บทที่ ๓ - การอบรม

ภายในอุ้งแขนของแม่ทัพแห่งกรุงราชภุชผู้หนึ่ง มีร่างของเจ้าหญิงกนกเลขากำลังสิ้นพระสติพาดอยู่บนนั้น เจ้าเดชานุชิตยืนกอดพระอุระ ทรงพระสรวลก้องอยู่ตรงหน้า

“นี่หรือคือราชธิดาแห่งกรุงเทวะปุระ...เออ! ช่างหยดย้อยช้อยชดดีจริงหนา เขาว่าฉลาดเฉียบแหลมเอาหนักอีกด้วย แต่เวลานี้กำลังมีพระเคราะห์ร้าย จึงถูกลงราชอาชญาแทบย่อยยับไปทีเดียว ดีแล้ว, ให้เธอสงบอารมณ์อยู่ในค่ายของฉันก่อน ยศกร !” ทรงหันไปทางแม่ทัพใหญ่ “สั่งจัดพลับพลาหลังใกล้กำหรับเปนที่ประทับของเธอ และวางทหารควบคุมไว้ให้มั่นคงที่สุด” รับพระโองการแล้ว ยศกรก็ได้เริ่มปฏิบัติในบัดนั้น

เจ้าชายเดชานุชิตยังคงยืนสงบอยู่ที่ทวารค่าย ทรงทอดพระเนตร์ดูเจ้าหญิง ซึ่งกำลังบรรทมสนิทอยู่บนหมู่เบาะเหนืออาสน์ของพระองค์อย่างวิเคราะห์ โดยที่มิได้ทรงจัดการแก้ไขอย่างใดอย่างหนึ่งเลย แม้ทุกส่วนของเจ้าหญิงในขณะนั้น ยังอยู่ในลักษณะแห่งการขาดสติสัมปชัญญะก็จริงอยู่ แต่โฉมของพระนาง ได้ทำให้เจ้าชายพิศดูไม่วางตา ความสวยของเจ้าหญิง ถูกสร้างมาจากธรรมชาติอันงามของกรุงเทวะปุระ ถูกปรับปรุงมาด้วยเครื่องตกแต่งอันทรงสีและทรงค่า ที่นางกษัตริย์จะพึงได้รับ ความสวยเช่นนี้จึงจะละสายตาให้ผ่านไปเสียไม่ได้เลย เส้นเกษาซึ่งดำดังสีนิล ที่ได้แผ่สยายลงมารองพระเศียรจนเต็ม และแผ่ไปทั่วบริเวณตรงนั้น เผยพระพักตร์ใต้เห็นอิ่มและนวล สวยดียิ่งกว่าดวงจันทร์เมื่อวันเพ็ญนั้นอีก ทุกส่วนทุกอย่างถูกจัดไว้เหมาะเปนระเบียบ และในอย่างใดก็ทรงลักษณอันสวยในอย่างนั้น ทั่วหน้าจึงสวย แม้ยิ่งกว่าตาเห็นก็จะหยั่งให้ซึ้งไม่ถึงพอ จึงทำให้เจ้าชายหนุ่มบังคับใจไว้ไม่ได้อีกแล้ว นอกจากปล่อยลมหายใจระบายออกมาอย่างแรงครั้งหนึ่ง เพื่อรวบรวมความมั่นคงให้กลับมาอีก แต่แล้วก็ทอดพระเนตร์ดูเจ้าหญิงต่อไป ได้เห็นพระศอที่กลมระหง, ช่วงพระกรอันสลวยซึ่งพาดไว้ด้วยสายโลหิตดังสายมรกต, ทรงอันสมส่วนที่ทอดคลุมไว้ด้วยแพรบาง พระอุระอันกำลังกะเพื่อมขึ้นลง และเมื่อได้เห็นพระฉวีมีวรรณดังทาทาบด้วยสีของบุษราคำนั้น ก็เปนอีกครั้งหนึ่งที่ต้องทอดถอนพระหฤทัย เจ้าเดชานุชิตทรงรู้สึกแล้วว่า เจ้าหญิงกนกเลขาถูกสร้างขึ้นโดยจัดแก้วเนาวรัตน์ไว้ทั่วพระองค์ โฉมนั้นจึงย้อมไว้แล้วด้วยคุณค่า, มหาเสน่ห์ และย้อมไว้แล้วด้วยความสุดแสนสวย ความสวยของเจ้าหญิง! สวยกว่าท้องฟ้าที่ถูกแสงอาทิตย์จับในเวลาเช้า สวยกว่าแสงจันทร์ที่ทอจับน้ำในท้องทะเลหลวง สวยกว่าดอกไม้ที่ประทับอยู่ในสวนสวรรค์ สวยกว่าผีเสื้อที่กำลังโผบินไปตามใบไม้ และสวยกว่าทุกอย่างที่เจ้าชายได้เคยเห็นมาแล้ว เพราะความสวยที่ทรงเห็นมาแล้วเหล่านี้ทำให้เกิดความรู้สึก แต่ไม่มีอย่างใดเลยที่จะทำให้เกิดความใคร่ และแม้จะมีบางอย่างที่ทำให้เกิดความใคร่ แต่จะมีอะไรแรงไปกว่าใคร่ในความสวยของคนก็ไม่ได้ ความสวยของมนุษย์! ความสวยทุกอย่างบอกคุณค่าอันดีของลักษณะ บอกประโยชน์ของสิ่งทั้งหลายในโลก บอกทางที่จะให้เดินไปสู่ความงาม แต่จะมีสักกี่คนทีเดียวที่เห็นความสวยแล้ว จะได้พิจารณาพาดพิงไปถึงความงามด้วย เพราะมนุษย์ส่วนมากไม่มีใครชอบยาก เนื่องจากความยากจะทำให้มนุษย์ดีเหมือนกันหมดนั่นเอง ฉะนั้นเมื่อคนเราเห็นความสวยแล้ว จึงให้ผลของความอยากได้ มากกว่าที่จะให้ผลของการสอดดูลักษณะของความงาม เหตุนี้มนุษย์จึงชอบรับความช้ำใจจากการกระทำของตนเองเช่นนี้เปนส่วนมาก แต่ใครจะรู้บ้างว่า พระโฉมอันสคราญของเจ้าหญิงกนกเลขาในขณะนี้ ได้ทำให้เห็นความงามของพระองค์ได้โดยตลอดแล้ว และรูปที่นอนอยู่อย่างอ่อนระทวยนั้นหรือจะไม่ฆ่ามนุษย์ได้ เชื่อหรือว่า เจ้าหญิงพระองค์นี้ ไม่มุ่งหวังที่จะมาฆ่าเจ้าชายเดชานุชิต นี่แล้วคือรูปสมบัติ

เจ้าชายเดชานุชิตขบพระทนต์แน่น เพื่อเรียกร้องเอาน้ำพระทัยอันแข็งเทียบด้วยเพ็ชร์ของพระองค์ ให้คงคืนกลับมาไว้ดังเก่าอีก เมื่อสำเร็จแล้วจึงทรงยิ้มละมัยอย่างเยาะเย้ย แล้วก็สะบัดพักตร์ดำเนินไปยังรถศึกซึ่งเทียบรอการเสด็จของพระองค์อยู่ จากนั้นก็มีเสียงควบของสีสินธพขาว และพอเสียงของล้อรถดังจางหายไป สารถีอันมีร่างกายเทียบได้ดังพระกฤษณสารถีแห่งพระอรชุน ก็ได้นำเจ้าชายมายังทุ่งรบ เพื่อเสด็จตรวจพลจนเปนที่เรียบร้อยแล้ว

ดวงอาทิตย์ซึ่งส่องแสงอย่างจ้าแจ้ง ไอแดดอันระอุขึ้นมาจากพื้นดิน ลมที่ตีเอาความร้อนเข้ามาทั่วค่ายที่พัก ความร้อนที่ตลบอบอ้าวทั่วไป เสียงอันเกิดจากการโห่ร้องปลิวมาจากทุ่งรบ กลิ่นของฝุ่นซึ่งลอยมาไม่ขาดระยะ และด้วยเวลาที่ผ่านไปนานมากได้ปลุกให้เจ้าหญิงกนกเลขาลืมพระเนตร์ขึ้นจากการสิ้นสมปฤดี เมื่อได้พบลักษณภายในค่ายที่พัก ลักษณของหมู่เบาะที่อาสน์ที่พระนางได้บรรทมอยู่ ทำให้เจ้าหญิงต้องท้าวพระกายทรงขึ้นอย่างเต็มไปด้วยความแปลกพระทัย แต่เมื่อได้เห็นที่นั่นมียามยืนอยู่ภายนอก และถัดออกไปมีค่ายที่พักตั้งเรียงกันไปไกล เจ้าหญิงจึงทรงทราบถึงเหตุที่เกิดมาแล้วได้ตลอด เนื่องจากผลของความเสียวแสยงอันเกิดจากพิษแซ่ ความหิวกระหายที่มากระทบพระทัยอย่างหนัก กับความต้องการที่จะหาสิ่งบรรเทาต่อสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ และจากเหตุที่จะต้องผจญต่อไปในอนาคต อันยังไม่สามารถจะได้ทราบผลนั้น ได้ชักจูงให้น้ำพระเนตร์ของพระนางหลั่งออกมาคลอครองจนเต็มหน่วยตา ในโอกาศเช่นนี้จึงไม่มีอะไรจะทำที่เหมาะไปกว่าการลูบคลำพระธำมรงอันมีค่านั้นอีกแล้ว เพราะเปนเครื่องปลอบพระทัยของพระนางได้เปนอย่างดี ซึ่งในที่สุดก็ซบพระพักตร์ลงกับเขนยพลางสะอื้นแล้วจึงหลับไปอีกครั้งหนึ่ง เพราะการอ่อนพระกำลัง.

เย็นลงมากแล้ว พอรถศึกได้วิ่งส่งเสียงมาหยุดลงที่หน้าพลับพลาไชย เจ้าเดชานุชิตก็มาหยุดยืนที่ทวารแห่งเก่าอีกครั้งหนึ่ง พอดีกับที่ได้เห็นเจ้าหญิงผุดลุกขึ้นนั่งโดยเร็ว และมองเขม็งมายังเกราะที่อาบโลหิตอย่างเกรอะกรังของพระองค์ สายพระเนตร์ของพระนางในขณะนั้น บรรดาลให้ความเหนื่อยเพลียของเจ้าชายแทบจะหายไปหมดสิ้น เพราะดวงพระเนตร์นั้นใสสนิทยิ่งกว่าตาของเนื้อทราย ส่วนขาวมีสีเหมือนเพ็ชร์ผะสมกับสีมุกดาหาร ส่วนดำมีสีดำสนิทยิ่งกว่าสีของนิลมณีอันมีค่า เปนดวงตาที่รับพระพักตร์ให้เด่นอยู่กลางกลุ่มอันสยายของพระเกษา เปนดวงตาที่เชิดชูโฉมของพระนางให้เห็นต่างกับรูปปั้นอันถูกสร้างขึ้นอย่างประณีต เปนดวงตาที่หล่อเยิ้มไว้แล้วด้วยความหวาน, ความอ่อนโยน และความลึกซึ้งทุกอย่าง คือด้วยตวงตาเท่านั้น ที่แสดงให้ทราบถึงความปรารถนาของอาการ ความต้องการของหัวใจและความรู้สึกทุกชนิดของมนุษย์ ฉะนั้นดวงตาคู่ที่เจ้าชายได้ทรงพบมานี้ จึงทำความสดชื่นให้เกิดขึ้นแล้วกับพระองค์อย่างหนักหนา แต่เพราะความแค้นเปนอย่างยิ่ง ที่เจ้าหญิงได้แสดงให้เห็นออกมาจากสายพระเนตร์ดังนั้น จึงทำให้เจ้าชายทรงสรวลก๊าก แล้วตรัสออกมาอย่างพอพระทัย.

“เคืองแค้นมากหรือ แม่กนกเลขา กองทัพเสด็จพ่อของเธอ แตกพ่ายเข้ากรุงไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว”

ถ้าไม่คิดนิดเดียวว่าตนเปนสตรีแล้ว เจ้าหญิงอาจตรงเข้าสู้รบกับราชสัตรูในขณะนั้นเสียก็ได้ แต่เมื่อการจะเปนไปไม่ได้ดังนั้น เจ้าหญิงจึงได้แต่ถอนพระทัยอย่างหนักหน่วง แล้วก็เบือนพระพักตร์ไปเสีย จากนั้นเจ้าชายจึงได้เสด็จมารวมอาสน์แห่งเดียวกันกับพระนาง ซึ่งยังไม่ทันประทับเสร็จ เจ้าหญิงก็ย้ายพระกายให้ห่างออกไป พร้อมกับรับสั่งด้วยเสียงอันสั้นแต่หนักแน่น

“ฆ่าหม่อมฉันเสียเถอะเพค่ะ เพราะหม่อมฉันเปนชะเลยที่ควรตายด้วยความชอบธรรมแล้ว”

“เปนคำที่เพราะดีมากแล้วเจ้าหญิง แต่เปนคำพูดที่ทำจริงไม่ได้ ควรเรียงไว้สำหรับการร่ายโศลกเปนเหมาะที่สุด คิดดูซีจ๊ะ, โฉมอันน่าพิศวงเช่นนี้นะหรือจะให้ฉันฆ่าเสีย ฉันฆ่าไม่ได้ดอก ฉันควรจะเหลือไว้สำหรับการทรมานที่ดีกว่าความตาย เพราะความตายเปนเพียงทุกข์และสุขครั้งสุดท้ายของคนเท่านั้น”

“ทรงทราบดีแล้วเช่นนี้ ทำไมพระองค์จึงต้องฆ่ามนุษย์เสียนับแสนด้วยล่ะ เพคะ”

“เพราะคนเหล่านั้น จะเปนกำลังที่ล้างกิจการของฉันเสีย การทรมานที่เขาควรจะได้รับ จึงน้อยกว่าค่าของความตายมาก”

“พระทัยร้าย!”

เจ้าเดชานุชิต หยิบถ้วยน้ำโสมจากที่พระกระยาเสวย ซึ่งได้ถูกยกมาเทียบไว้แล้ว ส่งให้เจ้าหญิงและตรัส.

“กำลังเพลียนักไม่ใช่หรือ ดื่มนี่เสียหน่อย แล้วจะทราบได้เองว่า ฉันใจดีเพียงใด”

เจ้าหญิงเหลือบพระเนตร์ขึ้นดูหน้าอันสดสวย, หนุ่มแน่นและเหี้ยมหาญของเจ้าชายอย่างเต็มไปด้วยมานะ แต่ไม่ได้รับสั่งประการใด.

“ยังไม่เชื่อพออย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นผู้ที่เฆี่ยนและส่งออกมาให้ฉัน หรือการที่เธอไม่รับถ้วยน้ำจากฉันนี้ เปนการกระทำของคนใจดีแล้วกระมัง ฉันจึงต้องเปนคนใจร้ายอย่างว่านี้ไปด้วย ฮา !”

เจ้าหญิงรู้สึกเวียนพระเศียรหนักขึ้น จนฟังสิ่งใดไม่ได้ศัพท์ เมื่อเจ้าเดชานุชิตเห็นดังนั้น จึงอุทาน

“ฉันใจร้ายเสียจริงแล้ว! แม่กนกเลขาไม่สบายมาก ไปเถิด, ฉันจะพาเธอไปยังที่พัก ที่นั่นเธอจะไม่ต้องกระดากในความสุขทุกอย่างอีกเลย ลุกขึ้นซีจ๊ะ”

เจ้าชายพาเจ้าหญิงไปยังพลับพลาที่ได้เตรียมไว้แล้ว สั่งเจ้าหน้าที่ทุกแผนกถึงความแข็งแรงในงานของเขา และทรงตรัสกับเจ้าหญิงซึ่งได้ประทับลงแล้วอย่างอ่อนระโหย.

“ที่นี่ฉันหานางกำนัลให้เธอไม่ได้ แต่ขอให้เธอเรียกร้องได้ทุกสิ่งที่เธอต้องการ ขอให้เธอจงสำราญขึ้นกว่านี้ เพื่อฉันจะได้พบกลยุทธแบบใหม่ ซึ่งกองทัพของเดชานุชิตจะถูกตีให้แตกได้”

ว่าแล้วก็เสด็จกลับ ทิ้งสายเสียงอันหนักและกังวาลไว้ด้วยพระทัยที่เบิกบาน.

----------------------------

อีกวันหนึ่งได้ผ่านพ้นไป เมื่อเลิกทัพกลับมาแล้ว ทหารที่ยังไม่เจ็บป่วยหรือตาย ก็ส่งเสียงร้องเพลงอย่างเต็มไปด้วยความสุข เนื้อเพลงนั้น เปนเพลงปลุกใจของเหล่านักรบ ซึ่งได้อบรมมาแล้วจากเมืองของตน

๏ รักราชเร่งจิตต์ซร้อง สนองธรรม ท่านเทียว

รักชาติช่วยชูสรรพ์ สิ่งแพร้ว

รักศาสน์ส่งไตรขันธ์ เคารพ พระเทอญ

รักศักดิ์สิ่งเดชแผ้ว ผ่องล้วน โลกขาม. ฯ

๏ มนัสประนมนบพระเจ้า เจิดสวรรค์

แขนเพื่อรัฐกษัตริย์ธรรม์ ท่าวค้อม

ใจจอดยอดเมียขวัญ และแม่

เกียรติศักดิ์รักและน้อม แน่วไว้ ในตน. ฯ

เมื่อทรงเกษมพระทัยดีแล้ว เจ้าเดชานุชิตเสด็จมายังพลับพลาของเจ้าหญิงกนกเลขา และทรงปราสัยด้วยพระอัชฌาสัยไมตรี.

“เออ! เธอช่างสดใสขึ้นมากจริง วันนี้ฉันมีข่าวดีที่จะมาบอกให้เธอทราบหลายอย่าง เราคงเข้าใจกันดีขึ้นได้บ้างซินะจ๊ะ เมื่อเราโปร่งใจด้วยกันเช่นนี้”

เจ้าหญิงได้ซ่อนความรู้สึกทั้งหลายไว้ในพระพักตร์ที่แสนเศร้า แล้วตรัสด้วยเสียงอันปกติ.

“ข่าวดีของฝ่าบาททุกข่าว คงเปนข่าวร้ายสำหรับหม่อมฉันเสมอไป”

เจ้าชายทรงประทับ “ไม่แน่นักดอก เจ้าหญิง เพราะมีข่าวดีที่เราควรจะเลือกรับเอาไว้เหมือนกัน วันนี้, กองทัพเสด็จพ่อของเธอ แตกเข้ากรุงไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว ข่าวนี้กระมังที่อาจเปนข่าวร้ายของเธอ”

“เพค่ะ ร้ายแสนร้ายทีเดียว” เจ้าหญิงทรงถอนหฤทัย “เมื่อไรจึงจะถึงที่สุดกันสักที เพคะ”

“อ๋อ! เกือบแล้ว เพราะกองทัพของกรุงเทวะปุระได้อ่อนกำลังยิ่งขึ้นทุกที ฉันกำลังเตรียมแผนการรบเพื่อทำการเข้าตีแตกหัก และเพื่อจะขอร้องให้กรุงของเธอมาเปนของฉันอยู่แล้ว”

เจ้าหญิงปิดพระพักตร์ ตรัสด้วยเสียงอันสท้าน

“ร้ายกาจแท้ ทำไมฝ่าบาทจึงชอบดื่มเลือดมนุษย์ถึงเพียงนี้”

“ดื่มเลือด ! อาจจะแน่ เพราะการรบย่อมเปนกิฬาของอำนาจและของอิสสระภาพ ฉะนั้นเราจึงดื่มเลือดด้วยกันทั้งสองฝ่าย เธอได้รู้สึกมาแล้วเช่นนั้น แต่เธอรู้สึกบ้างไหม ว่าเท่าที่ได้รบกันมาแล้วนี้เล่นกิฬาผิดกติกาข้อใดบ้าง”

“การรบไม่ใช่กิฬาดอกเพคะ แต่เปนความโหดร้ายและผิดศีลธรรมที่สุด”

“ที่ฉันยังให้ทหารของเธอยกออกมารบกันอย่างอาจหาญทุกวัน โดยที่ฉันยังไม่โจมตีนครของเธอเสียให้พินาศไปนั้นหรือ เปนการผิดศีลธรรม และที่ฉันไม่ได้เผากรุงของเธอเสีย ซึ่งเมื่อฉันจะเผาก็เผาได้ ดังนี้นะหรือ เรียกว่าฉันมีความโหดร้าย”

“แต่บัดนี้ฝ่าบาทกำลังเตรียมการสร้างความโหดร้ายและการผิดศีลธรรมอยู่แล้วไม่ใช่หรือเพคะ”

“นั่นเปนผลสุดท้าย ของกิฬาประเภทนี้แล้วต่างหาก”

“มีผู้รู้สักกี่คนทีเดียว ที่ได้คิดอย่างฝ่าบาท และมีใครบ้างที่จะเห็นการรบเปนเพียงกิฬาประเภทหนึ่งเท่านั้น”

“มีฉันและพลเมืองฉันนี่แหละ”

“นั่นน่ะซีเพคะ ฝ่าบาทจึงให้ความฝันที่ไม่เปนมงคลแก่ความจริงเลย ไม่มีมนุษย์คนใดดอกเพคะที่อยากหาความดีอย่างฝ่าบาท นอกจากฝ่าบาทและพลเมืองของกรุงราชภุชที่ถูกอบรมให้เปนรากษสฝูงร้ายเท่านั้น”

“ก็ความดีอย่างไหนเล่าจ๊ะ ที่มนุษย์ชอบหากัน”

“มนุษย์ทุกคนควรหาความดีด้วยการพึ่งกันและกัน โดยอาศรัยความยุตติธรรม ควรหาความดีโดยการติดต่อกันอย่างฉันท์ไมตรี ควรแลกเปลี่ยนความต้องการแก่กันด้วยหลักธรรมอันดี ควรแบ่งเขตต์แก่กัน เพื่อจัดสโมสรของมนุษย์ไว้ตามความดีงามของผู้บำรุงสโมสร นอกจากนั้นควรช่วยกันจัดหาวิทยาการ เพื่อบำรุงโลกและเพื่อบำรุงอารยะธรรม”

“ฮะหา! เมื่อใดจึงจะเปนอย่างว่าได้สักทีละ เจ้าหญิง สาสนาของเธอแปลกดีมาก แต่ถ้าคำพูดดังกว่าเสียงดาบนั่นแหละ ซึ่งจะเปนอย่างที่เธอว่าได้ และถ้าทุกคนพ้นนิวรณ์และอุปะกิเลสเสียได้ นั่นแหละสาสนาของเธอจึงสมควรที่ฉันจะถือได้”

“ถ้าเช่นนั้น ทำไมฝ่าบาทจึงไม่ทำตัวอย่างที่มุ่งไปในทางเหล่านี้ละเพคะ เพราะหม่อมฉันเห็นว่า ดีกว่าที่จะทำตัวอย่าง อันอาจทำให้คนเดินอย่างหลงผิดได้ง่ายเช่นนี้”

“เปล่าเลย! สำนักตักกะสิลาสอนตัวอย่างอันดีนี้ให้แก่ฉันแล้ว ว่าแม้แต่คนต่อคนด้วยกัน ผู้ที่ใกล้ชิดกันก็ควรเห็นแก่หน้ากว่าผู้ที่ห่างไกลออกไปเสียแล้ว และคนเกียจคร้านยอมเปนเครื่องมือของคนขยัน คน โง่เปนข้าของคนฉลาด คนขลาดเปนผู้รับใช้ของคนกล้า คนลังเลย่อมเปนบ่าวของคนที่มั่นคงและเฉียบขาด เมื่อความเปนอยู่ของคนย่อมเปนกะจกเงาที่สองให้เห็นความเปนอยู่ของชาติดังนี้ จำเปนอยู่เองที่โลภะ, โทษะ, และโมหะ จะเปนเครื่องมือของลาภ, ยศ, สรรเสริญและความสุขอันเปนฝ่ายพึ่งใจของโลกธรรม คนทั้งโลกต้องการเช่นนี้ จะให้ฉันและคนของฉันควรอบรมอะไรที่เหมาะไปกว่านี้ได้”

“ฝ่าบาททรงเห็นแจ้งดียิ่งทุกอย่างดังนั้น แต่ทำไมจึงไม่ปราณีแก่นครเทวะปุระบ้างเล่าเพค่ะ เพราะแทนที่ฝ่าบาทจะทรงสอนด้วยทางอันดีแก่เรา เพื่อความรู้สึกตัว กลับหวังจะทำลายล้างเสียให้พินาศไป”

“โอ, เปล่า ! ฉันไม่ต้องการให้พินาศเหมือนอย่างเธอว่าเลยสักนิดเดียว ฉันต้องการเพียงความเด็ดขาด, ความอ่อนน้อม, และเครื่องบรรณาการแก่อำนาจในความคุ้มครองของฉันเท่านั้น”

“โดยทรงถือนิดเดียวนั่นเองว่า สิ่งเหล่านี้เปนเครื่องมือของอำนาจ, ยศ, และศักดิ์ ซึ่งมนุษย์ได้ตั้งขึ้นไว้สำหรับคนฉลาด, คนขยัน, และคนจริงเท่านั้นไม่ใช่หรือ เพคะ แต่แล้วจะหาสาระและความเที่ยงแท้อันใดมิได้”

“อ๋อ! ไม่จริงนัก ความมีสาระและความเที่ยงแท้อาจมีขึ้นได้ ในเมื่อทุกคนมีความเสมอภาค และในเมื่อได้ถึงสาสนาอย่างที่เธอว่าแล้ว แต่เวลานั้นมนุษย์ยังต้องสั่งสอนกันต่อไปอีกมาก ฉันจึงได้สอนสิ่งเหล่านี้ให้กับนครของเธอ คือสอนให้รู้สึกถึงการรวบรวมกำลังกันเพื่อป้องกันความมีอิสสรภาพ สอนให้เห็นค่าของความเลวอย่างร้ายของความเกียจคร้านในความฟุ้งเฟ้อและในความโง่เขลา ว่ามันมีพิษสงร้ายกาจเพียงใด อันควรจะอบรมคนให้เหมาะกับกาละสมัยได้อย่างไรบ้าง และควรอบรมคนให้ใฝ่สูงในวิทยาการทั้งหลายได้เพียงใดบ้าง ซึ่งยังมีอีกหลายอย่างที่ฉันยังสอนให้รู้ไม่ได้ เพราะฉันต้องลงทุนชีวิตคนของฉันเพื่อสอนกรุงเทวะปุระไปมากแล้ว ควรที่ฉันจะเรียกร้องเอากลับคืนมาไว้เสียบ้าง และจะเปนตัวอย่างอันดีว่า ฉันไม่เหมือนกับนักสอนสาสนา ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามคำสอนของตนได้ ทั้งการสอนกันด้วยเลือดเนื้อเช่นนี้ ย่อมองอาจกว่าการสอนอย่างปิดตาหาประโยชน์ไม่ใช่หรือ บัดนี้, เธอก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่า ฉันมีใจเปนนักกิฬาเพียงใด ซึ่งเธอคงจะไม่ติเตียนฉันได้อีกต่อไปอีกแล้ว แม่กนกเลขา, เธอคงมีความเห็นอะไรพิศดารอยู่บ้างกระมัง จึงต้องถูกเฆี่ยนและต้องเนรเทศออกมานอกเมือง”

“หม่อมฉันต้องการความสงบ ซึ่งเสด็จพ่อไม่ทรงเห็นด้วยอย่างเด็ดขาด”

“ถูกแล้ว คนโง่ที่ไม่ยอมโง่ ย่อมไม่เหมาะกับความสงบอย่างเอกทีเดียว”

“ใครโง่กันแน่ เพคะ”

“ไม่ทราบ, แต่โง่อย่างแกมหยิ่งย่อมน่าดูกว่าโง่อย่างบัดซบไม่ใช่หรือจ๊ะ เมืองของเธอยังนับถือพระเจ้ากันอยู่มาก ซึ่งบัดนี้ก็ได้รู้สึกกันแล้วว่า พระเจ้าจะไม่เปนที่พึ่งของใครในเมื่อถึงคราวจำเปนแล้ว และพระเจ้าย่อมไม่ช่วยคนที่ไม่ช่วยตัวเองเสียก่อน พระเจ้าเปนเพียงเครื่องมือที่ทำให้เกิดความมั่นคงเท่านั้นเอง การอบรมคนให้รู้จักภูมิธรรมอันดีงามต่างหาก ที่จะทำให้ตนเปนคนขึ้นได้ เสด็จพ่อของเธอเปนคนดีมาก เข้าใจคุณธรรมดีเท่ากับการเปนกษัตราธิราชแท้ เพราะนักรบย่อมไม่ต่อสู้กันเพียงเลือดหยดสุดท้ายของเลือดแดงเท่านั้น ย่อมต่อสู้กันจนถึงเลือดหยดสุดท้ายของเลือดขาวทีเดียว.

“ถ้าในเมืองของหม่อมฉัน มีคนดีอย่างฝ่าบาทสักสิบคนเท่านั้น บ้านเมืองของหม่อมฉันในเวลาต่อไป คงมีความสุขสำหรับคนชั้นฝ่าบาทเปนแน่”

เจ้าชายทรงพระสรวลเสียงหนัก ไม่ได้แย้งอย่างใด นอกจากตรัส.

“เออ ! ฉันว่าจะมาบอกข่าวดีกับเธอ แต่จนเดี๋ยวนี้ ก็ยังไม่ได้บอก”

“หม่อมฉันยังจะได้รับข่าวดี ยิ่งกว่าเมื่อกี้อีกหรือเพคะ”

“จ้ะ! ครั้งนี้ดีแน่ เพราะจากการลาดตระเวรทหารม้าของฉัน เราได้ทราบข่าวมาว่า เจ้าหิรัญเดชได้ยกกองทัพมาช่วยกรุงเทวะปุระแล้ว”

“เจ้าหิรัญเดช !” พระทัยของเจ้าหญิงแทบหยุดเดิน”

“เจ้าผู้ครองพาณิชยเกตุนั่นแหละจ้ะ เธอควรจะดีใจให้มาก เพราะเจ้าองค์นี้หนุ่มและเฉียบแหลมกว่าฉันมาก ซึ่งเขาควรเปนคู่แข่งขันในความปรารถนาของฉันได้ดีทีเดียว เพราะเขาและฉันต้องการของอย่างเดียวกัน”

“ต้องการอะไร เพคะ”

“ต้องการกรุงเทวะปุระ และตัวเธอ”

“ออ๊ว!”

" ไม่ควรตกใจอะไรดอก แม่กนกเลขา เพราะอย่างไรก็ตาม ทั้งสองอย่างนี้ต้องเสียไปนั่นน่ะเปนแน่ละ แต่เธอคงเห็นได้แล้วว่า การดำเนินรัฐประสาสน์ของเจ้าหิรัญเดชมีความสุขุมเพียงไร เขาเห็นว่ากรุงเทวะปุระใกล้จะแตกดับอยู่แล้ว และทางเดิรจากกรุงนี้ต่อไปก็จะถึงพาณิชยเกตุ ความจำเปนบังคับอยู่ว่า เขาจะต้องแข่งขันกับฉันสักเพียงไหน และด้วยความแนบเนียนของเขานี้ ทำให้เขามีความหวังอยู่ไม่น้อยเลย แต่เธอเชื่อไหมว่า ความสุขุมที่กลายเปนความเฉื่อยชานั้น ไม่สู้จะมีผลดีเท่าใดนัก”

“ฝ่าบาทได้คิดจัดการไปอย่างไรบ้างเพคะ”

“นั่นเปนธุระของฉันทีเดียว ฉันสั่งแม่ทัพใหญ่ของฉัน ออกเดิรทางไปเตรียมการต้านทานไว้แล้ว”

“เมื่อเจ้าหิรัญเดชดีพอที่จะทัดเทียมกับฝ่าบาทได้แล้ว เพียงแม่ทัพใหญ่เท่านั้นจะสามารถพออยู่หรือเพคะ”

“เกินพอทีเดียว เธอยังไม่รู้จักว่ายศกรของฉันดีมากเพียงไร เขาดีจนกะทั่งก่อนที่เขาจะไป เขาได้แนะนำฉันว่า ผู้หญิงกับแม่ทัพในสนามรบย่อมสมานกันได้ยากอยู่สักหน่อย ด้วยเหตุนี้การถูกเฆี่ยนของเธอ จึงเพียงเปนแต่อาชญาที่เสด็จพ่อของเธอได้สอนบทเรียนอันหนึ่งแก่ลูกเท่านั้น”

“ฝ่าบาททรงเชื่อตามเขาว่าบ้างหรือเปล่า เพคะ”

“คำแนะนำที่ดี แม้ไม่เชื่อก็ควรนำมาหาเหตุผลดูบ้าง ดังนั้นแม้ว่าผู้หญิงจะเปนยาอายุวัฒนะอย่างดีของเหล่านักรบก็จริง แต่ไม่ใช่เสมอไป และสำหรับฉันแล้ว ยิ่งยังไม่ใช่เวลานี้”

เจ้าหญิงทรงพระสรวลอย่างขมขื่น

“ถ้าเช่นนั้น เวลาไหนจึงจะเหมาะเล่า เพคะ”

เจ้าชายตอบด้วยพระอารมณ์อันเยือกเย็น

“เมื่อใดฉันได้พบกับเธออีก และเปนครั้งที่เราจะไม่มีความทุกข์หรือความแค้นเครือบแฝงอยู่แล้ว เมื่อนั้นจึงจะนับว่าเปนเวลาที่สมควรของเรา ขอให้เธอรักษาพระองค์ไว้ให้จงดีเถิด ฉันจะไม่มาที่นี่อีก เมื่อยังไม่ถึงเวลาที่สมควรอันนั้น และเธอก็จะไปหาฉันไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉันย่อมมุ่งหน้าแต่การรบอย่างเดียวเท่านั้น และทหารรักษาตัวของฉัน ย่อมรู้ดีว่าใครควรจะเพทุบายไปทำร้ายตัวฉันได้บ้าง เข้าใจดีนะจ๊ะ แม่กนกเลขา ฉันควรจะกลับแล้ว ขออย่าได้ลืมคำพูดของฉันที่ว่าไว้นี้เปนอันขาด”

/*67*ทรงยืนขึ้นด้วยรูปร่างอันผ่าเผยและมั่นคง ลักษณเช่นนี้เจ้าหญิงย่อมรู้สึกดีว่า ยากที่จะหาให้เหมือนและก็ยากที่จะกำเอาพระทัยไว้ให้อยู่ได้เหมือนกัน เมื่อเจ้าเดชานุชิตทรงดำเนินออกไปแล้ว เจ้าหญิงจึงชายพระเนตร์ตามไปอย่างอ่อนพระทัย.

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ