บทที่ ๕ - ความรัก

เสียงโห่ร้องและเสียงครวญครางก้องร้าวไปเกือบรอบบริเวณกรุงเทวะปุระ บางเสียงก็ร้องเหมือนมีสัญญาวิปลาส บางเสียงก็ร้องออกมาเหมือนสัตว์ป่าที่ต้องอาวุธ บางเสียงก็ร้องอย่างเต็มไปด้วยความห้าวหาญ แต่ฟังดูแล้วเหมือนกับเสียงของคนเปนอันมาก ที่พากันร้องไห้อย่างระทมตรมตรอมเปนหนักหนา เพราะทุกเสียงเหล่านั้น เกิดขึ้นจากการสังหารกันอย่างทรหดอดทนยิ่ง ศพเปนอันมากได้กองถมหล่นทับกันเต็มไปทั่วทั้งภายนอกและภายในกำแพงเมือง รูปโฉมของคนเหล่านั้น ล้วนแต่อยู่ในลักษณะของการที่ต้องปลงตกแล้วทั้งสิ้น แต่ในขณะนี้ยังคงจะได้เห็นแสงดาบกวัดแกว่ง เห็นลูกธนูปลิวว่อนเหมือนฝุ่นของลมมรสุม และคงจะได้เห็นแสงเพลิงลุกช่วงโชติไปแทบทุกหนทุกแห่ง ทั้งนี้เพราะนครเทวะปุระกำลังถูกจู่โจมตีอย่างฉับพลันในเวลากลางคืน.

เจ้าหิรัญเดชรีบแบกพระเจ้าธรรมาธิปมาวางลงบนพระแท่นภายในพลับพลาไชย ทำให้แพทย์หลวงต้องวิ่งกันอย่างสับสนอลหม่าน และเจ้าหญิงกนกเลขาก็รีบวิ่งมากอดพระบาทไว้ แล้วก็ทรงโศกาด้วยพระสุรเสียงอันไม่รู้จะควรฟังนัก แต่อย่างไรก็ตาม พระเจ้าธรรมาธิปได้ลืมพระเนตร์ได้อีกจากการสิ้นพระสติถึงวิสัญญีภาพ แล้วก็กวาดพระเนตร์นั้นไปโดยรอบพระองค์ ยกพระหัตถ์ขึ้นกุมลูกธนูซึ่งสลักตรึงจากช่องว่างของเกราะด้านพระปฤษฎางค์นั้น พลางขบพระทนต์เพื่อระงับความเจ็บปวด อย่างหนักอันได้บังเกิดมาแล้ว อย่างเต็มไปด้วยความมั่นคงอันฝังแน่นอยู่ในพระราชหฤทัย จากนั้นจึงตรัสออกมาด้วยเสียงซึ่งพยายามจะให้ดังอย่างที่สุด.

“ทุกคนไม่ต้องกังวลถึงฉัน นี่ทำไมจึงเกิดการร้ายแรงถึงเพียงนี้” ทรงเรียกราชบุตรเข้ามาจนใกล้พระองค์ แล้วถามว่า

“ลูกเอ๋ย! สัตรูในหัวใจของเจ้านั่นยังไม่ตายออกหรือ ?”

เจ้าหญิงกนกเลขา ทรงซบลงกับพระกรของพระราชบิดา ทูลตอบแก่ท้าวเธอด้วยเสียงอันสั่นสะอื้น

“กอนที่หม่อมฉันจะได้หนีกลับเข้ามาในเมืองนั้น หม่อมฉันได้ดูอยู่จนถึงที่สุดทีเดียวเพค่ะ และทราบเกล้าเปนที่แน่นอนว่า เจ้าเดชานุชิตได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว พะยานของหม่อมฉันมีอยู่ที่นิ้วของเจ้าองค์นั้น ซึ่งหม่อมฉันได้ขบด้วยฟัน และนำมาถวายเสด็จพ่อพร้อมกับธำมรงนั้นแล้ว แต่ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปถึงเพียงนี้ หม่อมฉันไม่ทราบเกล้าเลยเพค่ะ.”

“พอเชื่ออย่างที่ลูกว่า แต่พอยังสงสัยนัก ว่าศึกครั้งหลังนี้ ทำไมจึงได้ดุดันกว่าเมื่อครั้งที่เขาได้แตกพ่ายไปแล้วมา”

เจ้าหิรัญเดช กราบบังคมทูลว่า

“กองทัพที่แตกพินาศไปเมื่อคราวก่อน คือ กองทัพของเจ้าเดชานุชิต ซึ่งปราศจากแม่ทัพผู้สามารถเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่กองทัพที่เต็มไปด้วยความห้าวหาญในครั้งนี้ เปนกองทัพของยศกร.”

“ยศกรหรือ ? จะเปนไปได้อย่างไรกัน.” เสียงของพระเจ้าธรรมาธิปหอบสะท้าน

“เปนไปได้ดังนี้แล้ว พ่ะย่ะค่ะ เพราะยศกรได้เข้าใจการดำเนินตามแผนยุทธศาสตร์ของเราได้อย่างรวดเร็ว ชั้นแรกเขาเข้าใจว่า ข้าพระบาทจะเดินแสนยากรมาตามทางบก แต่เมื่อเขาได้ปฏิบัติตามพระราชโองการของพระเจ้ากรุงราชภุชไปแล้วเพียงวันเดียว เขาก็ทราบได้ว่ากองทัพของข้าพระบาทที่มาทางบกนั้นเปนเพียงส่วนย่อย ประกอบกับเหตุร้ายอันพึงจะบังเกิดกับพระราชาของเขา คือทางด้านของเจ้าเดชานุชิตนี้ ทำให้เขาแบ่งกำลังไว้ต้านทางกองทัพลวงของข้าพระบาทไว้อีกทอดหนึ่ง แล้วเขาก็ได้รับรุดมาทางนี้อย่างเร็วที่สุดที่จะเปนไปได้ กองทัพเรือของข้าพระบาทจึงมาถึงก่อนเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเพราะพระราชาของเขาต้องสิ้นพระชนม์ลง ตามนโยบายที่เขาได้คาดไว้ว่าเจ้าหญิงกนกเลขาต้องเปนไส้ศึก ทำให้เขาดุร้ายขึ้นมาก จึงรวบรวมกองทัพของเจ้าเดชานุชิตกับกองทัพของเขาซึ่งมีอยู่แล้ว เข้าตีนครเทวะปุระอีกครั้งหนึ่ง เพื่อหมายจะปราบเสียให้พินาศไป เพราะความเจ็บแค้นและแสนแค้นเปนอย่างยิ่งทีเดียว พ่ะย่ะค่ะ.”

“ยศกรเอ๋ย !” สายพระเสียงของพระเจ้าธรรมาธิป สั่นและแหบโหยอย่างเสียงอันองอาจของคนแก่ “เจ้าเปนเครื่องมืออันดีของนายเจ้า เจ้าเปนคนกล้าหาญ เจ้าเปนคนจริง เจ้าเปนคนเด็ดขาด ไม่มีอะไรเสียสำหรับยศกรเลย นอกจากการรักอำนาจเหมือนเจ้าเดชานุชิตเท่านั้นที่ผิด ความประสงค์ของเจ้าในการที่จะทำลายกรุงเทวะปุระให้พินาศไปนั้น จึงจะสำเร็จลงแล้ว เพราะเรากำลังจะแพ้เจ้าอยู่แล้ว.”

ทรงเอื้อมหัตถ์ไปวางไว้บนเศียรของราชธิดาสาวพลางตรัสต่อ

“ลูกรักของพ่อ! ทุกสิ่งและทุกอย่างย่อมมีชนะและแพ้ พอได้พยายามทุกทางแล้วที่จะเอาชนะ แต่ความพยายามของเราสำเร็จลงแล้วด้วยทุกๆ ชีวิตของกรุงเทวะปุระและความสามารถของลูก ซึ่งบัดนี้พ่อก็กำลังจะเสียเลือดครั้งสุดท้ายไปอยู่เหมือนกัน แต่เลือดของพ่อไม่เหมือนกับเลือดของพาลี เพราะขณะนี้ไไม่แต่เลือดจะหยดออกมาเท่านั้น แม้โอกาศในเลือดหยดสุดท้ายของพ่อก็กำลังจะมาถึงอยู่ด้วยเหมือนกัน”

“เสด็จพ่อเพคะ” เจ้าหญิงบังคมทูลเสียงเครือ

“เจ้าเดชานุชิตมุ่งหมายที่จะชนะกรุงเทวะปุระและตัวหม่อมฉัน เช่นนั้นความปรารถนาของเขากำลังจะถึงผลสำเร็จอยู่แล้วกะมังเพคะ หม่อมฉันต้องการจะให้เขาชนะเพียงตัวหม่อมฉันผู้เดียวเท่านั้น แต่ทำไมจึงจะเกิดการผิดพลาดกันได้ถึงเพียงนี้”

“ถูกแล้ว ลูกหญิง, ความผิดพลาดย่อมมีเกิดขึ้นเสมอในทางของชีวิต ตลอดจนในทางของโลกด้วย แต่สิ่งสำคัญย่อมอยู่ที่ความมุ่งหมายและการแก้ไข เพื่อมุ่งผลไปสู่ทางตรงอันดีและงามนั่นต่างหาก การหลงทางมีไว้สำหรับให้หาทางเดินที่ถูกเสียใหม่ เว้นแต่ผู้ที่เดิรไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผิดทางแล้วนั่นแหละ จะแก้ไขอะไรกันไม่ได้ ลูกของพ่อ, ความมุ่งหมายของเรา คือต้องการสังหารเจ้าเดชานุชิต เพื่อเปนผลสำหรับล้างอำนาจกองทัพทั้งหมดของนครราชภุช และด้วยความมุ่งหมายของเราอันนั้น ก็มีผลแก่เรามาแล้วอย่างชื่นบาน แต่พอไม่ได้คาดถึงเลยว่า จะมีคนอย่างยศกรเกิดขึ้นในกองทัพของราชสัตรูนั้นได้ สิ่งนี้แหละลูกเอ๋ย มันเปนการพลาดอย่างร้ายแรงของเรา พ่อจึงใช้ชีวิตของพ่อให้คุ้มกับการที่ต้องพลาดไปแล้ว พ่อไม่เสียใจ พ่อมีความสุขพอแล้ว พ่อได้ทำทุกอย่างให้สมกับหน้าที่ของพ่อแล้ว เมื่อถึงคราวที่จะเปนไปอย่างอื่น พ่อก็ต้องยอมให้เปนไปเท่านั้น...”

หยุดเสียงลงเพราะความเจ็บปวดอย่างร้ายแรงมาบังคับ พระเจ้ากรุงเทวะปุระจึงบิดพระกายและหอบอย่างเหลือที่จะอดทน พอระงับได้บ้างแล้ว จึงพยายามตรัสต่อไป

“ลูกรักของพ่อเอ๋ย ! พ่อจะให้โอวาทแก่ลูกเปนครั้งสุดท้าย เพราะพ่อเกือบจะไม่ได้มีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องทำเสียงตกใจถึงเพียงนั้น เจ้าเปนกษัตริย์ เจ้าต้องอดทน เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าคนทุกคนในที่นี้ ต่างก็มีความอดทน มีความกล้าหาญ ทุกชีวิตได้ยอมใช้กันไป เพื่อเสียสละให้กับความรัก คือคนทุกคนต่างพากันยอมสละชีวิตเพื่อความรักทั้งสิ้น ความรัก! ลูกเอ๋ย! มันจะสำเร็จได้ ไม่ใช่เพราะเปล่งออกมาจากเพียงลมปากเท่านั้น มันต้องสำเร็จมาได้ด้วยความลำบากยากแค้น, ความพยายามอย่างถึงที่สุด และด้วยความอดทนอย่างแสนสาหัสทีเดียว และไม่ใช่สักแต่ว่าเสียสละไปแล้ว ก็เปนผลของความรักเช่นนั้นก็หามิได้ มันต้องพร้อมทั้งองค์ปัญญา พร้อมทั้งกาละเทศะ พร้อมทั้งความมั่นคงเด็ดขาด และพร้อมทั้งความตายอีกด้วย ความรักไม่ใช่เปนสิ่งที่จะนำมาพูดกันเล่นอย่างง่าย ๆ ทั้งไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาใช้สำหรับคู่หญิงกับชายเท่านั้น มันใช้ได้สำหรับทุกสิ่งที่มีอยู่ในพิภพนี้ และทางที่จะเดินไปให้สมกับความจริงของมันได้ ย่อมต้องระหกระเหินและกันดานอย่างมากมายยิ่งเสียกว่าเปนความจริง, ที่คนทุกคนต้องรักตัวของตนเองเปนที่สุด แต่ที่จะทำให้เปนผลสำหรับตนเองทั้งนั้นได้ เขาก็ต้องสละแม้แต่ความตายของเขา ทำทุกสิ่งเพื่อความรักที่มีอยู่ในคนนั่นต่างหาก คนที่เห็นแก่ตัว คนที่ไม่บำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์ผู้อื่น เพื่อยังผลให้เกิดแก่ประโยชน์ของตน เพราะความสามารถของตนดังนั้น และคนที่เกียจคร้าน คนที่มัวเมายศศักดิ์อันเปนของสมมุติขึ้นชั่วครั้งคราวเหล่านี้ ไม่ใช่คนที่รักตัวเอง และไม่ใช่คนที่รักอะไรเลย แต่เปนคนที่ใกล้ไปทางสัตว์เดรัจฉานอย่างเดียวเท่านั้น และที่มีคนจำพวกนี้ไว้ในหมู่คนทั้งหลาย ก็มีประโยชน์อยู่อย่างเดียว คือ สำหรับเอาไว้เปรียบเทียบในค่าตัวของคนอื่น ๆ ว่าจะมีอยู่มากน้อยสักเพียงใดเท่านั้นเอง ลูกรัก! พอไม่ติเตียนการกระทำของเจ้าเดชานุชิตซึ่งมีต่อนครของเรานี้เลย เพราะเขาได้ทำไปตามหลักการดำเนินของมนุสส์ และทำไปตามความยุติธรรมในตราชูแห่งอำนาจของสัตว์โลกอย่างพร้อมบริบูรณ์ดีแล้ว ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าเขารักในอานาจของมหาจักรพรรดิอยู่มากเพียงใด แต่พ่อจะติเตียนเขาได้ ในเมื่อเขาได้ใช้ความหลงเพื่อตัวลูกอันเปนกำแพงกั้นกางแห่งความรักของเขาเสียดังนี้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เพราะผลที่เขาได้ทำมาแล้ว ก็ทำให้เกิดคนเช่นยศกรขึ้นในกองทัพของเขาได้เหมือนกัน ซึ่งแม้เราเกือบจะพินาศไปแล้วดังนี้ แต่เราก็รู้สึกกันได้อีกว่าชาวนครเทวะปุระได้รักชาติและกษัตราธิราชอยู่ไม่ใช่เล็กน้อยเหมือนกัน ซึ่งถึงหากว่า ทุกคนจะไม่ได้ถูกบรรทึกชื่อให้มีไว้ในชาติวงศ์วิทยาทุกคนไป แต่นั่นเปนเพราะผลแห่งงานและผลแห่งความสามารถของเขาต่างหาก เพราะถึงอย่างไรเสียใคร ๆ คง ต้องได้รู้สึกทันแล้วว่า ชาวเทวะปุระได้ตายไปเพื่อสิ่งที่เขารักอย่างไรบ้าง ลูกรักของพ่อ ! พ่อได้เฆี่ยนเจ้าด้วยความช้ำใจของพ่อเอง ก็เพราะพ่อรักเจ้าและรักคนทั้งเมือง ผลที่ตอบแทนกับเราจึงเปนมาได้ถึงเพียงนี้ และลูกก็ได้ใช้ชีวิตให้สมกับที่เปนลูกของพ่อแล้ว ลูกเอ๋ย ! น้ำใจของลูกดังนี้ นับว่าเปนผลบุญอันงามสดชื่นไปได้ตลอดจนถึงการอนาคตทีเดียวนะ ซึ่งเปนเหมือนลูกได้กลิ่นปาริชาตอันหอมหวล แล้วที่ทำให้ลูกระลึกถึงชาติเดิมของลูกทุกชาติไป”

พระเจ้าธรรมาธิปสะดุ้งและหลับพระเนตร์สกดพระทัยจึงไปเปนครู่ใหญ่ พลางลูบพระเศียรอยู่ไปมา แล้วก็ตรัสอีกครั้งหนึ่ง

“เพราะความรักเท่านั้นแหละ ลูกรัก! แม่ของลูกจึงตายไปเพราะความที่รักลูก คือเมื่อเจ้าต้องถูกส่งออกไปนอกเมือง แม่ของลูกก็คิดว่าเจ้าจะต้องตายไปด้วยเปนแน่แล้ว พระนางจึงดื่มยาพิษเพื่อตายตามลูกไป แต่บัดนี้, พ่อก็กำลังจะตามแม่ของเจ้าไปอีกคนหนึ่งแล้ว ซึ่งเปนอันว่าพ่อเลี้ยงลูกได้แล้ว แต่พ่อยังเลี้ยงคนทั้งเมืองไม่ได้ แต่จะเปนอย่างไรก็ตามเถิด พ่อจะได้ตายไปในหัวอกของความรัก ก็เหมือนกับชีวิตของพ่อยั่งยืนอยู่ไม่รู้จักตาย ลูกเอ๋ย ! เจ้ายังตายไม่ได้ เมื่อยังไม่ถึงความจำเปนอย่างถึงที่สุดที่สมควรจะต้องตาย เจ้าจะต้องอยู่สู้โลก เพราะทั้งโลกนี้ล้วนแต่เต็มไปด้วยความหลอกลวงทั้งสิ้น คนที่ทรงปัญญาและคนที่ทรงไว้ซึ่งความมั่นคงเท่านั้น จึงจะอยู่สู้โลกได้ เจ้าจึงต้องเปนอย่างที่พ่อได้ว่ามานี้ จงจำคำของพ่อไว้ให้จงดี เวรย่อมไม่ระงับด้วยเวร แต่สมบัติซึ่งเราไม่ควรจะเสียไป เราก็ไม่ควรจะยอมให้เสียไป เราจึงต้องรักษาสมบัติอันนั้นไว้ให้ได้ทั่วทุกชั่วคนทีเดียว จำไว้ให้แน่นะลูกรักของพ่อ”

ทรงหันไปทางเจ้าหิรัญเดชและตรัสว่า

“นครของเราเวลานี้ มีลักษณะเหมือนกับบ้านที่ถูกโจรปล้น เราผู้เปนเจ้าของบ้านจึงจำต้องเสียไปแล้วไม่อย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านได้มาช่วยเราด้วยความจริงใจ ฉะนั้นเมื่อไม่มีข้าพเจ้าเสียแล้วดังนี้ ความเด็ดขาดทุกอย่างจึงต้องตกเปนของท่านอย่างพร้อมบริบูรณ์ทีเดียว ขอให้ข้าพเจ้าได้เห็นคุณของท่าน โดยหลับตาตายด้วยความพอใจเถิดนะ”

โอบกอดเจ้าชายหนุ่ม พลางตรัสต่อไป

“พ่อหนุ่มน้อยเอ๋ย! เราไม่มีอะไรจะตอบแทนเธอได้อีกแล้ว นอกจากขอมอบหัวใจที่เหลืออีกดวงหนึ่งให้ไว้ในความคุ้มครองของเธอ ขอให้เธอจงได้รักษาไว้เหมือนหัวใจอีกดวงหนึ่งของเธอทีเดียว...ลูกหญิงของพ่อ...ลูกกนกเลขา...มาหาพ่อ...ลูกยอดหัวใจขอ.พ่อ...ลูก...”

พระเจ้าธรรมาธิปทรงไขว่คว้าจนได้องค์พระราชบุตรี แล้วจึงทรงดึงมาประทับไว้กับพระอุระ ยิ้มเล็กน้อย ตรัสด้วยเสียงอันเบา แต่ทว่ากดมือเจ้าชายหิรัญเดชไว้แน่น

“เวรย่อมไม่ระงับด้วยเวร...ราชสมบัติของเรา...หิรัญเดช...ลูกกนกเลขา...กนกเลขาลูกรักของพ่อ...ศพของพ่อจงฝังอยู่ที่ใจกลางของนครเทวะปุระนี้เถิด”

เยือกพระกายครั้งหนึ่ง แล้วก็ทรงเสด็จไปสู่ภวังค์ภวันดรอย่างปกติสุข และแต่ในครั้งนี้ได้เจ้าหญิงผู้ราชธิดาทรงกรรแสงเสียจนต้องซบสลบลงกับอุระของพระราชบิดานั้นอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นนครเทวะปุระก็ต้องปกคลุมไว้แล้วด้วยความปราชัย.

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ