นิทานเรื่องที่ ๙ เรื่องพระเจ้ามหาติมยอมให้พระเศียรเปนทาน

เหลี่ยม ๙ นั้นจารึกไว้เปนนิทานว่า ยังมีพระมหากระษัตริย์เจ้าองค์หนึ่ง ทรงนามชื่อว่าพระเจ้ามหาติม ครองราชสมบัติอยู่ณเมืองอรปิศต่าน แลในพระไทยพระเจ้ามหาติมนั้นใฝ่แต่จะทำบุญให้ทานแก่อาณาประชาราษฎรวรรณิพก พระเจ้ามหาติมจึงสั่งให้สร้างพระตำหนักไว้ที่ทำเลนอกเมือง สำหรับจะออกไปทำบุญให้ทานแก่คนเดินหนแลอาณาประชาราษฎร แลพระตำหนักให้มีประตู ๗ ประตู แลในพระตำหนักเสด็จออกพระราชทานนั้น ทำเปนสายยนต์ชักพระที่นั่งไปพระราชทานได้ทุก ๆ ประตู แล้วให้ป่าวร้องแก่ราษฎรวรรณิพกให้ไปรับทาน แลพระเจ้ามหาติมเสด็จออกไปให้ทานเดือนละหน ให้ทานถ้วน ๗ ประตูแล้วจึงเสด็จกลับมาเมือง

มนตรีผู้หนึ่งกราบทูลทัดทานพระเจ้ามหาติมว่า พระองค์เจ้าให้ทานเดือนละหนนั้นมากนัก ส่วยสาอากรจะได้มามิทัน ขอพระราชทานให้ทำทานแต่ปีละหน พระเจ้ามหาติมตรัสแก่มนตรีว่า เงินท้องพระคลังพระมหากระษัตริย์นั้นดุจน้ำทเล ให้ทานแก่วรรณิพกประดุจหนึ่งฝนตกให้แผ่นดินแลต้นไม้เย็น ครั้นชื่นแล้วน้ำฝนก็ซาบไปท้องทะเลดังเก่า แลน้ำฝนนั้นจะได้ค้างอยู่กับต้นไม้หามิได้ อันทะเลนั้นบ่ห่อนจะแห้ง พอพระเจ้ามหาติมตรัสดังนั้น ในกาลวันนั้นห่าฝนทองตกลงในพระราชวังเปนอันมาก แลมนตรีซึ่งกราบทูลทัดทานนั้นก็ปากปิดเจรจามิออก ครั้นพระเจ้ามหาติมเห็นฝนทองตกแลปากมนตรีปิดไปดังนั้น จึงตรัสแก่เสนาบดีทั้งปวงว่า อันการทำบุญให้ทานนั้นถ้าบุทคลผู้ใดทัดทานก็จะได้บาปโทษทั้งภาคนี้ภาคน่า แลฝนทองซึ่งตกลงมานั้น ให้เก็บเอาไปใส่ไว้กับเงินที่ท้องพระคลัง แลในแว่นแคว้นนั้นเงินทองก็ผุดขึ้นมาจากแผ่นดินเปนหลายตำบล เงินที่ท้องพระคลังนั้นจะทำบุญให้ทานเท่าใดไม่ได้บกพร่อง

การที่พระเจ้ามหาติมทำบุญแก่ราษฎรวรรณิพก แลผู้ใดจะขออันใดก็ให้พระราชทานตามปราถนา เลื่องฦๅไปถึงพระเจ้าเมืองชาม ๆ ก็ตรัสว่า เราทำบุญให้ทานแก่ราษฎรทั้งปวงถึงเพียงนี้ ความเลื่องฦๅนั้นมิเท่าพระเจ้ามหาติม อย่าเลยมาเราจะลองดู จะแต่งราชทูตไปขออูฐดำปลอด ๓๐๐ ตัว แลอูฐดำนั้นราคานั้นแพงยิ่งนักที่ไหนจะให้มาได้ ตรึกแล้วดังนั้นจึงให้แต่งราชทูตจำทูลพระราชสาสนไปถึงพระเจ้ามหาติม ๆ แจ้งในพระราชสาสนแลเลี้ยงราชทูตตามธรรมเนียมแล้ว จึงให้ตีฆ้องร้องป่าวแก่ราษฎรบ้านนอกทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดมีอูฐดำให้เอาเข้ามา ถ้าจะเปนราคามากน้อยเท่าใดจะคิดราคาให้ ตามบรรดาราษฎรซึ่งมีอูฐดำก็จัดเอาเข้ามาถวายแก่พระเจ้ามหาติม แลพระเจ้ามหาติมก็คิดให้ตามราคา ครั้นอูฐดำครบ ๓๐๐ ตัวแล้ว ก็ให้ราชทูตพาไปถวายแก่พระเจ้าชาม ๆ ว่าเราเปนเมืองใหญ่กว่าพระเจ้ามหาติมอิก พระเจ้ามหาติมมีน้ำใจถึงเพียงนี้เราจะเอาอูฐเขาเปล่ามิควร จึงให้เอาพรรณผ้าแพรพรรณแลสิ่งของบรรทุกหลังอูฐให้เต็มทั้ง ๓๐๐ ตัว แล้วให้เอาคืนมาพระราชทานแก่พระเจ้ามหาติม ๆ ให้หาบรรดาเจ้าของอูฐมาพร้อมกัน แล้วว่าอูฐของผู้ใดก็ให้เอาอูฐของผู้นั้นไปทั้งสิ่งของบรรทุกมานั้น แลเงินค่าอูฐนั้นก็มิเอา ยกพระราชทานให้แก่เจ้า (ของ) อูฐนั้นสิ้น ราชทูตจึงกลับไปทูลตามได้เห็น แลพระเจ้าเมืองชามก็ตรัสสรรเสริญพระเจ้ามหาติมว่าดีสมดังคำเล่าฦๅนั้นจริง

อยู่มากาลวันหนึ่ง พระเจ้าเมืองญามนโปรยปรายเงินทองและเนาวรัตน์ให้ทานแก่ราษฎรเปนอันมาก แล้วสั่งให้มาถามเขือซึ่งมารับทานแต่ต่างประเทศ ว่าผู้ใดยังได้เห็นว่าพระเจ้าเมืองใดทำทานดังพระองค์ทำนี้มีบ้าง แลเขือผู้หนึ่งให้กราบทูลว่า พระเจ้ามหาติมเมืองโน้นใจบุญนัก ผู้ใดจะขอสิ่งไรมิได้ขัด พระเกียรติยศฦๅไปทั่วทุกเมือง พระเจ้าญามนได้ยินมีพระไทยฤษยาว่าพระเจ้ามหาติมเปน (เมือง) น้อยสมบัติก็น้อย จะได้ไหนมาทำทานหนักหนา ทำมาทั้งนั้นจะเท่าเราทำวันเดียวก็ไม่ได้ ความสรรเสริญยังยิ่งกว่าเราอิก ถ้าขอสิ่งไรไม่ขัด เราจะให้ขอเศียรพระเจ้ามหาติมลองดูจะให้ฤๅมิให้ประการใด ตรัสดังนั้นแล้วก็สั่งให้ทหารไปยังเมืองอรปิศต่าน แลพระเจ้ามหาติมนั้นให้ทำศาลาฉ้อทานไว้นอกเมือง ๗ วันปลอมพระองค์ออกไปให้ทานที่ศาลาฉ้อทานนั้นครั้งหนึ่ง แลพระเจ้ามหาติมออกไปทำทานที่ศาลาฉ้อทาน พอทหารพระเจ้าญามนมาถึงก็เชิญให้กินเข้าแล้ว ๆ ถามว่าท่านมาแต่ไหน ถ้า (มี) กิจสิ่งใดแลขัดสนเราจะช่วย ทหารไม่รู้ว่าพระเจ้ามหาติมจึงบอกว่าเรามานี้เปนความลับ จะบอกต่อหน้าคนนั้นมิได้ พระเจ้ามหาติมจึงพาทหารไปที่ลับแต่สองต่อสองแล้ว เตือนว่าบอกเราเถิดเราจะช่วย ทหารได้ยินพระวาจาอ่อนหวานเห็นว่ามีใจรักใคร่ พอจะไว้ใจได้จึงบอกว่า พระเจ้าญามนใช้ให้เรามาขอพระเศียรพระเจ้ามหาติม ๆ ทรงพระสรวลแล้วตรัสว่าเรานี้คือพระเจ้ามหาติม ถ้าพระเจ้าญามนต้องพระราชประสงค์เศียรเรา ๆ จะถวายตามปราถนา บัดนี้ก็เปนที่ลับอยู่แล้วจงเร่งตัดเอาเศียรเราไปเถิด อย่าให้คนทั้งปวงทันรู้เห็น ทหารได้ยินดังนั้นก็กราบลงกับบาทพระเจ้ามหาติมแล้วทูลว่า พระองค์ทรงธรรมดังนี้ข้าพเจ้าจะเอาความดีทั้งปวงไปทูลก่อน ถ้าเจ้านายของข้าพเจ้ามิโปรดแล้วข้าพเจ้าจะถวายศีศะแทนจึงจะควรแก่พระคุณซึ่งอยู่ข้าพเจ้านั้น พระเจ้ามหาติมก็ให้เลี้ยงโภชนาอาหารแล้วพระราชทานเสื้อผ้าให้ทหาร ๆ ก็กราบถวายบังคมลาไปทูลพระเจ้าญามนทุกประการ พระเจ้าญามนตรัสว่าทั้งปวงเขาเลื่องฦๅสรรเสริญพระเจ้ามหาติมนั้นควรอยู่แล้ว จะหาผู้ใดให้ยิ่งกว่าพระเจ้ามหาติมนั้นหามิได้ อายุได้ ๑๕๒ ปี เสวยราชสมบัติจนตาย ราษฎรอยู่เย็นเปนศุขด้วยทรงธรรมนั้นแล ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ