ว บันดานายทัพนายกองจะขอเข้ารับอาสาแก้ตัว ยกลงไปตีเอาเมืองหงษาวดีให้จงได้
พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้ทรงฟังดังนั้นก็เห็นด้วย คลายพระโกรธลงจึงยกโทษถวายพระสังฆราชาคณะทั้งปวง จึงตรัสสั่งให้เกณฑ์ทัพบกทัพเรือเปนอันมาก สรรพด้วยเครื่องสรรพาวุธทั้งปวงเสร็จ พระองค์เสด็จยกกองทัพมาครั้งนั้น ด้วยสามารถทรงพระโกรธสั่งให้กวาดไพร่พลทั้งปวง แด่บรรดาฉกรรจ์มาสิ้น เว้นแต่สตรีพระองค์มิได้เอามา ให้นายทัพนายกองทั้งปวงผู้จะแก้ตัวนั้นเปนแม่ทัพหน้า ให้เร่งรีบยกลงมาตามทาง ซึ่งมังรายกะยอฉะวามานั้น
ฝ่ายหัวเมืองขึ้นกับกรุงหงษาวดียังมิทันจะตั้งตัวได้ พากันระสํ่าระสายอยู่ ครั้นรู้ว่าทัพพม่ายกมาก็หนีเข้าป่าสิ้น จะบอกข้อราชการลงมายังเสนาบดีณกรุงหงษาวดีก็มิทัน ทัพพม่ายกรีบมาถึงเมืองเสี่ยงซึ่งสมิงอังวะมังศรีรักษาอยู่นั้น สมิงอังวะมังศรีรู้ก็ให้พลทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินประตูหอรบไว้มั่นคงเปนสามารถ
พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องให้ยกทแกล้วทหารเข้าหักเอาเมืองถึงสามครั้งแล้วก็มิได้ สมิงอังวะมังศรีให้ตั้งมั่นรักษาไว้ ได้ต้านทานรบพุ่งกันเปนสามารถ พม่าล้มตายอยู่กับคูเมืองเปนอันมาก พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องเห็นเหลือกำลังก็จนพระทัยอยู่ ครั้นจะให้ล้อมเมืองไว้ให้รอบ ก็เปนป่าเลนลึกนํ้าเค็มขึ้นถึงจะตั้งค่ายก็ไม่ได้ จึงให้ถอยทัพมาตั้งอยู่เหนือน้ำ ไกลเมืองทางประมาณห้าสิบเส้น
ฝ่ายสมิงอังวะมังศรี ครั้นเห็นพม่าถอยออกจากกำแพงเมืองแล้ว ก็แต่งหนังสือบอกข้อราชการ ให้ม้าเร็วรีบถือลงมาถึงสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช โดยได้รบพุ่งกันกับพม่านั้นทุกประการ
ฝ่ายพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ครั้นยกมาตั้งไกลเมืองเสี่ยงทางประมาณห้าสิบเส้น แล้วทรงพระดำริห์ว่า สมิงอังวะมังศรีซึ่งรักษาอยู่ณเมืองเสี่ยงนั้น แกล้วกล้าสามารถในการสงครามมีฝีมือเข้มแข็งนัก ก็ควรนับว่าเปนชายผู้หนึ่ง อาจสามารถรับทัพกษัตริย์ได้ ทำไฉนจะได้เห็นตัวสักครั้งหนึ่ง ทรงพระดำริห์แล้วจึงสั่งให้แต่งหนังสือฉบับหนึ่ง แลจัดผ้ากาษาสองพับ เมี่ยงสิบกระหมวด เปนของพระราชทาน ให้คนนำมาให้สมิงอังวะมังศรี ผู้รับสั่งถวายบังคมลา ถือหนังสือแลสิ่งของเข้ามาณเมืองเสี่ยง จึงบอกแก่ทหารผู้รักษาประตู ทหารก็ไปแจ้งแก่สมิงอังวะมังศรี ๆ จึงให้รับเข้ามา พม่าผู้ถือหนังสือก็เข้ามาคำนับสมิงอังวะมังศรีส่งหนังสือให้กับสิ่งของพระราชทาน สมิงอังวะมังศรีก็รับหนังสือมาอ่าน เปนใจความว่าเราได้ยินแต่ชื่อท่านว่า เปนคนมีฝีมือเข้มแข็งประกอบด้วยสติปัญญาสามารถนัก เราอยากจะใคร่เห็นชมตัวท่านสักครั้งหนึ่ง ท่านจะให้ดูด้วยประการใดจงตอบมาไห้เราทราบ สมิงอังวะมังศรีครั้นแจ้งในหนังสือนั้นแล้วก็คิดว่า พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องให้มีหนังสือมานี้ลึกลํ้าหลักแหลมนัก แต่เปนกษัตริย์ก็ย่อมมีความสัตย์อันยิ่ง ซึ่งจะคิดกลอุบายก็ใช่ที่ แม้นมิออกไปบัดนี้ก็จะเห็นว่าเราเกรงกลัวอยู่ จะยกเข้ามาทำการใหญ่หลวงยิ่งขึ้นกว่านี้ จะป้องกันรับทัพกษัตริย์เปนอันยากยิ่งนัก แม้นเราออกไปถึงมาตร์ว่าพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องจะคิดกลอุบายเปนประการใดก็ดี อันเมืองเราเล่านํ้าเค็มก็ขึ้นถึงตมเลนลึก ซึ่งจะซ่อนซุ่มทหารไว้ก็เปนอันยาก จะทำได้ก็แต่ตรงหน้าเห็นถนัด พอจะแก้ไขกลับเข้าเมืองได้ คิดแล้วจึงให้แต่งหนังสือตอบฉบับหนึ่ง ให้จัดน้ำดอกไม้เทศสองเต้า เปนเครื่องราชบรรณาการตอบแทน มอบให้พม่าผู้ถือหนังสือนำกลับไปถวายพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง พม่าผู้ถือหนังสือก็คำนับลาสมิงอังวะมังศรี ถือหนังสือตอบคุมสิ่งของกลับไปถวายพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ๆ จึงตรัสสั่งให้อ่าน ในหนังสือนั้นว่าซึ่งพระองค์ใคร่จะทอดพระเนตรตัวข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าจะ ออกไปเฝ้าให้ทอดพระเนตรโดยพระทัยปรารถนาณฝั่งนํ้าในเวลาพรุ่งนี้เช้า ขอเชิญพระองค์เสด็จลงสู่เรือพระที่นั่งมาลอยคอยทอดพระเนตร์เถิด พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้แจ้งในหนังสือนั้นแล้วก็ดีพระทัยนัก
ฝ่ายสมิงอังวะมังศรี ครั้นส่งหนังสือให้พม่าถือกลับไปแล้ว ก็ปรึกษานายทัพนายกองขุนนางทั้งปวงซึ่งจะรักษาเมือง แลจัดแจงการที่จะออกไปเฝ้าพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ขณะเมื่อพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องยกทัพลงมานั้น มีกำปั่นฝรั่งเศสเข้ามาทอดท่าอยู่ณปากนํ้าเมืองเสี่ยงลำหนึ่ง เมื่อรบกันนั้นนายกำปั่นยังออกไปมิได้ยังค้างอยู่ในเมือง สมิงอังวะมังศรีคิดขึ้นได้ จึงให้หาฝรั่งเศสนายกำปั่นมาปรึกษาด้วย นายกำปั่นบอกว่า อาวุธของข้าพเจ้ามีอยูสิ่งหนึ่งประเสริฐนักอยู่แต่ในเรือ ถ้าเกิดเหตุขึ้นวุ่นวายทางไกลถึงสามสิบเส้นก็สามารถจะช่วยออกไปถึงได้ ถ้าท่านจะต้องการแล้วขอให้จัดคนลงไปกับข้าพเจ้า ช่วยกันยกขึ้นมาใส่หน้าที่ไว้ เห็นจะป้องกัน ข้าศึกได้เปนมั่นคง
สมิงอังวะมังศรีได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงถามว่าอาวุธประเสริฐสิ่งหนึ่งนั้นชื่อใด นายกำปั่นบอกว่าคำอังกฤษเรียกแคนแนน ฝรั่งเศสเรียกว่าปืนใหญ่ สมิงอังวะมังศรีได้ฟังก็ชอบใจ จึงแต่งคนให้ลงไปกับนายกำปั่น ให้เอาปืนใหญ่ขึ้นมาใส่หน้าที่เชิงเทินไว้ตามคำนายกำปั่นว่าทุกประการ
ครั้นเวลาเช้า ฝ่ายพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องก็เสด็จลงสู่เรือพระที่นั่งกั้นเสวตรฉัตร์ พร้อมไปด้วยเสนาบดีนายทัพนายกองมาลอยคอยอยู่ที่หน้าเมืองนั้น สมิงอังวะมังศรีจึงสั่งนายกำปั่นว่า ถ้าเราออกไปเปนปรกติดีอยู่แล้วก็แล้วไปเถิด ถ้าเถิดวุ่นวายขึ้นอย่างไร ท่านเร่งช่วยออกไปให้ได้ตามสัญญานั้น นายกำปั่นก็รับคำแล้วให้บรรจุปืนจังกาจุดชุดคอยอยู่ สมิงอังวะมังศรีแต่งตัวเสร็จแล้วก็ขึ้นช้างกระโจมพร้อมไปด้วยทหารทั้งปวง แล้วให้เปิดประตูเมืองออกไป ครั้นใกล้แม่น้ำก็ลงจากช้าง ไปเฝ้าพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องที่ริมแม่นํ้านั้น จึงจัดผ้าแดงโมรีห้าพับ น้ำดอกไม้เทสห้าเต้า ใส่เรือน้อยลอยออกไปถวายพระเจ้ามณเฑียรทอง ๆ ทอดพระเนตรเห็นตัวสมิงอังวะมังศรีแล้วก็สรรเสริญว่า สมิงอังวะมังศรีมีลักษณะสมบูรณ์เปนอันงามยิ่งนัก ทั้งปัญญาแลฝีมือก็เข้มแข็งกล้าหาญ สมควรที่จะรับศึกกษัตริย์ได้ จึงให้จัดพานพระศรีเครื่องทองคำสำรับหนึ่ง กับอานม้าเครื่องทองด้วย ใส่เรือน้อยมาพระราชทานสมิงอังวะมังศรี ๆ รับเอาอานม้าเครื่องทองแต่พานพระศรีมิได้รับ ส่งคืนไปถวายพระเจ้ามณเฑียรทองถ้อยทีถ้อยตอบของสนองต่อกันเสร็จแล้ว สมิงอังวะมังศรีก็กลับมาขึ้นช้างกระโจมคืนเข้าเมือง
ขณะนั้นเจวาสุกรีซึ่งเปนทหารมังรายกะยอฉะวา คิดแค้นใจว่าสมิงอังวะมังศรีคนนี้แหละ ยกทหารไปพูดเยาะเย้ยล่อลวงให้พระลูกเจ้ากูทรงพระโกรธ จึงออกมาชนช้างด้วยพระเจ้าราชาธิราชจนเสียพระองค์ ตัวกูจะตายก็ตามเถิด จะขอแทนพระคุณเจ้าเข้าแดงให้จงได้ คิดแล้วก็ลงเรือน้อยแต่ผู้เดียวลอบเข้าไปถึงริมฝั่ง พอสมิงอังวะมังศรีขึ้นช้างกระโจมไปไกลประมาณยี่สิบวา ก็พุ่งด้วยหอกซัดถูกช้างกระโจมซึ่งสมิงอังวะมังศรีขี่มานั้น ตลอดตกขีดถูกหน้าผากช้าง จนหอกกระทั่งถึงพื้นจำลองปักอยู่ สมิงอังวะมังศรีเห็นดังนั้นก็ตกใจ ขับช้างสบัดย่างใหญ่เร่งรีบเข้าเมือง ฝ่ายพลทหารทั้งปวงก็วุ่นวายอลหม่านขึ้น
ฝ่ายฝรั่งเศสนายกำปั่นเห็นวุ่นวายขึ้นดังนั้น ก็จังกาปืนหมายเอาเรือพระที่นั่งพระเจ้ามณเฑียรทอง แล้วก็จุดปืนออกไป ด้วยเดชะบุญญาภิสมภารของพระเจ้ามณเฑียรทอง ลูกปืนมิได้ต้องพระองค์ต้องแต่คันเสวตรฉัตร์ขาดปลิวไป พระเจ้ามณเฑียรทองทอดพระเนตรเห็นดังนั้นเปนอัศจรรย์ยิ่งนัก ก็โทมนัสน้อยพระทัยจนนํ้าพระเนตรตก นายเรือพระที่นั่งเห็นดังนั้น จึงกราบทูลถามว่า พระองค์ทำสงครามมาทุกครั้ง ถึงจะเสียหายประการใดๆ ก็ย่อมทรงพระสรวลอยู่ทุกครั้ง ๆ นี้น้ำพระเนตรตกด้วยเหตุใด พระเจ้ามณเฑียรทองจึงตรัสว่า เปนกษัตริย์มีการสนุกเพราะเล่นสงครามดูงามเปนขวัญตา แล้วได้เห็นทแกล้วทหารฟ้อนรำด้วยอาวุธต่าง ๆ ตามชั้นเชิงสู้กันในกลางสงคราม แลบัดนี้มามีอาวุธอันมหึมาสิ่งหนึ่งออกมาแต่ในเมือง ต้องเสวตรฉัตร์เราปลิวไปฉะนี้ถ้าต้องทหารผู้ใดเห็นจะทานมิได้ อาวุธสิ่งนี้เกิดมีมาแล้ว นานไปภายหน้าไหนเลยเราจะได้เห็นทหารอันมีฝีมือสืบไปอีกเล่า
ขณะเมื่อเจวาสุกรีพุ่งหอกถูกกระโจมช้างสมิงอังวะมังศรีนั้น พระเจ้า มณเฑียรทองทอดพระเนตรเห็นอยู่ จึงสั่งให้จับเจวาสุกรีมัดมือไพร่หลังแล้ว ก็ให้ทหารพม่าคุมตัวไปส่งให้สมิงอังวะมังศรี แล้วตรัสสั่งเข้าไปให้บอกว่า เราเปนกษัตริย์อันประเสริฐ ตรัสสิ่งใดก็ย่อมเปนสัตย์ แลซึ่งเจวาสุกรีทำทั้งนี้เรามิได้รู้เห็นด้วย มันเปนข้านอกเจ้าจะทำให้เราเสียสัตย์ ท่านไม่แจ้งจะสำคัญว่า เราแต่งกลล่อลวงใช้ให้กระทำ เราจึงให้จับตัวคนผิดมาให้ท่าน ๆ จงฆ่าเสียให้เห็นความจริงของเราเถิด ทหารพม่าก็คุณเอาตัวเจวาสุกรีเข้าไป เจวาสุกรีมิได้สดุ้งตกใจกลัวความตายเดินตามยิ้มเข้าไป ครั้นถึงสมิงอังวะมังศรีแล้ว ทหารพม่าซึ่งคุมเอาตัวเจวาสุกรีมานั้น ก็เอาตัวมอบให้สมิงอังวะมังศรี แล้วบอกความตามรับสั่งทุกประการ
สมิงอังวะมังศรีได้แจ้งแล้วก็คิดว่า เจวาสุกรีนี้แม้นเราจะฆ่าเสียอุปมาดังฆ่าทหารเลวคนหนึ่งมิได้มีเกียรติยศ พระเจ้ามณเฑียรทองก็หาหย่อนกำลังไม่ ถ้าเราปล่อยไปเห็นพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องจะยำเกรงฝีมือดีกว่าฆ่าเสียอีก คิดแล้วจึงให้แก้มัดเจวาสุกรีออกส่งให้พม่าซึ่งคุมมานั้น แล้วสั่งให้ไปทูลพระเจ้ามณเฑียรทองว่า เจวาสุกรีนี้เปนทหารได้คนหนึ่ง นํ้าใจองอาจสัตย์ซื่อรักเจ้าสู้เสียชีวิต ความตายมาถึงตัวแล้วยังยิ้มอยู่มิได้ครั่นคร้าม จะหาผู้เสมอตัวเปนอันยาก ซึ่งทำแก่เรานั้นเราหาโกรธไม่ ด้วยการสงครามก็ยังจะได้ทำแก่กันสืบไปอยู่ จะมามัดฆ่าแต่ฝ่ายเดียวนั้นเราทำมิได้ ซึ่งโทษเจวาสุกรีทำให้ผิดด้วยรับสั่งนั้น เราขอพระราชทานโทษไว้ครั้งหนึ่งก่อน ทหารพม่าก็คำนับลาสมิงอังวะมังศรี คุมตัวเจวาสุกรีกลับไปถวายพระเจ้ามณเฑียรทอง กราบทูลตามคำสมิงอังวะมังศรีสั่งไปนั้นทุกประการ
พระเจ้ามณเฑียรทองได้ฟังดังนั้นก็ทรงพระดำริห์ว่า สมิงอังวะมังศรีมิ สติปัญญาหลักแหลม สมด้วยลักษณะทหารอันแกล้วกล้า แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับไป ณค่าย จึงตรัสแก่เสนาบดีนายทัพนายกองทั้งปวงว่า ศึกเราครั้งนี้หมายจะหักเอาเมืองเสี่ยงให้จงได้ ก็หาสมคะเนไม่ อนึ่งซึ่งจะตั้งค่ายอยู่นี้ก็ไม่ชอบกล หาเปนที่ไชยภูมิไม่ จำจะยกถอยไปตั้งอยู่ณเมืองตะเกิงจึงจะทำถนัด ถ้าเราจะถอยทัพไปเล่า สมิงอังวะมังศรีก็จะยกออกมาติดตาม เราจึงจะระดมตีให้แตกฉาน แล้วตามเข้าเมืองทีเดียวเห็นจะได้โดยง่าย เสนาบดีทั้งปวงก็เห็นด้วยพระเจ้ามณเฑียรทอง จึงจัดให้มังมหาราชาเปนนายทัพผู้ใหญ่ซุ่มอยู่ทัพหนึ่ง มังตุเรจองทัพหนึ่ง มังกะยอทางทัพหนึ่ง ตรัสสั่งว่าถ้าเห็นสมิงอังวะมังศรียกจากเมืองแล้ว ให้สองทัพนี้เร่งเข้าตีเอาเมืองเสี่ยงจงได้ ถ้ากองทัพทั้งสามนี้ได้ทำการรบพุ่งแล้ว เราจะกลับมาช่วยอุดหนุนให้ทันท่วงที ถ้าเห็นไม่ตามแล้วจึงให้ยกรั้งหลังไป นายทัพนายกอง ทั้งสิ้นก็ยกทัพไปแอบซุ่มอยู่ตามรับสั่ง ครั้นเวลาจะใกล้รุ่งพระเจ้ามณเฑียรทองก็เสด็จยกทัพหลวงขี้นไปเมืองตะเกิง นายทัพนายกองฝ่ายมอญทั้งปวง เห็นพม่าเลิกทัพกลับไปดังนั้น ก็ว่าแก่สมิงอังวะมังศรีว่าพม่าเลิกทัพไปแล้ว เหตุไฉนท่านจึงไม่ติดตามตีให้แตกยับเยินเล่า สมิงอังวะมังศรีว่ามิได้เสียทีถอยทัพไปเองดังนี้จะยกไปตามตีมิได้ แล้วก็เปนทัพกษัตริย์ใหญ่หลวงนัก ซึ่งเรารับไว้ได้ไม่เสียเมืองทั้งนี้เหตุว่ามีที่มั่นจึงหาหักเอาได้ไม่ ซึ่งท่านทั้งปวงว่าจะให้ตามนั้น ดุจหนึ่งแมลงหวี่หารู้จักแสงเพลิงไม่ บินโฉบฉาบเข้าไปหา ไม่ทันพริบตาจะเปนจุลวิจุลไปเอง นายทัพนายกองทั้งปวงก็เห็นด้วยมิได้ตอบประการใดพากันนิ่งอยู่ สมิงอังวะมังศรีก็มิได้ให้ตาม
ฝ่ายมังมหาราชาแลนายกองพม่า ซึ่งตั้งคอยสกัดอยู่นั้น ครั้นมิได้เห็นสมิงอังวะมังศรียกออกมา ก็เลิกกองทัพกลับไปตามทัพหลวงสิ้น ครั้นมาถึงพร้อมกันแล้ว พระเจ้ามณเฑียรทองก็เสด็จเข้าตั้งมั่นอยู่ ณ เมืองตะเกิง
ฝ่ายผู้ถือหนังสือสมิงอังวะมังศรี เร่งรีบมาถึงเมืองหงษาวดีแล้ว ก็เข้าไปคำนับส่งหนังสือให้เสนาบดี ๆ จึงนำเข้ากราบทูลสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชตามเนื้อความนั้นทุกประการ ครั้นสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้แจ้งดังนั้นแล้ว ก็ให้จัดทัพบกทัพเรือทั้งปวงให้ยกไปช่วยเมืองเสี่ยง
ขณะนั้นมีสมณองค์หนึ่งชื่อพระสัน บวชอยู่วัดซอได้สามพรรษามีฝืมือเข้มแข็งใจกล้าหาญ ไม่ชอบเรียนหนังสือพอใจเรียนวิชาข้างทหาร หัดรำเพลงอาวุธแลมวยปลํ้า ตีกระบี่กระบองคล่องแคล่วดี ถึงเวลาเย็นแล้ว เล่นแต่มวยปล้ำตีกระบี่กระบองทุกวัน ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ห้ามก็ไม่ฟัง อยู่มาวันหนึ่งพระสันจึงเจรจาแก่พระสงฆ์ทั้งปวงว่า เจ้าสมิงนครอินท์ตายแล้ว ศึกพม่ายกมาครั้งนี้เราจะสึกออกอาสาตีทัพพม่าไห้แตกไปจงได้ พระภิกษุเพื่อนชอบทั้งปวงจึงว่า พระสันสึกไปเสียก็ดี บวชอยู่ไม่เล่าเรียนสมณธรรมสิ่งใดหัตแต่วิชารบ สึกไปถวายตัวเปนทหารทำราชการเถิด จะได้มียศศักดิ์ พระสันได้ฟังก็ดีใจ จึงว่าสมพรปากท่านเถิด ถ้าเราได้เปนขุนนางแล้ว เราจะมาหาเพื่อนฝูงทั้งปวง พระสันว่าแก่ภิกษุเพื่อนชอบดังนั้นแล้ว ก็ขึ้นไปลาพระสงฆ์ราชาคณะบอกว่าข้าพเจ้าจะสึกออกอาสาสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช
พระสงฆ์ราชาคณะได้ฟังดังนั้นก็ดีใจนัก จึงว่าสมณสันองค์นี้เข้มแข็งว่องไวนัก เมื่อน้อยอยู่นั้นพระอาจารย์ชีต้นไล่ดี วิ่งหนีขึ้นไปบนหลังคาเหมือนหนึ่งวิลาไล่หนู สึกออกทำราชการก็ดีแล้ว จะได้มีชื่อเสียงไปภายหน้า พระสงฆ์ราชาคณะก็ประจุให้ ครั้นพระสันสึกแล้วคนทั้งปวงเรียกว่ามะสัน คำรามัญเรียกว่า มะนั้นแปลเปนไทยว่าพ่อ เพราะอย่างธรรมเนียมเรียกกันล้วนคำเพราะ ไม่เรียกว่าผู้ดีไพร่เหมือนคำไทยเรียกกันว่าพ่อนั่นพ่อนี่ แล้วพระสงฆ์ราชาคณะก็พาตัวมะสันเข้ามาเฝ้าสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชถวายพระพรว่า มะสันผู้นี้บวชเปนภิกษุอยู่ในอารามอาตมาภาพมีฝีมือเข้มแข็งนัก ตั้งจิตสวามิภักดิ์จะมาถวายตัวเปนทหารขออาสารบศึกพม่า ให้อาตมาภาพนำมาถวายมหาบพิตร
สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ทรงฟังก็ดีพระทัยนัก จึงทอดพระเนตร์ดูลักษณะมะสัน เห็นเข้มแข็งควรจะเปนทหารได้ จึงตรัสถามมะสันว่า ตัวตั้งใจจะอาสาเราหรือ มะสันจึงกราบทูลว่า แต่ข้าพเจ้าบวชอยู่ รู้ว่าเจ้าสมิงนครอินท์ตายแล้วก็ไม่สบายใจเลย ข้าพเจ้าจึงสึกออกมาถวายตัวเปนข้าทหาร หวังจะอาสาพระองค์ตีทัพพม่าให้จงได้ สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ทรงฟังก็ชอบพระทัย จึงพระราชทานเสื้อผ้าแก่มะสันสามสำรับ แล้วพระองค์ก็เสด็จยกทัพบกทัพเรือไปเมืองเสี่ยง พอกองทัพเมืองเมาะตะมะ แลเมืองขึ้นสามสิบสองหัวเมืองมาถึงพร้อมกัน สมิงอังวะมังศรีจึงออกมาเฝ้าสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชถวายเครื่องม้า ซึ่งพระเจ้ามณเฑียรทองพระราชทานนั้น แล้วกราบทูลความตามซึ่งได้รบพุ่งนั้นทุกประการ
สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชตรัสสรรเสริญสมิงอังวะมังศรี แล้วก็ถอดฉลองพระองค์พระภูษาพระธำมรงค์ซึ่งทรงมานั้น กับพานทองคำประดับพลอยใบหนึ่งพระราชทานให้แก่สมิงอังวะมังศรี แล้วพระองค์ก็ยกทัพหลวงไปตั้งอยู่ณตำบลตลก ไกลกับทัพพม่าทางสองร้อยเส้น จึงแต่งนายทัพนายกองให้ยกขึ้นไปเมืองตะเกิง จัดสมิงสามปราบทัพหนึ่ง สมิงพระตะเบิดทัพหนึ่ง อำมาตย์มะสมรทัพหนึ่ง สมิงโยคราชทัพหนึ่ง สมิงสามแหลกทัพหนึ่ง สมิงอายมนทะยาทัพหนึ่ง สมิงสามผลัดทัพหนึ่ง สมิงอุบากองทัพหนึ่ง สมิงประทุมทัพหนึ่ง รวมกันเก้าทัพ ถือพลทัพละหมื่นเปนคนเก้าหมื่น ช้างพันหนึ่ง ม้าสี่พัน ให้สมิงพระตะเบิดเอาตัวมะสันไปด้วยเปนกองทัพหน้า
ขณะนั้นเสนาบดีนายทัพนายกองทั้งปวงจึงพูดกันว่า มะสันคนนี้พระสังฆราชาว่าองอาจแกล้วกล้าเข้มแข็งมีฝีมือนัก ทั้งกิตติศัพท์ก็เลื่องลือยังจะจริงหรือประการใด จะได้เห็นฝีมือกันในครั้งนี้ ครั้นเวลากลางคืนมะสันจึงบอกแก่นายทัพนายกองทั้งปวงว่า ข้าพเจ้าจะขอเข้าปล้นเมืองตะเกิงในคืนวันนี้ ขอให้นายทัพนายกองทั้งปวงคอยช่วยอุดหนุนเข้าไปเถิด ครั้นมะสันให้คำกำหนดแล้ว ถึงเวลากลางคืนกองทัพยังมิทันพร้อม มะสันถือดาบสักมั่นทั้งสองมือแล้ว วิ่งโจนขึ้นไปบนกำแพงไล่ฟันพม่าตายประมาณห้าร้อยคน
ฝ่ายพม่าซึ่งรักษาหน้าที่อยู่นั้น ไม่ทันรู้ตัวว่าข้าศึกมามากแลน้อยก็ถอยลงจากหน้าที่สิ้น มะสันก็เอาไฟจุดโรงเรือนในเมืองไหม้แสงเพลิงสว่างขึ้น พม่าไม่เห็นกองทัพมอญ เห็นแต่มะสันคนเดียว พวกพม่าก็พากันกลับตรูขึ้นมา มะสันไม่เห็นกองทัพมอญหนุนเข้าไปตามสัญญา มะสันแต่ผู้เดียวเห็นเหลือกำลังโจนลงจากกำแพงเมืองวิ่งมาหานายทัพนายกองทั้งปวง
ฝ่ายพระเจ้ามณเฑียรทองได้ทราบว่า กองทัพมอญเข้าปล้นเมืองก็ให้ทหารตีกลองสัญญาขึ้น ให้เร่งกองทัพออกไปตีมอญ ได้รบพุ่งแทงฟันกันเปนสามารถ ทัพมอญน้อยตัวต้านทานมิได้ก็แตกร่นลงมาจนถึงทัพหลวง สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้แจ้งดังนั้นก็ทรงพระโกรธยิ่งนัก ตรัสสั่งให้หานายทัพนายกองทั้งปวงเข้ามาทรงถามหน้าพระที่นั่งว่า ซึ่งตัวยกลงไปตีเมืองตะเกิงครั้งนี้ว่าจะตีเอาเมืองให้จงได้ ไปทำการยังมิจะข้ามวัน แตกพม่าถอยทัพกลับมา ทำให้ข้าศึกกำเริบใจได้ฉะนี้ โทษตัวจะเปนประการใด
นายทัพนายกองทูลว่า ซึ่งข้าพเจ้าทั้งปวงแตกมาทั้งนี้ ด้วยมะสันกำหนดสัญญาว่า จะเข้าปล้นเมืองตะเกิง ให้ข้าพเจ้าทั้งปวงยกอุดหนุนเข้าไป แลมะสันมิได้อยู่คอยท่ากองทัพให้พร้อมกัน มะสันโจนกำแพงขึ้นไปเข้าไล่ฆ่าฟันพม่าแต่ผู้เดียว กองทัพยังมิทันจะอุดหนุน มะสันด่วนจุดเพลิงให้พม่าแลเห็นตัวมะสันแต่ผู้เดียว พม่าไม่เห็นกองทัพมอญอุดหนุนเข้าไป พม่าจึงยกออกตี ข้าพเจ้าทั้งปวงเหลือกำลังรับไม่ได้จึงแตกมา
สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชจึงตรัสถามมะสันว่า มึงทำดังนั้นจริงหรือ ประการใด มะสันจึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าได้กำหนดแก่นายทัพนายกองทั้งปวงว่า ข้าพเจ้าจะโจนกำแพงขึ้นไป ให้อุดหนุนเข้าไปจงทันที ครั้นข้าพเจ้าโจนกำแพงขึ้นไปได้ ข้าพเจ้าไล่ฆ่าฟันทหารพม่าบนเชิงเทิน พม่าตายลงประมาณห้าร้อยคน พม่าเหล่านั้นก็แตกไปจากหน้าที่สิ้น ข้าพเจ้าจึงจุดเพลิงขึ้นให้เห็นเปนสำคัญว่าเข้าเมืองได้แล้ว นายทัพนายกองก็มิได้อุดหนุนข้าพเจ้าเข้าไปตามสัญญา พม่าก็กลับตรูกันขึ้นมารบพุ่ง ตัวข้าพเจ้าแต่ผู้เดียวเหลือกำลังจึงถอยออกมา พระราชอาญาเปนล้นเกล้าฯ สุดแล้วแต่จะทรงโปรด
สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ฟังดังนั้น ก็ทรงพระโกรธจึงตรัสว่า ผู้ใหญ่ก็โทษเด็ก เด็กก็โทษผู้ใหญ่ไม่มีใครยอมผิด อ้ายเด็กก็ใจไวผู้ใหญ่ก็ใจช้าจึงเสียการ เปรียบเนื้อความที่ตื้นๆ อุปมาดังมะเขือขื่นพอควรกับปลาร้า จะติเตียนว่าผลมะเขือขื่นนักก็มิได้เพราะปลาร้าเค็ม จะติว่าปลาร้าเค็มนักก็มิได้ เพราะผลมะเขือขื่น อุประมาความเปนปานกลาง เปรียบดังคนกล้าปากกับคนกล้ามือ จะโทษว่ามือหนักก็มิได้เพราะปากกล้า จะติว่าปากกล้าก็มิได้เพราะมือหนัก มันผิดด้วยกันทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ จึงตรัสสั่งให้เอานายทัพนายกองแลมะสันไปฆ่าเสีย
อ้ามาตย์ทินมณีกรอดจึงกราบทูลว่า เมื่อมะสันโจนกำแพงเข้าไปนั้นได้ท่วงทีอยู่อีก ฆ่าพม่าล้มตายเปนอันมาก กองทัพยังมิทันจะอุดหนุนเข้าพร้อมกัน หากจุดเพลิงเผาเมืองขึ้นพม่าจึงเห็นตัวถนัดว่ามาแต่ผู้เดียว หากองทัพอุดหนุนมิได้ จึงกลับเข้ารบพุ่งเสียท่วงทีถอยมาก็ผิดอยู่ แลฝ่ายกองทัพพม่าเล่าก็เสียมังรายกะยอฉะวา แล้วเปนทัพแกัตัวอยู่จึงเข้มแข็งนัก อุปมาดังช้างสารอันบ้ามัน วิ่งด้วยกำลังแรงเปนสามารถจึงรับมิหยุด ข้าพเจ้าขอรับพระราชทานโทษนายทัพนายกองแลมะสันไว้ให้ทำราชการแก้ตัว ฉลองพระเดชพระคุณอีกครั้งหนึ่งก่อน สงครามจึงจะเข้มแข็ง เปรียบประดุจดังช้างสารวิ่งเข้าชนกัน จึงจะตั้งตัวรับไว้ได้
สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ทรงฟังดังนั้น จึงพระราชทานโทษให้แก่อำมาตย์ทินมณีกรอด แล้วสั่งให้นายทัพนายกองยกทัพขึ้นไปตีเอาเมืองตะเกิงอีกได้จงได้ ตรัสว่าถ้าถอยทัพกลับลงมาครั้งนี้ จะคลอกเสียให้สิ้นทั้งโคตร นายทัพนายกองแลมะสันกราบถวายบังคมลาแล้ว ก็ยกกลับขึ้นไปณค่ายพม่าในเวลากลางคืน นายทัพนายกองแลมะสันให้กำหนดสัญญาแก่กันแล้ว มะสันก็แต่งตัวนุ่งผ้าโพกศีร์ษะคาดประเจียดถือดาบสองมือ โจนขึ้นบนกำแพงเมืองได้ ไล่ฆ่าฟันทหารพม่าซึ่งรักษาหน้าที่เชิงเทินตายประมาณพันหนึ่ง กองทัพมอญก็ยกหนุนตีแหวกเข้าไปได้
ฝ่ายกองทัพพม่ารบพุ่งต้านทานแทงฟันกันเปนสามารถ พม่าล้มตายจะนับประมาณมิได้ รับทัพมอญมิหยุดก็เลยแตกพ่ายไป กองทัพมอญหักเอาเมืองตะเกิงคืนได้ พระเจ้ามณเฑียรทองไม่ทันรู้พระองค์ ตกพระทัยกลัวเปนกำลังไม่เปนสมประดี เสด็จลงเรือน้อยลอบหนีไปแต่พระองค์เดียว
ฝ่ายกองทัพมอญไล่ฆ่าฟันทัพพม่าล้มตายเป็นอันมาก มะสันผู้เดียวถือดาบสองมือ โจนลงเรือไล่ฟันพม่าที่เรือ ตายจะนับจะประมาณมิได้ ฝ่ายพม่าซึ่งแตกหนีไปข้างหน้านั้น พอเรือพวกกันข้างหลังแตกร่นขึ้นมา สำคัญว่าเรือกองทัพมอญไล่มาก็เบียดเสียดกันไปจนเรือล่ม พม่าจมน้ำตายเปนอันมาก บ้างก็หนีโจนขึ้นบกไปได้บ้าง มะสันผู้เดียวไล่ตามฟันพม่าไปได้ถึงเจ็ดวัน ศพพม่าตายลอยไปถึงทะเลจะนับจะประมาณมิได้ มะสันจับพม่าเปนมาได้ห้าร้อยเจ็ดสิบคนกับเรือเจ็ดลำ มะสันจึงร้องบอกพม่าทั้งปวงว่า ซึ่งเจ้าสมิงนครอินท์ทูลพระราชบุตรพระเจ้ามณเฑียรทองไว้ว่า ทหารสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชยังมีฝีมือดีกว่าเจ้าสมิงนครอินท์นั้น คือตัวกูนี้ชื่อมะสัน
พม่าได้ยินดังนั้นก็กลัวจนตัวสั่น จึงคุกเข่ากราบลงทุกคนแล้วสรรเสริญว่า ข้าพเจ้าทั้งปวงมิได้คิดเลยว่าท่านเปนมนุษย์ มะสันได้ฟังก็ถามว่า พวกมึงสำคัญว่ากูเปนผู้ใดเล่า พม่าทั้งปวงบอกว่าข้าพเจ้าเหล่านี้คิดว่าท่านเปนเทพยดา หรือองค์อวตารแบ่งภาคลงมาทีเดียว จึงมีฝีมือเข้มแข็งเปนยอดทหารดังนี้ มะสันได้ฟังก็ชอบใจจึงใช้ให้พม่าเอาเรือลงมาส่งถึงเมืองตะเกิง
ขณะเมื่อพระเจ้ามณเฑียรทองแลไพร่พลทั้งปวงแตกทัพไปครั้งนั้นยับเยินสิ้นไม่เปนสมประดีได้ ครั้นไปถึงเมืองปรวนแล้วพม่ายังสดุ้งตกใจกลัวมะสันอยู่อีก ตื่นกระจัดกระจายกันไปไม่เปนขบวนได้ พระเจ้ามณเฑียรทองหนีขึ้นบก ได้ช้างตัวหนึ่งกับพม่าร้อยเศษ ก็เร่งรีบหนีไปทั้งกลางวันกลางคืน จนถึงเมืองอังวะแล้วจึงทรงพระดำริห์ว่า แต่ทำสงครามกับมอญมายังมิได้แตกยับเหมือนครั้งนี้เลย ครั้นจะคิดทำสงครามไปอีกเล่าก็เห็นพม่าล้มตายเปนอันมากก็ย่อท้อพระทัยลง
ขณะเมื่อมะสันยกไปตีพระเจ้ามณเฑียรทองแตกไปได้ชัยชนะนั้น นายทัพนายกองแลไพร่มอญทั้งปวงก็สรรเสริญมะสันว่า มีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญนัก แล้วก็ดีกว่าเจ้าสมิงนครอินท์อีก ครั้นมะสันมาถึงจึงพาพม่าห้าร้อยเจ็ดสิบคน แลเรือเจ็ดลำเข้ามาถวายพระเจ้าราชาธิราช ๆ ก็มีพระทัยยินดีนัก ตรัสสรรเสริญว่ามะสันนี้มีฝีมือแกล้วกล้า นับว่าเปนยอดทหารได้คนหนึ่ง แทนตัวสมิงนครอินท์ได้แล้ว จึงพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภค สมบัติของเจ้าสมิงนครอินท์ให้แก่มะสันสิ้น แล้วโปรดตั้งให้มะสันเปนสมิงพัตบะ แล้วสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชก็เลิกกองทัพกลับไปกรุงหงษาวดี
อยู่มาวันหนึ่งสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช เสด็จเข้าที่พระบันทมหลับ ทรงพระสุบินนิมิตฝันว่า เจ้าสมิงนครอินท์ซึ่งตายไปนั้นแต่งตัวใส่สังวาลถือดาบสองมือมารำถวายอยู่ตรงหน้าพระที่นั่ง ทรงพระดำริห์ในพระสุบินว่า เจ้าสมิงนครอินท์มาจริงก็ดีพระทัยนัก ครั้นเสด็จฟื้นพระบรรทมแล้ว ทอดพระเนตรไม่เห็นเจ้าสมิงนครอินท์ จึงแจ้งว่าทรงพระสุบินนิมิต ครั้นเวลาเช้าเสด็จออกพร้อมด้วยเสนาพฤฒามาตย์ราชปโรหิตาจารย์เข้าเฝ้าพร้อมกัน ก็ตรัสให้หาโหรมาทำนายพระสุบิน โหรจึงทำนายถวายว่า พระองค์ทรงพระสุบินนิมิตครั้งนี้ จะมีพระเดชเดชานุภาพยิ่งขึ้นไป แลข้าทหารซึ่งตายไปนั้น ยังมีอาลัยกลับมาเวียนวนรักษาพระองค์อยู่ ครั้นทำนายแล้วก็ได้ทรงฟังเสียงร้องขึ้นบนขื่อปรางค์ปราสาทอื้ออึงอยู่
สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชจึงตรัสไปว่า เจ้าสมิงนครอินท์เปนอสุระกาย แล้วยังมารักษาเราอยู่หรือ มาเถิดเราจะเลี้ยงให้เหมือนเมื่อยังเปนมีชีวิตอยู่ ใช่ว่าท่านตายแล้วจะขาดความรักหามิได้ จึงตรัสสั่งให้ปลูกตำหนัก แล้วให้หล่อรูปเจ้าสมิงนครอินท์ด้วยทองสัมฤทธิ์ ยกขึ้นตั้งไว้บนตำหนัก แล้วให้พลีกรรมบวงสรวงทุกวันมิได้ขาด
ขณะนั้น สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้เสวยราชสมบัติในเมืองหงษาวดีเปนสุขสืบมา จุลศักราชได้เจ็ดร้อยแปดสิบห้าปี