จดหมายฉบับที่ ๔

เมืองสมุทสงคราม

วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๒๓

ถึง พ่อประดิษฐ

ในจดหมายฉบับที่ฉันส่งไปจากเมืองราชบุรี ได้เล่าถึงเรื่องที่ไปทำครัวปัจจุบันเลี้ยงกันที่โพธาราม บรรดาผู้ที่ได้ไปในวันนั้น ตั้งแต่พระเจ้าอยู่หัวเปนต้นลงมา พากันเห็นคุณในการที่ทำครัวเลี้ยงกันในเวลาเที่ยวหาความสบายเช่นนี้ ว่าเปนเหตุให้เจริญอาหาร ดีกว่าบริโภคอาหารซึ่งกุ๊กทำเปนอันมาก จึงตกลงกะการให้มีเครื่องครัวปัจจุบันติดไปในเวลาเสด็จประพาศต้น คือมีหม้อเข้าเตาไฟ ถ้วยชามแลเครื่องครัวบรรทุกไปในเรือมหาดเล็ก กำหนดว่าไปถึงตลาดจะมีที่ซื้อหาเสบียงอาหารได้แห่งใดจะแวะซื้อเสบียงอาหาร แลไปหาที่ทำครัวเลี้ยงกันในระยะทางทุกโอกาศที่จะมีจะทำได้ ส่วนพวกที่ตามเสด็จนั้น ก็แบ่งน่าที่กันตามถนัด ใครทำกับเข้าของกินเปนก็มีน่าที่เปนน่าเตาสำหรับทำกับเข้าของกิน ที่หุงเข้าดีก็เปนพนักงานหุงเข้า ส่วนตัวฉันนั้นอยู่ในพวกที่ทำอะไรไม่เปน แต่ท่านไม่ยอมให้กินเปล่า จึงต้องรับน่าที่เปนกองล้างชามกับคุณหลวงรัตนาวุธ นายอัษฎาวุธ แลท่านมหาสม รวมสี่คนด้วยกัน ที่จริงนายวงษ์ตวันก็ทำอะไรไม่เปน ควรจะมาเข้ากองล้างชามด้วยกัน แต่เขาอาย ดูเหมือนจะเห็นว่าการล้างถ้วยชามนั้นเปนน่าที่เลวทรามนัก ก็ไปอาสาพวกน่าเตาให้เขาใช้สอย ขอดเกล็ดปลาแลสับหั่นไปตามเพลง ที่จริงน่าที่กองล้างชามนั้นเปนการประณีตมาก เมื่อฉันเล่าให้ฟังพ่อประดิษฐก็คงจะเห็นได้ว่าไม่ใช่การเลวเลย คือในกองนี้มีสบู่ แปรง ผ้าสำหรับเช็ด แลส้มสำหรับฟอก จัดลงไว้ในหีบซึ่งเที่ยวซื้อเอาตามตลาดเหมือนกับหีบปิ๊กนิกเปนเครื่องมือสำหรับตัว เมื่อเสด็จไปถึงที่ใดซึ่งกะว่าจะเปนที่ทำครัวแลเลี้ยงอาหาร น่าที่ของพนักงานกองล้างชามในเบื้องต้นจะต้องเที่ยวตรวจหาว่า สถานที่ใดควรจะเปนที่เลี้ยงแลเปนที่ทำครัวได้ ยกตัวอย่างดังว่า จะทำครัวเลี้ยงกันที่วัดแห่งใดแห่งหนึ่ง พอจอดเรือเข้าไป พนักงานกองล้างชามก็ต้องขึ้นก่อน ไปเที่ยวหาที่ว่าจะควรใช้การเปรียญหรือศาลาน้ำจะเหมาะดี เมื่อตกลงสมมตที่แล้ว กองล้างชามจะต้องเที่ยวหาโอ่งอ่างแลน้ำสำหรับใช้ให้พอการ กระบวนเที่ยวค้นคว้าเหล่านี้เกือบจะถูกหมากัดก็หลายครั้ง บางทีก็ไปตกล่อง บางทีหัวโดนชายคา มีอันตรายต้องการความกล้าหาญอยู่บ้าง ครั้นได้ที่แล้วต้องลงมือล้างถ้วยชามฟอกด้วยสบู่ให้สอาดหมดคาว แลเรียบเรียงไว้จ่ายแก่พวกน่าเตาให้ทันต้องการใส่กับเข้า ล้างชามเสร็จแล้ว คราวนี้ต้องปูเสื่อปูพรมตั้งกะโถนคนที แลยกกับเข้าไปเรียบเรียง เสร็จแล้วพนักงานล้างชามยังมีน่าที่ที่จะต้องเชื้อเชิญบริษัทได้พร้อมกันมาบริโภคอาหาร จึงเปนเสร็จธุระ ที่ฉันพรรณามาถึงน่าที่กองล้างชามนี้อยู่ข้างจะยืดยาว แต่ถ้าไม่พรรณาให้เข้าใจ พ่อประดิษฐก็จะเห็นว่าน่าที่ของฉันเลวทราม เพราะที่จริงชื่อกองล้างชามไม่สู้เพราะ มันไปเข้าสุภาสิตโบราณที่เขาว่า “อิ่มก่อนดูโขนดูหนัง อิ่มทีหลังล้างถ้วยล้างชาม” เรื่องล้างชามออก ๆ จะเสียชื่ออยู่ จึงต้องอธิบายให้เข้าใจไว้

เมื่อว่าถึงระยะทางที่เสด็จต่อมา วันที่ ๒๑ กรกฎาคม เวลาเช้าเสด็จประพาศตลาดไปพบยายเจ้าของเรือที่เแกเคยเห็นเจ้าชีวิตร ๓ หน แกพาลูกมาเฝ้า ทรงพระกรุณาพระราชทานเครื่องแต่งตัวแก่เด็กนั้นหลายอย่าง ประพาศตลาดแล้ว ออกเรือพระที่นั่งจากเมืองราชบุรี กระบวนเรือพลับพลาให้ล่องลงไปตามลำแม่น้ำใหญ่ไปคอยที่เมืองสมุทสงคราม เสด็จเรือมาด ๔ แจว มีเรือต้นที่ซื้อใหม่เปนเรือที่นั่งรองพ่วงเรือไฟเล็กเข้าทางแม่น้ำอ้อม ไปแวะซื้อเสบียงอาหารที่ตลาดปากคลองวัดประดู่ พวกเราเดินชุลมุนควักไขว่กันไปตามเพลงไม่มีใครจะรู้จัก เขากำลังเล่นลิเกกันน่าโรงบ่อน ฉันเดินไถลไปดู ไปพบทหารเรือซึ่งเคยเปนบ๋อยพระยาชลยุทธ รู้จักกันมาแต่ก่อน เห็นมันรู้จักจึงกระซิบบอกอ้ายหมอนั่นว่า เองอย่าอึกกระทึกให้ใครรู้ว่าเสด็จ ดูมันก็ทำนิ่งเฉยดีอยู่ไม่เห็นมีผู้ใดรู้เห็นวี่แวว จนกระทั่งเสด็จกลับลงเรือพอเรือออกจากท่า เจ้าพิณพาทย์ลิเกก็ตีเพลงสรรเสริญพระบารมีส่งเสด็จ นี่และจะเปนด้วยเหตุบ๋อยพระยาชลยุทธไปโจษขึ้นหรืออย่างไรก็หาทราบไม่ ออกจากตลาดแจวเข้าคลองเล็กไปจนถึงวัดประดู่ หยุดพักทำครัวเสวยเช้าที่วัดนั้น กองล้างชามเที่ยวตรวจไปได้ความแปลกปลาดที่วัดนี้ว่าเปนหมอน้ำมนต์ มีผู้คนที่เจ็บไข้ไปคอยรดน้ำมนต์รักษาตัวอยู่หลายคน ได้ความว่าเปนโรคผีเข้าบ้าง ถูกกระทำยำเยียบ้าง แลโรคอย่างอื่น ๆ บ้าง เมื่อเลี้ยงกันเสร็จแล้วจึงพร้อมกันไปดูรดน้ำมนต์ รดน้ำมนต์อย่างนี้ฉันก็พึ่งเคยเห็น คนพูดจากันอยู่ดี ๆ พอเข้าไปนั่งให้พระรดน้ำ ก็มีกิริยาอาการวิปลาศไปต่าง ๆ บางคนก็เฝ้าแต่ขากเสลดพ่นน้ำลายดังขากปู ๆ ไปจนพระหยุดรดน้ำมนต์จึงหยุดขาก กลับหันมาบอกเราว่า สบายเบาในอกโล่งทีเดียว ยายแก่คน ๑ ตาบอดลูกสาวพามาให้พระรดน้ำมนต์ พอรดเข้าก็ร้องครวญคราง แลวิงวอนว่ากลัวแล้ว จะไปแล้ว เท่านั้นเถิด อย่างนี้จนพระหยุด ถามพวกคนไข้ได้ความว่า ยายคนนี้เดิมมีผู้มาขอลูกสาวแกไม่ให้ เขาโกรธกระทำให้ผีสิงจนไม่เปนสติอารมณ์ ต้องมารักษาตัวที่วัดประดู่ พอได้สติค่อยยังชั่วขึ้นสักหน่อย นี่และจะจริงเท็จเพียงใดก็ไม่ทราบ เล่าเท่าที่ตาเห็น แต่พวกเราที่ไปตามเสด็จไม่มีใครรับอาสาเข้าไปให้พระรดน้ำมนต์ถวายตัวจึงไม่มีพยานที่จะยืนยัน ถ้าหากว่าพวกเราเข้าไปขากปูลงสักคนก็เห็นจะน่าเชื่อขึ้นมาก ออกจากวัดประดู่ล่องกลับออกมาได้ยินเสียงกลองลครชาตรีมีอยู่ในสวน รับสั่งให้แวะเรือพระที่นั่งเข้าไปจะใคร่ทรงทราบว่าเขามีงานการอะไรกัน ไปพบลครชาตรีมีอยู่ที่บ้านตาหมอสีเปนพลเรือนอย่างโบราณลงมาต้อนรับ เห็นตานี่จะนอนดูลครจนหลับ หน้าตายู่ยี่ตัวยังเปนรอยเสื่อ แต่แกต้อนรับแขงแรงพูดจาอย่างเก่า ว่ายังงั้นซีพะยังงี้ซีพะ ไม่ใช้ขอรับหรือจ๊ะจ๋า นาน ๆ ได้พบอย่างนี้น่าฟังดี ได้ความว่าลูกแกเจ็บได้บนบานไว้ ครั้นรักษาหายจึงได้มีลครชาตรีแก้สินบน ออกจากคลองวัดประดู่เย็นมากแล้ว เรือไฟลากล่องมาถึงแม่น้ำใหญ่จวนจะค่ำ หาที่ทำครัวเย็นก็ไม่ได้เหมาะ ล่องเรือลงมาเห็นบ้านแห่งหนึ่งสอาดสอ้านดี มีเรือนแพอยู่ริมน้ำ รับสั่งว่าที่นี่เห็นพอจะอาไศรยเขาทำครัวสักครั้งหนึ่งได้ ให้กรมหลวงดำรงรับน่าที่ขึ้นไปขออนุญาตต่อเจ้าของบ้าน กรมหลวงดำรงเสด็จขึ้นไต่ถาม ได้ความว่าเปนบ้านนายอำเภอ ๆ ไปจัดฟืนเรือไฟที่ตรงบ้านข้าม อยู่แต่ภรรยา หารู้จักกรมหลวงดำรงไม่ ขออนุญาตทำครัวที่เรือนแพได้ดังปราถนา พอขนของครัวขึ้นเรือนแพแล้ว กรมหลวงดำรงยังไม่ทันเสด็จลงมาจากบนเรือนใหญ่ นายอำเภอก็กลับมาถึง ไม่ทันเหลียวแลเห็นพระเจ้าอยู่หัวที่เรือนแพ มุ่งหน้าตรงขึ้นไปถวายคำนับเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยที่เรือนใหญ่ นายอำเภอเพ็ดทูลกรมหลวงดำรงอยู่ไม่ทันได้กี่คำ นายอัษฎาวุธก็คลานศอกนำหนังสือรับสั่งไปถวายกรมหลวงดำรงว่า ขอให้เขารู้จักแต่กรมหลวงดำรงพระองค์เดียวเถิด ฉันนั่งดูท่านายอัษฎาวุธคลานเข้าเฝ้ากรมหลวงดำรง ทำท่าทางสนิทราวกับเปนข้าไทย แต่กรมหลวงดำรงนั้นพออ่านหนังสือรับสั่งแล้ว ดูพระภักตร์สลด เห็นประทับนิ่งไม่รับสั่งว่ากระไร เปนแต่พยักพระภักตร์ให้นายอัษฎาวุธกลับลงมา อิกสักครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงรับสั่งกับนายอำเภอแลกำนันผู้ใหญ่บ้านถึงราชการงานเมืองอะไรต่ออะไรอึงอยู่บนเรือน พวกกองครัวก็ทำครัวกันอยู่ที่เรือนแพ ทำเสร็จแล้วแต่งเครื่องให้คุณหลวงนายศักดิ์เชิญขึ้นไปตั้งถวายกรมหลวงดำรงเสวยพร้อมกับเครื่องเคราที่เจ้าของบ้านเขาหาถวาย ครั้นเสร็จแล้วเมื่อจะลงเรือ กรมหลวงดำรงเสด็จกลับมาจะลงเรือ อำเภอกำนันผู้ใหญ่บ้านตามลงมาส่งเสด็จรุมมาตุ้ม พวกที่ไปตามเสด็จรับกระแสรับสั่งไว้ให้หมอบกรานรับเสด็จกรมหลวงดำรงอย่างเปนข้าในกรม ส่วนพระเจ้าอยู่หัวเสด็จหลบออกไปบังอยู่เสียหลังเก๋งท้ายเรือ พระราชทานพระราชอาศน์ไว้สำหรับกรมหลวงดำรงประทับ กรมหลวงดำรงเลยทรงไถลว่าเดือนหงายสบายดีจะยืนอยู่น่าเก๋ง รีบให้ออกเรือ แต่พอพ้นน่าบ้านก็รับสั่งบ่นใหญ่ ว่าเล่นอย่างนี้เต็มทีไม่สนุก แต่คนอื่นพากันหัวเราะกรมหลวงดำรงทั่วทั้งลำ เวลาสักยามหนึ่งจึงมาถึงที่ประทับเมืองสมุทสงคราม

วันที่ ๒๒ กรกฎาคม เวลาเช้าเสด็จไปทอดพระเนตรวัดพวงมาไลย แล้วเสด็จขึ้นไปประพาศตลาดคลองอัมพวา เสด็จเปนอย่างประพาศต้นเหมือนเมื่อเสด็จวัดประดู่ แต่วันนี้เกิดเหตุขัดข้องประพาศไม่ได้สดวก ด้วยในเมืองสมุทสงครามนี้เขามีข้อบังคับกวดขัน ถ้าเรือหรือผู้คนแปลกปลาดมาในท้องที่ ราษฎรบอกกำนันผู้ใหญ่บ้าน ๆ ต้องรีบลงเรือไปทักถามเปนธรรมเนียมบ้านเมืองอยู่ดังนี้ วันนี้ไม่ได้บอกให้ใครทราบว่าจะเสด็จอัมพวา เขาคงจะทราบแต่ว่ามีเรือแลคนแปลกปลาดมาก็ทำการตามน่าที่ จนเรารำคาญแจวกระดิกไปข้างไหนก็พบแต่เรือกำนันผู้ใหญ่บ้านออกมาถามว่าเรือใครไปไหน หลบลำนี้ไปเจอลำโน้นเหมือนกับจะถูกล้อมจับ ใช่แต่เท่านั้น เจ้านายที่ไปตามเสด็จ ๒ พระองค์กับขุนสวรรค์วินิตมีญาติวงษ์พงศาแลพวกพ้องอยู่ในแถวอัมพวานี้มาก ท่านพวกเหล่านี้พอเหลือบแลเห็นก็พากันชื่นชมยินดีเรียกร้องกันติดตามมารุมมาตุ้ม ยิ่งหนีก็ยิ่งตาม ลงที่สุดพระเจ้าอยู่หัวต้องเสด็จลงเรือต้นแยกไปประพาศแต่ลำเดียว ปล่อยเรือพระที่นั่งมาดไว้ให้กำนันผู้ใหญ่บ้านแลชาวอัมพวาติดตอมให้พอใจ ฉันถูกอยู่กับเรือมาด นั่งนึกขันในใจที่พวกชาวบางช้างพากันยิ้มแย้มแจ่มใสติดตามมาเฝ้าเจ้านายที่เปนญาติ แลหมายจะพบปะขุนสวรรค์วินิต ไม่มีใครในพวกนั้นจะคิดเห็นเลยว่ามาทำความรำคาญแก่ท่านทั้ง ๒ นั้นสักเพียงใด เขามาดี ๆ จะโกรธขึ้งก็ยาก ขุนสวรรค์จึงออกปัญญาว่า ยายหนูแก่แล้วแดดร้อนเอากลับไปบ้านเสียเถิด ยายหนูกลับไปประเดี๋ยวเรือลำนั้นกลับมาอิก ยายหมับแกไม่แก่เหมือนยายหนู แลแกไม่กลัวแดดจะทำอย่างไร ช่วยกันคิดอ่านไล่พวกอัมพวาอยู่จนกระทั่งเสด็จกลับจากประพาศคลองอัมพวาแล้วจึงได้ออกเรือเลยไปพักเสวยเช้าที่วัดดาวดึงษ์ เสร็จแล้วแจวต่อไปบางน้อยประพาศที่บ้านกำนันจัน แล้วกลับทางคลองแม่กลอง มาถึงที่ประทับเวลา ๒ ทุ่ม

วันที่ ๒๓ กรกฎาคม เวลาเช้าเสด็จทอดพระเนตรที่ว่าการเมือง แล้วเสด็จวัดอัมพวัน กลับมาถึงที่ประทับเวลาค่ำ พรุ่งนี้กำหนดจะเสด็จเมืองเพ็ชรบุรีในกระบวนใหญ่ เพราะจะต้องข้ามอ่าวทเลจากปากน้ำแม่กลองไปเข้าบางตบูน แต่น้ำมากเรือกระบวนจะออกอ่าวได้ต่อเวลาเที่ยง ได้ทราบว่าตอนเช้าจะเสด็จไปทอดพระเนตรจับปลาที่ละมุก่อน แล้วจึงจะเสด็จมาขึ้นเรือพระที่นั่งที่เมืองสมุทสงคราม

แต่เดิมฉันตั้งใจว่าจะไปเขียนจดหมายต่อเมื่อเสด็จไปถึงเมืองเพ็ชรบุรี แต่เมื่อมาถึงเมืองสมุทสงครามได้ข่าวว่ามีเรือเมล์เดินถึงกรุงเทพฯ ประจวบเรือเมล์จะออกพรุ่งนี้เช้า จึงได้จดหมายฉบับนี้ส่งมา

นายทรงอานุภาพ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ