- เจ้าจอมมารดาชุ่ม รัชกาลที่ ๔
- ข้าพเจ้าขออุทิศกุศล
- คำนำ
- ตอนที่ ๑ ว่าด้วยมูลเหตุที่เกิดพุทธเจดีย์
- ตอนที่ ๒ ว่าด้วยประวัติพุทธเจดีย์
- ตอนที่ ๓ สมัยแรกพระพุทธสาสนาเปนประธานของประเทศ
- ตอนที่ ๔ ว่าด้วยมูลเหตุที่เกิดพระพุทธรูป
- ตอนที่ ๕ ว่าด้วยพระพุทธรูปปางต่าง ๆ
- ตอนที่ ๖ ว่าด้วยพระพุทธรูปแลรูปพระโพธิสัตว์ซึ่งเกิดขึ้นในคติมหายาน
- ตอนที่ ๗ ว่าด้วยพุทธเจดีย์ในนานาประเทศ
- ตอนที่ ๘ ว่าด้วยพระพุทธสาสนาในประเทศสยาม
- ตอนที่ ๙ ว่าด้วยพุทธเจดีย์ในสยามประเทศ
ตอนที่ ๘ ว่าด้วยพระพุทธสาสนาในประเทศสยาม
พระพุทธสาสนาได้มาประดิษฐานในประเทศสยามนี้แต่เมื่อใด ข้อนี้กล่าวกันเปนหลายอย่าง บ้างว่ามาประดิษฐานในคราวเมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชให้เที่ยวสอนพระพุทธสาสนายังนานาประเทศ บ้างว่ามาต่อภายหลังสมัยนั้นช้านาน ถ้าว่าตามหลักฐานอันมีโบราณวัดถุปรากฎประกอบกับเรื่องพงศาวดาร รู้ได้แน่ชัดว่าพระพุทธสาสนามาประดิษฐานในสยามประเทศ แต่สมัยเมื่อยังเปนถิ่นฐานของชนชาติลาว (ละว้า) ราชธานีตั้งอยู่ณเมืองนครปฐม ซึ่งเรียกนามในสมัยนั้นว่าเมืองทวาราวดี
ยุคที่ ๑ ลัทธิหินยานอย่างเถรวาท
ตามความที่ได้กล่าวมา ว่าพระพุทธสาสนาแรกมาประดิษฐานในประเทศสยาม เมื่อตั้งราชธานีอยู่ณเมืองนครปฐมนั้น มีโบราณวัดถุบางอย่างปรากฎอยู่ที่พระปฐมเจดีย์ คือ เช่นศิลาทำเปนรูปพระธรรมจักรเหมือนอย่างเช่นที่ชาวอินเดียสร้างกันในสมัยเมื่อก่อนมีพระพุทธรูป แลภาษาที่จารึกพระธรรมเปนภาษามคธ กับทั้งยังมีคติที่ถือกันเมื่อก่อนมีพระพุทธรูป เช่นทำพระแท่นพุทธอาสน์แลรอยพระพุทธบาทเปนที่สักการบูชาปรากฎต่อมาในประเทศนี้อีกหลายอย่าง สิ่งสำคัญเหล่านี้แสดงว่าพระพุทธสาสนาซึ่งแรกมาประดิษฐานในประเทศสยาม เปนลัทธิเถรวาทอย่างเช่นที่พระเจ้าอโศกมหาราชให้เที่ยวสั่งสอนยังนานาประเทศ จึงสันนิษฐานว่า พระพุทธสาสนาเห็นจะมาประดิษฐานในประเทศสยามตั้งแต่ก่อน พ.ศ. ๕๐๐ แลนับถือกันมั่นคงสืบมาแต่ครั้งนั้น ครั้นเมื่อเกิดมีประเพณีสร้างพระพุทธรูปขึ้นในอินเดีย พวกชาวอินเดียก็นำแบบอย่างพระพุทธรูปมาสร้างขึ้นในประเทศสยาม ข้อนี้สังเกตได้ด้วยลักษณพระพุทธรูปซึ่งเปนชั้นแรกมีขึ้นในประเทศนี้ เช่นพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาทอย่างนั่งเก้าอี้เปนต้น ทำตามแบบช่างชาวมคธราฐครั้งสมัยราชวงศคุปต์ ซึ่งรุ่งเรืองเมื่อราว พ.ศ. ๙๐๐ แบบอย่างที่กล่าวมานี้เปนหลักฐานประกอบอีกอย่างหนึ่ง ว่าพวกชาวอินเดียที่แรกมาสอนพระพุทธสาสนายังประเทศสยามมาแต่มคธราฐ อนึ่งในสมัยนั้นดูเหมือนจะเปนเวลากำลังกรุงทวาราวดีเจริญรุ่งเรืองมาก ด้วยโบราณวัดถุเช่นที่มีอยู่ในแขวงจังหวัดนครปฐม มีแพร่หลายตลอดไปจนแขวงจังหวัดราชบุรี
ยุคที่ ๒ ลัทธิมหายาน
เมื่อเกิดลัทธิมหายานแพร่หลายในอินเดีย พวกชาวอินเดียก็พาลัทธิมหายานมาเที่ยวสอนตามประเทศเหล่านี้เหมือนเคยสอนสาสนามาแต่หนหลัง แต่มาสอนที่เกาะสุมาตราก่อน แล้วจึงเลยไปสอนที่เกาะชวา แลประเทศกัมพูชา บางทีจะมีชาวอินเดียอิกพวกหนึ่งมาจากมคธราฐ พาพระพุทธสาสนาลัทธิมหายานมาเที่ยวสั่งสอนในประเทศพม่ามอญตลอดจนกรุงทวาราวดี แต่หากจะมิใคร่มีใครเลื่อมใส จึงไม่ปรากฎเค้าเงื่อนว่าลัทธิมหายานได้มาเจริญแพร่หลายในชั้นนั้น
ครั้นเมื่อราว พ.ศ. ๑๓๐๐ กษัตริย์ซึ่งครองกรุงศรีวิชัยในเกาะสุมาตรามีอานุภาพมาก แผ่อาณาเขตมาถึงแหลมมลายู (ตั้งแต่มณฑลสุราษฎร์ลงไปจนมณฑลปัตตานี) พวกชาวศรีวิชัยนับถือพระพุทธสาสนาอย่างลัทธิมหายาน จึงนำลัทธินั้นมาสั่งสอนในเหล่าจังหวัดที่ได้ไว้เปนอาณาเขต ยังมีพุทธเจดีย์อย่างลัทธิมหายานที่พวกชาวศรีวิชัยมาสร้างไว้ปรากฎอยู่ เช่นพระมหาธาตุเมืองไชยา แลพระมหาธาตุเมืองนครศรีธรรมราชองค์เดิม
ยุคที่ ๓ ลัทธิหินยานอย่างภุกาม
เมื่อ พ.ศ. ๑๖๐๐ พระเจ้าอนุรุทธมหาราชกษัตริย์ซึ่งครองประเทศพม่า ตั้งราชธานีอยู่ณเมืองภุกาม เจริญอานุภาพปราบปรามประเทศรามัญไว้ในอำนาจ แล้วขยายอาณาเขตเข้ามาถึงประเทศลานนา (คือมณฑลภาคพายัพบัดนี้) ลงมาจนถึงเมืองลพบุรี
ในยุคที่กล่าวนี้ประจวบสมัยชนชาติไทยลงมาสู่ประเทศสยาม เดิมชนชาติไทยมีอาณาเขตของตนเปนประเทศใหญ่โตอยู่ระหว่างประเทศจีนกับประเทศธิเบต ครั้นพวกจีนมีอำนาจขึ้นก็บุกรุกแดนไทยมาตั้งแต่ พ.ศ. ๔๐๐ สู้รบกันนานเข้า ไทยทานกำลังจีนไม่ไหวต้องเสียบ้านเมืองไปแก่จีนโดยอันดับมา จึงมีพวกไทยที่ไม่ยอมอยู่ในอำนาจจีนพากันอพยพมาหาบ้านเมืองอยู่ใหม่ทางฝ่ายตวันตก บางพวกไปตั้งบ้านเมืองทางลำน้ำสลวินได้ชื่อว่าไทยใหญ่ แต่ชาวต่างประเทศมักเรียกว่าเงี้ยวหรือฉาน
ในสมัยเมื่อพระเจ้าอนุรุทธมหาราชเมืองภุกามมาได้ปกครองประเทศสยามนั้น มีชนชาติไทยอยู่ในแว่นแคว้นลานนาแลลานช้างมากกว่าข้างใต้ พวกไทยนับถือพระพุทธสาสนาอยู่แล้ว ก็รับถือสาสนาลัทธิหินยานตามแบบแผนเมืองภุกามมาแต่ครั้งนั้น ครั้นเมื่อล่วงสมัยพระเจ้าอนุรุทธมหาราช อำนาจเมืองภุกามเสื่อมลง พวกไทยก็มีอำนาจขึ้นในประเทศสยามเปนลำดับมา ถึงสมัยนี้ในแดนสยามทางข้างใต้พวกขอมกับพวกลาวได้สมพงศปะปนกันมาช้านาน พวกลาวหย่อนอริยธรรมกว่าพวกขอม ก็กลายไปเปนขอมโดยมาก ยังคงเปนลาวอยู่อย่างเดิมแต่พวกซึ่งอยู่ตามบ้านป่าเมืองดอน ครั้นชนชาติไทยลงมาอยู่ในประเทศสยามทางข้างเหนือมากขึ้น พวกลาวหย่อนอริยธรรมกว่าไทยก็กลายไปเปนไทยอีกส่วนหนึ่ง จึงเปนเหตุให้ชนชาติลาวลดน้อยลงเปนอันดับมา จนเหลืออยู่แต่เปนชาวป่าซึ่งพวกไทยข้างเหนือเรียกว่า “ลัวะ” พวกไทยข้างใต้เรียกว่า “ละว้า” อยู่เปนแห่ง ๆ ทุกวันนี้ก็ยังมีแทบทั่วทุกมณฑลในประเทศสยาม เมื่อไทยแผ่อาณาเขตลงมาปกครองถึงเมืองสุโขทัย ซึ่งพวกขอมได้ขึ้นไปตั้งอยู่ช้านาน ได้นำลัทธิพระพุทธสาสนาอย่างมหายาน แลลัทธิสาสนาพราหมณ์ ตลอดจนการใช้อักษรแลภาษาขอมขึ้นไปประดิษฐานไว้ ไทยมาได้ปกครองพลเมืองซึ่งนิยมประพฤติขนบธรรมเนียมอย่างขอมอยู่โดยมาก แต่วิสัยไทยรู้จักเลือก เห็นขนบธรรมเนียมของชาวต่างประเทศอย่างใดดี ถ้าแลมิได้ฝ่าฝืนต่อประโยชน์ของตนก็มักประพฤติตามหรือแก้ไขให้เปนประโยชน์ยิ่งขึ้น ดังแก้อักษรขอมเปนอักษรไทยเปนต้น อาศรัยเหตุนี้พวกไทยที่ลงมาอยู่ข้างใต้ ตั้งแต่สุโขทัยลงมาจึงรับถือลัทธิบางอย่างในสาสนาแลขนบธรรมเนียม ตลอดจนใช้ภาษาแลศาสตราคมซึ่งได้มาจากขอมผิดกับพวกไทยที่ตั้งอยู่ทางอาณาเขตลานนาแลลานช้างด้วยประการฉนี้
ยุคที่ ๔ ลัทธิลังกาวงศ
เรื่องตำนานพระพุทธสาสนาลัทธิลังกาวงศมาสู่ประเทศสยามนั้น เดิมเมื่อ พ.ศ. ๑๖๙๖ พระเจ้าปรักกรมพาหุได้ครองราชสมบัติในลังกาทวีป พระเจ้าปรักกรมพาหุนี้นับเปนมหาราชองค์หนึ่งในพงศาวดารลังกา เพราะมีอานุภาพมาก สามารถปราบปรามได้เมืองทมิฬทั้งปวงไว้ในอำนาจ แลเปนพุทธสาสนูปถัมภกทำนองเดียวกับพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงอาราธนาให้พระมหากัสปเถรเปนประธานทำสังคายนาพระธรรมวินัย
ว่าโดยส่วนประเทศสยาม ดูเหมือนพระพุทธสาสนาลัทธิลังกาวงศจะแรกมาถึงเมื่อพระพุทธศักราชราว ๑๘๐๐ พวกพระภิกษุไทยซึ่งได้ไปบวชแปลงณเมืองลังกากลับมาตั้งคณะที่เมืองนครศรีธรรมราชก่อน แล้วชักชวนพระสงฆ์ชาวลังกาตามมา ช่วยกันสร้างพระมหาธาตุที่เมืองนครศรีธรรมราชแปลงเปนรูปพระสถูปอย่างลังกาในสมัยนี้ ครั้นเกียรติคุณของพระสงฆ์ลังกาวงศแพร่หลายขึ้นไปถึงกรุงสุโขทัยราชธานีเมื่อครั้งกษัตริย์ราชวงศพระร่วงเปนใหญ่ ก็ทรงเลื่อมใสโปรดให้นิมนต์พระสงฆ์ลังกาวงศขึ้นไปตั้งณกรุงสุโขทัย ลัทธิลังกาวงศจึงรุ่งเรืองในประเทศสยามแต่นั้นมา ความข้อนี้ปรากฎอยู่ในศิลาจารึกของพระเจ้ารามกำแหงมหาราชเมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๐ ว่า “พ่อขุนรามคำแหงกระทำโอยทานแก่มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนจบพระไตรปิฎก หัวก๊กกว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกตนลุกแต่เมืองนครศรีธรรมราชมา” ดังนี้ ตั้งแต่ลัทธิลังกาวงศมาเจริญขึ้น ลัทธิมหายานก็เสื่อมทรามแล้วเลยสูญไป ในประเทศสยามคงมีแต่พระสงฆ์ถือลัทธิหินยาน แต่ว่าในชั้นแรกต่างกันเปน ๒ นิกาย คือพระสงฆ์พวกเดิมนิกาย ๑ พระสงฆ์พวกที่อุปสมบทตามลัทธิลังกาวงศนิกาย ๑ ในประเทศพม่ารามัญเขมรพระสงฆ์ก็เปนสองนิกายเช่นนั้นเหมือนกัน ในที่สุดจึงรวมเข้าเปนนิกายอันเดียวกัน
เรื่องรวมพระสงฆ์นิกายเดิมกับนิกายลังกาวงศเข้าเปนนิกายอันเดียวกัน ที่เมืองมอญถึงพระเจ้าแผ่นดินต้องบังคับ ดังปรากฎอยู่ในจารึกกัลยาณีของพระเจ้ารามาธิบดีศรีปิฎกธรเมืองหงสาวดี แต่ในประเทศสยามนี้รวมกันได้ด้วยปรองดอง เรื่องนี้ยังมีเค้าเงื่อนปรากฎอยู่หลายอย่าง ดังจะนำมาสาธก แม้จะทำให้เรื่องยืดยาวไปสักหน่อย ก็หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะไม่เบื่อ คือ ในศิลาจารึกที่เมืองสุโขทัยก็ดี ที่เมืองเชียงใหม่ก็ดี ปรากฎว่าพระสงฆ์ลังกาวงศมาอยู่วัดในอรัญญิก เมื่อไปตรวจดูถึงท้องที่ทั้ง ๒ แห่งนั้นก็เห็นสมจริง ด้วยที่เมืองสุโขทัยแลเมืองเชียงใหม่ บันดาวัดใหญ่โตอันเปนเจดียสถานสำคัญของบ้านเมือง เช่นวัดมหาธาตุหรือวัดเจดีย์หลวง เปนต้น มักสร้างในเมือง แต่ยังมีวัดอีกชนิดหนึ่ง เปนวัดขนาดย่อม ๆ สร้างเรียงรายกันอยู่ในที่ตำบลหนึ่งห่างเมืองออกไประยะทางประมาณ ๔ กิโลเมตร วัดที่ปรากฎชื่อว่าเปนวัดสำคัญของพวกพระสงฆ์ลังกาวงศ เช่นวัดสวนมะม่วง อันเปนที่สถิตของพระมหาสวามีสังฆราชกรุงสุโขทัยก็ดี วัดป่าแดงอันเปนที่สถิตพระสังฆราชเมืองเชียงใหม่ก็ดี ล้วนสร้างในตำบลซึ่งกล่าวข้างหลัง คือในที่อรัญญิกอันอยู่ห่างหมู่บ้านออกไป ระยะทางพอพระเดิรเข้าไปบิณฑบาตถึงในเมืองได้ ที่เปนเช่นนั้นพึงเห็นเปนเค้าว่าพระสงฆ์นิกายเดิมคงอยู่วัดใหญ่ ๆ ในบ้านเมือง ส่วนพระสงฆ์ลังกาวงศไม่ชอบอยู่ในลแวกบ้าน เพราะถือความมักน้อยสันโดษเปนสำคัญ จึงไปอยู่ณที่อรัญญิก คนทั้งหลายที่เลื่อมใสก็ไปสร้างอารามถวายพระสงฆ์ลังกาวงศที่ในอรัญญิกนั้น ครั้นมีกุลบุตรอุปสมบทในนิกายลังกาวงศมากขึ้น ก็สร้างวัดเพิ่มเติมขึ้นในที่อรัญญิก จึงมีวัดเรียงรายต่อกันไปเปนหลายวัด อันที่จริงพระสงฆ์นิกายเดิมกับนิกายลังกาวงศก็ถือลัทธิหินยานด้วยกัน แต่เหตุที่ทำให้แตกต่างถึงไม่ร่วมสังฆกรรมกันได้มีอยู่บางอย่าง ว่าแต่ฉเพาะข้อสำคัญอันมีเค้าเงื่อนยังทราบได้ในเวลานี้ คือพระสงฆ์นิกายเดิมเห็นจะสังวัธยายพระธรรมเปนภาษาสันสกฤต (มาแต่ครั้งพวกขอมปกครอง) แต่พวกนิกายลังกาวงศสังวัธยายเปนภาษามคธ ผิดกันในข้อนี้อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งพวกลังกาวงศรังเกียจสมณวงศ์ในประเทศสยาม ทำนองจะเห็นว่าปะปนกับพวกถือลัทธิมหายานมาเสียช้านาน ถือว่าเปนนานาสังวาสไม่ยอมร่วมสังฆกรรม พระสงฆ์จึงแยกกันอยู่เปน ๒ นิกาย ทั้งที่เมืองสุโขทัยแลเมืองเชียงใหม่ เหตุที่จะรวมพระสงฆ์เปนนิกายอันเดียวกันนั้น สันนิษฐานว่าคงเกิดแต่พวกผู้มีบันดาศักดิ์นิยมบวชเรียนในนิกายลังกาวงศมากขึ้นทุกที เมื่อความนิยมนั้นแพร่หลายลงไปถึงพลเมืองก็พากันบวชเรียนในนิกายลังกาวงศยิ่งมากขึ้น เปนเหตุให้พระสงฆ์นิกายเดิมน้อยลงโดยลำดับมา จนที่สุดจึงต้องรวมกับนิกายลังกาวงศ ข้อที่ว่ารวมกันโดยปรองดองนั้น มีที่สังเกตอยู่ ๒ อย่าง คือในวิธีบรรพชาอุปสมบท ซึ่งยังใช้กันอยู่โดยมากแม้จนทุกวันนี้ ผู้บรรพชาต้องรับพระไตรสรณคมน์เปนภาษามคธว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ครั้ง ๑ แลยังต้องรับพระไตรสรณคมน์เปนภาษาสันสกฤตว่า พุทฺธมฺ สรณมฺ คจฺฉามิ อีกครั้ง ๑ ข้อนี้ส่อให้เห็นว่าเพราะพวกลังกาวงศ สังวัธยายพระธรรมเปนภาษามคธ พวกนิกายเดิมสังวัธยายเปนภาษาสันสกฤต เพื่อจะให้การบรรพชาสมบูรณ์ตามคติทั้ง ๒ นิกาย จึงให้รับพระไตรสรณคมน์ ๒ อย่าง ยังมีที่สังเกตอีกอย่างหนึ่ง ที่ใบสีมาพระอุโบสถ บันดาวัดซึ่งสร้างแต่ครั้งสุโขทัยมา แม้จนถึงกรุงรัตนโกสินทรนี้ ถ้าเปนวัดหลวง มักทำใบสีมา ๒ แผ่นปักซ้อนกัน ถ้าเปนวัดราษฎรทำสีมาแต่แผ่นเดียว
แต่การที่ไทยรับถือลัทธิลังกาวงศครั้งนั้นไม่ได้ทิ้งขนบธรรมเนียมแม้เปนฝ่ายสาสนาอื่น ซึ่งได้เคยประพฤติมาแต่ก่อนทั้งหมด ด้วยนิสัยไทยเลือกใช้แต่ที่เห็นว่าเปนประโยชน์ ดังกล่าวมาแล้ว เพราะฉนั้นประเพณีการบ้านเมืองซึ่งเคยถือคติตามทางสาสนาพราหมณ์ อันมิได้ขัดข้องแก่พระพุทธสาสนา ก็คงถือต่อมา แม้ภาษาสันสกฤตก็ยังศึกษาแลใช้ปะปนในภาษาไทยมิได้เลิกถอนไปทีเดียว มีการบางอย่างซึ่งไทยรับลัทธิลังกามาแก้ไขใช้ให้เหมาะแก่ความนิยมในภูมิประเทศ เปนต้นว่าตัวอักษรซึ่งเขียนพระไตรปิฎก คงใช้ตัวอักษรขอม พุทธเจดีย์บางอย่างก็คิดแบบแผนขึ้นใหม่ ดังเช่นรูปพระเจดีย์สุโขทัยเปนต้น พระพุทธสาสนาที่ถือกันในประเทศสยาม ควรนับว่าเกิดเปนลัทธิสยามวงศตั้งแต่กรุงสุโขทัยเปนราชธานีสืบมา จนเมื่อปลายสมัยเมื่อกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี ที่เมืองลังกาเกิดจลาจลหมดสิ้นสมณวงศ ได้มาขอคณะสงฆ์ไทยมีพระอุบาลีเปนประธานออกไปให้อุปสมบท กลับตั้งสมณวงศขึ้นในลังกาทวีป ยังเรียกว่านิกายสยามวงศหรืออุบาลีวงศ อยู่ตราบเท่าทุกวันนี้
-
๓๗. นามนี้ปรากฎอยู่ในจดหมายเหตุจีนแต่โบราณ ↩
-
๓๘. ที่จังหวัดราชบุรีมีพระพุทธรูปจำหลักไว้ในถ้ำฤษีที่เขางู มีอักษรอินเดียจารึกบอกไว้ว่า ฤษีชื่อสมาธิคุปตะ เปนผู้สร้าง ↩
-
๓๙. พระมหาธาตุที่ปรากฎอยู่บัดนี้ พวกถือลัทธิลังกาวงศสร้างต่อชั้นหลังมา พระมหาธาตุองค์เดิมอยู่ข้างใน ได้ขุดพบเมื่อปฏิสังขรณ์พระมหาธาตุในรัชกาลที่ ๕ ↩
-
๔๐. จารึกหลักที่ ๑๙ อยู่ในหอพระสมุดสำหรับพระนคร ↩
-
๔๑. มีเรื่องราวอยู่ในพงศาวดารเหนือ แลตำนานโยนก ↩
-
๔๒. มีผู้สันนิษฐานว่า คำว่า “ฉาน” จะเปนคำเดียวกับสยามนั่นเอง ↩
-
๔๓. ตำนานสังคายนาว่าทำเมื่อ พ.ศ. ๑๕๘๗ เร็วไปกว่าที่กล่าวในพงศาวดารลังกา ↩
-
๔๔. ที่วัดเขารังแร้งที่เมืองสวรรคโลก แลวัดสำคัญที่ในเมืองเชียงใหม่โดยมาก ปักหินสีมาซ้อนกันถึง ๓ ชั้น ↩
-
๔๕. วินิจฉัยอันนี้ ข้าพเจ้าได้เคยกราบทูลสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงรับรองเห็นชอบด้วย แลดำรัสว่าให้เขียนลงไว้ให้ปรากฎ ส่วนวัดที่มีสีมาถึง ๓ ชั้นก็คงเปนเพราะมีพระสงฆ์ลังกาวงศพวกอื่นซึ่งมาภายหลัง ถือลัทธิแปลกออกไป รังเกียจสีมาเดิม จึงผูกซ้ำอีกครั้งหนึ่งตามประเพณีเช่นเคยทำมาแต่ก่อน ↩
-
๔๖. หนังสือไตรภูมิพระร่วง (หอพระสมุดฯ พิมพ์แล้ว) เปนหนังสือแต่งในภาษาไทยเก่าที่สุดซึ่งปรากฎอยู่ นอกจากศิลาจารึก ↩
-
๔๗. ในลังกาเรียกว่า “วนะวาสี” สันนิษฐานว่า เพราะในเกาะลังกาภูมิประเทศเปนภูเขาโดยมาก ออกไปห่างบ้านเมืองไม่เท่าใดนักก็ถึงป่าดง พระสงฆ์พวกนั้นอยู่วัดในดงจึงเรียกว่าวนะวาสี ↩