บทที่ ๑ - การสงคราม

งานศึกระหว่างกรุงราชภุชกับกรุงเทวะปุระ กำลังดำเนินต่อไปอย่างน่าสยดสยอง!

ความสว่างแห่งต้นวันใหม่ กำลังตัดกับความขนุกขมัวของปลายคืนแห่งวันแล้วให้ล่วงพ้นไป เปนขณะที่เจ้าหญิงกนกเลขา ราชธิดาของพระธรรมาธิป พระเจ้ากรุงเทวะปุระ กำลังทรงพระจินตนาการอย่างสงบ อยู่บนปราสาทอันสูงตระหง่าน ซึ่งตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวังแห่งกรุงเทวะปุระนั้น ลมในเวลาเช้าปลิวมาอย่างแผ่วและเย็น พัดผ้าคลุมพระเศียรและผ้าครองพระกายของเจ้าหญิง ให้สบัดไปอย่างอ่อนโยน โดยที่ไม่ทำให้ความรู้สึกของเจ้าหญิงเปลี่ยนแปลงไปได้แม้แต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลย ขณะนี้กำลังทรงนิ่งสนิทและจ้องพระพักตร์อันซีดสลดมองตรงไปข้างหน้า แล้วก็ไตร่ตรองถึงสภาพของการสงคราม อันกำลังใกล้จะถึงผลแห่งความเด็ดขาดอยู่แล้ว ขณะนี้เปนเวลาพักการรบ แต่ความสงบซึ่งมีอยู่ในขณะนี้ไม่มีค่าพอสำหรับความโหดร้าย ซึ่งได้ผ่านมาแล้วเปนลำดับนั้นได้เลย เพราะนครเทวะปุระกำลังถูกข้าศึกล้อมอยู่เกือบรอบ และเพียงอานุภาพแห่งกองทัพบกอย่างเดียวเท่านั้น ก็เกือบจะทำให้นครนี้ใกล้จะถึงซึ่งความแตกดับอยู่แล้ว อีกด้านหนึ่งที่ไม่ได้ถูกล้อม คือส่วนที่อยู่ทางริมแม่น้ำสินธุนั้น ข้าศึกจึงวางใจได้สนิท

ภายนอกกำแพงเมือง มีทุ่งหญ้าอันราบเรียบแผ่ไปไกล แลเห็นแสนยากรของกรุงราชภุชวางค่ายรายเรียงอยู่เปนขนัด แม้จะไม่มีแสงไฟ แต่ความสลัวของท้องฟ้า ทำให้เห็นความมืดของหมู่ค่าย, เห็นทหารยามเดิรไปมาได้ถนัด แล้วจึงให้รู้สึกถึงสภาพของทหารเหล่านั้นได้ชัดเจนขึ้น ทหารทั้งหลายกำลังนอน, กำลังหลับตา แต่คนที่หลับตา ไม่ใช่คนนอนหลับเสมอไป ฉะนั้น, จอมทัพ, แม่ทัพ, ตลอดจน นักรบเหล่าโน้น จึงพากันมีความสุขไปด้วยผลของสงครามทั้งสิ้น คือทุกคนกำลังหลับตา ทุกคนกำลังหายใจเอากลิ่นของสงครามเข้าไป และไอพิษของสงครามนั้นก็ได้แผ่ฟุ้งอยู่เต็มตัวของบรรดานักรบทุกคนเหล่านั้นแล้ว

น้ำพระเนตร์หยดลงต้องหัตถ์ซึ่งประสานกุมอยู่ที่ทรวงของเจ้าหญิงกนกเลขา ขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเปนทางสีหมากสุก ปนเคล้ากับสีม่วงแก่ของกลุ่มเมฆ และลมเย็นของเวลาเช้ายังคงพัดอยู่ไม่ ขาดสาย เสียงทั้งหลายได้เกิดขึ้นแล้ว คือเสียงนก, เสียงสัตว์, เสียงคนและเสียงทุกชะนิด ทหารทุกคนได้เริ่มตื่นขึ้นผะจญกับหน้าที่ของตน เพราะสนามรบไม่เงียบ, ไม่สะอาด, และไม่บริสุทธิพอที่จะชวนให้คนยังหลับอยู่ได้ ความชั่วได้ตื่นขึ้นมาเต้นอยู่แล้ว ความดีเท่านั้นที่ยังคงหลับสนิทอยู่ ต่อจากนี้สภาพของการรบก็กำลังจะแผ่สร้านต่อไปอีก สงคราม! ทำไมจึงจะต้องมีการสงคราม ! ไม่มีอะไรอีกแล้ว นอกจากคำว่าชาติ หรืออ้างว่าคนทั้งหลายที่รวมกันขึ้นเปนชาติเท่านั้น การต้องการของคน, การดำรงฐานะของชาติ เปนเหตุอันหนึ่งของสงคราม แต่ที่ชาติจะทำความต้องการให้สำเร็จลงไปได้เพียงใดนั้น ย่อมแล้วแต่ความสามารถของผู้ทำ กษัตริย์จึงเปนอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสงความขึ้นได้ นอกจากนั้น, ดินแดนไม่พอก็ดี, ลัทธิอันชักจูงคนให้ไปสู่ความดีจะถูกเหยียบย่ำก็ดี ล้วนเปนเหตุแห่งสงครามได้อีกเหมือนกัน สงครามจึงเปนเครื่องมืออันสุดท้ายของชาติ สำหรับจะตัดสินปากเสียงอันไม่ตกลงกัน เพื่อยังผลแห่งความประสงค์ของคนทั้งหลาย อันรวบรวมเปนคณะชาติขึ้นนั้น ให้เกิดเปนผลอันพอกับความประสงค์ขึ้นได้ สงครามเกิดจากสิ่งจำเปนเหล่านี้ และเพียงเท่านี้ สงครามจะให้ประโยชน์อะไรขึ้นอีกบ้าง ?

ขณะนั้น, แสงสีเหลืองเหมือนสีทองของดวงอาทิตย์ ได้เริ่มพุ่งออกมาจากแนวขอบฟ้าด้านตะวันออก และฉายดาดไปทั่วอีกพิภพและกรุงเทวะปุระแล้ว ทำให้ภูมิประเทศทั่วไปมีสีคล้ายกับสีของทองคำ นอกจากบนท้องฟ้าและที่ก้อนเมฆเท่านั้น ที่มีสีคล้ายกับสีนิลโลหิต คือเหมือนกับสีเลือดที่เข้มจัด แล้วก็เหมือนสีแห่งการสงครามนั่นเอง โดยที่เปนเครื่องหมายของการฆ่าฟันกันอย่างมหาวายร้ายอันจะได้เกิดขึ้นอีกในไม่ช้านี้ ทั่วทั้งแดนนั้นจึงเต็มไปด้วยสิ่งที่ต้องการความสำเร็จของสงคราม คือมีเสียงของอากาศ, โลหะ พาหนะ เสียงคนแลเสียงของทหารดังสนั่นกึกก้องอยู่ทั่วไป ทหารม้าขี่ม้า, ทหารรถเตรียมรถรบ, ทหารธนูซ่อมแซมธนูและทหารดาบก็ซ้อมรำ ท่าอาวุธอยู่ไปมา ดูเหมือนว่าทุกคนเต็มไปด้วยความห้าวหาญ และดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่าง อันบรรดามีอยู่ในดินแดนตรงนั้น ได้เปนประโยชน์และเปนงานของสงครามไปแทบจะหมดสิ้น เปนเครื่องหมายว่าทุกคนมุ่งหมายที่จะไปตายด้วยกันทั้งนั้น โดยไม่นึกถึงสภาพของคนที่ได้ตายไปแล้วหรือกำลังบาดเจ็บอย่างแสนสาหัสอยู่นั้นบ้างเลย เพราะพวกเหล่านี้ยังพากันมีชีวิตอยู่ และการอยู่ของคนทั้งหลายเหล่านี้มีความมุ่งหมายอยู่อย่างเดียว-คือเพื่อรบ! ทำไมเขาจึงต้องการรบ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะพากันเต็มใจอย่างหนักหนาที่จะต้องการตายเพื่อชาติ ทำไมจึงต้องทำกันดังนั้น ไม่มีอะไรอีกแล้ว นอกจากว่าคนทุกคนต้องทำงานและคนทำงาน ก็ทำเพื่อความต้องการของตนเอง แต่ต้องทำเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มนุสส์ปรารถนาในโลกนี้ มนุษย์ต้องซื้อเอาเปนธรรมดา เพราะมนุษย์ยอมทำประโยชน์เพื่อกันและกันดังนี้ การรักษาชาติเพื่อให้ดำรงนานอยู่ได้ จึงต้องอาศรัยจากการกระทำศึกสงครามนี้เหมือนกัน สงครามจึงเปนกล้องส่องหาผู้ที่กล้าหาญของชาติ หาผู้ที่ทำงานทุกอย่างเพื่อชาติ ด้วยเหตุนี้, แม้ว่ากรุงเทวะปุระใกล้จะถึงซึ่งความแตกดับอยู่แล้ว โดยที่กำลังรบได้ถูกทำลายไป ความขาดแคลนกำลังสำแดงความโหดร้ายอยู่อย่างเต็มที่ ขวัญของชาวนครทุกคนจึงยังมั่นคงอยู่อย่างมากมายยิ่ง, แต่ด้วยความหวังเปนสิ่งที่มนุษย์เหลือเอาไว้เปนสมบัติชิ้นสุดท้าย ในสมบัติทั้งหมดที่ตนมีอยู่, การขาดสงครามนานเกินไป ทำให้คุณลักษณะอันไม่เห็นแก่ตัวของมนุษย์ขาดไปมาก การสงครามทำให้คนทั้งหลายไม่คิดถึงชั้น, ฐานะ, ศักดิ์, ความฟุ้งเฟ้อ, ความสำราญ และการถือพวก แม้แต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลย, โดยที่เมื่อใดได้ถึงคราวสงครามแล้ว ทั้งความลำบากยากแค้น, ทั้งความอดอยาก, และทั้งความตาย เปนตุลาการอันดีที่จะสอบสวนถึงความสามัคคีและความรัก ว่าคนในชาติจะมีอยู่ต่อกันสักเพียงใด นอกจากนั้น, สงครามยังทำให้เกิดของแปลกและของใหม่ซึ่งโลกปรารถนา ซึ่งอารยะธรรมต้องการใช้อีกอย่างเหลือที่จะนับได้ เพราะการทำงานเพื่อแลกกับชีวิต มีคุณสมบัติต่างกันมาก ในที่สุด สงครามก็เปนเหมือนอำนาจที่ปลุกชาติให้ตื่น, ให้ขะมักจะเม้นต่อการงาน, และให้รู้จักถึงผลร้ายของการขาดอารยะธรรม คือเปนบทเรียนอันดีของคนที่เกียจคร้าน , ของคนที่โง่เขลา, ของคนที่ไม่พยายามจะสร้างตนให้เปนคนและข้อสุดท้าย, ชัยชะนะของสงครามย่อมเปนผลของความมีอิสสระภาพ, เสรีภาพ, สภาพของชาติและของคนจึงมีคุณค่าดังนี้ เพราะฉะนั้น, บัดนี้, จึงถึงเวลาอันสำคัญแล้วที่ชาวนครเทวะปุระจะต้องทำหน้าที่ของตนต่อไป…หน้าที่นั้นคือทำสงคราม ! สงคราม ! แต่สงคราม... พุทโธ่เอ๋ย!

เจ้าหญิงซบพระพักตร์ลงกับฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองข้าง เพราะไม่อดทนพอต่อสภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นได้ สงคราม ! ทำไมราชสัตรูเหล่านั้นจึงพากันกระหายเสียยิ่งนัก ? สงครามทำให้คนต้องเสียชีวิต, ทำให้ทุพลภาพ, ทำให้ทุกขเวทนาอย่างน่าหวาดเสียวแสนสาหัส ดูนั่น, ภายนอกกำแพงเมืองตรงโน้น ได้พบศพบรรดานักรบของฝ่ายที่กำลังจะชะนะอยู่แล้ว นอนก่ายกันเกะกะอย่างเหลือที่จะนับได้ ถูกกีดกันออกจากส่วนของผู้ที่ตายยังไม่ตาย เปนรูปร่างที่ไม่มีใครเอาใจใส่อีกแล้ว นอกจากมีเพียงเจ้าหน้าที่ผู้มาจัดการเก็บและชำระล้างเพื่อให้ศูนย์สิ้นไป เจ้าหน้าที่เหล่านั้น คือฝูงแร้งทั้งหลายนั่นเอง ส่วนภายในกำแพงเมืองเทวะปุระ ศพทุกศพได้ถูกทิ้งจากกำแพงหลังเมืองลงสู่แม่น้ำสินธุ ซึ่งสายน้ำนั้นไหลจากทางเหนือลงไปสู่ทางใต้ อันทราบไม่ได้เลยว่า จะพัดพาศพให้ลอยขึ้นไปสู่สวรรค์หรือดั้นลงนรก เพราะสวรรค์ย่อมอยู่เบื้องสูงและนรกย่อมอยู่เบื้องต่ำ พ้นจากส่วนของผู้ที่ตายแล้ว ยังมีผู้ที่มีสังขารอันไม่ครบถ้วนอยู่อีกเปนเอนก ที่ทุรนทุรายครวญครางอยู่อย่างน่าทุเรศ ไม่ได้หลับหรือนอน และหมดหวังที่จะเรียกร้องเอาส่วนของร่างกายที่เสียไปแล้ว ให้กลับคืนมาได้อีก นอกจากจะได้รับเพียงความสงสารจากผู้ที่ช่วยอะไรไม่ได้ พวกนี้จะต้องเลี้ยงชีวิตของตัวต่อไป แต่สังขารของเขา จะช่วยชีวิตของเขาให้รอดไปอย่างเรียบร้อยแล้วหรือ? ไม่มีใครรับผิดชอบชีวิตของคนได้ดีเท่าตนของตนเอง คนทุกคนมีชีวิตเปนสมบัตอันเดียวของตน และก็รักสมบัติอันนี้เปนที่สุด เช่นนั้นแล้ว ทำไมพวกนี้จึงมีส่วนได้รับผิดชอบในผลของการสงครามด้วยเล่า สงครามทำให้คนทั้งชาติต้องทิ้งอาชีวะและต้องจับอาวุธ ทรัพย์สินของอาชีวะที่หามาได้ ต้องมาจุนเจือให้กับการสงครามเสียเกือบสิ้น แต่ทรัพย์ที่หามาได้ใหม่นั้นน้อยนัก กำลังทรัพย์ของประเทศจึงเสื่อมศูนย์และเสียหายไปอย่างมาก ไม่ผิดกับชีวิตในยามสงครามนั้นเลย ถ้าเช่นนั้นจะหวังผลอะไรจากการสงครามได้บ้าง ค่าปรับ! เจ้าชายเดชานุชิต กษัตริย์ราชภุช หวังจะได้ค่าปรับจากเทวะปุระ คือหวังจะได้ตัวเจ้าหญิง หวังจะได้กรุงเทวะปุระ และหวังจะได้อำนาจแห่งพระมหาจักรพรรดิ์ แต่ค่าปรับที่ได้มานั้น จะแทนชีวิตมนุษย์และความโศกเศร้าไปด้วยก็หาไม่ เพราะบรรดาญาติ, บรรดาวิทยาการและบรรดาความดียังต้องการคนเหล่านี้อยู่ นอกจากนั้น, การได้ค่าปรับจากคนที่แพ้แล้ว ก็คล้ายกับการได้ค่าปรับจากคนที่กำลังจะสิ้นเนื้อประดาตัวอยู่แล้ว ซึ่งไม่ผิดกับการที่จะเอาความรู้สึกผิดชอบจากนักโทษ ที่กำลังรอคอยการลงดาบที่คอของเขาอยู่เท่าใดนัก ฉะนั้น ประเทศที่พึ่งทำสงครามเสร็จลง ย่อมต้องการเวลาอีกมาก จึงจะสามารถฟื้นตัวได้ดีเท่าเก่า เปรียบเทียบการสงครามก็คล้ายกับการค้าขาย ซึ่งจะหวังผลกำไรเสมอไปย่อมไม่ได้ โทษของสงครามมีอย่างมหันต์ถึงปานนี้ แต่ก็ยังยากที่จะให้สงครามในโลกนี้หมดสิ้นลงไป ทำไมจึงเปนเช่นนั้น มนุษย์เอ๋ย !

ท้องฟ้ายิ่งกระจ่างขึ้นด้วยแสงแดด เจ้าหญิงกนกเลขา ก็ยังทรงรู้สึกเบื่อหน่ายและหวาดเสียวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วมากยิ่งขึ้นไปด้วย จนไม่สามารถจะทรงทอดพระเนตร์ดูความร้ายกาจอยู่บนปราสาทต่อไปอีกได้ จากที่นั้น, พระองค์จึงลงมายังราชอุทยานพร้อมด้วยเหล่าชาวนางกำนัลทั้งหลาย กลิ่นดอกไม้ในเวลาเช้า ทำความสดชื่นให้กับเจ้าหญิงบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่มากพอ จนถึงจะทำให้ลืมห้วงปฐมญาณอันได้ผ่านมาแล้วได้สนิท ภาพที่ได้เห็นอยู่ในขณะนี้ จึงมีภาพติดพระเนตร์จากที่ได้ทรงเห็นมาแล้วรวมอยู่ด้วยทุกคราวไป ความสวยงามของอุทยานหลวง แวดล้อมและเชิดชูความงามของเจ้าหญิงให้ดูสมลักษณยิ่งขึ้น สถานที่นั้นจึงงาม แม้เพียงที่สุดของตาก็จะหยั่งให้ถึงไม่ได้ สรรพพรรณไม้ต่างๆ ได้ถูกแยกกันไว้เปนหมู่เปนชะนิด คือไม้หอมอยู่ส่วนหอม, ไม้สีอยู่ส่วนไม้สี และยังแยกไม้เถา, ไม้พุ่มและไม้ใหญ่ หลายอย่างต่างวรรณ ซึ่งต่างก็มีที่เกิดมาจากป่าอันไพศาลด้วยกันทั้งสิ้น ความเปนอยู่ในป่าของพรรณไม้เหล่านี้ ย่อมเปนไปตามสภาพของ ธรรมชาติแห่งพืชที่ได้มีมา คือไม้เถาได้อาศรัยลำต้นและสาขาของไม้ใหญ่เปนเครื่องพะยุงตน, ไม้เกาะก็ได้อาศรัยคบไม้ใหญ่เปนที่เลี้ยงชีวิต และบรรดาไม้เล็กไม้น้อยก็ได้แยกที่อยู่ของตน ให้ห่างไปเสียจากบริเวณต้นไม้ใหญ่ และไม้ใหญ่ทั้งหลาย มีหมู่โพธิหมู่ไทรเปนต้น ก็พยายามแผ่มณฑลแห่งสาขาให้มืดคลุ้มและชุมชื้นต่อดินฟ้าอากาศ เพื่อให้ไม้เล็กได้มีอาหารให้บริบูรณ์ขึ้น และเพื่อเปนพญาไม้ ที่ทำความยำเยงแก่หมู่ภัยทั้งหลาย อันจะพึงมีมาถึงเขตต์ไพรอันไพศาลนั้น ซึ่งทุกชะนิดทุกพรรณ ได้ยอมเสียความสดวกให้แก่กันและกัน เพื่อถนอมความอยู่ดี ให้เหมาะตามอัตตภาพดังนี้ นอกจากนั้น แม้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็มีสภาพแห่งตนไม่ผิดไปจากนี้เหมือนกัน คือ สิงห์ย่อมเปนพญาสัตว์ ที่จะครองความหวาดเสียวให้ไว้แก่สัตว์ไพร เปนความครั่นคร้ามต่อภัย อันพึ่งมีมาถึงภายในเขตต์แห่งสัตว์ทั้งหลายได้ ซึ่งสภาพนี้, ก็แม้นกับสภาพของมนุษย์อันมีมาแต่ดั้งเดิมไม่ผิดกัน แต่มนุษย์, นอกจากจะต่างกันโดยชาติและโดยวรรณดังนั้นแล้ว ยังมีส่วนประเสริฐคือปัญญา, ดวงจิตต์และวิญญา ต่างกันกว่านั้นขึ้นไปอีก สภาพของหมู่ไม้และสัตว์ไพรจึงหาแม้นกับสภาพของมนุษย์ทีเดียว ด้วยลักษณพิเศษแห่งมนุษย์ดังนี้ จึงสามารถจัดชั้น, วรรณของสิ่งทั้งหลายมารวมเปนอุทยานแห่งนี้ขึ้นได้ ความมีระเบียบเรียบร้อย ความสดใสอย่างสมบูรณ์ จึงได้เห็นกันอยู่แล้วอย่างครบครัน จะได้เห็นหมู่เสาวรศ สายหยุด, ขจร คัดเค้า และการะเวก ฯ อันถูกจัดเถาให้อยู่ตามพวก จะได้พบพลับพลึง, ลำเจียก, โกสนหลากสี, แก้ว, มะลิ, ซ่อนกลิ่นและกุหลาบ ฯ อันถูกจัดซุ้มให้อยู่ตามหมู่ จะได้ดู กาหลง, พิกุล, สารและกุสุมาธิป ฯ อันถูกจัดให้อยู่ตามเหล่า จะได้ชม ชาติบุษย์, กมล, โกมุทแลจงกลนี ฯ อันถูกจัดชะนิดให้อยู่ในสระโบกขรณี และนอกจากนั้น ยังจะได้รับความพอใจเปนอย่างสูง ในเมื่อได้ฟังกะตั้ว, แขกเต้า, ขุนทอง จักจั่นและโกกิลา ฯ ซึ่งพากันร้อง ประกอบเมื่อได้เห็น ยูง, กะเรียน, หงษ์ เงิน, ชะนี กวางและจามรี ฯ ที่พากันร่ายรำ และพากันเต็มไปด้วยความสุข อยู่ภายในสถานอุทยานทิพย์แห่งนี้ เมื่อมนุษย์สามารถสร้างสวนสวรรค์ส่วนน้อยนี้ได้ ทำไมจึงไม่ช่วยกันดัดแปลงพิภพนี้ ให้เปนอุทยานสวรรค์ไปเสียด้วยเล่า เห็นจะไม่มีใครสามารถทำได้เปนแน่แล้ว เพราะจะเปนไปได้อย่าง ไร ในเมื่อยังมีไม้พิษ, ยังมีสัตว์เขี้ยวเล็บงาและยังมี สะกา, น้ำโสมทองและศักดิ์ ตลอดจนอำนาจและกิเลสเหล่านี้อยู่ จักมีใครบ้างที่จะกำจัดสิ่งอันมีทั้งโทษและคุณเหล่านี้เสียให้เสื่อมศูนย์ไป ฉะนั้นพิภพนี้จึงเปนเพียงอุทยานอยู่แล้ว แต่ยังหาระเบียบและความงดงามให้เหมาะกับฝีมือช่างไม่ได้ จนกว่ามนุษย์จะรู้จักใช้เครื่องมืออันจะนำไปสู่วิทยาการ, ศีลธรรม และอารยะธรรมได้ถูกต้องอย่างเรียบร้อยแล้ว พิภพแห่งอุทยานนี้จึงจะถูกสถาปนาให้วิจิตรพิศดารขึ้นได้ ซึ่งจะปริมาณไม่ได้เลยว่า อีกสักเมื่อใดความคาดคเณทั้งนี้ จึงจะเปนผลสมความปรารถนา เพราะสภาพของมนุษย์ในขณะนี้ ไม่ผิดอะไรกับสายน้ำพุหรือชิงช้าในราชอุทยาน ซึ่งถูกประดับไว้ด้วยเถาวัลลี, พรรณบุบผชาติและคณะธรรมชาตินั่นเลย สภาพนั้น, ได้พุ่งโต่งขึ้นสูง แล้วก็ตกลงมาสลาย ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นลง, กวัดไกวอยู่ไปมา โดยกะเกณฑ์ไม่ได้ ว่าเมื่อใดจึงจะมีระดับเสมอกันได้สักครั้งหนึ่งคราวเดียว ฉะนั้น ความต้องการของคนหรือของชาติ จึงทำให้เกิดผลเปนความเบียดเบียฬกันได้อยู่เนืองนิจ สงครามจึงถูกล้างให้สิ้นไปไม่ได้ โลกนี้จึงยังต้องมีสงครามกันต่อไปอีก จะพยายามระงับกันอย่างไรย่อมติดขัดอยู่เปนหนักหนา เพราะธรรมชาติ, กิเลสบังคับดังนั้น ไม่มีสภาอนุญาโตตุลาการของโลกหรือสมาคมแห่งใดจะช่วยกันระงับได้ เพราะเจ้าหน้าที่เหล่านั้น ยังไม่ได้เกิดมาในชาติพิภพ นอกจากเพียงเกิดมาในชาติใดชาติหนึ่งเท่านั้น ซึ่งสงครามในอนาคตจะรุนแรงขึ้นหรือลดหย่อนลง ย่อมแล้วแต่อัตโนมัติแห่งการเปลี่ยนแปลงของความก้าวหน้าหรือการถอยหลัง อันจะมีทางแก้ไขได้ก็เพียงหาทางบันเทาความโหดร้ายของการเบียดเบียฬ กับการรักสงบและเตรียมตนเพื่อก่อให้เกิดสันติภาพขึ้นเท่านั้น ซึ่งการที่จะดำเนินสิ่งเหล่านี้ให้เปนมรรคผลต่อไปได้ ก็ต้องอาศรัยการบำรุงความรู้สึกของคนทั้งหลาย ให้รู้จักหลักของอารยะธรรม กับการบำรุงกำลังและอำนาจของประเทศให้มั่นคงอยู่เปนนิจ คือโลกนี้จะเปนสถานแห่งความสุขได้ ก็เพราะคนทุกคนได้ทำงานเพื่อหวังความมีสันติภาพนั่นเอง ฉะนั้น, จะพึ่งเห็นได้ชัดอย่างกรุงเทวะปุระในขณะนี้ ว่าแม้กรุงเทวะปุระจะได้สะสมแสนยากรเอาไว้ ก็ไม่หมายจะไปล้างอำนาจใคร และไม่หวังจะไปเบียดเบียฬใคร แต่เหล่านักรบในนครเทวะปุระในยามสงบทัพนั้น ย่อมเปนวงรากแห่งวินัยของพลเรือน, เปนโรงเรียนอันใหญ่ที่สุดของขัณฑสีมา เปนหมู่คณะที่ฝึกฝนถึงหลักธรรมกับหลักอนามัย และเปนผู้รักษาความไม่เรียบร้อย อันพึงจะบังเกิดขึ้นภายในถิ่นเทศของตน ซึ่งล้วนแต่จะชักนำบุคคลทั้งหลายให้เดินไปสู่สุคติและสันติจริต อันเปนทางลัดอย่างดีทั้งสิ้น ฉะนั้น, ในบัดนี้แม้ว่ากรุงเทวะปุระจะถูกล้อม, แม้ว่าความอดอยากและความตายจะมาตัดทอนเสรีภาพลงไป แต่ชีวิตของเราทั้งหลาย เวลาไหนจะดูมีราคาเท่ากับเวลาที่ตกอยู่ในอันตรายเปนไม่มี ซึ่งขณะนี้ชีวิตของคนทุกคนในกรุงเทวะปุระจึงกำลังมีราคาขึ้นเปนอย่างสูง และราคาอันนี้ ก็ได้ปรากฏมาจากผลของการอบรมนั้นแล้ว คือบรรดาทุนและกำไรของคนทุกคนที่มีอยู่ ได้เริ่มถูกชักมาใช้จ่ายจนเกือบจะหมดสิ้น ชาวนาครทั้งหลายเอ๋ย ! โอกาศเช่นนี้ เชื่อแล้วหรือว่า ที่ตนกำลังทำงานอยู่ ไม่มีความจำเปนอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว ตนได้รับการอบรมดีแล้ว ตนมีความยุติธรรมดีแล้ว และความอดทนมั่นคง, ความสามารถอาจหาญ ได้ถูกนำมาใช้อย่างครบถ้วนดีแล้ว

การอบรมคนให้รู้จักค่าของการเบียดเบียฬ กับการมักใหญ่ใฝ่สูงในอำนาจแห่งมหาจักรพรรดิ์ มีอยู่แล้วอย่างครบบริบูรณ์ กับเจ้าชายเดชานุชิต กษัตริย์ทรงสินธพขาวแห่งกรุงราชภุช เพราะกิจของมหาอำนาจเช่นนั้น มีเยี่ยงอย่างอันโหดร้ายมาแล้วจากพระเจ้าอาเลกซานเดอร์มหาราช ผู้มารุกรานถึงแคว้นคันธาระและนครตักกะสิลา และมีเจ้าจันทรคุปต์ต้นวงศ์โมริยะ ทรงดำเนินรอยตามมาแล้วจนเปนที่ประจักษ์ผล ด้วยสองกษัตราธิราชได้เปนผู้ชี้ทางและนำทางมา จึงทำให้เจ้าชายเดชานุชิด มีความทะเยอทะยานเปนอย่างหนักหนา ในอันจะทรงดำเนินทางตามต่อไป เพื่อก่อความพินาศให้เกิดขึ้นกับโลกแห่งความสงบนี้ โดยทรงมีความหวังอยู่อย่างเดียว คือฉะเพาะในกิจแห่งมหาอำนาจนี้เท่านั้น จึงเปนเหตุให้พระองค์ทรงมีหลักธรรมอันดีงามทั้งหลายที่ได้ทรงศึกษามาจากสำนักตักกะสิลาแล้วนั้นจนหมดสิ้น ซึ่งแม้จะเปนขณะที่ลัทธิแห่งหินยาน ได้เริ่มแผ่ขยายมาถึงแล้วก็ตาม ดังนั้น, ความพินาศแทบย่อยยับ จึงจะได้เริ่มแผ่ขยายมาเกาะกุมเอากรุงเทวะปุระไปเสียแล้ว

เจ้าหญิงกนกเลขา ทรงทราบความปรารถนาของเจ้าชายเดชานุชิตดีอยู่ว่า หวังจะขนาบทัพจากกรุงเทวะปุระ ตะลงไปถึงพาณิชยเกตุ, ปัญจาล, โกศลและมคธ คือจากจิทัมพรัม ตลอดลงไปทั่วจักรวาฬแห่งชมพูทวีปนั้น แม้ว่านครเทวะปุระจะไม่ใหญ่โตนักก็จริง แต่ด้วยการมีความสมบูรณ์ในทรัพย์, การมีธรรมจรรยาอันเทวราชและพราหมณาจารย์ได้ประสาทให้ ประกอบกับการมีราชธิดาอันงามตระการตาอย่างหนักหนา ได้ทำให้นครนี้ เปนเมืองหน้าด่าน ที่เจ้าชายเดชานุชิตมั่นหมายที่จะได้ครองอย่างมาก ซึ่งเกือบเท่าสมบัติแห่งมหาจักรพรรดิเองก็แทบจะว่าได้ และตามเหตุที่ประจักษ์ผลอยู่นี้ แม้คนทั่วทั้งจตุรวรรณ จะได้ตายไปแล้ว แม้พระธรรมาธิป-พระราชบิดาของเจ้าหญิงกนกเลขาเอง จะได้เสียพระกรเบื้องซ้ายไปแล้ว แต่ก็จะได้เห็นเจ้าหญิงยังคงทรงพระสำราญดีอยู่ ซึ่งตามเหตุการณ์ดังนี้ ดูเหมือนเจ้าหญิงจะไม่มีความชอกช้ำอันใดอยู่ในหัวใจ ไม่มีความเจ็บไข้สิ่งใดอยู่ในขุมขนแม้แต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลย ถ้าเปนเช่นนั้นแล้ว เจ้าหญิงก็คงเปนเช่นสิ่งที่มีค่า แต่จะหาคุณสมบัติอันใดในตัวอีกไม่ได้ พระนางทรงดำรงฐานะเปนนางขัตติยาณี ตั้งแต่น้อยมาจนทรงพระเจริญวัย ก็ได้ทรงศึกษาศิลปวิทยาการตลอดจนศีลธรรมที่ขัตติยตระกูลจะพึงมี มาจนครบบริบูรณ์ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แต่บัดนี้, แม้แต่เจ้าหญิงเองก็ทรงรู้สึกว่าไม่ได้ใช้สิ่งที่ได้มีมาแล้วให้เปนประโยชน์แก่การคุ้มภัยในยามคับขันนี้แม้แต่อย่างใดเลย กลับทรงพระสำราญอยู่บนปราสาท ทรงพระเกษมอยู่ในราชอุทยาน และแวดล้อมพระองค์ไว้ด้วยเหล่าพนักงานนางกำนัลทั้งหลาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้เจ้าหญิงทรงรู้สึกตระหนักขึ้นไปอีกว่า พระองค์เปนเพียงดอกไม้ที่ล้อมรอบไว้ด้วยความอับเฉา เปนเพียงหุ่นของการเมือง และเปนเพียงรูปปั้นอันงามที่มีไว้สำหรับประดับพระราชวังหรือบ้านเมือง แต่แล้วจะหาคุณค่าอะไรให้มากไปกว่านั้นอีกไม่ได้ ไม่มีความรู้สึก, ไม่มีหัวใจ นอกจากมีแต่ความเปลืองในค่าบำรุงรักษา มากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหลายทั้งนั้น ซึ่งค่าบำรุงรักษาเหล่านี้ ล้วนแต่เปนน้ำแรงของชาวเทวะปุระทั้งสิ้น คิดดังนั้นแล้ว เจ้าหญิงก็ทรงพระกรรแสง อย่างที่มีความเจ็บช้ำอย่างหนักที่ดวงใจ และที่หน่วยตาและทั้งๆที่ทุกสิ่งที่ล้อมพระองค์อยู่โดยรอบนั้น เต็มไปด้วยความเกษม, เต็มไปด้วยความ หอมหวน และเต็มไปด้วยพิภพแห่งอุทยานสวรรค์ อันบรรดามีอยู่ทั่วทุกแห่งในฉกามาพจรนั้น

บัดนี้, เจ้าหญิงกนกเลขา ทรงเห็นตระหนักแน่ว่า ได้ถึงเวลาแล้ว ที่จะใช้ความรู้, ความสุขและ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทรงมีมานั้น ไปทำงานเพื่อกตเวทีต่อพระราชบิดา, ต่อชาวนครเทวะปุระทั้งหลาย เพราะว่าขุมในนรกทั้งสิ้น จะหาขุมใดที่มืดมิดที่สุดเท่าขุมสำหรับคนที่มีความสามารถเสียเปล่าเปนไม่มี เจ้าหญิงก็เปนผู้สามารถอยู่เปนอย่างเยี่ยมยอดแล้ว ซึ่งเพียงแต่ยังไม่ได้นำเอาออกมาใช้เท่านั้น และเวลา/**/นี้, ถ้าจะนับว่ายังไม่ถึงโอกาศก็หาสมควรไม่ การฆ่ามนุสส์ไม่มีศีลธรรม ไม่จำเปนที่จะต้องใช้ธรรมะอันใดเข้าต่อสู้ด้วยเลย เพราะความจำเปนไม่เกี่ยวกับธรรม และการที่จะต้องฆ่าเจ้าชายเดชานุชิต ก็ตกอยู่ในลักษณจำเปนแล้ว โดยที่เจ้าชายพระองค์นี้ เปนเจ้าที่รู้จักกับศีลธรรมดีเท่ากับการที่จะรู้จักใช้ แต่ไม่ใช้ เปนเจ้าที่มีอำนาจ และรู้จักค่าของอำนาจ แต่ใช้อำนาจของตนไม่เปน เปนเจ้าที่เหี้ยมหาญอยู่ในคุณค่าของการเบียดเบียฬ เปนเจ้าที่เปนทั้งข้าศึกและสัตรูของกรุงเทวะปุระ เปนเจ้าที่อิ่มอาหารอยู่ด้วยการฆ่ามนุษย์ เปนเจ้าที่ได้ตัดพระกรแห่งพระบิดาของเจ้าหญิงไป และเปนเจ้าที่จะเหยียบกรุงเทวะปุระให้จมคาพระบาท เช่นนั้นแล้ว จะเปนการสมควรอยู่แล้วหรือ ที่จะยังพระชนม์ของพระเจ้าชายพระองค์นี้ให้คงไว้ได้ต่อไป เมื่อใครสละชีวิตเพื่อสิ่งที่คนรักได้ ทำไมเจ้าหญิงจึงจะไม่มีสิ่งที่พระองค์รักอยู่บ้างเลย และเมื่อคนไม่ไว้ใจตนเองแล้ว ทำไมตนจึงจะได้ครองชีวิตอยู่ได้ ฉะนั้น, เจ้าหญิงกนกเลขา จึงตกลงพระทัยอย่างเด็ดขาด ที่จะทำงานในสิ่งซึ่งทุกคนในนครเทวะปุระยังทำไม่ได้ และยังไม่มีใครทำ งานนั้นคือใช้ความสามารถของพระองค์ทุกอย่างที่ทรงมีอยู่แล้ว ไปประกอบการทำลายพระชนม์ของเจ้าชายเดชานุชิตเสียให้พินาศ เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามอันจะพึงมีมากับนครเทวะปุระต่อไปนี้เสียให้สิ้น !

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ