พระนารายน์
พระเป็นเจ้าซึ่งมักจะออกนามว่านารายน์นั้น คือผู้ที่มีนามโดยเฉพาะว่า วิษณุ หรือ พิษณุ พวกพราหมณ์นับถือเป็นองค์ ๑ ในพระเป็นเจ้าทั้งสามของเขา และพราหมณ์บางเหล่า ก็ยกย่องว่าเป็นใหญ่กว่าพระเป็นเจ้าทั้งปวง พราหมณ์ผู้นับถือพระนารายน์ว่าเป็นใหญ่ยิ่งเช่นนี้ ได้นามว่า ไพษณพ (ไวษ์ณว)
ในชั้นต้น เมื่อพระไตรเพทยังเป็นคัมภีร์หลักแห่งลัทธิไสยศาสตร์นั้น พระวิษณุมิได้เป็นเทวดาอันมีฤทธานุภาพมากมายปานใดนัก เช่นในพระฤคเวทกล่าวถึงพระวิษณุว่าเป็นองค์แห่งกำลังตะวัน และว่าดำเนินผ่านสัปตภูมิ (ภูมิทั้ง ๗) โดยย่างสามย่าง และว่าหุ้มห่อสรรพสิ่งทั้งปวงด้วยรัศมีของพระองค์ ย่างทั้งสามซึ่งกล่าวในที่นี้ อรรถกถาจารย์อธิบายว่ามุ่งเอาองค์แห่งแสงสว่าง ๓ ประการ กล่าวคือไฟ ๑ แสงฟ้าแลบ ๑ ดวงตะวัน ๑ หรืออีกนัยหนึ่ง ๑ ก็ว่ามุ่งเอาอาการแห่งตะวัน กล่าวคือเวลาขึ้น ๑ เวลาเที่ยง ๑ เวลาตกหนึ่ง ๑ กับในพระเวทและในหนังสืออื่นๆ ซึ่งแต่งในยุคเดียวกันนั้น มีกล่าวถึงพระวิษณุว่าเป็นมิตรกับพระอินทร ซึ่งในยุคไตรเพทนี้เป็นเทวราชผู้มีฤทธานุภาพเป็นชั้นที่ ๑ พระวิษณุเป็นแต่เทวดาชั้นรองลงมาเท่านั้น แต่ถึงแม้ในสมัยนั้นก็ได้นามอยู่แล้วว่า “พระผู้สงวนอันไม่มีผู้ชำนะได้”
ครั้นต่อ ๆ ลงมา มีคณาจารย์สอนลัทธิไสยศาสตร์ต่างคนต่างคิดแผลงกันออกไป เรื่องราวแห่งพระเป็นเจ้าทั้งหลายวิจิตรพิสดารขึ้นทุกที จึงมีข้อความผิดแผกแปลกไปจากข้อความที่มีอยู่ในตำหรับพระเวทเดิม ทั้งเกิดแบ่งแยกเป็นสาขาเป็นนิกายต่างๆกันไป ต่างนิกายก็ต่างยกย่องนับถือพระเป็นเจ้าองค์ ๑ ว่าเป็นใหญ่ยิ่งยวด และบรรดาสิ่งใดๆ ซึ่งเป็นปาฏิหาริย์ก็เก็บเอามายกให้แก่พระเป็นเจ้าผู้ที่ตนนับถือนั้นทั้งสิ้น เช่นการสร้างโลก ตามความนิยมกันในชั้นต้นก็ว่าเป็นหน้าที่พระพรหมา แต่พวกที่นับถือพระวิษณุเก็บเอามายกให้พระวิษณุ โดยอธิบายไปต่าง ๆ เช่นว่าพระวิษณุแบ่งภาคเป็นพระพรหมาและสร้างโลกขึ้นในน้ำ หรืออีกนัย ๑ ว่า พระพรหมานั้นกำเนิดในดอกบัว ซึ่งผุดขึ้นมาจากพระนาภีแห่งพระวิษณุ เพราะฉะนั้นจึ่งควรนับว่าพระวิษณุนั้นแลเป็นผู้สร้างโลก เพราะพระองค์ได้สร้างพระพรหมาขึ้นก่อน พระพรหมาจึ่งได้สร้างโลกขึ้น ในหนังสือปัทมปุราณะยังอธิบายยิ่งไปกว่านั้น คือแสดงว่าพระวิษณุคือพระปรพรหมผู้เป็นปฐมบรมมูลแห่งโลกตามคำในคัมภีร์นั้นมีอยู่ว่า “ในเมื่อจำเดิมเริ่มรังสรรค์โลก พระมหาวิษณุมีพระหฤทัยปรารถนาจะใคร่ทรงสร้างโลกทั้งหมด จึ่งบันดาลพระองค์ให้เป็นสามภาค กล่าวคือเป็นผู้สร้าง ๑ ผู้สงวน ๑ ผู้ล้าง ๑ พระมหาบุรุษได้ทรงสร้างพระพรหมาขึ้นจากบั้นพระองค์เบื้องขวา เพื่อสร้างโลกนี้ ทรงสร้างพระวิษณุขึ้นจากบั้นพระองค์เบื้องซ้ายเพื่อสงวนโลกนี้ แล้วจึ่งสร้างพระศีวะมหากาลขึ้นจากกลางพระองค์เพื่อล้างโลกนี้ คนเราไซร้บางคนก็บูชาพระพรหมา บางคนก็บูชาพระวิษณุ บางคนก็บูชาพระศีวะ แต่พระวิษณุเป็นเจ้า พระองค์ผู้เป็น ๑ แบ่งภาค ๓ นั้นไซร้ ทรงสร้าง สงวน และล้างโลก เหตุฉะนี้ผู้มีศรัทธาแท้จริงจงอย่าได้บูชาพระเป็นเจ้าทั้งสามนั้นให้แปลกกันไปเลย”
ในหนังสือวิษณุปุราณะ (ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไปอีกมากในหนังสือนี้) เป็นตำหรับสำหรับแสดงเรื่องพระวิษณุเป็นเจ้าเป็นอาทิ มีข้อสรุปความไว้แห่ง ๑ ว่า “โลกนี้ไซร้ ได้บังเกิดมาแต่พระวิษณุ โลกนี้มีอยู่ในพระองค์ พระองค์เป็นผู้บันดาลให้โลกนี้คงอยู่และสูญไป พระองค์ไซร้คือโลกนี้แล้ว” ดังนี้ ก็ตรงกับคำในโองการแช่งน้ำ ซึ่งมีอยู่ว่า “แกว่นกลืนฟ้ากลืนดิน” นั้นแล
ในหนังสือวิษณุปราณะนั้น ต่อจากวรรคที่กล่าวแล้วข้างบนนี้ มีข้อความเป็นคำสรรเสริญไว้ว่า “ข้าขอไหว้พระองค์ไม่มีความเปลี่ยนแปลง ผู้ควรเคารพ ผู้ไม่มีดับ พระวิษณุผู้เป็นใหญ่ยิ่ง ผู้มีลักษณะอัน ๑ อันเดียวทั่วไป ผู้มีฤทธิอำนาจเหนือสรรพสิ่งทั่วไป ข้าขอไหว้พระองค์ผู้เป็นหิรัณยะครรภ เป็นหะริ และเป็นสังกร คือผู้สร้าง ผู้สงวน และผู้ล้างโลก” ขอจงสังเกตว่า “หิรัณยะครรภ” นั้น เป็นนามใช้เรียกพระพรหมาผู้สร้างซึ่งมีกำเนิดจากไข่ “หริ” เป็นนามแห่งพระนารายน์ แปลว่า “สงวน” ตรงตามหน้าที่ “สังกร” นั้นเป็นนามแห่งพระศีวะ
พระวิษณุนั้นโดยมากมักเรียกกันว่า นารายน์ ซึ่งบางอาจารย์ก็แปลว่ามาจาก “นร”-น้ำ “อายน”-กระดิก สนธิเป็น “นารายน” แปลว่าผู้กระดิกในน้ำ อธิบายว่าที่เรียกเช่นนี้เพราะในเวลาที่สร้างนั้น สร้างในน้ำและบรรทมในน้ำ เมื่อขณะที่สร้าง แต่เดิมนามว่านารายน์นี้ก็เป็นของพระพรหมา แต่ครั้นเมื่อมีความนับถือพระวิษณุกันมากขึ้น จึ่งยกนามนารายน์นี้มาให้พระวิษณุ ๆ ก็เลยครอบครองเป็นเจ้าของต่อมาทีเดียว ผู้ที่นับถือพระนารายน์นั้น มักเรียกพระศีวะว่าพระมหาเทพ และศัพท์ “อิศวร” (พระผู้เป็นใหญ่) นั้น ก็ใช้เรียกพระนารายน์ แต่ตามความนิยมแห่งคนโดยมาก นามอิศวรเป็นของพระศีวะเป็นเจ้า เรียกพระศีวะเป็นเจ้าว่าอิศวรทั่วกันแล้ว จึ่งเป็นอันจะตู่ไปใช้เป็นนามพระนารายน์ไม่ได้ถนัดนัก
ในคัมภีร์จำพวกปุราณะต่างๆ ซึ่งพวกพราหมณ์ไพษณนิกายแต่ง มีเรื่องราวอยู่หลายแห่งสำหรับแสดงความเป็นใหญ่ของพระนารายน์ เช่นมีตัวอย่างดังต่อไปนี้
ในหนังสือจำพวกภาควัตปุราณะ มีเรื่องว่า;- ในกาลครั้ง ๑ พระฤษีเจ้าทั้งปวงกำลังกระทำพิธีพลีกรรมอยู่ที่ริมฝั่งน้ำสะรัสวดี ได้เกิดมีข้อเถียงกันขึ้นในระหว่างพระฤษีเจ้าว่า อันพระเป็นเจ้าทั้งสามนั้น องค์ใดจะประเสริฐยิ่งกว่าองค์อื่น จึ่งพร้อมกันแต่งให้พระภฤคุมุนีพรหมบุตรเป็นผู้สอบสวนในข้อนี้ พระภฤคุมุนีตรงไปยังพรหมโลกก่อนและเดินตรงเข้าไปในวิมานพระพรหมาโดยมิได้แสดงกิริยาเคารพตามประเพณีเลย พระพรหมาทอดพระเนตรเห็นพระมุนีประพฤติกิริยาหยาบเช่นนั้นก็ทรงพระโกรธแต่ทรงรำลึกขึ้นได้ว่าผู้ผิดนั้นเป็นโอรสแห่งพระองค์เอง จนสู้ดับโทษะสงบลงได้ พระภฤคุได้แลเห็นดังนั้นแล้วจึ่งไปยังเขาไกรลาศ ครั้นเมื่อพระมเหศวรรีบเสด็จลุกมากอดอย่างฉันพี่น้อง พระภฤคุก็หันหน้าหนีเสีย พระอิศวรมีความขัดพระทัยในความประพฤติแห่งพระมุนี จึ่งฉวยพระแสงตรีศูลเงื้อง่าจะฆ่าพระมุนี แต่นางบรรพตี (พระอุมา) เข้าไปกราบแทบพระบาทและทูลทัดทานพระสามีไว้ พระภฤคุก็ไปยังไวกูนฐ์ (ที่สถิตพระนารายน์) เห็นพระนารายน์บรรทมหลับอยู่ที่ตักพระลักษมี พระมุนีก็ยกเท้าขึ้นถีบกลางพระทรวง พระเป็นเจ้าเสด็จลุกขึ้น นมัสการพระภฤคุแล้วตรัสว่า “ข้ายินดีขอต้อนรับท่านมหาพราหมณ์ ขอเชิญท่านจงนั่งลงพักผ่อนกาย และขอจงให้อภัยแก่ข้าพเจ้า ผู้ได้กระทำผิดไปแล้วโดยความโฉดเขลา (คือในการที่มิได้ลุกขึ้นต้อนรับแขกโดยเร็ว) และขออภัยซึ่งทำให้เท้าอันอ่อนของท่านต้องเจ็บเพราะข้าพเจ้า” ตรัสเช่นนั้นแล้ว ก็เอาพระหัตถ์นวดฟั้นเท้าพระภฤคุ และตรัสต่อไปว่า “วันนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ได้มีบุญยิ่งนัก เพราะพระคุณเจ้าได้เอาธุลีละอองพระบาทแห่งพระองค์อันเป็นเครื่องล้างบาปได้นั้น แตะแล้วบนหน้าอกแห่งข้า” เมื่อพระวิษณุเป็นเจ้าได้ตรัสฉะนี้แล้ว พระภฤคุมุนีมีความปีติเต็มตื้นไปจนพูดไม่ออกจึ่งมิได้ทูลตอบประการใด ทูลลากลับจากที่เฝ้า และตาก็เต็มไปด้วยน้ำตาอันบังเกิดมาเพื่อความศรัทธาหาที่สุดมิได้ ฝ่ายพระฤษีเจ้าทั้งหลายบรรดาที่สโมสรประชุมอยู่ริมฝั่งสะรัสวดีนั้น ครั้นได้ฟังคำพระภฤคุแถลงเหตุการณ์ต่างก็มีความแน่นอนใจ ว่าพระวิษณุเป็นใหญ่ยิ่งในพระเป็นเจ้าทั้งสาม เพราะพระองค์นั้นปราศจากโทษะและความโกรธ
ในหนังสือปัทมปุราณะมีข้อความเล่าไว้ถึงเรื่องพระอิศวรยอมยกย่องพระนารายน์ว่าเป็นใหญ่กว่าพระองค์ คือมีเป็นถ้อยคำดำรัสแก่พระอุมามหาเทวีว่า “ตูข้าจะแสดงให้เจ้าเข้าใจมูลและรูปแห่งพระวิษณุ เจ้าจงรู้เถิดว่าแท้จริงพระองค์คือนารายน์ คือมหาบุรุษ และปรพรหมไม่มีที่เริ่มและไม่มีที่สุด ทรงรอบรู้ทั่วไป อยู่ในที่ทั้งปวง ยั่งยืนมีไม่เปลี่ยนแปลง และเป็นบรมสุข พระองค์คือศีวะ คือหิรัณยะครรภ และสูรยะ พระองค์ประเสริฐกว่าเทวดาทั้งหลาย แม้ตูข้าเองก็ไม่เทียมเท่า แต่ที่แท้นั้นเป็นการพ้นวิสัยที่ตูข้า หรือพระพรหมา หรือเทวดาอื่น ๆ จะแสดงพระคุณแห่งพระวาสุเทพ ผู้ประเดิมโลกและเป็นอธิบดีแห่งสากลโลกนี้” ฯ
ในหนังสือวราหะปุราณะ ซึ่งเป็นคัมภีร์สำหรับแสดงคุณพระนารายน์ในหน้าที่ผู้สงวนโลกนั้น มีข้อความกล่าวไว้ว่า:-พระนารายน์มหาเทพ เมื่อได้ทรงรำพึงถึงการสร้างโลกนี้ ได้ทรงรำพึงด้วยว่า เมื่อได้สร้างโลกขึ้นแล้วจำจะต้องสงวนไว้ต่อไปด้วย “แต่โดยเหตุที่ผู้ไม่มีตัวจะกระทำกิจการอันใดมิได้ไซร้ จำเราจะต้องสร้างสิ่งมีตัวขึ้นจากเชื้อแห่งเราเอง และใช้ให้เป็นผู้สงวนโลกสืบไป” เมื่อทรงดำริฉะนั้นแล้ว พระนารายน์สวยัมภูจึ่งได้ทรงสร้างเทวดาขึ้นองค์ ๑ จากเชื้อแห่งพระองค์ และประทานพรว่า “ดูกรวิษณุ เจ้าจงเป็นผู้รังสรรค์สิ่งทั้งปวง เจ้าจงเป็นผู้สงวนภพทั้งสาม และเปนที่รักใคร่แห่งชนทั่วไป เจ้าจงเป็นผู้รอบรู้ในสิ่งสรรพ และทรงอานุภาพใหญ่ยิ่ง และเจ้าจงเป็นผู้ประพฤติตามความปรารถนาแห่งพรหมาและทวยเทพทุกเมื่อ เทอญ” แล้วพระมหาบุรุษก็กลับกลายเป็นพืชไปอย่างเดิม (คือไม่มีตัว มีแต่คุณธรรม) ฝ่ายพระวิษณุเมื่อทรงคำนึงถึงสาเหตุที่พระองค์ได้มีกำเนิดมานั้น ก็บรรทมหลับไป และในขณะที่บรรทมหลับอยู่นั้น ทรงสุบินนิมิตเห็นการสร้างของต่าง ๆ จึ่งบันดาลให้มีดอกบัวหลวงผุดขึ้นมาจากพระนาภี ในกลางดอกบัวนั้น พระพรหมาได้บังเกิดขึ้น และพระวิษณุเป็นเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นสิ่งซึ่งได้บังเกิดมาจากพระองค์ฉะนั้น ก็ทรงโสมนัสยิ่งนัก
ข้อความที่กล่าวมาแล้วข้างบนนี้ ก็เป็นแต่หัวข้อพอเป็นสังเขป เพื่อให้สังเกตเห็นได้ว่า พวกพราหมณ์ยกย่องนับถือพระนารายน์กันอย่างสูงปานใด ถ้าจะเก็บข้อความอธิบายให้ละเอียดก็จะกินที่มากนัก เพราะข้อความมีอยู่เป็นอย่างวิจิตรพิสดารมาก ยกตัวอย่างเช่นในวิษณุปุราณะแห่งเดียวเท่านั้นก็จะต้องการสมุดเล่มหนาพอใช้กว่าจะเก็บความได้หมด แต่ในที่นี้ข้าพเจ้ามิได้มุ่งหมายที่จะแต่งสำหรับไสยศาสตร์ ความปรารถนามีอยู่อย่าง ๑ ต่างหาก คือจะอธิบายเรื่องพระนารายน์พอเป็นเค้า ๆ เพื่อให้ผู้อ่านทราบลักษณะแห่งพระนารายน์ไว้บ้าง ก่อนที่จะอ่านเรื่องนารายน์สิบปาง ซึ่งจะมีต่อไปนี้ เพราะฉะนั้นข้อความที่กล่าวถึงพระนารายน์ในส่วนที่เป็นองค์ ๑ ในพระเป็นเจ้าทั้งสามนั้น เท่าที่กล่าวมาข้างต้นนี้ดูก็จะเพียงพออยู่แล้ว จะได้เหลือที่ไว้กล่าวถึงนารายน์สิบปางให้ละเอียดต่อไป
บัดนี้จะได้กล่าวถึงข้อความสำคัญอันเนื่องด้วยพระนารายน์ โดยย่อพอเป็นสังเขปดังต่อไปนี้
ที่สถิตของพระนารายน์เรียกว่า “ไวกูนฐ์” ในคัมภีร์มหาภารตะว่าเป็นทองทั้งแผ่น กว้างแปดหมื่นโยชน์ วิมานล้วนแล้วไปด้วยรัตนะเสาและฉ้อฟ้าใบระกาเป็นเพชรพลอย น้ำพระคงคาตกลงมาจากสวรรค์ลงตรงธรุวะ (ยอดโลก หรือดาวเหนือ) แล้วไหลลงทางผมแห่งสัปตฤษี (คือฤษี ๗ ตน ซึ่งนิยมกันว่าบัดนี้แลเห็นเป็นดาว ๗ ซึ่งไทยเรียกว่าดาวจระเข้) แล้วและตกจากนั้นเป็นลำน้ำใหญ่ ณ ที่นี้มีสระโบษขรณีทั้ง ๕ อันเต็มไปด้วยบัว ๕ อย่าง มีดอกจงกลนีสีขาวสะอาด เป็นที่ประทับแห่งพระวิษณุเป็นเจ้า และข้างขวาแห่งพระองค์นั้นคือพระลักษมี อันมีราศีสว่างกระจ่างเหมือนแสงฟ้า และมีกลิ่นบัวหลวงหอมฟุ้งมาจากพระกายแห่งนางนั้น กลิ่นไกลไปได้ถึงระยะแปดร้อยโยชน์
ในรูปสมัยใหม่นี้ ในมัธยมประเทศมักเขียนพระนารายน์เป็นชายหนุ่ม สีดำหรือม่วงแก่ และมีสี่กร แต่ส่วนสีกายพระนารายน์นั้น ตามมหาภารตะว่าไม่เป็นสีดำอยู่เสมอ ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามยุค คือในยุคที่ ๑ ซึ่งเรียกว่ากฤตายุคหรือสัตยะยุคนั้น ชนย่อมปฏิบัติดีงามอยู่เป็นพื้นตั้งอยู่ในศีลในธรรมสม่ำเสมอ กายพระนารายน์จึ่งเป็นสีขาวเพราะความบริสุทธิ์ย่อมจับพระฉวีพระเป็นเจ้า กฤตายุคนี้ย่อมคงอยู่ได้ ๔,๘๐๐ ปีสวรรค์ (๑ ปีมนุษย์เป็น ๑ วันสวรรค์ คำนวณตามจันทรคติ นับ ๓๖๐วันเป็น ๑ ปี ก็เป็นอันได้ความว่า อายุแห่งกฤตายุคคงเป็น ๑,๗๒๘,๐๐๐ ปีมนุษย์) ครั้นสิ้นยุคนี้แล้ว ถึงยุคที่ ๒ ซึ่งเรียกว่าเตรตายุค ความดีในโลกลดลงไปส่วน ๑ ใน ๔ สีกายพระนารายน์ก็เปลี่ยนเป็นแดง ครั้นครบกำหนด ๓,๖๐๐ ปีสวรรค์ (๑,๒๙๖,๐๐๐ ปีมนุษย์) ขึ้นยุคที่ ๓ ซึ่งเรียกทวาบรยุค ความดีในโลกลดลงไป ๒ ส่วนใน ๔ สีกายพระนารายน์ก็เปลี่ยนไปเป็นเหลือง ครั้นครบกำหนด ๒,๔๐๐ ปีสวรรค์ (๘๖๔,๐๐๐ ปีมนุษย์) ขึ้นยุคที่ ๔ ซึ่งเรียกว่ากะลียุค ยังคงเหลือความดีอยู่ในโลกเพียงส่วน ๑ ใน ๔ เท่านั้น สีกายพระนารายน์ก็กลายเป็นดำ สมกับความมืดมัวแห่งโลก กะลียุคนี้มีกำหนด ๑,๒๐๐ ปีสวรรค์ (๔๓๒,๐๐๐ ปีมนุษย์) ครั้นเมื่อสิ้นกะลียุคนี้แล้ว พระเป็นเจ้าจึ่งจะล้างโลกและสถาปนาขึ้นใหม่ กลับเริ่มเป็นกฤตายุคใหม่อีกต่อไป ในกาลบัดนี้เราอยู่ในกะลียุค ซึ่งตามความนิยมข้างไสยศาสตร์ว่าได้เริ่มต้นตั้งแต่ ๒๕๕๙ ปีก่อนพุทธศักราช เพราะฉะนั้นปีพุทธศักราช ๒๔๕๖ นี้ ก็ตรงกับปีที่ ๕๐๑๖ แห่งกะลียุค เหตุฉะนี้ถ้าจะเขียนรูปพระนารายน์ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๖ นี้
ส่วนการแต่งพระองค์นั้น ตามรูปมักแต่งเป็นกษัตริย์ กรทั้ง ๔ นั้นมีของถือต่าง ๆ กัน ตามความในโองการแช่งน้ำว่า “สี่มือถือสังข์จักรคทาธรณี” ดังนี้ คือกล่าวถึงของที่มักถือโดยปรกติ สังข์นั้นชื่อปาญจะชันยะ ซึ่งเรียกตามนามแห่งอสูรตน ๑ ชื่อปัญจะชน อสูรตนนี้ได้ลักเอาตัวบุตรแห่งพราหมณ์สานทีปนี้ผู้เป็นอาจารย์แห่งพระกฤษณไป พระกฤษณตามลงไปพบในมหาสมุทร ปัญจะชนได้เข้าอยู่ในเปลือกหอยสังข์ พระกฤษณฆ่าอสูรแล้วก็เอาเปลือกหอยสังข์นั้นมาใช้เป่าสืบไป จักรที่ถือนั้นชื่อสุทรรศนะ หรือวัชรนาภะ คทานั้นชื่อเกาโมทกี (ปลายเป็นรูปบัวตูม) ส่วนในมือที่ ๔ ซึ่งว่าถือ “ธรณี” นั้น มักทำเป็นดอกบัว เพราะพวกพราหมณ์มักเปรียบพื้นแผ่นดินนี้ด้วยดอกบัวหลวง นอกจาก ๔ อย่างซึ่งกล่าวแล้วนั้น พระนารายน์ยังมีอาวุธอีก ๒ อย่าง คือธนูศรชื่อศารนคะและพระขรรค์ชื่อนนทก ที่บนพระทรวงมีขนชนิด ๑ เรียกว่าศรีวัตสะ มีทับทรวงเป็นแก้วชื่อเกาสุตุภ และมีวไลยฝังด้วยแก้วชื่อส๎ยมันตกะ เรื่องราวแห่งอาวุธที่พระนารายน์ถือ และเรื่องแก้วส์ยมันตกะนั้น มีข้อความอธิบายไว้พิสดารในวิษณุปราณะ แต่เป็นเรื่องที่เนื่องด้วยพระกฤษณ (เพราะฉะนั้นได้จัดลงไว้ต่างหากแล้ว)
ในหน้าที่ผู้สงวนโลก หรือโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ อันเป็นผลแห่งอกุศลกรรมหรือความประพฤติพาลแห่งมนุษย์หรืออมนุษย์นั้นไซร้ พระนารายน์จำเป็นต้องเสด็จอวตารลงมาดับความร้อนให้เย็น ในการที่ลงมาเช่นนี้ ย่อมทรงรูปต่าง ๆ จึ่งเรียกว่าอวตารนั้นอวตารนี้ หรือเรียกตามภาษาไทยแท้ว่าปางนั้นปางนี้ ส่วนจำนวนปางนั้น ไม่แน่ว่าเท่าใด บางตำหรับว่า ๑๐ บางตำหรับว่า ๒๔ และบางตำหรับก็ว่านับไม่ถ้วน แต่โดยมากนิยมกันว่ามีสิบปาง ส่วนเรื่องอวตารหรือปางนี้ ได้กล่าวไว้ในบท ๑ ต่างหากแล้ว
ผู้ที่มีความเลื่อมใสในพระนารายน์นั้น จะได้ผลานิสงส์สำคัญอัน ๑ ซึ่งมีกล่าวอยู่เป็นหัวข้อสำคัญในโองการแช่งน้ำ กล่าวคือ “โอม ! สิทธิ สรวงศรีแกล้วแผ้วมฤตยู” ดังนี้ มุ่งเอาความว่า ผู้ที่มีความศรัทธามั่นคงอยู่ในพระนารายน์แล้ว จะพ้นจากอำนาจพระยมได้ ข้อนี้มีคำอธิบายพิสดารอยู่ในหนังสือวิษณุปุราณะ กัณฑ์ที่ ๓ ปริจเฉทที่ ๗ ณ ที่นี้พราหมณ์ไมเต๎รยะมีปุจฉาถามพระปราศรมุนี ใจความว่า ทำอย่างไรชนจึ่งจะพ้นจากเงื้อมมือพระยมไปได้ พระปราศรจึ่งวิสัชนาดังนี้
ดูกรมุนีผู้เจริญ อันปุจฉานี้ไซร้พระนกูลได้เคยถามพระภีษมะผู้เป็นอัยกา
ตามที่ได้แปลมาไว้ส่วน ๑ เท่านี้ ก็พอเป็นที่สังเกตได้แล้วว่าความมุ่งหมายแห่งพราหมณ์คณาจารย์นั้น มีอยู่อย่างไร ความปรารถนาก็ให้ชนพยายามประพฤติชอบไว้ จะได้เป็นผู้ที่ต้องพระอัธยาศัยแห่งพระนารายน์ และพระนารายน์จะได้คุ้มกันรักษามิให้ตกไปในเงื้อมมือพระยม คือไม่ให้ตกนรกเท่านั้น
พระนารายน์เป็นที่นับถือแห่งชนในมัธยมประเทศเป็นอันมาก ดังมีพยานปรากฏอยู่คือ เทวสถานอันเป็นที่บูชาพระนารายน์นั้นมีอยู่มากกว่าศาลพระเป็นเจ้าองค์อื่น ๆ
พระนารายน์มีพระนามตั้งพัน และมีมนตร์อัน ๑ เรียกว่า “สหัสรนาม” ถือกันว่าเป็นมนตร์สำคัญ ใครว่าได้ตลอดได้บุญนัก ในนามทั้งพันแห่งพระนารายน์นั้น นอกจากวิษณุและนารายน์ ยังมีที่พบใช้อยู่บ่อย ๆ อีกหลายนาม ดังเก็บมาลงไว้ในที่นี้บ้างพอเป็นสังเขป ดังต่อไปนี้.-
ไวกูนฐนาถ | - จอมไวกูนฐ | |
เกศวะ | - มีผมอันงาม | |
มัธวะ | - ประกอบด้วยน้ำผึ้ง หรือ เกิดแต่มธุ | |
สวยภู | - เกิดเอง | |
ปิตามวร (ปิตามพร) | - นุ่งเหลือง | |
ชนรรททนะ | - ผู้ทำให้คนไหว้ | |
วิษวัมวร (วิษวัมพร) | - ผู้คุ้มครองโลก | |
หริ | - ผู้สงวน | |
อนันตะ | - ผู้ไม่มีที่สุด | |
มุกุนทะ | - ผู้ช่วย | |
บุรุษ | - ชาย | |
บุรุษโษตตม (บุรุโษดม) | - ยอดชาย | |
ยัญเญศวร | - เป็นใหญ่เหนือการบูชา | |
อัจยุต (อจุตตะ) | - ไม่มีเสื่อม | |
อนันตะไศยนะ | - นอนบนหลังอนันตะนาค | |
จัตุรภุช | - สี่แขน | |
ชลไศยิน | - นอนในน้ำ | |
ลักษมีปติ | - ผัวนางลักษมี | |
มธุสูทน | - ผู้สังหารมธุ (อสูร) | |
นร | - คน | |
นารายน์ | - ผู้กระดิกในน้ำ | |
ปัญจายุธ (ปัญจาวุธ) | - ผู้ถือเอาอาวุธ ๕ อย่าง | |
ปัทมนาภ | - สะดือบัว | |
ศารนคิน หรือ ศารนคิปาณี | - ผู้ถือศรศารนคะ | |
จักรปาณี | - ถือจักร | |
วาสุเทพ | – ลูกวสุเทพ | (เป็นนามพระกฤษณะแต่มักเลยใช้เรียกพระนารายน์เองด้วย) |
ทาโมทร | - มีเชือก (ทาม) ผูกพุง | |
โคบาล | - เลี้ยงโค |
----------------------------
อาวุธพระนารายน์
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างบนนี้ พระนารายน์มีอาวุธ ๕ อย่าง ต่างมีเรื่องราวบอกเล่าว่ามาแต่ที่ใดบ้าง ดังนี้เก็บมาไว้ดังต่อไปนี้
๑. สังข์ปาญจะชันยะ เป็นเปลือกหอยสังข์อันหุ้มกายอสูรตน ๑ ชื่อปัญจะชน อสูรตนนี้เมื่อขึ้นบกมีรูปคล้ายมนุษย์ แต่พอลงทะเลกลายเป็นหอยสังข์ ครั้ง ๑ ปัญจะชนได้ลักเอาบุตรแห่งพราหมณ์สานทีปนี ผู้เป็นอาจารย์พระกฤษณนั้นลงไปไว้ พระกฤษณตามลงไปช่วยบุตรอาจารย์ฆ่าอสูรตาย แล้วจึ่งเอาเปลือกสังข์นั้นมาใช้สำรับเป่าในการสงครามสืบไป
ตามธรรมเนียมกษัตริย์โบราณต้องมีสังข์สำหรับตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องให้อาณัติสัญญาแด่พล เพราะฉะนั้นจึ่งจัดเข้าเป็น “อาวุธ” อย่าง ๑ คือเป็นเครื่องใช้ในการสงคราม สังข์ของกษัตริย์มักมีชื่อ สังข์ของพระกฤษณชื่อปาญจะชันยะแล้วก็คงเลยแต่งเรื่องราวประกอบขึ้นให้พิสดาร
อนึ่ง ควรสังเกตว่า เรื่องพระกฤษณลงไปรบกับอสูรซึ่งเป็นสังข์อยู่ในมหาสมุทรนี้ ดูคล้ายกับเรื่องในหนังสือนารายน์สิบปางของไทยเรา ซึ่งกล่าวว่าพระนารายน์อวตารเป็นปลาลงไปรบกับสังข์อสูร ผู้ลักเอาพระเวทลงไปซ่อนไว้ เรื่องนี้จะได้กล่าวถึงในตอนกล่าวด้วยมัตสยาวตารสืบไป
๒. จักรสุทรรศน์ หรือ วัชรนาภ - มีเรื่องราวเล่ามาในมหาภารตว่า ใจความว่า ครั้ง ๑ พระกฤษณไปเยี่ยมท้าวยุธิษเฐียร และปาณฑพกุมารในนครอินทรปรัสถ์ พระอรชุนได้ชวนพระกฤษณไปเที่ยวไล่สัตว์ในป่าปาณฑพ (ขาณ์ฑว) ซึ่งอยู่ริมนครนั้น เผอิญในเวลานั้นพระเพลิงกำลังปรารถนาจะกินป่าขาณฑพ แต่พระอินทรไม่ยอม จึ่งเกิดวิวาทกัน พระกฤษณกับพระอรชุนเข้าข้างพระเพลิง ๆ จึ่งชำนะได้กินป่าตามปรารถนา พระเพลิงจึ่งให้จักรวัชรนาภกับคทาเกาโมทกีแด่พระกฤษณเป็นบำเหน็จ
๓. คทาเกาโมทกี - มีเรื่องอยู่ข้างบนนี้แล้ว
๔. ธนูศารนคะ - ตามศัพท์แปลว่า “ทำด้วยเขาสัตว์”
๕. ขรรค์นนทก - ตามศัพท์แปลว่า “ชื่นใจ”
อนึ่งในที่นี้ควรชี้แจงว่า ตรีสูลนั้น ไม่ใช่อาวุธของพระนารายน์ เป็นของพระอิศวร ในการที่ข้างเรามาเกณฑ์ให้เป็นอาวุธของพระนารายน์นั้น น่าจะเป็นไปโดยความเข้าใจผิดโดยแท้.
----------------------------
อาภรณ์พระนารายน์
(แก้วสำคัญ ๒ อย่าง)
แก้วเกาสตุภ
นี้เป็นแก้ว ซึ่งทรงที่พระทรวง เป็นอย่างทับทรวง เป็นแก้วซึ่งได้มาจากเกษียรสมุทรเมื่อกวนน้ำอมฤต (ดังจะได้กล่าวถึงต่อไปในปางที่ ๒) รูปร่างจะเป็นอย่างไรก็ไม่ปรากฏชัด แต่ในพจนานุกรมสังสกฤตของโมเนียรวิลเลียมส์มีข้อความอยูว่า “เกาสตุภเป็นวิธีประสานนิ้วอย่าง ๑ ในพิธีไหว้พระ” ซึ่งถ้าจะให้เดาก็เห็นจะเป็นรูปอย่างมือประนม
แก้วสยมันตกะ
แก้วนี้สำคัญมาก ทรงที่พระกร ฝังไว้ที่วไลยหรือเกยูร เป็นรัตนะวิเศษ มีตำนานยืดยาว มีข้อความพิสดารอยู่ในหนังสือวิษณุปุราณะกัณฑ์ที่ ๔ ปริจเฉทที่ ๑๓ มีความดังคำแปลต่อไปนี้
ท้าวสัตราชิต กษัตรีย์จันทรวงศ์ สกุลยาทพ (สกุลเดียวกับพระกฤษณ แต่คนละสาขา) เป็นผู้ที่มีศรัทธาในองค์พระสุริยเทวราชเป็นอันมาก อยู่มาวัน ๑ ท้าวสัตราชิตไปดำเนินอยู่ที่ริมฝั่งมหาสมุทร รำลึกถึงพระสุริยะ และสวดสรรเสริญอยู่ ทันใดนันเทพเจ้าก็เสด็จลงมาเฉพาะหน้า ท้าวสัตราชิตแลดูพระสุริยะไม่เห็นรูปถนัด จึงทูลว่า “เทวะ ตูข้าได้เคยเห็นพระองค์แล้วในนภากาศ เป็นดวงไฟ บัดนี้ขอพระองค์จงโปรดตูข้าให้ได้แลเห็นพระรูปอันแท้จริงแห่งพระองค์เถิด” ทันใดนั้นพระอาทิตย์ก็ทรงเปลื้องแก้วชื่อสยมันตกะจากพระศอ และวางไว้แห่ง ๑ ท้าว. สัตราชิตจึ่งแลเห็นพระรูป เป็นคนเตี้ย พระกายเหมือนสีทองแดงอันขัดแล้ว และมีพระเนตรสีแดงเรื่อ ครั้นท้าวสัตราชิตได้กระทำสักการตามสมควรแล้ว พระอาทิตย์จึ่งตรัสว่าให้ขอพรอัน ๑ ได้ ท้าวสัตราชิตก็ทูลขอแก้วสยมันตกะเป็นของตน พระอาทิตย์ประทานแก้วนั้นแก่ท้าวสัตราชิตแล้ว ก็เสด็จกลับขึ้นไปยังนภากาศ ฯ ฝ่ายท้าวสัตราชิตครั้นได้แก้วอันประเสริฐหามลทินมิได้นั้นแล้ว ก็ผูกไว้ที่พระศอ และโดยอำนาจแห่งแสงแก้วนั้นจับพระองค์มีรัศมีกระจ่างไปในทิศานุทิศคล้ายพระอาทิตย์ฉะนั้นแล้ว ท้าวสัตราชิตก๊กลับเข้าไปยังนครทวารกา
ฝ่ายพระอัจยุต (คือกฤษณ) มีความปรารถนาจะให้แก้ววิเศษนั้นเป็นของพระภูบดี
ครั้นความนินทาอันนี้ทราบถึงพระภควัต (กฤษณ) เธอก็ชวนกษัตริย์ยาทพหลายองค์ และพร้อมกันสะกดรอยตามพระประเสนไป โดยเดินตามรอยเท้าม้า
ฝ่ายพระญาติวงศ์แห่งพระอัจยุตเมื่อได้ทราบข่าวฉะนั้น ก็จัดการกระทำศราทธพรตตามประเพณี ฯ อันภักษาหารและน้ำซึ่งเขาได้เซ่นถวายในการศราทธพรตนั้นไซร้ ก็ได้เป็นเครื่องยังพระชนม์ชีพและชูพระกำลังแห่งพระกฤษณ ในขณะซึ่งทรงกระทำยุทธอยู่นั้น แต่ฝ่ายศัตรูนั้นไซร้มีความเหน็ดเหนื่อยด้วยการยุทธ ซึ่งต้องกระทำด้วยผู้มีกำลังมากอยู่ทุก ๆ วันมีความชอกช้ำและยับเยินทั่วทุกอวัยวะเพราะถูกอาวุธ ทั้งมีความอ่อนเพลียด้วยอดอาหาร จึ่งมิสามารถจะต่อสู้ได้ต่อไป เมื่อพ่ายแพ้แก่ศัตรผู้มีฤทธิ์ฉะนั้นไซร้ พญาชามพวานก็ลงกราบแล้วทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ พระองค์นี้น่าจะไม่แพ้บรรดาอสูรทั้งหลาย และบรรดาอมนุษย์อันสิงสถิตในบาดาล ในพื้นพสุธา และในสวรรค์ ยิ่งเป็นผู้ที่มีรูปเป็นมนุษย์อันต่ำต้อยน้อยกำลังด้วยแล้วไหนจะชำนะพระองค์ได้ และยิ่งเป็นผู้มีกำเนิดเป็นเดียรฉานอย่างตูข้าด้วยแล้วก็จะยิ่งซ้ำร้าย ข้ามีเชื่อแน่แล้วว่าพระองค์คือภาค ๑ แห่งองค์พระนารายน์ผู้เจ้าแห่งตูข้า และเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนโลกนี้” ฯ ฝ่ายพระกฤษณครั้นได้ทรงฟังคำชามพวานทูลฉะนั้น ก็ตรัสอธิบายว่า พระองค์ได้เสด็จลงมาเพื่อทรงภาระแห่งโลกไว้ และพระองค์ก็ทรงพระกรุณา ทรงลูบกายพญาหมี เพื่อให้ทายความชอกช้ำในการยุทธ ฯ พญาชามพวานกราบถวายบังคมพระกฤษณอีกครั้ง ๑ แล้วก็ถวายนางชามพวดีผู้เป็นบุตรีเป็นบรรณาการ ทั้งส่งแก้วสยมันตกะถวายด้วย ฯ ถึงแม้ของบรรณาการจากผู้ต่ำต้อยเช่นนั้นไม่เป็นของที่สมควรจะทรงรับก็ดี แต่พระอัจยุตก็ได้ทรงรับแก้วนั้น เพื่อจะแสดงความบริสุทธิ์แห่งพระองค์ แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับคืนเข้ายังนครทวารกาพร้อมด้วยนางชามพวดี ฯ
ฝ่ายชาวนครทวารกา ครั้นเห็นองค์พระกฤษณยังคงพระชนม์อยู่และเสด็จกลับเข้ามา ต่างก็เต็มไปด้วยความโสมนัส จนแม้ผู้ที่มีอายุมากแล้วก็กลับมีแรงเหมือนเป็นหนุ่มดังเก่า และบรรดากษัตริย์ยาทพทั้งชายและหญิง ก็พากันแวดล้อมพระอานะกะทุนทุภี (ผู้เป็นพระบิดาพระกฤษณ) และช่วยกันยินดีด้วย ฯ พระภควัตก็ตรัสเล่าสรรพเหตุการณ์แด่ยาทพสมาคม ตรัสเล่าความตามที่เป็นมาแล้วทุกประการ และเมื่อได้ทรงส่งแก้วสยมันตกะคืนให้แด่ท้าวสัตราชิตแล้ว ก็เป็นอันได้พ้นจากการถูกใส่ความในข้อประพฤติชั่วร้าย แล้วพระองค์ก็ตรัสชวนนางชามพวดีเข้าไปภายในปราสาท ฯ
ฝ่ายท้าวสัตราชิตมาคำนึงว่า ตนได้เป็นสาเหตุให้พระกฤษณต้องถูกนินทา ก็มีความตกใจ และเพื่อจะมิให้เธอนั้นขัดพระทัย ท้าวสัตราชิตจึงยกนางสัตยภามาผู้เป็นธิดาให้เป็นมเหสีพระกฤษณ ฯ นางนี้ไซร้ได้มีกษัตริย์ยาทพขอแล้วหลายองค์ มีอาทิคือพระอก๎รูระ พระกฤตวรรมัน และพระศตะธันวัน (หรือศตะธนูก็เรียก) ซึ่งต่างมีความโกรธเคืองเป็นอันมากในข้อที่นางได้ไปเป็นชายาแห่งผู้อื่นฉะนั้น พวกที่เป็นหัวหน้า พร้อมด้วยอกรูระและกฤตวรรมัน จึ่งกล่าวแก่พระศตะธนูว่า “สัตราชิตผู้ชั่วร้ายนี้ ได้หมิ่นประมาทเธอเป็นหนักหนา ทั้งหมิ่นประมาทเราทั้งหลาย ซึ่งได้ขอบุตรีเขาแล้วนั้น เขากลับไปยกให้แก่กฤษณ อย่าให้เขามีชีวิตอยู่อีกต่อไปเลย เหตุใดเล่าเธอจึงไม่ฆ่าเขาเสียและชิงเอาแก้ว ถ้าแม้พระอัจยุตจะวิวาทกับเธอเพื่อเหตุนั้นไซร้ เราทั้งหลายจะเข้ากับเธอ” เมื่อได้รับคำรับรองเช่นนั้น พระศตะธนูก็รับว่าจะฆ่าท้าวสัตราชิต ฯ
ครั้นเมื่อมีข่าวมาว่ากษัตริย์ปาณฑพทั้ง ๕ ได้ถูกเผาตายในชตุคฤห
ครั้นพระอนุชาส่งเสริมฉะนั้น พระพลราม (คือพลเทพนั้นเอง) ก็รับอาสาอย่างแข็งแรง ฯ แต่พระศตะธนูได้ทราบความคิดจะทำร้ายเช่นนั้น จึงไปหาพระกฤตวรรมันขอให้ช่วย แต่พระกฤตวรรมันหายอมช่วยไม่ โดยอ้างว่าตนไม่สามารถจะสู้รบทั้งพลเทพและพระวาสุเทพ ฯ ศตะธนูไม่สมปรารถนาเช่นนั้น จึงไปหาพระอกรูระ แต่พระอกรูระตอบว่า “เธอจงไปหาที่พึ่งแห่งอื่นเถิด เราจะป้องกันเธอได้อย่างไร ถึงแม้ในหมู่อมรรตยะเทพ ผู้มีชนสรรเสริญอยู่ทั่วโลก ก็ไม่มีเลยที่จะสามารถจะต้านทานพระจักริน
ฝ่ายพระกฤษณเมื่อทรงทราบว่าพระศตะธนูหนีไปแล้ว จึ่งทรงผูกรถเทียมด้วยม้าทั้ง ๔ อันมีนามปรากฏว่า ไศพยะ ๑ สุครีพ ๑ เมฆบุษปะ ๑ พลาหก ๑ และเสด็จติดตามไป พร้อมด้วยพระพลเทพ ฯ ฝ่ายนางม้า (ซึ่งพระศตะธนูทรงนั้น) วิ่งไปได้ร้อยโยชน์ แต่พอถึงแดนมิถิลาก็ล้มลงตาย พระศตะธนูจึงลงจากม้าเดินหนีต่อไป ฯ ฝ่ายพระกฤษณ (ครั้นเมื่อพบศพม้า) จึ่งตรัสแก่พระพลภัทร์ (พลเทพ) ว่า “พระเชษฐาจงประทับในรถนี้ น้องจะเดินตามคนร้ายไปและสังหารมัน พื้นแถวนี้ไม่ราบคาบ ม้าคงจะลากรถผ่านไปไม่ไหว” พระพลภัทร์จึ่งรออยู่ในรถ และพระกฤษณก็ดำเนินตามพระศตะธนูไป ครั้นเมื่อไล่ไปได้สองโกส (ไร่ ?) พระองค์ก็ขว้างจักร และถึงแม้ขณะนั้นพระศตะธนูอยู่ห่างก็จริง แต่จักรก็ไปต้องศีรษะขาดลง พระกฤษณเข้าไปค้นหาแก้วสยมันตกะในตัว ก็หาพบไม่ จึ่งเสด็จกลับไปยังพระพลภัทร์และตรัสแจ้งว่า การที่ได้ปลงชีพพระศตะธนูแล้วนั้น หาผลมิได้เลย เพราะเหตุว่าแก้วอันมีค่า เป็นเชื้อแห่งโลกนั้นไซร้ หาได้อยู่ที่ผู้ตายนั้นไม่ ๆ ฝ่ายพระพลภัทร์เมื่อได้ฟังดังนั้นก็มีความพิโรธยิ่งนัก และตรัสแก่พระวาสุเทพว่า น่าอายจริง ๆ หนอ ซึ่งเจ้ามีความโลภถึงปานนี้ กูไม่นับเจ้าเป็นพี่น้องกันอีกต่อไปแล้ว อันทางแห่งกูไปทางนี้ เจ้าจะไปทางใดก็ตามใจเถิด กูขอขาดจากนครทวารกาจากบรรดาญาติวงศ์ และจากตัวเจ้าแล้ว การที่จะมากล่าวเท็จลวงกูนั้นหาประโยชน์มิได้เลย” ฯ พระพลภัทร์ได้พูดจาว่าพระอนุชา ผู้พยายามที่จะแก้ให้หายโกรธนั้นแล้ว เธอก็เข้าไปสู่วิเทหนคร ท้าวชนกก็รับรองพระพลรามโดยแข็งแรง และเธอก็เลยอาศัยในนครนั้นต่อไป ฝ่ายพระวาสุเทพนั้นเสด็จกลับไปยังทวารกา ฯ ในขณะที่พระพลภัทร์อยู่ในราชสำนักท้าวชนกนั้นไซร้ พระทุรโยธนะโอรสท้าวธฤตราษฎร์ได้เรียนวิชารบด้วยคทาต่อพระพลภัทร์ฯ ครั้นเมื่อเวลาล่วงไปได้สามปี ราชาอุครเสนและผู้ใหญ่ในสกุลยาทพต่างมีความเชื่อแน่แล้วว่าแก้วนั้นมิได้อยู่ที่พระกฤษณ จึ่งพากันไปยังวิเทหบุรี และแก้ความสงสัยแห่งพระพลเทพ แล้วพากลับคืนมายังนคร ฯ
ฝ่ายพระอกรูระ อุตสาหะถนอมสุวรรณอันได้มาด้วยอำนาจแห่งแก้วประเสริฐนั้นแล้ว ก็กระทำการบูชายัญเนือง ๆ และโดยอาศัยอำนาจแห่งมนตร์ จึ่งได้อยู่กินโดยบริบูรณ์ถึง ๕๒ ปี และด้วยอำนาจแห่งแก้วนั้นอันทุพภิกขภัยและพยาธิทุกข์ก็หามีไม่เลยทั่วทั้งอาณาเขต ฯ ครั้นเมื่อสิ้นกำหนดกาลนั้นแล้ว พะเอินพวกกษัตริย์สกุลโภชะได้ฆ่าพระศัตรุฆน์หลานท้าวสัตวัตตาย และโดยเหตุที่อกรูระเป็นสัมพนธมิตรกับพวกโภชะไซร้ อกรูระจึงหนีไปจากทวารกากับเขาด้วย ฯ จำเดิมแต่อกรูระได้หนีไปแล้วก็บังเกิดมีลางร้ายต่าง ๆ มีงูร้าย มีมรณภัย มีห่าลง และเหตุร้ายอื่น ๆ พระอุรคาริเกตน์
ตามคำแนะนำแห่งพระอันธกผู้เป็นกุลเชษฐาแห่งยาทพนั้นไซร้ สมาคมยาทพจึ่งแต่งทูต มีพระเกศวะ (กฤษณ) ราชาอุครเสน และพระพลภัทร์เป็นหัวหน้าไปแสดงแก่พระศวาผลกี (คืออกรูระ) ว่า อันความผิดใด ๆ ที่เธอได้กระทำมาแล้ว เขาทั้งหลายจะไม่ถือโทษเลย และเมื่อพระอกรูระได้รับคำมั่นสัญญาแล้วว่าจะไม่มีอันตรายแก่ตน ก็ยอมให้ทูตนำกลับไปยังนครทวารกา พอเธอนั้นกลับมาถึง อันความไข้ ความแห้งแล้งและทุพภิกขภัย และอุปัทวันตรายทั้งปวงก็เหือดหายไป ด้วยอานุภาพแห่งแก้ววิเศษฯ ฝ่ายพระกฤษณครั้นได้เห็นเช่นนั้น จึงทรงคำนึงว่า การที่พระอกรูระมีกำเนิดมาแต่นางคานทินีและพระศวผลกะนั้น เป็นเหตุอันไม่เพียงพอแก่ผลที่ปรากฏนั้นเลย และน่าจะมีอานุภาพสิ่งอื่นอันสำคัญกว่าซึ่งบันดาลให้ความไข้และทุพภิกขภัยสงบไป พระจึ่งรำลึกในพระทัยว่า “แก้วสยมันตกะอันสำคัญนั้น น่าจะอยู่ที่เธอนั้นแน่แล้ว เพราะเราได้เคยทราบอยู่ว่าแก้วนี้มีอานุภาพเช่นนั้น อนึ่งพระอกรูระนี้ไซร้ได้กระทำยัญกรรมมาแล้วเป็นหลายคราวติด ๆ กัน อันสมบัติของเธอนั้นไซร้หาเพียงพอที่จะใช้สอยเพื่อกิจเช่นนั้นไม่ ไม่ต้องสงสัยเลยเธอคงจะได้แก้วนั้นไว้” ฯ ครั้นทรงพระดำริฉะนี้แล้ว จึ่งตรัสนัดบรรดากษัตริย์ยาทพให้ไปสมาคม ณ ตำหนักแห่งพระองค์ โดยอ้างว่าจะมีงานอย่างใดอย่าง ๑ ครั้นเมื่อมาพร้อมกันแล้ว และได้ทรงอธิบายเหตุซึ่งนัดมาสมาคมแล้ว และได้กระทำกิจสำเร็จแล้ว พระชนรรทนะ (กฤษณ) จึ่งตรัสสนทนาด้วยพระอกรูระและเมื่อได้ตรัสเล่นพอสมควรแล้ว จึ่งตรัสขึ้นว่า “ดูกรท่านผู้เป็นญาติสนิท ท่านนี้ไซร้เป็นผู้ที่มีหฤทัยเผื่อแผ่ยิ่งนัก แต่เรารู้อยู่ดีว่า แก้ววิเศษซึ่งศตะธนูได้ลักไปนั้น ศตะธนูได้ส่งให้แก่ท่าน และบัดนี้ท่านก็รักษาไว้เพื่อประโยชน์อันใหญ่ยิ่งแห่งราชอาณาจักรนี้ ขอให้แก้วนั้นคงอยู่แก่ท่านต่อไปเถิด เราทั้งหลายย่อมได้รับผลอันดีจากอานุภาพแห่งแก้วนั้นทั่วกัน แต่พระพลภัทร์สงสัยว่าตูข้าเป็นผู้ได้แก้วนั้นไว้ เพราะฉะนั้นเพื่อความเมตตาแด่ตูข้า ขอให้ท่านขยายแก้วนั้นให้เห็นทั่วกันเถิด” ฯ ฝ่ายพระอกรูระซึ่งขณะนั้นแก้วอยู่กับตัว ครั้นเมื่อถูกถามตรงๆ เช่นนั้น ก็ยั้งอยู่มิรู้ที่จะทำอย่างไรดี เธอคำนึงว่า “ถ้าแม้เราจะไม่รับว่ามีแก้วนั้นอยู่เขาทั้งหลายก็จะพากันค้นในตัวเรา และคงจะพบแก้วนั้นอยู่ในผ้าของเรา เราจะยอมให้เขาค้นมิได้เลย” เมื่อดังนั้นแล้วอกรูระจึ่งว่าแก่พระนารายน์ ผู้เป็นมูลแห่งสากลโลกนี้ว่า “จริงอยู่ อันแก้วสยมันตกะนั้นไซร้ ศตะธนูได้ฝากตูข้าไว้ เมื่อเธอนั้นไปจากที่นี้ ตูข้าได้นึกอยู่ทุกวันว่าท่านคงจะร้องเรียกเอาจากข้า และตูข้าได้เก็บแก้วนั้นไว้จนบัดนี้ด้วยความไม่สะดวกใจเลย การรักษาแก้วนี้ไว้ทำให้บังเกิดความหนักใจแก่ข้าเป็นอันมากจนข้าหาความสุขมิได้เลย และมิได้มีความโปร่งใจสักขณะเดียว ข้าเกรงอยู่ว่าท่านจะเห็นตูข้าเป็นผู้ไม่สมควรจะเป็นผู้รักษาแก้วอันเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความเจริญแห่งอาณาจักร์ฉะนี้ไซร้ ข้าจึ่งเว้นเสียมิได้กล่าวว่าอยู่ที่ตูข้า แต่บัดนี้ขอท่านจงรับแก้วไปเอง และมอบให้ผู้ใดรักษาก็ตามใจท่านเถิด” ฯ ครั้นกล่าวฉะนั้นแล้ว พระอกรูระก็หยิบสมุคทองคำใบย่อม
บรรดากษัตริย์ยาทพเมื่อได้แลเห็นแก้วนั้น ต่างก็มีความประหลาดใจและต่างเปล่งอุทานวาจาด้วยยินดี ฯ ฝ่ายพระพลภัทร์ก็ร้องอ้างขึ้นว่าเป็นของเธอกับพระอัจยุตรวมกัน ดังได้ตกลงกันไว้แต่เดิม แต่ฝ่ายนางสัตยภามาก็มาร้องขอเป็นของนาง โดยเหตุที่เดิมเป็นของพระบิดาแห่งนาง ฯ ในระหว่างพระพลกับนางสัตยานี้ไซร้ พระกฤษณรู้สึกพระองค์ประหนึ่งว่าเป็นโคอันอยู่หว่างล้อทั้งสองแห่งเกวียน และตรัสแก่พระอกรูระต่อหน้ากษัตริย์ยาทพทั้งหลาย ดังนี้ว่า “อันแก้วนี้ไซร้ท่านได้เปิดขึ้น ณ ท่ามกลางที่ชุมนุมเพื่อแก้ชื่อแห่งข้า แก้วนี้นัยว่า ๆ เป็นของข้าและพระพลภัทร์รวมกัน และเป็นมฤดกส่วนพระราชบิดานางสัตยภามาด้วย แต่แก้วนี้ เพื่อจะให้เป็นประโยชน์ดีแก่ราชอาณาจักรทั่วไป ควรจะอยู่ในความปกปักรักษาแห่งบุคคลผู้เลี้ยงชีพเป็นพรหมจรรย์เสมอไป ส่วนตูข้านี้ไซร้มีเมียถึงหมื่นหกพันคน
เรื่องแก้วสยมันตกะนี้ มีในหนังสือปุราณะอื่น ๆ และในหนังสือหริวํศอีกด้วย แต่ในวิษณุปราณะนี้มีข้อความพิสดารกว่าแห่งอื่น ที่ข้าพเจ้าแปลมาไว้ตลอดเช่นนี้ เพราะเห็นว่าในส่วนเนื้อเรื่องก็ออกจะสนุก ทั้งแสดงให้เห็นด้วยว่าการปกครองในสมัยนั้นเป็นอย่างไร ฯ ตามที่สังเกตดูเห็นได้ว่าการปกครองในหมู่กษัตริย์ยาทพนั้น ดูคล้ายแบบที่พวกมลกษัตริย์หรือกษัตริย์ลิจฉวีใช้กันในพุทธกาลนั้นเอง คือไม่มีราชาที่สืบสันตติวงศ์เป็นผู้ทรงราชย์และถืออำนาจสิทธิ์ขาด ผู้ที่เรียกว่าราชานั้นก็คือผู้ที่ได้รับสมมติให้เป็นประธานชั่วตลอดอายุเท่านั้น และจะวินิจฉัยการใด ๆ ก็สิทธิขาดได้แต่ในท่ามกลางสมาคมแห่งญาติวงศ์ บรรดากษัตริย์ในสกุลเดียวกันคงมีอิสริยะเสมอกันหมด ถ้าหากผู้ใดจะเป็นผู้นับถือผิดกว่าคนอื่นก็โดยมีอภินิหารส่วนตัวเท่านั้น ฯ ส่วนการปกครองนั้น ดูก็ไม่สู้เรียบร้อยนัก เพราะดูมีฆ่าฟันกันและแก้แค้นกันอยู่เนือง ๆ การฆ่ากันหรือแก้แค้นแทนกันดูเหมือนจะถือเป็นกิจส่วนตัว คดีเช่นนั้นจึ่งไม่ใคร่จะเข้าสู่ญาติสมาคม ต่อเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญอันจะมีผลซึ่งจะต้องได้รับทั่วถึงกัน จึ่งจะเป็นคดีที่นำปรึกษาในสมาคม ฯ ลักษณะปกครองเช่นนี้มักมีผลร้ายอย่างไร ก็ปรากฏอยู่ในเรื่องกษัตริย์ลิจฉวีในพุทธกาล ซึ่งเสียเมืองเพราะเกิดความกินแหนงซึ่งกันและกันนั้น เป็นตัวอย่างเรื่อง ๑ แล้ว และส่วนกษัตริย์ยาทพที่อยู่ในนครทวารกานี้ ในที่สุดก็ถึงแก่พินาศ ดังจะได้กล่าวโดยพิสดารต่อไปในเรื่องพระกฤษณาวตารข้างหน้านี้ ฯ.
----------------------------
-
๑. พระราชนิพนธ์เรื่องนี้ พระราชประสงค์เดิม เห็นจะทรงตั้งพระราชหฤทัยจะพิมพ์ไว้ข้างต้น พระราชนิพนธ์เรื่องนารายน์สิบปาง แล้วภายหลังจะเป็นด้วยทรงเห็นว่าเนื้อความละเอียดพิสดารเกินไป หรืออย่างไรไม่ปรากฏ จึงได้ทรงงดเสีย ทรงพระราชนิพนธ์ใหม่ ย่อให้สั้นลงกว่าเดิม โปรดให้พิมพ์ไว้เป็นคำนำพระราชนิพนธ์เรื่องนารายน์สิบปาง. ↩
-
๒. ได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖ ↩
-
๓. พระนกูลเป็นเจ้าพวกปาณฑพ คือลูกท้าวปาณฑุ ผู้ครองนครหัสดิน เป็นผู้มีชื่อเสียงในหนังสือมหาภารต เพราะเป็นผู้ ๑ ซึ่งได้กระทำมหาภารตยุทธ์ ส่วนพระภีษมะนั้น เป็นลุงท้าวปาณฑุ และนับว่าเป็นผู้มีความรอบรู้ในธรรมะและราชประเพณีมาก พวกหลาน ๆ จึ่งนับถือ. ↩
-
๔. เป็นกิจปฏิบัติสำหรับพราหมณ์ ตามคำอธิบายแห่งอรรถกถาจารย์มีไว้ว่า ยมปฏิบัติมีองค์ ๕ คือ (๑ ) อหึศา ความไม่เบียดเบียนคนหรือสัตว์อื่น (๒) สัต๎ย ความจริง (๓) อัส๎เตย ( อสาเถย์ย) ความไม่โกง (๔) พ๎รห๎มจร๎ย ความเว้นจากกาม (๕) อปร์ริค๎รห ความไม่อยากได้ ไม่อยากมั่งมี ฯ นิยมปฏิบติมีองค์ ๕ คือ (๑) เศาจ ความผ่องแผ้วจากมลทิน (๒) สัน์โตษ ความพอใจในของ ๆ ตนที่มีอยู่แล้ว (๓) ตปัส ความบำเพ็ญเผากิเลศ (๔) ส๎วาธ๎ยาย (สาธยาย) เล่าเรียนพระเวท (๕) อีศ๎วรป๎รณิธาน ความรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าอย่างสูงสุด. ↩
-
๕. อีกนัย ๑ เรียกว่าทวาราวดี เป็นนครซึ่งพระกฤษณะได้สร้างขึ้นเป็นที่สำนักแห่งกษัตริย์ยาทพ มีข้อความพิสดารอยู่ในเรื่องพระกฤษณาวตาร (ปางที่ ๘). ↩
-
๖. คือราชาอุครเสน ผู้เป็นตาทวดพระกฤษณ (ดูที่กฤษณาวตาร). ↩
-
๗. คือที่เรียกในรามเกียรติ์ว่าชมพูพานนั้นเอง. ↩
-
๘. ที่ป่าซึ่งพระกฤษณตามพระประเสนไปนี้ ในวายุปุราณะกล่าวว่า ชื่อเขาฤกษวัต หรืออีกนัย ๑ เรียกว่า เขาวินธยะ. ↩
-
๙. “ชตุคฤห”- เรือนชัน ฯ เรื่องนี้มีมาในมหาภารต อาทิบรรพ คือเล่าถึงเรื่องพระทุรโยธนะลูกท้าวธฤตราษฎร์คิดร้ายต่อกษัตริย์ปาณฑพผู้เป็นลูกของอา ยุให้พระบิดาเนรเทศไปแล้วยังไม่พอใจ ตามจองผลาญไปอีก ไปทำเรือนทาชันขึ้นไว้และคิดจะล่อให้กษัตริย์ปาณฑพทั้ง ๕ กับมารดาแห่งกษัตริย์นั้นเข้าไปอยู่ในเรือนและเผาเสีย แต่พวกปาณฑพรู้กลจึ่งรอดได้. ↩
-
๑๐. พระกฤษณเป็นญาติกับพวกกษัตริย์ปาณฑพอย่างสนิท พระนางกุนตีผู้เป็นมารดาพระยุธิษเฐียร พระอรชุน และพระภีมเสนนั้น เป็นขนิษฐภคินีแห่งพระวสุเทพผู้เป็นพระบิดาแห่งพระกฤษณ เพราะฉะนั้นนางกุนตีก็เป็นอาพระกฤษณ ฯ ฝ่ายพวกโอรสท้าวธฤตราษฎร์ มีพระทุรโยธนะเป็นอาทิ ซึ่งออกนามรวมกันว่ากษัตริยโกรพนั้นพระกฤษณนับว่าเป็นญาติเหมือนกัน คือประการ ๑ เป็นจันทรวงศ์ด้วยกัน อีกประการ ๑ ท้าวธฤตราษฎร์เป็นเชษฐาแห่งท้าวปาณฑุ และท้าวปาณฑุเป็นสามีนางกุนตี จึงนับว่าท้าวปาณฑุนั้นเป็นอา และนับถือท้าวธฤตราษฎร์ผู้พี่เป็นลุง ฯ โดยเหตุฉะนี้พระกฤษณจึ่งเข้าได้ทั้งปาณฑพและโกรพ และได้พยายามได้ ๒ ฝ่ายนั้นดีกัน แต่ทำสำเร็จไม่ ในที่สุดจึงถึงแก่กระทำยุทธกัน (ดูที่กฤษณาวตารต่อ) ฯ ↩
-
๑๑. “จักริน” ก็คือนามเดียวกับ “จักรี” แปลว่าผู้ถือจักร เป็นนามพระนารายน์ แต่ในที่นี้ใช้เรียกพระกฤษณ. ↩
-
๑๒. “สีริน” แปลว่าผู้ถือไก (สีระ) เป็นนามพระพลเทพ ผู้ถือไถเป็นอาวุธใช้อย่างพลอง. ↩
-
๑๓. พระพลเทพนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชอบสุรา เพราะในกาลครั้ง ๑ ได้ไปพบสุราอยู่ในค่าคบไม้ ดื่มสุรานั้นก็มีใจกำเริบ เรียกให้แม่พระยมนาไหลมาหา ครั้นแม่พระยมนาไม่ยอม พระพลรามก็แผลงอิทธิฤทธิ์ลากลำน้ำนั้นออกมาจากร่องจนได้. ↩
-
๑๔. “อุรคาริเกตนะ” แปลวา “ผู้มีอุรคาริเป็นเครื่องหมาย” คือพระนารายน์ ฯ คำว่า “อุรคาริ” มาจาก “อุรค” “อริ” แปลว่าเป็นข้าศึกแก่งู เป็นนามแห่งพญาครุฑ ↩
-
๑๕. นางคานทินีนี้ เมื่อเกิดก็มีอายุได้ ๑๕ ปีแล้ว จึ่งตกแต่งให้มีผัวได้ทีเดียว ↩
-
๑๖. ที่ข้าพเจ้าแปลไว้ในที่นี้ว่า “สมุคใบย่อม” คือตามคำภาษาสังกฤตว่า “สมุท์คกะ” ซึ่งมาจากคำ “สมุท์คะ” และคำนี้ถ้าจะเขียนเป็นภาษามคธก็เป็น “สมุค์ค” ส่วนคำแปลนั้น ตามพจนานุกรมโมเนียรวิลเลี่ยมส์ว่า “หีบรูปกลม” ดังนี้ ดูก็ตรงกับรูปภาชนะซึ่งไทยเราเรียกว่า “สมุก” นั้นเอง เพราะฉะนั้นมีข้อควรสันนิษฐานว่าเป็นคำเดียวกัน ข้าพเจ้าจึ่งแก้ตัวสะกดเป็น “ค” เพื่อให้ถูกมูลเดิม – ว.ป.ร. ↩
-
๑๗. ที่พระกฤษณว่ามีเมีย ๑๖,๐๐๐ คนในที่นี้ เป็นนักสนม นอกจากนี้ยังมีมเหสีอีก ๓ คน คือนางรุกมิณี บุตรีราชาวิทรรภ ๑ กับนางชามพวดีและนางสัตยภามา ซึ่งได้กล่าวถึงในเรื่องแก้ววิเศษนี้ ↩
-
๑๘. ข้อสัญญาเหล่านี้ จะเปนอย่างไรบ้างไม่ปรากฏ เพราะไม่มีมาในต้นฉบับเดิม. ↩
-
๑๙. ดูนารายน์สิบปาง พระราชนิพนธ์ ร. ๖ ↩