จดหมายฉบับที่ ๓

เมืองราชบุรี

วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๒๓

ถึง พ่อประดิษฐ

วันนี้ฉันเหนื่อยเหลือทน ไม่ได้คิดว่าจะเขียนจดหมายฉบับนี้ ตั้งใจว่าจะนอน แต่เหตุใดไม่ทราบนอนไม่หลับ มาคิดขี้นได้ว่าพรุ่งนี้จะตามเสด็จลงไปเมืองสมุทสงคราม อยู่ห่างทางรถไฟ จะส่งจดหมายมาถึงพ่อประดิษฐยาก จึงลุกขึ้นนั่งเขียนจดหมายฉบับนี้ ในเวลาเห็นจะราวสักสองยาม ถ้าเขียนวิปลาศคลาศเคลื่อนอย่างใดบ้าง ขออไภยโทษเถิดอย่าถือเลย

ในจดหมายฉบับก่อนได้บอกข่าวตามเสด็จมาถึงวัดโชติทายการาม ครั้นณวันที่ ๑๗ เวลาเช้า กระบวนเสด็จออกจากที่ประทับแรมมาถึงเมืองราชบุรีราวเวลาเที่ยง จอดเรือพระที่นั่งประทับที่น่าบ้านเทศา พอจอดเรือแพกันเรียบร้อย ฉันไปฟังราชการที่พลับพลาได้ข่าวว่า รับสั่งให้เตรียมรถไฟพิเศษ จะเสด็จไหนในบ่ายวันนั้นไม่ทราบ เปนแต่ได้รับคำสั่งว่าให้ฉันไปตามเสด็จด้วย จนกระทั่งออกรถไฟแล่นลงไปข้างใต้ จึงเข้าใจว่าเห็นจะเสด็จเมืองเพ็ชรบุรี นั่งไปสักครู่หนึ่งก็ได้ทราบความสมจริงดังคาดว่าจะเสด็จเมืองเพ็ชรบุรี ในว่าจะจู่ไปไม่ให้ผู้ใดทราบ ด้วยมีพระราชประสงค์จะใคร่ทอดพระเนตรบ้านเมืองในเวลาเปนปรกติ ไม่ได้จัดการตระเตรียมอย่างหนึ่งอย่างใดไว้รับเสด็จ แต่อย่างไรเมื่อรถไฟไปถึงสะเตชั่นบ้านปากธ่อหยุดหลีกรถเมืองเพ็ชร พบเจ้าพระยาสุรพันธ์ยืนยิ้มคอยรับเสด็จอยู่ที่สะเตชั่น ดูเปนที่ปลาดใจกันมาก ด้วยการที่จะเสด็จก็สั่งกันเปนปัจจุบันทันด่วน แลได้กำชับเจ้าพนักงานรถไฟมิให้บอกไปเมืองเพ็ชรว่าจะเสด็จ เหตุใดความนี้จึงรู้ไปถึงเจ้าพระยาสุรพันธ์ถึงล่วงน่ามารับเสด็จอยู่ได้เปนครึ่งทาง ใคร ๆ ซักไซ้ไต่ถามเจ้าพระยาสุรพันธ์ ว่าทำไมจึงได้รู้ว่าจะเสด็จ ท่านก็ยิ้มเยาะ บอกแต่ว่าคอยสืบอยู่จึงได้ทราบ ทำให้เกิดฉงนสนเท่ห์แปลกันไปต่าง ๆ จนท่านผู้ที่เปนต้นรับสั่งเรื่องเสด็จวันนี้จะออกตกใจ เกรงความผิดว่าไม่ปิดข่าวเสด็จได้มิดชิดตามพระราชประสงค์ ต่อมีรับสั่งซักไซ้จึงได้ความจากเจ้าพระยาสุรพันธ์กราบทูลว่าบ่าวมาอยู่ที่สะเตชั่นรถไฟ ได้ทราบจากนายสะเตชั่น ว่าได้รับโทรเลขสั่งไปจากเมืองราชบุรี ว่าจะมีรถไฟพิเศษไปเมืองเพ็ชรบุรีในบ่ายวันนั้น บ่าววิ่งไปบอกเจ้าพระยาสุรพันธ์ ๆ นึกว่ารถไฟพิเศษนี้บางทีจะเกี่ยวด้วยการเสด็จสักอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงรีบขึ้นรถบ่ายมาจากเมืองเพ็ชร คาดว่าถ้าไม่พบเสด็จในรถไฟพิเศษ ก็จะเลยมาเฝ้าฟังราชการที่เมืองราชบุรี มิได้สั่งให้ตระเตรียมการรับเสด็จไว้อย่างหนึ่งอย่างใดในเมืองเพ็ชร ได้ความดังนี้ ดูสมกับกิริยาเจ้าพระยาสุรพันธ์เมื่อได้ทราบว่าจะเสด็จเมืองเพ็ชรจริง ๆ ดูท่านตกใจวุ่นวาย จะไปโทรเลขสั่งโน่นสั่งนี่จนต้องคุมตัว แลต้องสั่งเจ้าพนักงานมิให้รับโทรเลขของเจ้าพระยาสุรพันธ์ไปส่ง แลมิให้บอกข่าวเสด็จล่วงน่าไปเมืองเพ็ชรบุรีเปนอันขาด เมื่อไปถึงเมืองเพ็ชรบุรีสังเกตดูก็เห็นได้ว่า ไม่มีใครรู้ว่าจะเสด็จจริง ผู้คนเปนปรกติตามธรรมเนียมเมือง ต่อทรงพระดำเนินไปตามถนนเปนนาน เจ้าเมืองกรมการจึงวิ่งกระหืดกระหอบมาทีละคนสองคน ใส่เสื้อมากลางทางบ้าง สรวมถุงเท้าทันบ้าง มาแต่ด้วยสะลิบเปอร์บ้าง วิ่งกันไขว่ไปทั้งเมืองดูก็สนุกดี ประทับเสวยที่เมืองเพ็ชรแล้ว เสด็จรถไฟพิเศษกลับมาแรมเมืองราชบุรี

วันที่ ๑๘ กรกฎาคม วันนี้ประจวบเปนวันกำหนดบวชนาคบุตรพระแสนท้องฟ้า เวลาเช้าเสด็จประพาศตลาดแล้วเลยเสด็จไปทอดพระเนตรแห่บวชนาคที่วัดสัตนารถ การแห่นี้ก็แห่อย่างนาคราษฎร มีกลองยาวเถิดเทิงตามแบบที่เคยเห็นกัน ถ้าจะว่าก็ไม่น่าสนุก แต่บังเอินในเวลาเถิดเทิงตีอยู่ในลานวัด มีอ้ายบ้าคน ๑ ซึ่งพระเลี้ยงไว้ในใต้ถุนกฏิออกสนุกขึ้นมาอย่างไร กรากออกมาช่วยรำใครจะห้ามก็ไม่ฟัง เจ้าพนักงานจะไปไล่ ก็มีรับสั่งว่าช่างมันเถิด อ้ายบ้ารำไปรำมาประเดี๋ยวแลบลิ้นหลอกแล้วก็เดินออกไปเสียจากวัด ใครจะไปเรียกให้มารำอิกก็ไม่รำ

เวลาบ่ายวันนี้ทรงเรือมาด ๔ แจว เรือไฟเล็กลากล่องน้ำไปประพาศในแม่น้ำอ้อม เรือลำเดียวอยู่ข้างจะยัดเยียด จึงมีพระราชประสงค์จะหาซื้อเรือ ๔ แจวสำหรับตามเรือมาดพระที่นั่งสักลำหนึ่ง ช่วยกันเสาะหาไปตามทางไปเห็นที่บ้านแห่ง ๑ จึงแวะเข้าไปถามซื้อ ได้ความว่าเปนเรือของกำนันเหม็น แต่เปนเรือชำรุดหาได้ซื้อไม่ ที่เรียกว่ากำนันเหม็นนั้น ที่จริงแกจะชื่อไรก็ไม่ทราบ แต่บ้านเรือนของแกเหม็นเต็มที จึงสมมตกันว่าแกควรจะชื่อเหม็น ข้อนี้ฉันเห็นเปนคติควรระวังอย่าให้บ้านเรือนสกปรก ถ้าเสด็จประพาศไปแวะพบ จะได้รับสมมตชื่อว่าหลวงเหม็นพระเหม็นอะไรก็จะเปนได้ ไปจนถึงวัดเพลงจึงซื้อเรือมาดประทุน ๔ แจวได้ลำ ๑ พระราชทานชื่อว่าเรือต้น ได้ยินรับสั่งถามให้แปลกันว่าเรือต้นแปลว่ากระไร บางท่านแปลว่าเรือเครื่องต้น บางท่านแปลว่าเรือทรง อย่างในเห่เรือว่า “ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย” ดังนี้ แต่บางท่านก็แปลเอาตื้น ๆ ว่าหลวงนายศักดิ์เปนคนคุมเครื่องมหาดเล็กตามเสด็จ หลวงนายศักดิ์ชื่ออ้น รับสั่งเรียกว่า ตาอ้น ตาอ้น เสมอ คำว่าเรือต้นนี้ก็จะแปลว่าเรือตาอ้นนั้นเอง แปลชื่อเรือต้นกันเปนหลายอย่างดังนี้ อย่างไรจะถูกฉันก็ไม่ทราบแน่ แต่วันนี้กว่าจะเสด็จกลับมาถึงเมืองราชบุรีเกือบยาม ๑ ด้วยต้องทวนน้ำเชี่ยวมาก เหนื่อยบอบมาตามกัน เริ่มเรียกการประพาศวันนี้ว่าประพาศต้น เลยเปนมูลเหตุที่เรียกการประพาศไปรเวตในวันหลัง ๆ ว่าประพาศต้นต่อมา

วันที่ ๑๙ เสด็จเรือมาดแจวประพาศทุ่งทางฝั่งตวันออก ฉันไปตามเสด็จไม่ทัน ต่อเวลาค่ำจึงไปที่พลับพลา ได้ยินโจษกันเปนปัณหาขึ้นอย่าง ๑ ว่า ในเมืองไทยทุกวันนี้ก็มีรถไฟไปมาได้รวดเร็ว ถ้าจะไปเที่ยวกันในทางรถไฟสักวันหนึ่งสองวันไม่มีอะไรไปเลย มีแต่เงินติดกระเป๋าไป อย่างผู้ดี ๆ เช่นนี้ จะไปเที่ยวได้หรือไม่ บางคนว่าไปได้ บางคนมีนายวงษ์ตวันเปนต้น ซึ่งเคยไปอยู่เมืองนอกเมืองนาเห็นว่าจะไปไม่ได้ ขัดข้องด้วยไม่มีโฮเต็ลที่พักเปนต้น ความทั้งนี้ทราบถึงพระกรรณ จึงตกลงว่าควรจะทดลองดูให้เห็นจริงในเที่ยวนี้ พรุ่งนี้จะเสด็จที่แห่งใดแห่งหนึ่งด้วยรถไฟแล้วและกลับทางเรือจนถึงพลับพลาแรม ไม่มีอันใดไปนอกจากเงิน ลองดูสักทีจะมีติดขัดอย่างใดบ้าง ฉันได้รับคำสั่งให้ไปตามเสด็จด้วย มานึกดูก็ชอบกล ถ้าเปนคนเลวจะขัดข้องอันใดมี เที่ยวซื้อเข้าแกงตามตลาดหรือเที่ยวขอเขากินก็จะได้ ส่วนที่อยู่ที่พักจะไปเที่ยวอาไศรยบ้านเรือนเขา หรือแม้ที่สุดจะไปอาไศรยนอนตามวัด ก็ไม่เห็นจะขัดข้องเขาเที่ยวกันเช่นนั้นถมไป แต่นี่ท่านเปนเจ้าเปนนายเปนผู้ลากมากดี ซึ่งรังเกียจกับเข้าของกินที่เขาวางแรขายไว้ตามตลาด แลรังเกียจความโสโครก จะไปหาที่พักอาไศรยให้สมควรดูก็เปนการยากที่จะหาได้ แต่อย่างไรคงจะได้เห็นกันในพรุ่งนี้

วันที่ ๒๐ กรกฎาคม เสด็จอาไศรยรถไฟบ่ายที่จะไปกรุงเทพฯ ที่ใช้คำว่าเสด็จอาไศรยในที่นี้ เพราะเสด็จรถไฟชั้นที่ ๓ ประทับปะปนไปกับราษฎร ไม่ให้ใครรู้ว่าใครเปนใคร เพื่อจะใคร่ทรงทราบว่าราษฎรอาไศรยไปมากันอย่างไร เจ้าพนักงานรถไฟก็เหลือดี มีอัธยาไศรยรู้พระราชประสงค์ ที่จริงแกรู้แต่แกล้งทำเฉย มาเรียกติเก็ตตรวจพวกเราเหมือนกับราษฎรทั้งปวง ทำไม่ให้ผิดกันอย่างไร ต่อผู้ใดสังเกตจริง ๆ จึงจะพอเห็นได้ว่าหน้าแกออกจะซีด ๆ แลเมื่อไปเรียกติเก็ตพระเจ้าอยู่หัวมือไม้แกสั่นผิดปรกติ

เรื่องทดลองเดินทางด้วยไม่มีอะไรนอกจากเงินตามที่ได้ปฤกษากันเมื่อคืนนี้นั้น เปนตกลงว่าจะเสด็จรถไฟไปลงที่โพธาราม หาเสวยเย็นที่นั้นแล้วจะหาเรือล่องกลับลงมาเมืองราชบุรี ได้แบ่งน่าที่ผู้ที่ไปเปนพนักงานพาหนะพวก ๑ พนักงานครัวพวก ๑ ต่างมีน่าที่ ๆ จะต้องจัดทำการที่เกี่ยวด้วยแพนกนั้น ๆ ให้ตลอดไป

รถไฟไปวันนี้ไม่สดวกด้วยน้ำพัดสพานที่บ้านกล้วยเซไป รถไฟข้ามไม่ได้ ต้องไปหยุดรถให้คนโดยสานลงเดินไต่ทางไปขึ้นรถพ่วงใหม่ฟากสพานข้างโน้น ฝนก็ตกออกจะลำบากบ้างเล็กน้อย แต่ก็มีประโยชน์อยู่บ้าง ที่เปนเหตุให้เจ้าพนักงานกองเสบียงได้เห็นปลาทูสดเจ๊กเอามาแต่เมืองเพ็ชรบุรีกระจาดหนึ่ง จะเอาไปขายที่ไหนไม่ทราบ ว่าซื้อตกลงได้ปลาทูสดนั้นมาเปนเสบียงสำหรับเวลาเย็น เปนที่อุ่นใจว่าอาหารเย็นวันนี้จะไม่ฝืดเคือง ครั้นไปถึงโพธารามต่างกองต่างแยกกันเที่ยวทำการตามน่าที่ ๆ กะไว้ พวกกองพาหนะก็เที่ยวหาเช่าเรือ แลหาที่อาไศรยชุมนุมเลี้ยงกันเวลาเย็น พวกกองครัวก็เที่ยวซื้อหาอาหารเครื่องภาชนะใช้สอยต่าง ๆ คือ หม้อเข้าแลถ้วยชามรามไหมเปนต้นได้พร้อมแล้ว ก็หุงเข้าต้มแกงตามลำพังฝีมือพวกที่ไปตามเสด็จ สำเร็จได้เลี้ยงกันพอเวลาพลบค่ำ ที่คาดหมายไปว่าจะได้กินสนุกยิ่งกว่าอร่อยเปนการคาดผิดทั้งสิ้น อาหารวันนี้อร่อยเหลือเกิน ดูเหมือนจะกินอิ่มจนเกือบเดินไม่ไหวแทบทุกคน

เวลาสัก ๒ ทุ่มออกเรือที่เช่าเขา ๓ ลำล่องลงมาจากโพธาราม เรือเหล่านี้เปนเรือปะทุน ๒ แจวที่เขาบรรทุกของสวนขึ้นไปขายเสร็จแล้ว จ้างเจ้าของเขาแจวลงมาส่ง

ได้บอกมาข้างต้นว่าการเสด็จวันนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครรู้ว่าใครเปนใคร แต่มาเกิดกลแตกขึ้นเมื่อขาล่องเรือลงมา ในประทุนเรือลำพระที่นั่ง เจ้าของเขามีพระบรมรูปเข้ากรอบติดไว้ที่เครื่องบูชา ไปรับสั่งถามยายเมียเจ้าของเรือว่ารูปใคร ยายนั่นกราบทูลว่า พระรูปเจ้าชีวิตร รับสั่งถามต่อไปว่า แกได้เคยเห็นเจ้าชีวิตรฤๅไม่ แกกราบทูลว่าได้เคยเห็น ๓ หน รับสั่งถามว่าได้เห็นที่ไหนบ้าง แกกราบทูลว่า “ได้เห็นในบางกอก ๒ หน กับมาเห็นวันนี้อิกหน ๑” ล่องมาถึงเมืองราชบุรีเวลา ๔ ทุ่ม เขียนมาถึงนี่ออกหาวนอนเต็มที ขอยุติเรื่องราวตอนนี้แต่เพียงนี้

นายทรงอานุภาพ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ