ฝ่ายพระยาน้อยครั้นเสด็จดำเนินพลเข้ามา ใกล้ถึงประตูพระนคร พอคนใช้สมิงชีพรายเข้าไปกราบบังคมทูลว่า สมิงชีพรายใช้ข้าพเจ้าออกมากราบทูลพระกรุณาให้ทราบว่า บัดนี้พระมหาเทวีกับสมิงมราหูแลตะละแม่ศรีทั้งสามนั้น หนีออกจากพระนครแล้วไปทางทิศเหนือ พระยาน้อยได้ทรงฟังทั้งดีพระทัยทั้งทรงพระพิโรธ จึงยกพระแสงขึ้นกวัดแกว่งเคี้ยวพระทนต์ แล้วตรัสแก่นายทัพนายกองทั้งปวงว่า อ้ายสมิงมราหูนี้น้ำใจมิใช่ชายชาติทหาร ดีแต่พวกมาก เราหมายว่าจะสู้รบกันให้เต็มกำลัง จะฟาดฟันเสียให้ย่อยยับสับเปนร้อยท่อนพันท่อน บัดนี้มันกลัวเราพาพระมหาเทวีหนีไปแล้ว ก็เปนบุญของเราไม่ต้องสู้รบยากแก่ทแกล้วทหารทั้งปวง ถึงมาทว่ามันจะหนีไปทางทิศไหนก็คงจะจับตัวได้ ครั้งนี้ถ้ามันมีปีกบินไปในอากาศ หรือแซกปฐพีไปเหมือนอย่างขอมดำดิน หรือระเบิดน้ำเปนช่องหนีไปในมหาสมุทร์ นั้นแลมันจึงจะพ้นมือเรา ถ้าเดินดินเหมือนคนทั้งปวงแล้ว อย่าหมายเลยว่ามันจะหนีพ้นไปได้

ขณะเมื่อพระยาน้อยยกเข้ามาถึงทวารพระนคร เสด็จยืนช้างพระที่นั่ง ตรัสแก่นายทัพนายกองทั้งปวงยังมิทันขาดคำ ฝ่ายอำมาตย์ทินก็พาบ่าวไพร่ออกมาเปิดพระทวารรับแต่บานหนึ่ง จะได้เปิดรับทั้งสองบานหามิได้ พระยาน้อยทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็แคลงพระทัยอำมาตย์ทินอยู่ แต่มิได้ตรัสประการใด ก็ยกเข้าไปในเมือง ครั้นถึงพระทวารชั้นในที่ประทับ ก็เสด็จลงจากพระคชาธาร สอดฉลองพระบาทเสด็จพระราชดำเนินเข้าไป หมู่พลทหารทั้งปวงก็แห่แหนแวดล้อมตามเสด็จดูสพรั่งพร้อมซ้ายขวาหน้าหลังเปนขนัด ขุนนางน้อยใหญ่ทั้งปวงก็ออกมาหมอบเฝ้าคอยรับนำเสด็จพระราชดำเนินอยู่เดียรดาษ พระยาน้อยก็เสด็จเข้าประทับณท้องพระโรงราชพินิจฉัย

ฝ่ายสมิงชีพรายอำมาตย์ทิน แลเสนาบดีผู้ใหญ่ผู้น้อยข้าราชการทั้งปวง ก็มาเฝ้าถวายบังคมพร้อมกันสิ้น พระยาน้อยจึงตรัสปราสัย ถามถึงราชการบ้านเมืองทุกถ้วนหน้ากันโดยสมควรแล้ว จึงตรัสสั่งทแกล้วทหารให้ยกไปตามจับสมิงมราหูกับพระมหาเทวีและตะละแม่ศรี ตรัสกำชับว่าถ้าตามไปทัน มันจวนตัวเข้าจะสู้รบประการใด จงช่วยกันจับเปนมาให้จงได้ เราจะดูหน้ามันอย่าเพ่อทำให้บอบช้ำ ถ้ามันกินยาพิษม์ตายหรือเชือดคอตาย ก็จงนำเอาผีมาให้เราจงได้ ทแกล้วทหารทั้งปวงก็ถวายบังคมลา ออกมาขึ้นม้าเร็วรีบตามไป ฝ่ายพระยาน้อยก็เสด็จเข้าข้างในกับด้วยมังกันจี ขึ้นสู่พระราชมณเฑียรมหาปราสาทที่ไว้พระบรมศพสมเด็จพระราชบิดา หมู่พระสนมชาวแม่เฒ่าแก่ท้าวนางข้างในทั้งปวง ก็ออกมาคอยเฝ้ารับเสด็จอยู่พร้อมหน้า พระยาน้อยก็ตรัสปราสัยทักถามถ้วนทั่วกันแล้ว พอนางพนักงานเชิญพานธูปเทียนเข้าตอกดอกไม้ เครื่องคำนับพระศพเข้ามาถวาย พระยาน้อยรับพานเครื่องแล้ว ก็เข้าไปกราบถวายบังคมบูชา คำนับพระบรมศพสมเด็จพระราชบิดา ตรัสรำพรรณขอขมาโทษเสร็จแล้ว จึงเสด็จออกมาประทับณพระที่นั่งภายนอก แล้วตรัสถามเฒ่าแก่ชาวแม่ทั้งปวงว่า เมื่อสมเด็จพระราชบิดาเราทรงพระประชวรหนักใกล้สวรรคตนั้น ตะละแม่ท้าวกับพ่อลาวแก่นท้าว มิได้ขึ้นมาเฝ้าอยู่งานถวายหรือประการใด ชาวแม่เฒ่าแก่ทั้งปวงก็ทูลว่า พระมหาเทวีห้ามปรามกวดขันนัก มิให้ตะละแม่ท้าวแลพ่อลาวแก่นท้าวขึ้นมาเฝ้าได้ กลัวจะเอาความหนักเบาลอบให้คนไปทูลพระองค์ พระยาน้อยได้ฟังก็ยิ่งทรงพระพิโรธจึงตรัสว่า พระเจ้าป้าทำความยากให้เรามากนัก เราจะให้พระเจ้าป้าได้ความทุกข์ความยากบ้างในครั้งนี้

ฝ่ายทแกล้วทหารซึ่งไปจับสมิงมราหูนั้น ตามไปทันณตำบลบ้านกะยางตีน จึงขับม้ารายล้อมไว้แน่นหนา ฝ่ายสมิงมราหูครั้นทหารมาล้อมจับเห็นจะหนีไปไม่พ้นก็ตกใจ จึงทูลพระมหาเทวีว่า ครั้งนี้ความตายจวนตัว ข้าพเจ้าจะลาพระองค์ตายด้วยคมอาวุธของตัวแล้ว ซึ่งจะยอมตายด้วยอาญาพระยาน้อยนั้น ข้าพเจ้าอัประยศนัก ว่าแล้วก็ชักพระแสงดาบออกจะเชือดคอตาย พระมหาเทวีเห็นดังนั้นก็ตกพระทัยพระองค์สั่นเข้าแย่งชิงดาบไว้ จึงตรัสปลอบว่าพ่ออย่าเพ่อฆ่าตัวเสียก่อนเลย ยอมไปด้วยเขาเถิดแม่จะช่วยแก้ไข

ฝ่ายตะละแม่ศรีนั้น ตกพระทัยพระองค์สั่นดังปลาดิ้น จึงร้องห้ามว่าท่านอย่าเพ่อฆ่าตัวเสียก่อน ถ้าท่านตายแล้วข้าพเจ้าจะตายตาม ฝ่ายทหารทั้งปวงจึงทูลลวงพระมหาเทวีว่า ข้าพเจ้าเหล่านี้ถือรับสั่งพระยาน้อย มาติดตามเชิญพระองค์ กับพระเจ้าพี่ทั้งสองเสด็จกลับเสียโดยดีเถิด อย่าให้ยากใจแก่ข้าพเจ้าทั้งปวงเลย ซึ่งความผิดนั้นเห็นไม่เปนไรนัก ด้วยพระยาน้อยเข้าเมืองได้แล้ว แลมีรับสั่งโปรดมามิให้ข้าพเจ้าทั้งปวงจับกุมให้ได้รับความอัประยศ ให้เชิญเสด็จกลับไปโดยดี ข้าพเจ้าทั้งปวงเห็นว่า พระทัยของพระยาน้อยยังรักใคร่พระญาติวงศ์อยู่มาก ฝ่ายสมิงมราหูปัญญาเขลา ครั้นได้ฟังดังนั้นก็สำคัญว่าตัวจะไม่ตาย แลเปนห่วงอาลัยด้วยตะละแม่ศรีกับพระมหาเทวีนัก จึงมิได้ฆ่าตัวเสีย ทหารทั้งปวงก็เข้ากลุมรุมจับสมิงมราหู กับผู้คนบ่าวไพร่จำเครื่องพันธนาการมั่นคงเสร็จแล้ว จึงเชิญเสด็จพระมหาเทวีกับตะละแม่ศรีขึ้นช้างตัวเดียวกัน ก็คุมเอาตัวเข้ามาถวายพระยาน้อยได้สิ้น พอเวลานั้นพระยาน้อยเสด็จออกท้องพระโรงราชพินิจฉัย พร้อมด้วยขุนนางข้าราชการใหญ่น้อยทั้งปวงเฝ้าอยู่เดียรดาษ ทแกล้วทหารเหล่านั้นก็พาตัวพระมหาเทวีกับสมิงมราหูแลตะละแม่ศรีเข้าไปถวาย พระยาน้อยพอเหลือบพระเนตรเห็นสมิงมราหูแลนางกษัตริย์ทั้งสองแล้วก็ยิ่งทรงพระพิโรธเปนกำลัง เปรียบประดุงดังนาคราช มีผู้เอาไม้ค้อนประหารลงที่ขนดก็ยิ่งโกรธนัก พระยาน้อยจึงชักพระแสงออกกวัดแกว่ง เคี้ยวพระทนต์อยู่เกรี้ยวกรอด แทบประหนึ่งจะเสด็จโลดลงจากราชบัลลังก์ ไปฟาดฟันให้สิ้นชีพด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ แต่สู้อดพระทัยไว้

ฝ่ายสมิงมราหูพระมหาเทวีตะละแม่ศรีนั้น พอเหลือบเห็นพระยาน้อยก็ให้สดุ้งเสียวสั่นไปทั้งกาย เกรงกลัวเดชานุภาพพระยาน้อยยิ่งนัก พระยาน้อยจึงตรัสสั่งให้เชิญพระมหาเทวีเข้ามาก่อน ตรัสซักถามด้วยพระองค์ว่า พระเจ้าป้าเปนผู้ใหญ่ เหตุไฉนจึงทำการทุจริต คิดจะฆ่าข้าพเจ้าผู้หลานมิได้คิดว่าเปนเชื้อสาย แต่ก่อนพระเจ้าป้าก็ปลูกเลี้ยงข้าพเจ้ามา เปรียบประดุจคนเขียนรูปวาดด้วยมือลบด้วยบาทา เห็นชอบอยู่หรือประการใด พระมหาเทวีก็สารภาพรับผิด แล้วจึงตรัสให้เอาตัวสมิงมราหูมา กระทืบพระบาทตวาดถามว่า มึงเปนผู้ใหญ่เหตุไฉนจึงคิดประทุษฐร้ายต่อกู กระทำทุจริตคิดมิชอบให้ความอายแปดเปื้อนมาถึงกู ๆ ตกทุกข์ได้ยากก็เพราะมึง ทำให้กูขาดประโยชน์หลายอย่าง ความกูแค้นมึงแซกอยู่ทุกเส้นขน กูหมายมาว่าจะสู้รบกันมึงให้สิ้นฝีมือ ก็เปนบุญของกูมึงสู้กูไม่ได้ ต้องหนีไปให้ทหารจับได้ มึงจะคิดอย่างไรให้ว่ามา สมิงมราหูก็กลัวอาญาพระยาน้อยยิ่งนัก เสโทใหลออกโซมกาย จึงกราบทูลว่าข้าพเจ้าเปนมัณฑะธาตุปัญญาโฉดเขลาเพราะกรรมนิยม จึงให้ประทุษฐจิตต์คิดร้ายต่อพระองค์ผู้ทรงพระกฤษฎาธิการเปนอันมาก อุปมาดังคนจักษุบอดอยู่ในที่มืด มิได้เห็นดวงประทีปอันส่องแสงสว่าง จึงได้กระทำวิรุธกรรมล่วงเกินแก่พระองค์มาแต่หลัง อันโทษข้าพเจ้าก็ถึงสิ้นชีวิตแล้ว ขอพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานโทษให้ข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่ง จะได้ทำราชการสนองพระเดชพระคุณสืบไป อยู่ใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทจนตลอดกาลสิ้นชีวิต

พระยาน้อยได้ฟังก็ทรงพระพิโรธ ตรัสตวาดว่า ซึ่งมึงจะขอชีวิตอยู่นั้น มึงจะคอยเอาชีวิตกูหรือ กูได้เห็นใจมึงแล้วมาแต่หลังครั้งเมื่อกระทำสัตย์กินเลือดในอกกัน มึงก็แต่งกลอุบายล่อลวง มิได้ซื่อสัตย์กลับคิดร้าย มึงสำคัญว่ากูไม่รู้เท่าถึง อนึ่งครั้งสมเด็จพระเจ้าฟ้ารั่วอันเปนพระบรมมหาไอยกาธิราชของกู เปนปถมกษัตริย์ในเมืองเมาะตะมะนั้น เอาพระเจ้าตราพระยาผู้เปนขบถมาเลี้ยงไว้ พระเจ้าตราพระยาก็คิดประทุษฐร้าย เรื่องความก็ยังมีเปนแบบอย่างอยู่ดังนี้ ซึ่งมึงจะให้กูไว้ชีวิตมึง ๆ จะคอยคิดประทุษฐร้ายกู ดุจดังพระเจ้าตราพระยานั้นหรือ ครั้งนี้อุปมาดังจับเสือร้ายได้แล้ว แลจะปล่อยให้เสือกลับเข้าป่าไปอีกนั้นอย่าได้พึงคิด มึงอย่าอ้อนวอนขอชีวิตเสียให้ยากป่วยการเล่า ถึงสมเด็จอมรินทร์ในเทวโลกจะลงมาช่วยขอกูก็ไม่ให้ มึงก็เปนชายมิใช่อิสัตรีอย่าย่อท้อใจ จงก้มหน้าตายไปชาติหนึ่ง เอาความสุขในเบื้องหน้าเถิด ถ้ามึงจะอาฆาตผูกเวรกับกู ๆ ก็จะพยาบาทผูกเวรกับมึง ถ้าท่องเที่ยวไปในวัฏสงสาร กูจะคิดฆ่าฟันล้างผลาญมึงไปทุกชาติๆ จนบันลุพระอมัตตะมหานิพพานจึงสิ้นเวรกันเมื่อนั้น

พระยาน้อยจึงตรัสสั่งให้กระทำพิธีปถมกรรม เหยียบดินชนะตามโบราณราชประเพณีซึ่งมีชัยชนะศึก ฝ่ายขุนนางผู้รับสั่งก็ถวายบังคมลาออกมา ให้จัดการพระราชพิธีตามตำหรับ ปลูกเกยที่ประทับเอาตัวสมิงมะราหูเข้าไว้ใต้เกยเสร็จแล้ว ก็กลับเข้าไปกราบทูลว่าการพร้อมสำเร็จ พอได้มุหุติฤกษ์ พระยาน้อยก็แต่งพระองค์เสร็จเสด็จขึ้นมาสู่เกย ฝ่ายพราหมณ์พฤฒามาตย์ราชปะโรหิตก็ถวายน้ำชำระพระบาท เหนือหน้าฆ้องไชยมหาฤกษ์รดลงไปให้น้ำตกถูกศีร์ษะสมิงมราหู เสร็จแล้ว พระยาน้อยจึงตรัสสั่งทหารให้เอาสมิงมราหูไปฆ่า สับให้เนื้อเลอียดมิให้กากลืนแค้น แต่พระเจ้าป้าพระมหาเทวีนั้นเปนกสัตรี แลเปนพระญาติราชสัมพันธุพงศ์ที่สนิททรงพระดำริห์ถึงอุปการะคุณซึ่งมีมาแต่เบื้องหลังเปนอันมาก แต่ได้กระทำโทษประทุษฐร้ายต่อพระองค์นั้นก็มาก คุณกับโทษเท่าเสมอกัน จะให้สำเร็จโทษเสียก็มิควร จึงพระราชทานชีวิตไว้ให้เปนการทดแทนสนองคุณ แต่ฝ่ายโทษนั้นก็ต้องทดแทนกระทำโทษให้เข็ดหลาบ จะได้เปนเยี่ยงอย่างสืบไปภายหน้า ตะละแม่ศรีนั้นเปนพระพี่นางต่างพระมารดา เปนผู้พลอยแพ้พลอยชนะ ซึ่งสมรู้ร่วมคิดกระทำความชั่วนั้น เพราะอยู่ในอำนาจสมิงมราหูแลพระมหาเทวี จึงไม่ทรงพระพิโรธนัก พระมหาเทวีกับตะละแม่ศรีนั้น ทรงพระกรุณาโปรดให้ปลูกตำหนักน้อยสองหลังขังไว้ ตำหนักนั้นมีชานแล่นถึงกัน ให้มีคนคุมคอยพิทักษ์รักษา ให้เสวยอาหารแต่วันละน้อยมิให้อิ่ม ทหารก็เอาสมิงมราหูไปฆ่าเสียแล้วสับเนื้อเลอียดมิให้กากลืนแค้น ตามพระยาน้อยตรัสสั่ง ทหารพวกหนึ่งก็พาพระมหาเทวีกับตะละแม่ศรีนั้นไปคุมขังไว้ณตำหนักน้อย พระมหาเทวีกับตะละแม่ศรีทั้งสองนั้น ต้องคุมขังอยู่ได้ความทุกข์ทรมานอดหยากควรจะสมเพช

ครั้นพระยาน้อยให้กระทำพิธีปถมกรรมเสร็จแล้ว พอเวลาค่ำเสวยพระกระยาหารแล้ว ก็ทรงพระคำนึงถึงตะละแม่ท้าว จึงตรัสสั่งให้เฒ่าแก่แลสาวใช้ออกไปเชิญ นางเฒ่าแก่แลสาวใช้ก็ถวายบังคมลาออกไปเฝ้าตะละแม่ท้าว ๆ นั้น ครั้นแจ้งว่า พระยาน้อยได้เมืองให้ล้างสมิงมราหูเสียแล้วก็ดีพระทัย แต่มีความแค้นอยู่ ด้วยเรื่องหึงส์หวงนางเม้ยมะนิก แสร้งทำทรงพระประชวรมิได้ขึ้นไปเฝ้า พ่อลาวแก่นท้าวก็มิได้ให้ขึ้นไป พอนางเฒ่าแก่สาวใช้เข้าทูลว่า บัดนี้พระราชสามีมีชัยชนะศึกได้ราชสมบัติแล้ว เหตุไฉนพระแม่เจ้าอยู่หัวจึงไม่พาพ่อลาวแก่นท้าวพระราชโอรสขึ้นไปเฝ้ารับเสด็จเล่า บัดนี้มีรับสั่งใช้ให้ข้าพเจ้าทั้งปวง ลงมาทูลเชิญเสด็จพระแม่เจ้ากับพระราชโอรสขึ้นไปเฝ้า ตะละแม้ท้าวได้ทรงฟัง ก็ทรงพระกรรแสง กอดพ่อลาวแก่นท้าวไว้แล้วจึงตรัสว่า ข้าป่วยอยู่ขึ้นไปเฝ้ามิได้ ครั้นจะให้พ่อลาวแก่นท้าวขึ้นไปเฝ้าก็ไม่มีใครจะอยู่เปนเพื่อน นางเฒ่าแก่ทั้งปวงจึงทูลถามว่า พระแม่เจ้าทรงประชวรพระโรคเปนประการใด มิได้เสวยพระโอสถหรือ ตะละแม่ท้าวก็แสร้งทำประคองพระอุระเข้าแล้ว จึงตรัสว่าข้าเจ็บในทรวงอกอยู่ไม่รู้ว่าเปนโรคสิ่งใด ให้เจ็บแปลบๆ เหมือนหนามยอกอยู่สักสิบเล่ม กินยาก็ไม่หาย ท่านทั้งปวงจงพากันกลับไปทูลเถิดว่าข้าคลายป่วยแล้วจึงจะขึ้นไปเฝ้า นางเฒ่าแก่สาวใช้ได้ฟังก็รู้ทีว่า ตะละแม่ท้าวประชวรพระโรคหึงส์ จึงถวายบังคมลากลับมาเฝ้าพระยาน้อย กราบทูลว่า ตะละแม่ท้าวทรงพระประชวรอยู่ ยังมาเฝ้ามิได้

พระยาน้อยได้ทรงฟังก็ตกพระทัย จึงตรัสถามว่าเขาป่วยเปนโรคสิ่งใด นางเฒ่าแก่ก็ทูลว่า ข้าพเจ้าทั้งปวงดูพระรูปโฉมก็ดีเปนปรกติอยู่มิได้ซูบผอม แต่ตรัสบอกว่าทรงประชวรพระโรคในพระอุระ พระยาน้อยได้ทรงฟังก็เข้าพระทัยว่า มิใช่โรคอื่น เปนโรคหึงส์ จึงตรัสแก่พวกเฒ่าแก่ว่า ข้ารู้แล้ว เขาเจ็บงอน ข้าจะต้องไปเยือนไปปลอบเขาจึงจะหาย ตรัสแล้วก็เสด็จออกข้างหน้า จึงตรัสชวนพ่อมอญมังกันจีไปเยี่ยมเยือนตะละแม่ท้าว พระยาน้อยก็เสด็จไปกับด้วยพ่อมอญมังกันจีแลทแกล้วทหารข้าหลวงเดิมทั้งปวง ครั้นถึงให้พวกพลเหล่านั้นอยู่ภายนอก พระองค์เสด็จเข้าสู่ห้องพระตำหนักกับด้วยพ่อมอญมังกันจี ทอดพระเนตรเห็นตะละแม่ท้าวกอดพ่อลาวแก่นท้าวบรรทมนิ่งอยู่ เสด็จเข้าทรงนั่งในที่ใกล้แล้วตรัสถามว่า พระน้องป่วยเปนโรคสิ่งใด ตะละแม่ท้าวก็ผวาลุกเลื่อนพระองค์ไปเบื้องต่ำ เชิญพระราชสามีให้เสด็จขึ้นทรงนั่งเหนือพระแท่นที่ไสยาศน์ จึงถวายบังคมให้พ่อลาวแก่นท้าวถวายบังคมแล้ว ตะละแม่ท้าวก็กอดข้อพระบาทพระยาน้อยเข้าไว้ทรงพระกรรแสงร่ำรัก พระยาน้อยจึงตรัสปลอบว่า ครั้งนี้เราพ้นทุกข์พ้นยาก ได้กลับมาเห็นหน้ากันแล้ว พระน้องจะร้องไห้ไปใย จงดับความโศกเสียเถิด จึงทรงอุ้มพ่อลาวแก่นท้าวขึ้นนั่งบนพระเพลา จุมพิตเชยชมแล้วตรัสว่า ลูกรักของข้าอยู่ดีมิได้มีโรคภัยสิ่งใด แต่แม่แลป่วยไข้ไม่รู้หาย ตะละแม่ท้าวจึงทูลว่า ตั้งแต่พระองค์เสด็จไปอยู่ณเมืองตะเกิง ข้าพเจ้ามิได้เปนสุข มีแต่ความทุกข์ระกำใจ คำนึงถึงพระองค์อยู่เปนนิจ จนโรคภัยบังเกิด แลข้าพเจ้าคิดเอาใจช่วยพระองค์ทุกเวลาราตรีว่า ขอให้พระองค์สำเร็จดังความปรารถนา มีชัยชนะศึกเถิด อนึ่งข้าพเจ้ามีความแค้นเสียใจยิ่งนัก เหตุมิได้ขึ้นไปเฝ้าอยู่งานพยาบาล สนองพระเดชพระคุณพระราชบิดาเมื่อทรงพระประชวรหนัก ด้วยพระเจ้าป้าของพระองค์ห้ามปรามกวดขันนัก จนพระราชบิดาสวรรคต ก็ยังมิได้ขึ้นไปถวายบังคมคำนับพระศพ พระยาน้อยจึงตรัสว่า ซึ่งข้อนั้นพี่ก็พลอยโกรธแค้นแทนพระน้อง แต่บัดนี้เรามีชัยชนะล้างผลาญเสี้ยนศึกสัตรูได้แล้ว พระน้องอย่าโศกเศร้าเลย เร่งจัดหาเครื่องสักการบูชา พาลูกขึ้นไปถวายบังคมคำนับพระศพด้วยกัน

ตะละแม่ท้าวได้ฟังพระยาน้อยตรัสปลอบ ก็ค่อยคลายพระโศก แต่ยังแค้นพระทัยอยู่ด้วยความหึงส์หวง ครั้นจะตรัสประชดต่อพระราชสามีโดยตรงก็เกรงพระทัยแลอายแก่คนทั้งปวง จึงตรัสประชดกับพ่อมอญมังกันจีว่า พี่พ่อมอมังกันจีอุส่าห์ติดตามเสด็จไปอยู่ณเมืองตะเกิงเปนหลายเดือน ดูหน้าตาชื่นแช่มทั้งสองคน ได้ลูกเมียแล้วหรือยัง ข้าได้ยินว่าที่เมืองตะเกิงนั้น ลูกเมียเขารูปร่างงามๆ นั่งร้านขายแป้งหอมน้ำมันหอมอยู่ชุกชุมนัก มิติดพันธ์รักใคร่ได้กันคนละคนสองคนแล้วหรือ ๆ ยังมิได้ข้าจะช่วยหาให้ แต่อิสตรีในเมืองหลวงนี้รูปร่างไม่ใคร่งาม แลไม่ใคร่จะรู้ปฏิบัติผัวให้ชอบใจในเชิงสังวาศ ไม่เหมือนอิสตรีในเมืองตะเกิง ซึ่งเขารู้ในเชิงปฏิบัติผัวให้เปนที่ชอบ แป้งกระแจะจันทน์น้ำมันหอมเขาแต่งบำรุงหอมฟุ้งอยู่เปนนิจ รูปก็งามผัวจึงรัก ถึงจะมีผัวอยู่แล้ว ละทิ้งเสียไปหาผัวใหม่ก็ได้ มีผู้ชายรักเลี้ยงดูเขา อันสตรีในเมืองหลวงนี้ รูปไม่งามแต่น้ำใจดีมีเปนอันมาก ถึงจะตกทุกข์ได้ยากประการใดก็ไม่ทิ้งผัวได้ มีความสัตย์กตัญญูรักผัวเปรียบเสมือนหนึ่งบิดา เพราะน้ำใจมั่นคงซื่อตรงนัก พี่พ่อมอญก็มีปรีชา มังกันจีเปนนักปราชญ์มีปัญญาหลักแหลม จะรักสตรีเมืองไหนจงบอกมา ข้าจะช่วยหาให้ตามชอบใจ

พระยาน้อยได้ฟังก็ทรงพระสรวลอยู่ พ่อมอญกับมังกันจีแลดูหน้ากัน หัวเราะแล้ว มังกันจีจึงทูลแก้แทนพระยาน้อยว่า ซึ่งข้าพเจ้าตามเสด็จออกไปอยู่ณเมืองตะเกิงจะได้มีภรรยาหามิได้ ทำราชการอาสาเจ้า ก็เพราะหวังจะให้พระแม่เจ้าอยู่หัวได้ความสุข ข้าพเจ้าจะได้พึ่งบุญสืบไป จึงยังมิได้คิดมีภรรยา ถึงพบสตรีที่รูปงามก็ไม่รักรูปรักแต่น้ำใจ หมายว่าเสร็จราชการของพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ก็จะหาภรรยาในเมืองหลวงที่น้ำใจดี แม้นรูปมิงามก็ไม่ติประสงค์แต่น้ำใจ ถึงพระทัยของพระเจ้าอยู่หัวก็เหมือนกันดังนี้ ได้ตรัสประภาษกับข้าพเจ้าอยู่เนือง ๆ ว่า อันสตรีรูปงามไม่ดีเท่าสตรีที่น้ำใจงาม อันสตรีรูปงามอุปมาดังดอกสายหยุด ทรงคันธรสประทินอยู่แต่เวลาเช้า ครั้นสายแสงพระสุริยส่องกล้าแล้วก็สิ้นกลิ่นหอม อันสตรีน้ำใจงามน้ำใจดีซื่อสัตย์ต่อสามีนั้น อุปมาดังดอกซ่อนกลิ่นดอกพิกุล ย่อมหอมชื่นอยู่ช้านาน ดอกพิกุลนั้นถึงแห้งเหี่ยวก็ไม่หายหอม อนึ่งสตรีรูปงามน้ำใจไม่ดี อุปมาดังดอกทองกวาวแลดอกชะบาหากลิ่นมิได้ สตรีน้ำใจดีมีความซื่อสัตย์นั้น อุปมาดังดอกมณฑาแลดอกมลิซึ่งมีกลิ่นหอม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นเปรียบประดุจเดินไพรกันดาร พบดอกทองกวาวดอกชะบาก็ทรงเด็ดดมเชยชมพอบันเทาทุกข์ แต่ทรงพระคำนึงถึงดอกซ่อนกลิ่นดอกพิกุลอยู่มิได้ขาด ครั้งนี้ พระองค์ก็จะได้เถลิงถวัลย์ราชสมบัติเปนพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ยังไม่ถือพระอิสสริยยศ สู้อุสาหะลำบากพระกายเสด็จมาเยี่ยมเยือนดอกมณฑาแลมลิ ข้าพเจ้าเห็นว่า พระทัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซื่อสัตย์เที่ยงแท้ ถึงได้ใหม่ก็ไม่ลืมเก่าแลรักเก่ายิ่งกว่าใหม่

พระยาน้อยได้ทรงฟังมังกันจีแก้แทนดังนั้น ก็ทรงพระสรวลชอบพระทัยยิ่งนัก จึงหยิบสลาในพานพระศรีคำหนึ่ง มาป้อนให้มังกันจีเปนรางวัล แล้วตรัสว่า ครั้งนี้ข้าเปรียบเหมือนพระเจ้าวิเทหราชสู้ฝีปากนางอุทุมพรเทวีมิได้ จะรับผิดยอมแพ้เขาอยู่แล้ว นี่เปนบุญได้มโหสถบัณฑิตยไว้ มีสำนวนช่วยแก้ไขเอาชัยชนะได้ ตะละแม่ท้าวได้ฟังสำนวนมังกันจีก็ชอบพระทัย กลั้นพระสรวลมิได้ ช้อยชำเลืองพระเนตรดูมังกันจีแล้ว จึงแสร้งตรัสว่ารู้แล้วว่ามังกันจีมีปรีชาเฉียบแหลม ปัญญาเปนเข็มลิ้นเปนทอง ข้ากับเจ้าเข้ากันราวสุวรรณแกมแก้ว เลือกเอาแต่ความที่ดีมาเปรียบเทียบ น่าจะให้อีสาวใช้ออกไปหยิกตีเสียให้เจ็บ มังกันจีก็ก้มหน้ายิ้มอยู่ พระยาน้อยจึงทรงพระดำริห์ว่า ตะละแม่ท้าวนี้ชอบปลอบจึงจะหายหึงส์ จึงตรัสปลอบว่า พระน้องอย่าเกียจกันฉันทาเลย พี่มิได้ลืมคุณพระน้องผู้เพื่อนยาก จะแต่งตั้งให้เปนเอกอัครเรศยิ่งใหญ่กว่านารีทั้งปวง จึงตรัสเตือนว่า เร่งแต่งพระองค์เร็วเถิด จะได้ขึ้นไปคำนับพระบรมศพ

ฝ่ายตะละแม่ท้าวครั้นได้เห็นพระพักตร์ภัสดา ได้ตรัสตัดพ้อประชดเสียแล้ว ก็คลายประชวรพระโรค พระพักตร์ชื่นแช่มดังดอกสัตบงกชเมื่อแย้มบาน จึงสั่งสาวใช้ให้จัดธูปเทียนเข้าตอกดอกไม้เครื่องสักการบูชาเสร็จแล้ว นางพี่เลี้ยงนางนมก็เข้ามารับพ่อลาวแก่นท้าว นางพนักงานถือโคมนำเสด็จก็มารอคอย พระยาน้อยก็พาตะละแม่ท้าวแลพ่อลาวแก่นท้าวเสด็จไปยังพระมหาปราสาท ฝ่ายพ่อมอญมังกันจีแลพวกทหารทั้งปวง ครั้นส่งเสด็จถึงพระทวารชั้นใน ก็กลับไปพักอยู่ณท้องพระโรงนอก ตะละแม่ท้าวก็พาพ่อลาวแก่นท้าวเข้าไปกระทำสักการบูชาคำนับพระบรมศพสมเด็จพระราชบิดา ซึ่งชาวพนักงานเชิญลงสู่พระโกษทองนั้น แล้ว ทรงพระกรรแสงตรัสรำพรรณขอขมาโทษเสร็จแล้ว พระยาน้อยเห็นว่าตะละแม่ท้าวประชวรพระโรคเรื้อรังอยู่หลายเดือน ก็มิได้เสด็จกลับออกมา ให้ประทมอยู่ณตำหนักในพระราชวัง หวังว่าจะรักษาพระโรคเสียให้หาย จึงให้ตะละแม่ท้าวเสวยทิพโอสถขนานหนึ่งเรียกว่าหอมเหลืองทองเปนโอสถสำหรับรักษาโรคสตรี ตะละแม่ท้าวครั้นได้เสวยทิพโอสถแล้วก็สว่างพระอารมณ์ ซึ่งพระโรคเรื้อรังในพระกายก็คลายลงทันที อุส่าห์แข็งพระทัยเสวยประมาณเก้าครั้งสิบครั้งหวังจะให้หายขาด ตั้งแต่ยามหนึ่งจนล่วงเข้าเวลายามสามก็สบายพระทัย พระวาโยธาตุแลพระอาโปธาตุซึ่งเดินขัดข้องนั้น ก็เดินสดวกเปนปกติดี จึงเอนองค์ลงสู่นิทรารมณ์ประทมหลับไปทั้งสองพระองค์

ครั้นเวลารุ่งเช้าพระยาน้อยเสด็จออกยังที่ว่าราชการ สมิงชีพรายอำมาตย์ทินแลเสนาพฤฒามาตย์ ผู้ใหญ่ผู้น้อยเข้าเฝ้าพร้อมกัน พระยาน้อยทอดพระเนตรเห็นอำมาตย์ทินแล้วก็ให้ทรงพระโกรธ สำคัญว่าอำมาตย์ทินยังจะเปนเสี้ยนสัตรูอยู่ จึงตรัสเปรียบประเทียบแก่เสวกามาตย์ทั้งปวงว่า ผงเข้าตาเราอยู่สองอัน เอาออกเสียได้อันหนึ่งแล้ว แต่อันหนึ่งนั้นยังเคืองตาเราอยู่นัก ไม่สบายใจเลย ทำไฉนเราจะเอาออกเสียได้

ฝ่ายอำมาตย์ทินได้ฟังพระยาน้อยตรัสดังนั้น ก็รู้เท่าว่าพระยาน้อยตรัสเปรียบปรายตัว จึงทูลขึ้นทันทีว่า ซึ่งพระองค์ตรัสประภาษมานี้ ข้าพเจ้าก็ทราบอยู่แล้วว่า พระองค์มีพระทัยพิโรธมั่นหมายข้าพเจ้า ๆ จะขอชี้แจงถวายให้พระองค์ทรงเห็นซึ่งความจริง อันตัวข้าพเจ้าผู้เฒ่า ตั้งจิตต์ซื่อตรงเปนบรรทัด แต่ก่อนนั้นจะได้คิดเข้ากับด้วยพระองค์หามิได้ จะเข้ากับสมิงมราหูนั้นก็หามิได้ ด้วยข้าพเจ้าตั้งใจรักษาสัตย์กตัญญูสวามิภักดิ์อยู่ใต้ฝ่าพระบาทสมเด็จพระมหากษัตราธิราชเจ้า อันเสด็จประดิษฐานอยู่ในมหาเสวตรฉัตร ตั้งใจฉลองพระเดชพระคุณด้วยความซื่อสัตย์รักษาประเพณีแผ่นดินไว้ มิได้กระทำน้ำใจให้เปนสอง แลเมื่อพระองค์ยกกองทัพมาตั้งอยู่ณตำบลวัดสิงหคุตนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชบิดาของพระองค์ ยังมิได้เสด็จสวรรคต เสนาอำมาตย์มนตรีผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงชวนกันแต่งเครื่องราชบรรณาการแลหนังสือ ให้คนสนิทลอบนำออกไปถวายพระองค์ แต่ข้าพเจ้าผู้เดียวมิได้ทำน้ำใจเปนสอง ให้คนนำเครื่องราชบรรณาการแลหนังสืออกไปทูลถวายพระองค์ดุจขุนนางทั้งปวง เพราะเหตุกลัวจะเสียขนบธรรมเนียมในเสนาบดีวัตรประเพณีไป จึงยอมสู้เสียสละชีวิตหวังจะรักษาประเพณีไว้มิให้แปรปรวนได้ แลเมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินกองทัพ จะเข้าสู่พระนครนั้น สมเด็จพระราชบิดาของพระองค์เสด็จทิวงคตแล้ว ข้าพเจ้าเห็นพระองค์เปนพระราชบุตร ควรที่จะได้ผ่านสมบัติสืบขัติยราชประเพณี ปกป้องไพร่ฟ้าประชาราษฎรสมณชีพราหมณ์ให้อยู่เย็นเปนสุข ข้าพเจ้าก็มีความยินดี จึงรีบออกไปเปิดพระทวารรับเสด็จพระองค์แต่บานหนึ่ง ซึ่งปิดไว้แต่บานหนึ่งนั้น เพราะเหตุว่าพระบรมศพยังมิได้ถวายพระเพลิง ข้าพเจ้ายังรักษาพระศพอยู่ จึงมิได้เปิดรับทั้งสองบาน ซึ่งทำทั้งนี้หวังจะให้เปนแบบแผนของเสนาบดีผู้ซื่อสัตย์ต่อเจ้า ถ้าสมเด็จพระราชบิดาของพระองค์ อันเปนพระเจ้าอยู่หัวของข้าพเจ้านั้น ยังสถิตย์ดำรงอยู่ในบวรเสวตรฉัตร์แล้ว แม้นพระองค์กรีธาพลเข้ามาจะหักเอาเมือง ข้าพเจ้าก็จะปิดประตูพระนครไว้ให้มั่นคง จะจัดแจงพลทหารพร้อมด้วยเครื่องสาตราวุธ ให้ขึ้นประจำรักษาหน้าที่เชิงเทินประตูหอรอบไว้มั่นคงเปนสามารถ จะรับอาสาสู้รบพระองค์ไปกว่าจะสิ้นปัญญาแลฝีมือข้าพเจ้า ควรจะไว้ชื่อให้ปรากฎเปนเกียรติยศสืบไปในแผ่นดิน ถึงตัวข้าพเจ้าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต ซึ่งความดีความชอบได้ทำไว้ ถึงมนุษย์ทั้งปวงไม่เล็งเห็นแล้ว จะขอฝากไว้แก่เทพยดาผู้มีทิพเนตรทิพกรรณ ถ้าพระองค์จะผูกพระทัยพิโรธเอาโทษข้าพเจ้าดังนี้แล้ว นานไปภายหน้าไหนเลยจะมีเสนาบดีที่จงรักภักดีซื่อสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งดำรงอยู่ในเสวตรฉัตร์นั้นหามิได้แล้ว ก็จะมีแต่คนสอพลอคดโกง ชนะไหนพลอยด้วย หาความสัตย์กตัญญูต่อเจ้ามิได้ อันจะหาคนซื่อสัตย์กตัญญูนั้นหายาก คนคดโกงอกตัญญูนั้นหาง่าย เปรียบประดุจดวงแก้วมณีแลศิลา ซึ่งดวงแก้วมณีเกิดในศิลานั้น ร้อยพันภูเขาจึงมีสักแห่งหนึ่ง ศิลานั้นหาง่ายมีทั่วหล้า อนึ่งคนซื่อสัตย์กตัญญูต่อเจ้านั้นเปนที่ยังพระนครให้รุ่งเรืองเจริญ คนอาสัตย์อักตัญญูต่อเจ้านั้นเปนที่ยังพระนครให้ฉิบหาย ซึ่งข้าพเจ้าทูลเปรียบเทียบถวายโดยความซื่อสัตย์ดังนี้ แม้นพระองค์มิทรงเห็นด้วยจะเอาโทษข้าพเจ้าจริงแล้ว ข้าพเจ้าก็จะยอมตายถวายชีวิต แต่ขอพระองค์ทรงพระดำริห์ดูจงควร

พระยาน้อยได้ทรงฟังอำมาตย์ทินทูลดังนั้น ก็สิ้นความวิมุติสงสัย มีพระทัยยินดีนัก จึงตรัสสรรเสริญว่าเรามิทันรู้ อำมาตย์ทินผู้นี้เปนคนซื่อตรงต่อแผ่นดิน สมควรที่จะเปนผู้เฒ่าแล้ว ดุจหนึ่งขุนพลแก้ว แลแก้วของบรมจักรพรรดิราชอันหาค่ามิได้ ไม่เสียทีสมเด็จพระราชบิดาเราปลูกเลี้ยงไว้ จะเปนกระทู้หลักแผ่นดินสืบไปภายหน้าได้แล้ว เรามิได้ทันพิจารณาหลงพิโรธท่าน เราขออภัยโทษเถิด จึงทรงพระกรุณาตั้งให้เปนอำมาตย์ทินมณีกรอด แล้วพระราชทานเงินทองเสื้อผ้า เครื่องอุปโภคบริโภค โปรดให้กินเมืองเสรียง เปนที่ปรึกษาราชการ

ครั้นแล้วพระยาน้อยจึงตรัสสั่งเสนาบดี ให้จัดทำการพระเมรุมาศขนาดใหญ่ ซึ่งจะถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระราชบิดากำหนดให้แล้วโดยเร็ว เสนาบดีรับพระราชโองการใส่เกล้าแล้ว ก็ออกมาสั่งให้แจกหมายรายไปทั่วทุกหมวดกรม เกณฑ์ระดมไพร่ให้มีนายด่านนายกองกำกับ กระทำพระเมรุมาศโดยขนาดสูงใหญ่ณตำบลเนินเขาแห่งหนึ่งในเมืองพะโค ประกอบด้วยเมรุทิศเมรุแซกทั้งแปดทิศ วิจิตรด้วยรูปปั้นสลักวาดเขียน กระทำสุวรรณเบ็ญจาห้าชั้น ซึ่งจะรองรับพระโกษ แลประดับด้วยรูปภาพมีเพศพรรณ อีกสิ่งของเครื่องตั้งบูชาพระบรมศพถ้วนทุกสิ่ง ตามอย่างธรรมเนียมมีเปนอันมากพร้อมเสร็จ เสนาบดีจึงเข้ากราบบังคมทูลว่าพระเมรุมาศสำเร็จแล้ว

พระยาน้อยจึงตรัสสั่ง ให้หาพระโหราธิบดีพฤฒามาตย์หาฤกษ์ แลสั่งให้เกณฑ์ขบวนแห่ทั้งปวงเตรียมไว้พร้อม ครั้นได้มุหุติวารศุภฤกษ์ก็ให้เชิญพระบรมศพขึ้นสู่ยานมาศราชรถ ตั้งขบวนแห่แห่นไปยังพระเมรุณตำบลเนินเขา พระองค์เสด็จพร้อมด้วยพระญาติวงศา ข้าทูลลอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง นำพระบรมศพไปสถิตประทับพระเมรุมาศแล้ว จึงให้มีการมหรสพสมโภชเจ็ดวันเจ็ดคืน ให้มีพระสัทธรรมเทสนาแลพระสงฆ์สดับปกรณ์ถวายไทยทาน โปรยทานแก่วัณณิพกคนอนาถา บำเพ็ญพระราชกุศลทุกวันมิได้ขาด ครั้นถึงวันคำรบเจ็ด พระองค์กับตะละแม่ท้าวแลพ่อลาวแก่นท้าว พระสนมกรมชาวแม่ท้าวนางเฒ่าแก่ภายใน แลเสนาบดีพฤฒามาตย์ราชกระวี มนตรีพระหลวงขุนหมื่นข้าราชการน้อยใหญ่ภายหน้า กับทั้งพระสงฆ์ราชาคณะ ถานานุกรมเปรียญทั้งปวงพร้อมกัน ถวายพระเพลิงปลงพระบรมศพเสร็จแล้ว พระยาน้อยจึงตรัสสั่งให้แจงพระรูป เชิญพระอัฐิใส่ในโกษทองขนาดน้อยแห่เข้าไปไว้ณพระรัตนมหาปราสาท ให้มีมหรสพสมโภชอีกสามวันสามคืน แลให้ก่อพระเจดีย์สถานสูงใหญ่ เชิญพระอัฐิเหลือนั้นเข้าบันจุไว้ในพระมุเตา ริมพระธาตุกลอมปอนตามอย่างราชประเพณี ซึ่งเคยบันจุพระอัฐิพระมหากษัตราธิราชแต่ก่อนสืบมา

ครั้นเสร็จการปลงพระบรมศพแล้ว พระยาน้อยก็ทรงพระดำริห์ถึงนางเม้ยมะนิกรูปงาม ซึ่งฝากพระยาอินทโยธาไว้ณเมืองตะเกิง ครั้นจะรับมาด้วยเมื่อเสด็จดำเนินกองทัพนั้นก็เกรงจะระหกระเหิน เพราะไม่รู้ว่าจะได้เมืองหรือมิได้ อนึ่งแม้นมีชัยชนะข้าศึกได้เมืองแล้ว ครั้นจะรับเข้าไปด้วย ก็กลัวจะเกิดความหึงส์หวงกันกับตะละแม่ท้าว จะได้รับความอัปยส ครั้งนี้ก็ได้ปลอบโยนตะละแม่ท้าวให้คลายความขึ้งเคียด แลถวายพระเพลิงพระบรมศพเสร็จแล้ว ควรจะให้ไปรับมา จึงตรัสสั่งพ่อมอญพระพี่เลี้ยง ให้คุมเฒ่าแก่ชาวแม่พระสนมทั้งปวงลงเรือพระที่นั่งเก๋งทองไปรับนางเม้ยมะนิก

พ่อมอญรับสั่งแล้วก็ถวายบังคมลาออกมา สั่งเจ้ากรมนาวะยานให้จัดเรือพระที่นั่งเก๋งทอง เกณฑ์ฝีพายพลทหารครบครัน อีกทั้งเรือพระหลวงขุนหมื่นซึ่งจะติดตามแห่แหนนั้นพร้อมแล้ว พ่อมอญก็คุมนางเฒ่าแก่ชาวแม่พระสนมออกเรือพระที่นั่งรีบไปถึงเมืองตะเกิง จึงเชิญเฒ่าแก่ชาวแม่พระสนมทั้งปวงขึ้นยังตำหนักที่พระยาน้อยให้ปลูกไว้เปนที่อยู่ประทับ นางเม้ยมะนิกก็ออกมาต้อนรับ เชิญเฒ่าแก่พระสนมให้นั่งที่สมควร ส่วนตัวพ่อมอญกับบ่าวไพร่ก็ไปหาพระยาอินทโยธาผู้รักษาเมือง พระยาอินทโยธาก็ออกมาต้อนรับ เชิญให้พ่อมอญนั่งที่สมควร แล้วเรียกภรรยาข้าสาวใช้ให้ออกมาจัดของเครื่องรับแขก พ่อมอญกระทำคำนับพระยาอินทโยธาแล้วพินิจดูเห็นหน้าตาเบิกบานนัก จึงกล่าวยกยอว่าประเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าดูรูปกายท่านผ่องใสอวบอ้วนยิ่งกว่าเก่า ราวกับเทพยดามาชุบให้เปนหนุ่มขึ้น งามสมบุญยิ่งนัก หรือสึกออกมาแล้วได้บริโภคอาหารหลายเวลา แลมีอันเตวสิกสาวๆ ปฏิบัติ ซึ่งเมื่อยขบเปนปัตตะฆาฏนั้น เขาช่วยนวดเฟ้นเส้นสายให้หายโรคแลหรือ ท่านจึงเปนหนุ่มขึ้นดังนี้ พระยาอินทโยธาได้ฟังก็หัวเราะ นางภรรยาสาวๆ นั้นชำเลืองค้อนแล้วอายยิ้มอยู่ในที

พระยาอินทโยธาจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าข้าพเจ้าเปนหนุ่มนั้นก็ให้สมพรปากท่านเถิด แต่ข้าพเจ้าทุกวันนี้ แก่แต่กาย น้ำใจหนุ่ม ครั้นจะรับว่าเปนหนุ่มทั้งตัวแลน้ำใจก็จะเปนคนบ้ายอ ครั้นจะพูดย่อท้อว่าแก่เสียทั้งนั้น คนในเรือนก็จะเสียใจ พ่อมอญหัวเราะแล้วจึงบอกว่า บัดนี้มีรับสั่งพระเจ้าอยู่หัวให้ข้าพเจ้าคุมเฒ่าแก่พระสนมมารับพระสนมเอก พระยาอินทโยธาได้ฟังก็ดีใจ หมายว่าจะได้ปลดเปลื้องธุระ จึงพาพ่อมอญแลภรรยาไปยังตำหนักนางเม้ยมะนิก หวังจะช่วยส่งให้เปนทางคำนับ พ่อมอญจึงคำนับแจ้งความว่า บัดนี้พระเจ้าอยู่หัวดำรัสใช้ให้ข้าพเจ้ามาเชิญพระแม่เจ้าเข้าไปยังกรุงพะโค นางเม้ยมะนิกได้แจ้งก็ดีใจ อุปมาดังได้ไปสวรรค์ทั้งเปน ผิวพักตร์ขึ้นทันที เปรียบประดุจพระจันทร์เมื่อวันเพ็ญ จึงแต่งกายสรรพเสร็จ มีหญิงญาติแลข้าเก่าแลสาวใช้พรั่งพร้อม จึงคำนับลาพระยาอินทโยธา ฝ่ายเฒ่าแก่ชาวแม่พระสนม ก็เชิญนางเม้ยมะนิกลงเรือพระที่นั่งเก๋งทอง มีม่านปิดป้องกำบัง พระยาอินทโยธาก็ตามลงมาส่ง กับด้วยภรรยาบ่าวไพร่ พ่อมอญคำนับลาพระยาอินทโยธาแล้ว ก็ลงเรือลำหนึ่งพร้อมด้วยบ่าวไพร่ฝีพาย จึงสั่งให้ออกเรือพระที่นั่ง เร่งฝีพายพลทหารเรือพระหลวงขุนหมื่นข้าราชการทั้งปวงซึ่งติดตามแห่แหนซ้ายขวาหน้าหลังคู่แห่คู่ชักนั้น ก็ออกเรือเปนลำดับกัน เสียงพลพายขานยาวฉาวสนั่น ดูสพึบพร้อมดาสดา เร่งรีบฝีพายมาถึงเมืองพะโค เรือพระที่นั่งก็เข้าเทียบประทับหน้าฉนวนตำหนักน้ำ ฝ่ายท้าวนางเฒ่าแก่โขลนจ่าข้าหลวงพระสนมอีกพวกหนึ่งซึ่งพระยาน้อยจัดให้ออกมารับแทนพระองค์ คอยอยู่ณตำหนักน้ำ แต่ธรรมเนียมแห่อย่างธรรมเนียมแต่ก่อนนั้นมิได้โปรดสั่งให้กระทำ เกรงคนทั้งปวงจะครหาได้ เพราะเม้ยมะนิกมิใช่สาวบริสุทธิพรหมจารีย์แท้ เปนแต่ภรรยาของผู้อื่นไปแย่งชิงมา จึงโปรดให้ไปรับมาเงียบๆ

ฝ่ายเฒ่าแก่ท้าวนางพระสนมทั้งสองพวกนั้น ก็เชิญนางเม้ยมะนิกขึ้นสู่วอ มีม่านทองป้องปิดมิดชิด อันชาวพนักงานเตรียมมารอคอยอยู่แล้ว พลตำรวจทหารแลขุนนางทั้งปวงก็ตามส่ง พอเข้ายังประตูพระราชวังใน ฝ่ายพ่อมอญแลพระหลวงขุนหมื่นทั้งปวง ก็พากันไปเฝ้าพระยาน้อยณท้องพระโรงข้างหน้า พ่อมอญจึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าไปรับพระสนมเอกมา ให้เฒ่าแก่ชาวแม่พระสนมเชิญเข้ามาสู่พระราชวังแล้ว พระยาน้อยได้ทรงฟังก็ดีพระทัยนัก

ขณะนั้นพระสังฆราชาคณะกับพระสงฆ์ห้าสิบแปดรูปผู้รู้ไตรปิฎกคิดการปรึกษากันแล้ว จึงเข้ามาถวายพระพรพระยาน้อยว่า อันประเพณีพระมหากษัตราธิราชเจ้าแต่ก่อน ซึ่งพระองค์ได้ดำรงพิภพขัณฑสีมาอาณาเขตต์สืบ ๆ มานั้น ก็ย่อมประกอบด้วยเครื่องเบ็ญจราชกกุธภัณฑ์ ตั้งการพิธีภิเศกก่อน จึงเปนศรีสวัสดิมงคลแก่ราชสมบัติ แลบัดนี้พระองค์มีพระเดชเดชานุภาพใหญ่หลวงนักจึงมีชัยชนะในสงคราม แลได้เมืองพะโคโดยง่าย แต่ยังมิได้ตั้งการพระราชพิธีปราบดาภิเศกก่อน ซึ่งจะเถลิงถวัลยราชสมบัตินั้นก็ยังมิได้ต้องโดยโบราณราชประเพณีพระมหากษัตราธิราชเจ้าแต่ปางก่อน อาตมาภาพทั้งปวงจะขอรับพระราชทานพระราชวโรกาสให้ตั้งการพระราชพิธีปราบดาภิเศก หวังจะให้พระองค์ทรงพระเดชเดชานุภาพยิ่งขึ้นไป

พระยาน้อยได้ทรงฟังพระสังฆราชาคณะถวายพระพรดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงตรัสปรึกษาเสนาบดีทั้งปวงว่า ที่แห่งใดจะเปนที่ไชยภูมิได้บ้าง ปรึกษายังมิทันตกลง ขณะนั้นพอพระยาอินทโยธาซึ่งรักษาเมืองตะเกิงนั้น จึงคิดว่าครั้งนี้พระเจ้าอยู่หัวของเราได้ราชสมบัติแล้วเห็นจะกระทำการราชาภิเศก จำจะเข้าไปเฝ้าฟังข่าวดู จึงให้กรมการอยู่รักษาเมือง มีบ่าวไพร่พร้อม แล้วก็ขึ้นช้างรีบมาเฝ้า พอพระยาอินทโยธาเข้ามาถึงกราบถวายบังคม พระยาน้อยทอดพระเนตรเห็นก็ดีพระทัยทรงพระสรวล จึงตรัสไต่ถามความเมืองเล็กน้อยแล้ว ก็ตรัสปรึกษาด้วยที่ไชยภูมิ พระยาอินทโยธารับพระโองการใส่เกล้าฯ แล้วจึงปรึกษากับมังกันจี เห็นสมควรแล้วจึงกราบทูลว่า ที่ปลอยกุฏิ์นั้น แต่ก่อนพระมหากษัตราธิราชเจ้าได้เสวยราชสมบัติเคยตั้งกระทำพระราชพิธีมงคลการเปนที่ไชยภูมิดี จะขอรับพระราชทานให้ตั้งพระราชพิธีในที่นั้น

พระยาน้อยจึงตรัสว่า แม้นท่านทั้งปวงปรึกษาเห็นชอบดีพร้อมกันแล้วก็ตามเถิด พระยาอินทโยธากับมังกันจีรับพระราชโองการแล้ว จึงให้ตั้งโรงพระมหามณฑปณที่พระปลอยแล้วไปด้วยไม้มะเดื่อ ครั้นเสร็จการทั้งปวงแล้ว จึงกราบทูลถวายพระมหาพิชัยฤกษ์ ซึ่งจะทำพระราชพิธีมงคลการกำหนด ตะละแม่ท้าวนั้นเปนพระอัครมเหษีฝ่ายขวา นางเม้ยมะนิกเปนอัครมเหษีฝ่ายซ้าย ครั้นได้พระมหาพิชัยฤกษ์แล้ว พระยาน้อยแต่งพระองค์เสร็จก็เสด็จขึ้นสรงพระหัสธาราในพระมหามณฑป แล้วเสด็จขึ้นสู่พระที่นั่งอุทุมพรภัทรบิฐเหนือแผ่นสุวรรณอันเขียนรูปราชสีห์ภายใต้พระมหาเสวตรฉัตร์ ทรงคอยตะละแม่ท้าวอยู่ในขณะนั้น

ฝ่ายตะละแม่ท้าวมีความเดียดฉันท์เม้ยมะนิก ด้วยความริษยาหึงษ์หวง ทรงพระดำริห์ว่า เราไม่รู้เลยว่าพระสามีจะรักใคร่อีเม้ยมะนิกถึงเพียงนี้ คิดว่าจะรักโดยฉันท์ว่ารูปงาม จะปลูกเลี้ยงเปนนางสนมเท่านั้น นี่จะภิเศกเปนมเหษีฝ่ายซ้ายให้คู่เคียงกับเรา อนึ่งบุตรีท้าวพระยาเมืองขึ้นเมืองออก แลราชธิดากษัตริย์ซึ่งเปนเอกราช คือกรุงลาว กรุงไทย กรุงพม่า ก็มีเปนอันมาก พอจะหาได้ที่คู่ควร ช่างกะไรพระทัยของพระสามี รักกายิ่งกว่าหงษ์ รักทองเหลืองยิ่งกว่าทองคำดังนี้ นึกก็น่าแค้นใจ อนึ่งเราเปนราชธิดาพระมหากษัตริย์เกิดในเสวตรฉัตร์ คนทั้งปวงก็เรียกว่าลูกเจ้า ซึ่งจะนั่งคู่ร่วมที่เคียงกันกับอีเม้ยมะนิกลูกไพร่ เจ้าแป้งเจ้าน้ำมันเมืองตะเกิงนั้น อายแก่เสนาพฤฒามาตย์ทั้งปวงได้ความอัปยศนัก มิได้เปนอัครมเหษีก็แล้วไปเถิด ตะละแม่ท้าวนึกมานะน้อยพระทัยก็มิได้เสด็จมา พอจวนใกล้พระฤกษ์ พระยาน้อยมิได้เห็นตะละแม่ท้าวออกมา ก็สดุ้งพระทัยเกรงตะละแม่ท้าวจะทำยศอย่างหึงษ์หวงอยู่ให้เนิ่นช้าเกินกำหนดกาล จึงตรัสสั่งเฒ่าแก่สาวใช้ให้ไปเชิญออกมาโดยเร็ว นางเฒ่าแก่ชาวแม่ทั้งปวงก็เข้าไปทูลเตือนตะละแม่ท้าวว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสใช้ให้ข้าพเจ้ามาเชิญ เร่งแต่งพระองค์เร็วเถิดเกือบใกล้จะได้พระฤกษ์อยู่แล้ว ตะละแม่ท้าวกำลังแค้นพระทัย จึงตรัสถามว่า อีเม้ยมะนิกมันไปแล้วหรือยัง เฒ่าแก่จึงทูลว่า ข้าพเจ้าเห็นที่ตำหนักเตรียมพร้อมแล้ว จะคอยให้พระแม่เจ้าอยู่หัวเสด็จก่อน ตะละแม่ท้าวจึงตรัสว่า อีรูปสวยทำไมไม่แบกหน้าออกไปรับเสด็จก่อนเล่า จะมาคอยข้าทำไม ข้าคนบุญน้อยแล้วจะตามหลังเขาออกไป ท่านทั้งปวงจงพากันไปเถิด เฒ่าแก่ชาวแม่ทั้งปวงกลับมากราบทูลตามคำตะละแม่ท้าวว่าทุกประการ

พระยาน้อยได้ฟังก็ทรงพระพิโรธ แต่ทรงคิดถึงความหลังเอาความรักเข้ามาหักความโกรธข่มพระทัยไว้ จึงตรัสสั่งเฒ่าแก่แต่เบา ๆ ให้ไปแจ้งความแก่พระมารดาตะละแม่ท้าว ให้พระมารดาไปช่วยปลอบโลมพาตัวตะละแม่ท้าวมาจงได้ แล้วพระองค์ทรงเห็นว่า เม้ยมะนิกจะเกรงกลัวตะละแม่ท้าวมิอาจจะมาก่อน กลัวจะประชดประชันว่าแย่งชิงออกหน้า เผื่อจะคลาดเสียฤกษ์ราชพิธี จึงให้ไปเตือนเม้ยมะนิกมาไว้

ฝ่ายนางมหาจันท์เทวีพระมารดาตะละแม่ท้าว ครั้นเฒ่าแก่มาบอกว่ามีรับสั่งดังนั้น ก็เรียกข้าสาวใช้รีบไปยังตำหนักตะละแม่ท้าว เห็นท้าวนางเฒ่าแก่หลวงแม่เจ้าพนักงานนำพระภูษาแลเครื่องประดับของประทานมารอคอย จะช่วยแต่งพระองค์ตะละแม่ท้าวอยู่พร้อม จึงเข้าสู่ตำหนัก เห็นตะละแม่ท้าวกอดพ่อลาวแก่นท้าวนิ่งอยู่ก็โกรธ จึงตรัสว่า นี่ไว้ยศไว้อย่างไปถึงไหน มีรับสั่งให้มาเตือนว่า จวนฤกษ์แล้วก็ยังมิไป ไม่รักเปนเอกจะรักเปนโทแลกระมัง ลูกอะไรแสนงอนสอนยากเช่นนี้ ตะละแม่ท้าวได้ฟังพระมารดาตัดพ้อ จึงวอนไหว้แล้วว่า ข้าพเจ้ามีความแค้นความอายยิ่งนัก มิได้อภิเศกก็แล้วไปเถิด พระมารดาก็อ้อนวอนถึงสองครั้งสามครั้ง ตะละแม่ท้าวก็ทรงพระกรรแสงนิ่งเสีย นางมหาจันท์เทวีก็ร้องไห้จึงว่า แต่ก่อนได้พึ่งพ่อ ๆ หาไม่หมายจะได้พึ่งผัว เมื่อลูกไม่คิดพึ่งผัวแล้ว ก็ฆ่าแม่เสียเถิด อย่าให้แม่อยู่อายแก่คนทั้งปวงเลย ตะละแม่ท้าวก็นิ่งเสีย นางมหาจันท์เทวีเห็นเหลือจะปลอบแล้ว ก็ร้องไห้กลับออกมาบอกเฒ่าแก่ ๆ เข้าไปทูลพระยาน้อย ๆ ก็ทรงพระโกรธเปนกำลัง พระเสโทไหลลงโทรมพระพักตร์ ทรงพระดำริห์ว่า ได้ทำดีมาแต่ต้นแล้วจำจะต้องทำไปจนตลอด ให้ญาติวงศ์ทั้งปวงเห็นว่าใจดีสักหน่อย จึงให้หามุอายลาวแม่นมเข้ามาตรัสว่า ตะละแม่ท้าวนี้ถือตัวยิ่งนัก ข้าตามใจเขา ๆ ไม่ตามใจข้า ข้าง้อเขา ๆ ยิ่งงอน ๆ จนเกินงาม แม่ช่วยไปเตือนให้ครบสามครั้งเสียหน่อยเถิด ฤกษ์ก็จวนเต็มทีแล้ว มุอายลาวรับสั่งแล้ว ก็รีบไปเตือนตะละแม่ท้าวทูลว่า มีรับสั่งให้ข้าพเจ้าเข้ามาเตือน เชิญพระแม่เจ้าเร่งแต่งพระองค์เร็วเถิด นาฬิกาตีกระชั้นเข้ามา เกือบจะใกล้ได้พระฤกษ์แล้ว ถ้าช้าเห็นจะเสียการ ตะละแม่ท้าวจึงตอบว่า ข้าไม่อยากภิเศกแล้ว เพราะความแค้นความอายอยู่ในทรวงอกสักเท่าภูเขา มุอายลาวจึงทูลปลอบว่า พระแม่เจ้าอย่าลุอำนาจฉันทาคติเลย พระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระพิโรธนัก ซึ่งพระแม่เจ้ากลัวจะเสียศิริศักดิ์นั้น ข้าพเจ้าจะอุปมาถวาย องค์พระแม่เจ้าเปรียบเหมือนทองคำธรรมชาติ เม้ยมะนิกเปรียบประดุจทองแปรธาตุ อันนายช่างซัดยาแต่งสีขึ้นให้งามแล้วมาตั้งไว้เคียงกัน ทองธรรมชาตินั้นสีจะได้ตกต่ำไปหามิได้ ก็คงที่อยู่ว่าเนื้อนพคุณ อันทองซัดยานั้นก็คงที่เรียกว่าทองแปรธาตุ จะมากลบลบรัศมีทองธรรมชาตินั้นหามิได้ ซึ่งพระเจ้าแม่มีพระทัยรังเกียจเม้ยมะนิก ก็เหมือนดังข้าพเจ้าเปรียบเทียบถวายดังนี้ ตะละแม่ท้าวได้ฟังมุอายลาวว่าดังนั้นก็คลายความขึ้งเคียดลง จึงตรัสว่า แม่ว่ากล่าวให้ฟังค่อยหายรำคาญหน่อยหนึ่ง ถ้ากระนั้นข้าจะไป จึงรีบแต่งพระองค์เสร็จแล้วเสด็จลงจากพระตำหนัก พร้อมด้วยเฒ่าแก่ชาวแม่พระสนมแวดล้อม

ขณะนั้นมีกาตัวหนึ่งบินผ่านมา ตะละแม่ท้าวเห็นก็ให้หวาดหวั่นพระทัย รีบเสด็จมา ๆ ก็มิทัน มุอายลาวก็รีบไปจะเข้าราชมณฑปกราบทูลก็มิทัน พอประจวบพระฤกษ์กำหนดการพระราชพิธีภิเศกแล้ว พระยาน้อยคอยตะละแม่ท้าวอยู่ไม่เห็นเสด็จมา ก็ทรงพระโกรธยิ่งนัก แม่เม้ยมะนิกนั้นมาทันฤกษ์พระราชพิธี เสนาบดีทั้งปวงก็อัญเชิญเม้ยมะนิกขึ้นนั่งบนกองทองตามถานานุกรมแล้วก็ให้ลั่นฆ้องกลองแตรสังข์ดุริยดนตรีก็ประโคมขึ้นพร้อมกัน อภิเศกเม้ยมะนิกนั้นแต่ผู้เดียวขึ้นเปนพระอัครมเหษีฝ่ายซ้าย ถวายพระนามว่าพระนางปิยราชเทวี เพราะว่าเปนที่รักของพระยาน้อย ฝ่ายพระสังฆราชาคณะก็เจริญปริตรถวายไชยมงคล แลชีพ่อพราหมณ์ถวายอาเศียรภาศ น้ำกรดน้ำสังข์ตามพระราชพิธีไสยเวท ครั้นกระทำการพระราชพิธีปราบดาภิเศกเสร็จแล้ว สมณชีพราหมณ์เสนาพฤฒามาตย์ทั้งปวงจึงปรึกษากันว่า จะขอถวายพระนามพระยาน้อยใหม่ เพื่อจะให้เปนมงคลศิริสถาพรอันยิ่ง

ฝ่ายมังกันจีแลพระยาอินทโยธาราชปะโรหิตาจารย์ทั้งปวงจึงว่า พระนามพระราชบุตรพระเจ้าอยู่หัวใหม่ของเรานี้ เปนนามราชสีห์ จะถวายพระนามให้ออกพระนามเรียกว่า สมเด็จพระเจ้าสีหราชาธิราช แล้วจึงชวนกันอธิษฐานว่า ถ้าแลพระนามนี้จะเปนศุภมงคลอันประเสริฐ สมควรแก่พระมหากษัตราธิราชอยู่แล้ว แลเสวตรฉัตร์ซึ่งตั้งหุบไว้ ขอจงบันดาลกางขึ้นให้เห็นประจักษ์แก่ตาคนทั้งปวงตามคำอธิษฐานนี้เถิด ครั้นเสนาบดีราชปะโรหิตทั้งปวงประกอบพระนามอธิษฐานดังนั้นแล้ว เสวตรฉัตร์ซึ่งหุบอยู่นั้นก็กางขึ้น เห็นเปนมหัศจรรย์ยิ่งนักประจักษ์แก่ตาคนทั้งปวง ขณะนั้นสมณชีพราหมณ์เสนาพฤฒามาตย์ราชปะโรหิตทั้งปวงก็ถวายพระยามพระยาน้อย จึงออกพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าสีหราชาธิราชสืบมา แต่คนภายนอกออกพระนามเรียกสีหอักษรในเบื้องต้นทั้งสองนั้นมิถึง เรียกแต่พระเจ้าราชาธิราช

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ