นิทานเรื่องที่ ๑๒ เรื่องแปลงรสผลมะม่วง

เหลี่ยม ๑๒ นั้นจารึกไว้เปนนิทานว่า ยังมีพระมหากระษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามกรว่าพระเจ้าวิทาทะได้เสวยราชสมบัติอุกลิปะ มีเมืองขึ้นเปนอันมาก วันหนึ่งพระมหากระษัตริย์เสด็จพร้อมด้วยพระอรรคมเหษีพระสนมทั้งปวงไปสรงน้ำแม่น้ำอันหนึ่งชื่อหิรัญวดี เปนป่าไม้กฤษณาระยะทางประมาณ ๖๐๐ เส้น มีต้นไทรกิ่งห้อยย้อยลงมา เสมือนม่านพระองค์ก็เสด็จบรรธมหลับอยู่ในร่มไทรนั้น แลมูลไทรนั้นเปนโพรง มีสิงฆาโลหมาในสุกรอาศรัยอยู่สองสัตว์ ปลายไทรนั้นมีวานรกากนาอยู่ สัตว์ทั้ง ๔ เปนมิตร์กัน แลในวันนั้นกากนาจึงว่าแก่สัตว์ทั้ง ๓ ว่า จะลักเอาสอิ้งทับทรวงเขาแล้วจะหนีไป แลสัตว์ทั้ง ๓ คิดกันว่า (เมื่อมิตร์) ผู้หนึ่งทำร้ายเช่นนั้นเราจะอยู่ไปก็มิได้ วานรจึงจับมงกุฎครอบหัวลง ฝ่ายสุกรก็เอาหัวสอดรัตนมาลา สิงฆาโลหมาในก็เอาหัวสอดสอิ้งทับทรวงของพระอรรคมเหษี ทั้ง ๔ สัตว์ก็ออกไปเที่ยวสบายตามภาษาสัตว์

 

ครั้งนั้นยังมีลูกมหากระษัตริย์องค์ ๑ กับลูกมนตรีคน ๑ เศรษฐี คน ๑ ลูกเพ็ชฌฆาฏคน ๑ ไปเรียนศิลปสาตร์ได้แล้วกลับมา พบสัตว์ทั้ง ๔ เห็นผิดประหลาด ว่าแต่ก่อนไม่เคยเห็นวานรจะทรงมงกุฎ สุกรจะทรงรัตนมาลา กากนาแลสิงฆาโลหมาในจะทรงสอิ้งทับทรวง ชรอยเทพยดาจะลองความรู้ของเรา แลพระกุมารลูกมนตรีเศรษฐีเพ็ชฌฆาฏจับศรทั้ง ๔ เล่ม พระกุมารยิงวานร ลูกมนตรียิงสุกร ลูกเศรษฐียิงกากนา ลูกเพ็ชฌฆาฏยิงสิงฆาโลหมาใน ถูกสัตว์ทั้ง ๔ สิ้นชีพพร้อมกัน แลลูกเพ็ชฌฆาฏปลดเอาเครื่องทั้งนั้นห่อผ้าสพายไปถึงต้นพระไทรต้น ๑ ชวนกันนอนหลับอยู่

ฝ่ายพระมหากระษัตริย์กับพระอรรคมเหษีตื่นขึ้นไม่เห็นเครื่องทรง เรียกนางสนมชาววังข้าเฝ้ามาถามก็จน จึ่งให้จับเฆี่ยนฝ่ายน่าฝ่ายในซึ่งล้อมพระองค์ จึ่งพระมหากระษัตริย์ว่าชรอยอ้ายโจรป่าลอบเข้ามาแล้ว ก็ให้ไปสืบสาวดู แลข้าทหารก็ชวนกันไปเห็นกุมารทั้ง ๔ นั่งอยู่ใต้ต้นพระไทรจึงล้อมจับตัวได้ ๆ เครื่องทรงด้วย เอามาถวายพระมหากระษัตริย์ ๆ ให้ขับเฆี่ยนสั่งให้ใส่คุกเสีย แลวันหนึ่งพระมหากระษัตริย์แลพระอรรคมเหษี พร้อมด้วยนางนักสนมลงสรงน้ำ แลยังมีหมากม่วงใบหนึ่งลอยมาปะข่ายทอง นางสนมคนหนึ่งเอาหมากม่วงมาถวาย ครั้นพระองค์สรงเสด็จขึ้นจากน้ำก็เอาหมากม่วงมาเสวยโอชารสหนักหนา จึงพระยาสั่งให้นายอุทยานเอาไปปลูกไว้แล้วเสด็จเข้าเมือง อยู่ประมาณ ๗ ปี เจ้าสุทัศน์แลบุตร์มนตรีบุตร์เศรษฐีบุตร์เพ็ชฌฆาฏซึ่งต้องจำไว้นั้น แต่ผมนั้นยาวถึงปฤษฎางค์แล้ว วันหนึ่งเจ้าสุทัศน์คิดว่าเราทำผิดด้วยคำอาจารย์สั่งว่า อย่าให้ประมาทในศีล ๕ ประการ ศีล ๘ ประการ ประมาทแล้วจึ่งเขาจึ่งทำเราได้ ถ้าเราไม่ประมาทจะสาอันใดแก่บ้านเมืองเพียงนี้ ถึงเรา ๔ คนก็อาจสามารถจะชิงเอาเมืองได้ ว่าเท่านั้นแล้วก็ชปนะเวศคาถาทั้ง ๔ คน เรียกศิลป์ศรพระขรรค์ซึ่งเขาเก็บไว้ก็เข้ามาถึงมือ แล้วจึ่งเจ้าสุทัศน์ว่าแก่ผู้คุมว่าวานท่านจงไปบอกแก่พระยาเจ้าเมือง ว่าเราจะชิงเอาสมบัติพระยาในบัดเดี๋ยวนี้ นายผู้คุมแล่นไปทูลแก่พระมหากระษัตริย์ตรัสให้ปิดประตูเมือง แลตีกลองไชยเภรีป่าวรี้พลทหารมาถึงพระราชวังพร้อมกันแล้ว จึ่งเอากุมารทั้ง ๔ ออกมาจะฆ่าเสีย กุมารทั้ง ๔ จึ่งแผลงศรเสียงดังฟ้าลั่น รี้พลช้างม้าก็ล้มดาษไป แลกุมารทั้ง ๔ เข้าถึงกำแพงพระราชวังคนละด้าน แล้วฟันกำแพงทลายลง แล้วร้องด้วยเสียงว่าสมบัติทั้งนี้เปนของใคร แลพระเจ้าวิทาทะก็ตกใจกลัว จึ่งร้องไปว่าสมบัติเปนของผู้มีศักดานุภาพ ข้าพเจ้าเปนมันทปัญญาอยู่แล้ว เชิญเจ้ากูเสวยราชสมบัติในเมืองอันนี้เถิด ข้าพเจ้าจะได้พึ่งเจ้ากูสืบไป ขอเชิญเจ้ากุมารทั้ง ๔ ขึ้นมาบนท้องพระโรงนี้เถิดจะราชาภิเศกให้ แลพระกุมารทั้ง ๔ มาพร้อมกันณน่าพระลานหลวง แลพระเจ้าวิทาทะเจ้าเมืองอุกะลิปะ เสด็จลงจากพระที่นั่งลงมายืนณอัฒจันท์จะรับกุมารทั้ง ๔ แลลูกเพ็ชฌฆาฏจึงร้องขึ้นว่า พระองค์เจ้าเปนพระมหากระษัตริย์ จะเชิญข้าพเจ้าทั้ง ๓ คนเปนแต่บุตร์มนตรีเศรษฐีเพ็ชฌฆาฏไม่บังควร ขอเชิญแต่เจ้าสุทัศน์เจ้าของเราซึ่งเปนบุตร์พระเจ้าเมืองมิถิลา แลพระเจ้าวิทาทะก็จับข้อพระหัดถ์เบื้องขวาเจ้าสุทัศน์จูงขึ้นท้องพระโรงนั่งอาศนเดียวกัน แลกุมารทั้ง ๓ ก็นั่งเปนอันดับกันแล้ว พระเจ้าวิทาทะก็ปราไสแก่เจ้าสุทัศน์ว่าน้าได้ผิดไปแล้ว มิได้ไถ่ถามตามเรื่องเนื้อความให้แจ้ง เอาเจ้ามาจำไว้ ขอเจ้าจงเล่าเนื้อความมูลเหตุให้น้าฟัง แลเจ้าสุทัศน์เล่าเนื้อความให้พระเจ้าวิทาทะฟังว่า เดิมข้าพเจ้าเปนพระราชโอรสแห่งพระเจ้าเมืองมิถิลา แลพระราชบิดาให้เจ้าสุทัศน์บุตร์มนตรีเศรษฐีเพ็ชฌฆาฏ ไปเรียนศิลปสาตร์แก่พระดาบศชื่อว่าพระฤๅษีตาไฟ เมื่อเจ้าสุทัศน์ไปนั้นเพลาเย็นแล้ว พระฤๅษีเที่ยวจงกรมหลับตาอยู่ แลได้ยินเสียงเจ้าสุทัศน์แลกุมารทั้ง ๓ พระดาบศลืมตาขึ้น เจ้าสุทัศน์แลกุมารทั้ง ๓ ก็ตายเลอียดดาษเปนจุณไป แล้วพระดาบศชุบเจ้าสุทัศน์แลกุมารทั้ง ๓ ขึ้น อยู่ในสำนักปรนนิบัติพระดาบศ ๓ เดือน เรียนศิลปสาตร์ได้แล้วพระดาบศชุบศิลป์ศรให้อิก แล้วลาพระดาบศจะมาเมืองมิถิลา พระดาบศจึ่งสั่งเจ้าสุทัศน์ว่า เราอยู่ในฐานที่นี้ยากที่คนจะมาพบ ๆ แล้วเปนภัพเปนผล เจ้าสุทัศน์แลทั้ง ๓ มายากด้วยกัน สืบไปเมื่อน่าอย่าถือว่าเปนนายเปนไพร่แก่กัน แล้วไปตามทางยากอย่าได้ประมาทลืมตน แลเจ้าสุทัศน์ก็ลามาด้วยกันทั้ง ๔ แลมาถึงทางแห่งหนึ่งเปนสองแพร่งไม่รู้ที่จะไป จึงมาถามกัน ลูกเพ็ชฌฆาฏนั้นจึงขึ้นบนปลายไม้ดู แลพบอัฐิอันหนึ่งเท่าปูนเบี้ยจึงโจทเถียงกันด้วยอัฐิว่าอัฐิอันใด ต่างคนต่างว่าอัฐิสัตว์ต่าง ๆ เจ้าสุทัศน์จึงว่าให้เอามาดูเห็นอัฐิพยัคฆ์ เจ้าสุทัศน์ทิ้งลงให้ชุบเวทดู ถ้าเปนอัฐิสิ่งใดจะเปนเพื่อเภทสิ่งนั้น แลบุตร์เพ็ชฌฆาฏจึงเข้าชุบให้อัฐิยืดยาวออก ๕ ประการ บุตร์เศรษฐีเข้าชุบเปนเอนหุ้มกระดูกเข้า บุตร์มนตรีเข้าชุบเปนเนื้อหนังมังสาครบ เจ้าสุทัศน์จึงชุบใจแลจักขุใส่เข้าเปนพยัคฆ์พิฦกมหึมา แลพยัคฆ์ก็ลุกขึ้นขบบุตร์เพ็ชฌฆาฏแลช่วยคลุกคลีกัน แลพยัคฆ์ขบตายทั้ง ๔ คนทับกันอยู่ แลศิลปสาตร์ซึ่งเรียนกระทำให้เปนเหตุด้วยล่วงคำพระฤๅษีสั่ง พยัคฆ์จะได้กินหามิได้ พยัคฆ์ก็วิ่งไป แลคราทีนั้นพระดาบศก็เข้ามาช่วยชุบเจ้าสุทัศน์แลทั้ง ๓ ขึ้น ๆ ก็เล่าให้พระดาบศฟังแต่ต้นจนปลายว่าประมาทเล่นจึ่งพยัคฆ์ขบตาย แล้วพระดาบศจึ่งสั่งว่าจงถือความสัจไปข้างน่าอย่าล่วงศีล ๕ ศีล ๘ แล้วเจ้าสุทัศน์ก็ลาพระอาจารย์มาถึงทางแห่งหนึ่งเปนสองแพร่ง ก็หลงมาพบวานรทรงมงกุฏ สุกรทรงรัตนมาลา กากนาสิงฆาโลหมาในทรงสร้อยสนิมพิมพาภรณ์ จึ่งเจ้าสุทัศน์แลทั้ง ๓ ยิงสัตว์ทั้ง ๔ ตาย แลเจ้าสุทัศน์บอกแก่พระเจ้าวิทาทะแต่ต้นจนปลาย แลพระเจ้าวิทาทะรู้เหตุแล้วจึ่งตอบคำเจ้าสุทัศน์ว่า น้าได้ทำโทษแก่เจ้าทั้ง ๔ เหตุกรรมเจ้าแต่บุรพชาติติดตัวมาจึ่งทำได้ จำเดิมแต่วันนี้ไปบ้านเมืองทั้งนี้จะแต่งการราชาภิเศกด้วยนางทิพกัลยาอันเป็นบุตรีแห่งเรา จะได้เสวยราชสมบัติแทนพระเจ้าวิทาทะ ๆ ก็สั่งให้แต่งเครื่องราชาภิเศกครบเครื่องกระษัตริย์แลเจ้าสุทัศน์เสวยราชสมบัติในเมืองอุกลิปะ แลเจ้าสุทัศน์จึ่งสั่งให้จัดหาลูกมนตรีเศรษฐีเพ็ชฌฆาฏให้แก่กุมารทั้ง ๓ ตามตระกูลวงศ์ จึ่งเจ้าสุทัศน์ปลงราชสมบัติให้แก่ล่าบูผู้เปนพระบิดา เจ้าสุทัศน์ก็เวนสมบัติให้เปนเจ้าเมืองมิถิลาแทนพระองค์ แลพระเจ้ากรุงมิถิลาก็ตั้งกุมารทั้ง ๓ ตามตระกูลวงศ์รักษาพระองค์สืบไป

แลพระเจ้าวิทาทะเจ้าเมืองอุกลิปะผู้ให้ปลูกหมากม่วง วันหนึ่งก็ตรัสถามนายอุทยานว่า หมากม่วงซึ่งให้ปลูกนั้นเปนเหตุประการใด เหมันตระดูเปนผลสุกฤๅ นายอุทยานจึ่งกราบทูลว่ามีผลแก่แล้วแต่มิสู้สุกจัดดีก่อน อยู่วันหนึ่งหมากม่วงสุกหล่น จึ่งนายอุทยานเอามาถวายแก่พระเจ้าวิทาทะ ๆ ก็เสวยหมากม่วง โอชารสยิ่งกว่าหมากม่วงทั้งปวง แลพระเจ้าวิทาทะก็ตรึกในพระทัย พระยาร้อยเอ็ดซึ่งต่อแดนกันไม่มีหมากม่วงโอชารสเสมือนของเรา แลสืบไปข้างน่าอาณาประชาราษฎรได้รับพระราชทาน จะเอาผลหมากม่วงปลูกเปนผลสืบต่อไป จึ่งสั่งแก่นายอุทยานว่า ถ้าหมากม่วงหล่นให้นายอุทยานเผาเหล็กไชหัวเสียแล้วจึ่งรับพระราชทาน ถ้าผู้ใดได้หมากม่วงไปปลูกจะเอานายอุทยานเปนโทษจงสิ้นชีวิตร์ แลพระเจ้าวิทาทะว่า ครั้นจะนิ่งไว้เกลือกจะไม่รู้ไปต่างประเทศ จึ่งให้นายอุทยานเก็บหมากม่วงไชหัวเสีย แล้วให้เอาไปถวายแก่เจ้าเมืองวระบัศต่าน ๆ ได้เสวยโอชารส จึ่งสั่งให้เอาลูกในไปปลูก เมื่อพิจารณาดูเห็นรอยไชหัวหาหน่อมิได้ พระเจ้าวระปัศต่านตรัสแก่เสนาบดีว่าพระเจ้าวิทาทะองค์นี้มิได้อยู่ในทศพิธราชธรรม เปนพระมหากระษัตริย์มัจฉิริย แต่ถวายหมากม่วงมาให้ก็ไชหัวเสีย คิดว่าเมืองทั้งปวงจะเอาปลูกเปนผล เพราะเห็นหมากม่วงโอชารสยิ่งกว่าหมากม่วงทั้งปวง ตรัสว่าเท่านั้นเธอก็ทำทรงพระโกรธว่า ถ้าผู้ใดทำหมากม่วงพระเจ้าวิทาทะให้ขมเสียแล้ว ๆ จะแบ่งเมืองให้กินกึ่งหนึ่ง แลเสนาบดีสืบได้มานพคนหนึ่งมากราบทูลว่าจะขออาสาไปทำหมากม่วงพระเจ้าวิทาทะให้ขมเสีย พระเจ้าวระบัศต่านถามมานพว่าจะเอาสิ่งใดบ้าง มานพกราบทูลว่าไม่เอาสิ่งใดแล้ว แต่ว่าจะช้าปีหนึ่งจึ่งจะได้หมากม่วงมาถวาย มานพลาพระมหากระษัตริย์ตรงมาเมืองอุกลิปะไปหานายอุทยาน ๆ จึ่งถามมานพว่ามาแต่เมืองใด มานพบอกว่ามาแต่เมืองไกล เปนข้าพระมหากระษัตริย์เจ้าเมืองนั้น รักษาอุทยานทำผิดโทษถึงตายหนีพญามา จะขอฝากตัวแก่ท่านพอเลี้ยงปาก นายอุทยานดีใจว่าจะรับรักษาหมากม่วงแทนตัว จึ่งว่าแก่มานพนั้นว่าตัวเปนทุกคตะมาเราจะให้กินอยู่สบาย ให้ตักน้ำรดหมากม่วงจงดี มานพอยู่ด้วยนายอุทยานตักน้ำรดวันละสองเวลาถึงระดูวสันต์หมากม่วงตกดอกออกผล วันหนึ่งพระเจ้าวิทาทะเสด็จไปชมสวน เห็นหมากม่วงเปนผลถามนายอุทยานว่าแต่ก่อนมาหมากม่วงเปนระดูเหมันต์ ปีนี้มาเปนระดูวสันต์เหตุใด นายอุทยานว่าแต่ก่อนรดน้ำวันละหน ข้าพเจ้าได้ทุกคตะคนหนึ่งมารดน้ำวันละสองหน จึ่งหมากม่วงเปนผลในวสันต์ พระเจ้าวิทาทะทรงพระโกรธแก่นายอุทยานให้ลงพระราชอาญาถอดเสียจึ่งตั้งให้มานพเปนนายอุทยาน พระราชทานเสื้อผ้าแพรพรรณให้รักษาสวนสืบไป นายอุทยานคิดว่าครั้นหมากม่วงแก่เข้าถึงจะใส่เครื่องขมก็ไม่ขม จำจะงดเสียก่อน จึ่งนายอุทยานไปหาเครื่องขมทั้งปวงมาปลูกลงที่ต้นหมากม่วง แลเอาของขมแช่น้ำรดจนหมากม่วงมีผล แลหมากม่วงนั้นก็ขมสิ้น นายอุทยานจึ่งเก็บเอาไปแล้วก็ปลาศหนีไปยังเมืองวระบัศต่าน เอาหมากม่วงขมไปถวายแก่เจ้าเมืองของตัว ฝ่ายเจ้าเมืองวระบัศต่านโดยน้ำพระทัยที่โกรธ ครั้นเห็นหมากม่วงขมแล้วก็แบ่งเมืองให้แก่มานพนั้นกึ่งหนึ่ง แลมานพรับแต่เครื่องพระราชทานถวายเมืองคืน

แลภรรยานายอุทยานไปทูลแต่พระเจ้าวิทาทะ ว่านายอุทยานสอยหมากม่วงได้แล้วก็ปลาศหนีไป พระเจ้าวิทาทะก็สั่งให้มหาดเล็กไปดูแลสอยหมากม่วงมาถวาย มหาดเล็กก็กฎหมายเครื่องขมมาถวาย พระเจ้าวิทาทะเห็นหมากม่วงขม จึ่งตรัสแก่เสนาบดีว่าผู้ใดแก้หมากม่วงเราที่ขมให้หวาน เราจะรางวัลให้เต็มใจ แลเสนาบดีผู้หนึ่งกราบทูลจะขออาสาไปดูหมากม่วง ครั้นเสนาบดีเห็นเครื่องขมคือต้นสเดาแลของขมสิ่งอื่นเปนอันมาก ปลูกที่มูลหมากม่วงแลแช่น้ำรดบ้าง เสนาบดีก็ให้ขุดเอาชานที่ขมเสีย เอาชานที่อื่นมาใส่ลงแล้วให้ลอยหมากม่วงซึ่งขมทั้งนั้นเสียสิ้น ให้เบิกขันทศกร กระทิ นมเนย ปนทรายและน้ำรดหมากม่วงแล้ว ให้เอานายอุทยานคนเก่าเปนสืบไป ระดูเหมันต์หมากม่วงก็เปนโอชารสยิ่งกว่าแต่ก่อนแล พระเจ้าวิทาทะก็ทรงพระวิตกว่า ไม้ขมมาปนด้วยไม้หวาน ๆ ก็พลอยขมประดุจมานพคนดีไปคบคนชั่วก็พาชั่วไป แต่นั้นก็ละมัจฉิริยะทิษฐิเสีย พระองค์ทรงธรรมบ้านเมืองอยู่เย็นเปนศุขเพราะพระเจ้าทรงธรรมนั้นแล ฯ

ครั้นพระเจ้าหุมายุนดูครบ ๑๒ เหลี่ยม เขียนเอานิทานมาทุกเหลี่ยมแล้ว ก็ลาศพพระเจ้าเนาวสว่านวาดิน แล้วให้ปิดประตูเหล็กจมทับทางดุจหนึ่งแต่ก่อน แลลงมาจากภูเขาจะมายังเมืองมะดาวิน แล้วก็มายังเมืองปัดดัด พระองค์ถือเอาตามจารีตนิทานพระเจ้าเนาวสว่านทั้งสิ้น บ้านเมืองอยู่เย็นเปนศุขเพราะพระเจ้าทรงธรรมนั้นแล ฯ

  1. ๑. นิทานเรื่องนี้ความอย่างเดียวกับเรื่อง ทธิวาหนชาดก ในนิบาตชาดกฝ่ายพระพุทธสาสนา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ