๑๕

อยู่มาวันหนึ่ง พ่อลาวแก่นท้าวจึงทูลถามตะละแม่ท้าวพระชนนีว่า เปนไฉนข้าพเจ้าจึงไม่เห็นพระมารดาขึ้นเฝ้าสมเด็จพระราชบิดาโดยราชประเพณีนั้นด้วยเหตุใด ตะละแม่ท้าวได้ฟังพ่อลาวแก่นท้าวถามดังนั้นก็แค้นพระทัยขึ้นมา ทรงพระกรรแสงแล้วตรัสรำพันบอกความ ซึ่งได้ทุกข์ยากแก่พระราชบิดามาแต่หนหลัง แลขัดเคืองกันกับพระราชบิดาด้วยเรื่องเม้ยมะนิก ซึ่งตั้งเปนอัครมเหษีนั้นทุกประการ จึงตรัสว่าลูกเอ๋ยทุกวันนี้แม่เจ็บใจนัก คิดจะกลั้นใจตายเสียวันละร้อยหน อยู่ไปก็ได้ความอัปยสแก่คนทั้งปวง พ่อลาวแก่นท้าวได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงกรรแสงร่ำรักพระมารดา ถ้อยทีถ้อยปรับทุกข์กันทั้งสองพระองค์

อยู่มาวันหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชเสด็จเข้าที่เสวย เม้ยมะนิกผู้เปนอัครมเหษีก็เฝ้าอยู่ในที่นั้น พ่อลาวแก่นท้าวเสด็จขึ้นไปเฝ้ากราบถวายบังคมสมเด็จพระราชบิดา พอเหลือบไปเห็นเม้ยมะนิกเฝ้าอยู่ก็ขัดแค้นพระทัยทรงพระดำริห์ว่า พระราชบิดารักกายิ่งกว่าหงษ์ เอากามาตั้งให้ใหญ่กว่าหงษ์ฉะนี้ หาควรที่จะถวายบังคมไม่ เหตุด้วยมีนิ้วมืออยู่จึงต้องไหว้ พ่อลาวแก่นท้าวทรงพระโกรธนัก จึงกัดนิ้วพระหัตถ์เสีย ครั้นพระราชบิดาเพ่งพระเนตรดูก็กัดเสียอีกนิ้วหนึ่งแล้วถ่มเสีย สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชทอดพระเนดรเห็นดังนั้น ก็ตกตลึงพระทัยไปแล้วทรงพระดำริห์ว่า บุตรเรามากัดนิ้วของตัวเสียดังนี้ เพื่อจะประสงค์สิ่งใด ชรอยมันคิดว่า จะมิไหว้กูแล้วจึงทำองอาจดังนี้ได้ เมื่อมันเปนลูกจะมิไหว้พ่อฉนี้จะเลี้ยงไว้มิได้ นานไปจะคิดประทุษฐร้ายต่อกู มีพระดำริห์ดังนี้ แล้วก็ทรงพระโกรธ สิ้นอาลัยในพ่อลาวแก่นท้าว จึงตรัสตวาดว่า อ้ายลูกใจแข็งมึงคิดไม่ไหว้พ่อจะคอยฆ่ากูหรือ จึงทำบังอาจกัดนิ้วเสียฉนี้ เมื่อมึงคิดจะมิไหว้กูกลัวจะเสียเกียรติยศมือแล้ว ก็จงตายไปเสียอย่าอยู่เปนพ่อลูกกัน จึงให้หาสมิงอายกองบินผู้ฆ่านักโทษเข้ามา ตรัสสั่งให้จับพ่อลาวแก่นท้าวไปฆ่าเสีย นางเม้ยมะนิกอัครมเหษีรู้พระอัชฌาสัยว่า ทรงพระโกรธมากถึงทูลขอก็มิให้ แต่จะทำทูลขอให้เปนที คนทั้งปวงจะได้เห็นว่าเราใจดี รักลูกเลี้ยงอยู่มิได้ริษยาชิงชัง จึงทูลว่าซึ่งพระราชโอรสของพระองค์กระทำผิดเพียงนั้น เพราะยังทรงพระเยาว์อยู่ พระทัยจึงร้ายแรงฉุนเฉียวหาทราบผิดชอบไม่ ข้าพเจ้าขอพระราชทานโทสไว้ก่อน อนึ่งถ้าพระมารดาได้แจ้งว่า พระองค์ให้ประหารชีวิตพระโอรสเสียแล้ว ก็จะตรอมพระทัยสิ้นพระชนม์ด้วยเปนแท้

สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ทรงฟังเม้ยมะนิก ออกพระนามตะละแม่ท้าวก็ยิ่งทรงพระโกรธ จึงตรัสว่าจะเลี้ยงมันไว้ใย อ้ายลูกใจร้ายเช่นนี้ แต่นิ้วมือของมันยังไม่รักมันจะรักเราหรือ นานไปมันจะคิดฆ่าพ่อฆ่าแม่เลี้ยง ต้องล้างเสียเอาไว้มิได้ เมื่อแม่มันจะตายตามกันไปก็ดีอีก อยู่หนักแผ่นดินของกู ๆ นึกชังแม่มันตั้งแต่ทำการภิเศกมาสักเก้าปีแล้ว ยังไม่หายโกรธเลย ทำให้อายแก่เสนาพฤฒามาตย์ทั้งปวง หญิงแสนงอนอะไรเช่นนี้ ถือตัวไว้ยศจนเกินงาม เห็นผัวรักแล้วดัดจริตหึงส์ไปร้อยอย่าง เราสิ้นรักแล้วทั้งแม่ลูกๆ คนหนึ่งไม่เสียดายหาเอาใหม่ จึงตรัสสั่งให้สมิงอายกองปินคุมเอาตัวไปล้างเสียโดยเร็ว สมิงอายกองปินก็กลัวพระราชอาญายิ่งนัก ไม่เห็นใครจะทูลขอได้แล้ว ก็เข้ามาคุมเอาตัวพ่อลาวแก่นท้าวไป แล้วสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชเฉลียวพระทัยตรัสว่า หน่อยแม่มันรู้จะวิ่งแบกหน้าขึ้นมาร้องไห้อ้อนวอนเราจะรำคาญเสียมิได้ จึงตรัสว่าถ้าใครเอาความลงไปบอกตะละแม่ท้าวก็จะตัดศีร์ษะเสียสิ้นทั้งโคตร จึงตรัสกำชับหญิงผู้รักษาประตูทั้งสามชั้นว่า อย่าให้ตะละแม่ท้าวขึ้นมา ถ้าปล่อยให้ขึ้นมาได้กูจะฆ่าเสียให้สิ้น ตรัสแล้ว ก็เสด็จขึ้น

ขณะเมื่อสมิงอายกองปินคุมพ่อลาวแก่นท้าวไปนั้น พ่อลาวแก่นท้าวมิได้ย่อท้อทรงพระกรรแสง บ่ายพระพักตร์มาตรงทิศตำหนักพระมารดา ยกพระหัตถ์ถวายบังคมแล้ว จึงตรัสแก่สมิงอายกองปินว่า บัดนี้ตัวเราจะถึงแก่ความตายแล้ว ท่านจงเอ็นดูพาเราไปนมัสการพระมุเตาเสียก่อน แล้วจึงฆ่าเราตามรับสั่งเถิด สมิงอายกองปินก็พาพ่อลาวแก่นท้าวไปนมัสการพระมุเตา ครั้นถึงพระมุเตาแล้ว พ่อลาวแก่นท้าวจึงถอดพระมหามาลาซึ่งทรงไปนั้น ออกบูชาถวายพระมุเตา ตั้งความอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าจะเปนขบถคิดประทุษฐร้ายต่อสมเด็จพระราชบิดาหามิได้ บัดนี้พระราชบิดาให้ประหารชีวิตข้าพเจ้าผู้หาความผิดมิได้เสีย เดชะผลอานิสงส์ที่ ข้าพเจ้าได้เอาพระมหามาลาออกกระทำพุทธบูชา ถ้าข้าพเจ้าตายแล้วขอให้ได้ไปเกิดในครรภ์พระอัครมเหษีสมเด็จพระเจ้ามณเฑียรทอง ณกรงุรัตนบุระอังวะเถิด ถ้าอายุข้าพเจ้าได้ยี่สิบสองปีแล้ว ขอให้ได้ทำสงครามด้วยพระราชบิดาองค์นี้จงได้ แลเมื่อข้าพเจ้าไปถือปฏิสนธิในครรภ์พระมารดานั้น ขอให้พระราชมารดาอยากเสวยดินในกลางใจเมืองหงษาวดีนี้ ให้ได้สมความปรารถนาทุกประการ สมิงอายกองปินได้ยินดังนั้น ก็กำหนดจำถ้อยคำไว้แล้วก็พาพ่อลาวแก่นท้าวไปประหารชีวิตเสีย ตามประเพณีลูกหลวง จึงกลับเข้ามากราบทูลตามถ้อยคำพ่อลาวแก่นท้าวตั้งปณิธานปรารถนานั้นทุกประการ

สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้แจ้งดังนั้น ก็ทรงพระดำริห์ว่ามันเปนลูกทำความผิดแล้วเราให้เอาไปล้างเสีย กลับมีความปรารถนาผูกเวรพยาบาทใหญ่หลวงฉนี้ ครั้นจะนิ่งอยู่ก็มิควร ถ้าสมความปรารถนาของมันจริง ไปภายหน้าเราจะได้ความคับแค้น พระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระมุเตา พร้อมด้วยเสวกามาตย์ข้าราชการน้อยใหญ่ทั้งปวง แลก็ถอดพระมหามาลาซึ่งทรงไปนั้นออกบูชาพระมุเตา ซ้อนขึ้นเบื้องบนพระมหามาลาพ่อลาวแก่นท้าว ทรงกระทำพระอธิษฐานว่า ราชบุตรข้าพเจ้าคิดประทุษฐร้ายจองเวรพยาบาทจะทำสงครามแก่ข้าพเจ้านั้น เดชะผลข้าพเจ้าได้บูชาพระมุเตาด้วยพระมหามาลานี้ ขอจงช่วยคุ้มกันรักษา ให้มันพ่ายแพ้อย่าสู้ข้าพเจ้าผู้เปนบิดาได้เลย ครั้นทรงพระอธิษฐานแล้ว ก็เสด็จกลับเข้าสู่พระราชวัง จึงให้จดหมายตั้งศักราชปีเดือนวันคืนทุ่มโมงเวลาไว้

ฝ่ายตะละแม่ท้าวครั้นได้ทราบว่า พระราชสามีทรงพระพิโรธพ่อลาวแก่นท้าว สั่งให้สมิงอายกองปินเอาไปล้างเสียแล้วก็ตกพระทัยทรงพระกรรแสงรักปิยบุตร จะขึ้นไปเฝ้าแลให้พระญาติวงศ์ช่วยทูลขอฺโทษก็มิทัน เข้าไปก็มิได้นายประตูห้ามปรามกวดขันนัก ก็กลับมาทรงพระกรรแสงรักพระโอรสจนสลบลงกับที่ นางสาวใช้แลพระญาติวงศ์ทั้งปวงเห็นก็ตกใจ จึงเอาน้ำหอมเข้าประพรมพระองค์ช่วยกันแก้ไขฟื้นขึ้น ตะละแม่ท้าวตั้งแต่ทรงพระโศกถึงพ่อลาวแก่นท้าวไม่เปนอันสรงเสวยทุกเวลา พระญาติวงศ์พระนมพี่เลี้ยงจะปลอบประการใด ก็มิได้คลายพระโศก จึงตรัสแก่ญาติวงศ์แลนางนมพี่เลี้ยงทั้งปวงว่า ข้าเกิดมาชาตินี้เปนคนวาสนาอาภัพ มีผัวหมายจะพึ่งผัว ๆ ก็ไม่โลมเลี้ยงรักใคร่ มีลูกผู้เดียวได้เห็นหน้ากันเมื่อยามยาก ลูกก็ตายไปจากอก ความเจ็บช้ำในข้าครั้งนี้ เปรียบประดุจภูเขามาทับทรวง ซึ่งจะครองชีวิตอยู่เปนคนนั้น ได้ความคับแค้นขัดขวางนัก ข้าจะลาท่านทั้งปวงตายไปก่อนแล้ว ซึ่งแม่นมพี่เลี้ยงได้อุปถัมภ์ข้ามาหวังจะได้พึ่งบุญก็หาได้พึ่งสมหมายไม่ อย่าน้อยใจเลยนึกว่าเลี้ยงเอากุศลเถิด ในชาตินี้มีผัวได้ความทุกข์ยาก ไปชาติหน้าข้าเข็ดหลาบไม่ขอมีอีกแล้ว จะอธิษฐานเสียเปนอันขาด แต่ลูกนั้นยังอยากมีอยู่ แม้นมิได้ลูกเกิดกับอก ก็จะขอลูกเขามาเลี้ยงเปนบุตรบุญธรรมพอได้ชมเชย ซึ่งพ่อลาวแก่นท้าวอธิษฐานขอไปเกิดเมืองพม่านั้น ข้าก็จะตายตามไปเกิดด้วย ถึงมิได้เปนแม่ลูกแล้ว แต่ขอให้ได้พบกันเถิด ตะละแม่ท้าวระลึกขึ้นมาถึงพ่อลาวแก่นท้าวแล้ว ก็ทรงพระกรรแสงรํ่ารักเปนอันมาก

ขณะนั้นนางอัครมเหษีพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องก็ทรงพระครรภ์ ให้บังเกิดความปรารถนาอยากเสวยดินกลางใจกรุงหงษาวดี จึงกราบทูลพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องว่า ข้าพเจ้าแพ้ครรภ์อยากจะกินดินกลางใจเมืองหงษาวดี ขอพระองค์ได้ทรงโปรดให้ทูตลงไปขอมาจงได้ พระเจ้ามณเฑียรทองได้ทรงฟังดังนั้น ก็ให้แต่งพระราชสาส์นแลจัดเครื่องราชบรรณาการพอสมควร ให้มังตุเรจองเปนทูตจำทูลพระราชสาส์นนำมาถวายสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช มังตุเรจองก็กราบถวายบังคมลาขึ้นม้ามากับบ่าวไพร่ ครั้นถึงจึงเข้าไปแจ้งความแก่เสนาบดี ๆ ก็ขึ้นกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช ๆ มีรับสั่งให้เบิกทูตนำเข้ามาเฝ้า มังตุเรจองก็เข้ามากราบถวายบังคมหน้าพระที่นั่ง ถวายพระราชสาส์นแลเครื่องราชบรรณาการ

สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชจึงสั่งให้อาลักษณ์อ่าน ในพระราชสาส์นนั้นว่า พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องขอเจริญทางพระราชไมตรีมาถึงสมเด็จพระเชษฐาธิราชผู้ผ่านกรุงหงษาวดี ด้วยเราทั้งสองได้กระทำสัตยานุสัตย์ไว้ต่อกันว่า ไม้ต้นหนึ่ง หญ้าเส้นหนึ่ง ก็มิได้ให้ล่วงเก็บของกัน บัดนี้เราจะต้องการดินกลางใจกรุงหงษาวดีเปนโอสถ จึงแต่งให้มังตุเรจองเปนทูตมาทูลขอพระเชษฐาธิราชเจ้าโดยทางพระราชไมตรี มิให้เสียสัตยานุสัตย์ ซึ่งเราได้กระทำกันไว้แต่ก่อน

ครั้นสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้แจ้งในพระราชสาส์นนั้นแล้ว ก็ทรงทราบว่า พ่อลาวแก่นท้าวไปเกิดในครรภ์พระอัครมเหษีพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ด้วยต้องคำอธิษฐานซึ่งให้จดหมายไว้นั้นสมจริงมิได้ผิด ทรงพระดำริห์ว่า อ้ายลูกคนนี้นานไปมันจะทำความเดือดร้อนให้ผู้ใหญ่โกรธกันเปนมั่นคง ซึ่งมันตั้งปรารถนาด้วยความแค้นว่า เมื่อแม่ทรงครรภ์ให้อยากกินดินกลางใจเมืองมอญ มันคิดตามกำลังพาลหวังจะข่มอำนาจเราให้ตกต่ำ ตัวมันจะได้มีสง่าเดชานุภาพ อันจะให้ดินกลางใจเมืองไปนั้นหาควรไม่ เพื่อจะเปนจริงตามความปรารถนาของมัน จึงตรัสสั่งให้ขุดดินในที่จัณฑคาระสถานเก่าเอามาอบปรุงให้หอมกลิ่นดีแล้ว ใส่ในผะอบทองประดับพลอยอันงาม แล้วให้แต่งพระราชสาส์นสนอง จัดเครื่องราชบรรณาการตอบแทนโดยควร มอบให้มังตุเรจองนำกลับไปถวายพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง มังตุเรจองก็ถวายบังคมลาขึ้นม้ารีบกลับไปด้วยบ่าวไพร่ ครั้นถึงกรุงอังวะก็นำพระราชสาส์นตอบ แลเครื่องราชบรรณาการผะอบทองใส่ดินเข้าถวายพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ๆ จึงสั่งให้อ่าน ในพระราชสาส์นนั้นว่า พระเจ้าราชาธิราชขอเจริญพระราชไมตรีตอบมาถึงพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องผู้ดำรงกรุงรัตนบุระอังวะ ซึ่งน้องเราต้องประสงค์ดินกลางใจเมืองหงษาวดีเปนโอสถนั้น เราก็จัดให้ทูตนำมาถวายโดยความจำนงค์ของน้องเรา จงเสวยสุขนฤโรคเจริญชนมายุ อยู่ครองสัตยานุสัตย์ยืดยืนเทอญ

พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้ทรงฟังพระราชสาส์นตอบแล้วก็ดีพระทัย จึงเอาผะอบทองใส่ดินนั้น พระราชทานแก่พระอัครมเหษี ๆ ก็มีพระทัยชื่นชม ได้เสวยดินกลางใจเมืองมอญสมความปรารถนาแล้วก็บันเทาพระโทหะฬาละ มีพระทัยยินดียิ่งนัก

ฝ่ายตะละแม่ท้าว ตั้งแต่ทรงพระโศกถึงพ่อลาวแก่นท้าวทุกเวลาราตรี แค้นพระทัยโทมนัสมิสิ้น จึงดำริห์ว่าเราจะอยู่เปนคนให้ลำบากใยตายเสียประเสริฐกว่า นางก็เสวยยาพิษ ๆ ก็กลุ้มขึ้นมาจับดวงพระหทัย ร้องขึ้นได้คำหนึ่งว่า ลูกเอ๋ยแม่จะตายตามไปด้วย พอขาดลมอัสวาตสิ้นพระชนม์

ฝ่ายหญิงทั้งปวงซึ่งอยู่ในตำหนักนั้น ครั้นรู้ว่าตะละแม่ท้าวฆ่าพระองค์เสีย ก็ตกใจร้องไห้รักเปนอันมาก บ้างก็ไปบอกแก่เจ้าพนักงานให้กราบทูลพระเจ้าราชาธิราช นางพนักงานก็นำความขึ้นกราบบังคมทูล ครั้นสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชแจ้งว่า ตะละแม่ท้าวเสวยยาพิษดับสูญเสียแล้ว ก็มิได้ทรงพระอาลัย ด้วยกฤติยาคุณมนต์ของเม้ยมะนิกเข้าครอบงำพระสันดานอยู่นานแล้ว ให้เหนื่อยหน่ายชิงชัยในตะละแม่ท้าว จึงตรัสสั่งให้เสนาบดีกระทำเมรุ ซึ่งจะปลงพระศพตามประเพณี สมควรแก่ศักดิ์พระราชบุตรหลวง เสนาบดีรับสั่งแล้วก็ออกมาเร่งให้จัดการกระทำเมรุแล้วเสร็จ สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชจึงให้จัดขบวนแห่ตามอย่างธรรมเนียม นำพระศพตะละแม่ท้าวไปสู่เมรุ ให้ระเบงการมโหรสพสมโภช มีพระธรรมเทศนาพระสงฆ์ราชาคณะถานานุกรมเปรียญ อันดับสัตตปกรณ์จุดดอกไม้เพลิงโปรยทานแก่ยาจกคนจน กระทำตามอย่างที่เคยถ้วนทุกสิ่งแล้ว แต่พระองค์มิได้เสด็จไปสู่เมรุ ตรัสสั่งให้ตกแต่งตามธรรมเนียม ครั้นถึงวันคำรบกำหนดซึ่งจะพระราชทานเพลิงนั้น จึงตรัสแก่นางปิยราชเทวีอัครมเหษีว่า ตะละแม่ท้าวนี้เรายังแค้นใจไม่หาย คิดจะไม่เผาผีแล้ว แต่เกรงพระวงศานุวงศ์ ขุนนางทั้งปวงจะนินทาได้ ยังตรองมิตกชั่งใจอยู่

นางปิยราชเทวีอัครมเหษีจึงทูลว่า ซึ่งพระองค์จะไม่เสด็จไปพระราชทานเพลิงนั้นมิชอบ พระวงศานุวงศ์จะติเตียนได้ อนึ่งคนทั้งปวงจะกล่าวโทษข้าพเจ้าว่า ทำเสน่ห์เวทมนต์ให้พระองค์หลงจนชิงชังตะละแม่ท้าวพระมเหษีเดิม แต่สิ้นพระชนม์แล้วยังมิเสด็จไปเยือนพระศพ ขอเชิญพระองค์เสด็จไปพระราชทานเพลิงเถิด ความนินทาจึงจะไม่มีแก่พระองค์แลข้าพเจ้า สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ทรงฟังก็เห็นด้วย พระนางปิยราชเทวีเพ็ททูลประการใดก็ย่อมเชื่อฟัง พระองค์จึงเสด็จไปสู่เมรุพร้อมด้วยพระวงศานุวงศ์ ขุนนางน้อยใหญ่ทั้งปวงพระราชทานเพลิงปลงพระศพตะละแม่ท้าวเสร็จแล้ว จึงให้เก็บพระอัฐิใส่ผอบทองประดับพลอยบรรจุไว้ในพระมุเตา แล้วให้มีการสมโภชอีกตามธรรมเนียม

ฝ่ายอัครมเหษีพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ครั้นทรงพระครรภ์ครบกำหนดแล้ว ก็ประสูตรพระราชโอรสมีพระรูปศิริงดงาม สมเด็จพระราชบิดามารดาพระญาติวงศาทั้งปวง ก็มีความโสมนัศชื่นชมนัก อยู่มาประมาณเดือนหนึ่ง พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องก็โปรดให้กระทำมงคลโสกันต์พระเกษเพลิงเฉลิมพระขวัญ ครั้นพระราชโอรสค่อยทรงพระเจริญขึ้น พระฉวีก็ผุดผ่องเปนนวลงาม พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องพิศดูพระรูปราชบุตรเห็นเหมือนสมเด็จพระอัยกาธิราช จึงให้พระนามว่ามังรายกะยอฉะวา แล้วให้ทำมงคลพระสมัญญาญัติ ขณะเมื่อมังรายกะยอฉะวายังทรงพระเยาว์เปนราชทารกอยู่นั้น ถ้าทรงพระกรรแสงเมื่อใด พระนมพี่เลี้ยงจะปลอบให้เสวยนมก็มิได้เสวย แลว่าจะเอาราชสมบัติบ้านเมืองแก้วแหวนใดๆ ถวายก็มิหยุด ต่อปลอบว่าจะเอากรุงหงษาวดีถวายจึงหยุด มังรายกะยอฉะวาชอบพระทัย หายทรงพระ กรรแสงลงทันที แย้มพระสรวลออกได้ตามภาษาทารก เปนอัศจรรย์ยิ่งนัก เพราะผลแห่งความปณิธานสำแดงเหตุปรากฎว่า สืบไปเบื้องหน้านั้น มังรายกะยอฉะวาจะได้ทำสงครามกับพระเจ้ากรุงหงษาวดี กิตติศัพท์ก็เลื่องลือไปแก่คนทั้งปวง พระพี่เลี้ยงนางนมจึงนำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องแลอัครมเหษี ๆ ก็มีพระทัยเสน่หาในพระราชโอรสยิ่งนัก ต่างพระองค์ผลัดกันชมเชย แล้วพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องโปรดให้กระทำมงคล เจาะพระกรรณ์ใส่กุณฑลเนาวรัตน์มงคล ขมวดมุ่นพระจุฬามณีแลราชมงคลการอื่นต่างๆ ให้มีเครื่องสมโภชเฉลิมพระขวัญทุกครั้ง ตามเยี่ยงอย่างกษัตริย์ในภุกามประเทศสืบมา

ครั้นมังรายกะยอฉะวาเจริญพระชนม์ใหญ่ขึ้น พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องก็ให้ เรียนศึกษาอักขระสมัย แลสรรพวิทยาในสำนักครูอาจารย์ที่ดีสำหรับบุตรกษัตริย์ทั้งปวง คนในเมืองก็เข้ามาสวามิภักดิ์อยู่ด้วยมังรายกะยอฉะวาเปนอันมาก ครั้งนั้นมอญกับพม่าไปมาค้าขายถึงกันเปนปกติได้ยี่สิบสองปี หาความพิโรธเบียดเบียฬแก่กันมิได้

ครั้นมังรายกะยอฉะวามีพระชนมายุได้ยี่สิบสองพรรษาแล้ว เมื่อจะก่อเกิดการสงคราม หัวเมืองปลายแดนฝ่ายมอญกับพม่าต่อกันนั้น เกิดวิวาทแย่งชิงกันด้วยตักนํ้ามันดิน มอญไล่ทุบตีฟันแทงพม่าเจ็บป่วยเปนอันมาก ข่าวแจ้งไปถึงมังรายกะยอฉะวา ๆ จึงตรัสถามพระพี่เลี้ยงว่า บ่อนํ้ามันดินนั้น เดิมขึ้นข้างไหนเปนประการได พระพี่เลี้ยงก็ทูลว่า เดิมน้ำมันดินขึ้นแก่กรุงอังวะก่อน ครั้งสมเด็จพระราชบิดาของพระองค์กระทำสัตย์ร่วมกันกับด้วยพระเจ้ากรุงหงษาวดี แบ่งปันเขตต์แดนต่อกันนั้น แล้วแบ่งบ่อนํ้ามันดินไปด้วยกึ่งหนึ่ง ฝ่ายมอญจึงขึ้นมาตั้งบ้านเมืองพรมแดนดักนํ้ามันดินจึงได้เกิดวิวาทกันฉะนี้

มังรายกะยอฉะวาแจ้งดังนั้นก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสว่าเดิมเปนของพระราชบิดาเราแล้ว เราจะคิดคืนเอามาเสียมิให้ตกไปแก่มอญ ครั้งนี้มอญข่มเหงพม่าไล่ทุบตีแตกมาเปนอันมาก เราจะยกลงไปกำจัดเสียให้จงได้ พี่เลี้ยงข้าหลวงแลผู้ใหญ่ทั้งปวงจึงทูลห้ามว่า พระองค์จะไปกระทำแก่มอญนั้นมิชอบ ด้วยเปนความข้าวิวาทกัน พอจะหาผู้ชำระตัดสินได้ ไม่ควรจะลำบากถึงฝ่าพระบาทพระองค์ผู้เปนเจ้า อนึ่งพระเจ้ากรุงหงษาวดีได้แจ้ง ก็จะเสียทางพระราชไมตรี สมเด็จพระราชบิดาทราบแล้ว ก็จะทรงพระพิโรธข้าพเจ้าทั้งปวงว่ามิทูลห้ามปราม จะให้ลงพระราชอาญาถึงสิ้นชีวิต มงรายกะยอฉะวาจึงตรัสว่า ซึ่งพี่ท่านทั้งปวงว่าดังนี้ก็ควรอยู่ แต่เราคิดเกลียดชังมอญมานานแล้ว ไม่อยากให้พระราชบิดาเปนไมตรีแก่มอญเลย นึกนิ่งอยู่ในใจยังมิได้ว่ากับใคร ครั้งนี้มอญก่อความเปนต้นเหตุแล้วก็พอสม คิด เราจะยกไปตัดไมตรีมอญเสียให้ได้ ถ้าพระเจ้ากรุงหงษาวดีรู้ จะขึ้นมาทำศึกกับเรา ๆ ก็มิได้กลัว ทุกวันนี้ใจเราอยากทำสงครามยิ่งนัก เปรียบประดุจราชไกรสรลับเขี้ยวขัดเล็บมานานแล้ว พอเห็นหมู่มฤคชาติก็อยากจะขบเคี้ยวเปนกำลัง ซึ่งสมเด็จพระราชบิดาจะทรงพระโกรธนั้น พี่ท่านทั้งปวงอย่าวิตก เราจะช่วยแก้ไขมิให้มีโทษ พี่ท่านทั้งปวงมาด้วยกันเถิด พี่เลี้ยงทูลทัดทานหลายครั้งแล้ว มังรายกะยอฉะวาก็มิฟัง จึงให้จัดพลทหารยกมาตีบ้านเมืองซึ่งตั้งพรมแดนนั้นเสีย สั่งให้ห้ามบ่อน้ำมันดินไว้มิให้มอญตัก ให้พวกพม่าอยู่รักษาคอยป้องกันมอญ

ฝ่ายหัวเมืองพรมแดนซึ่งแตกนั้น ก็หนีลงมายังกรุงหงษาวดีจึงเอา กิจจานุกิจไปแจ้งแก่เสนาบดี ๆ ก็นำเอาเรื่องราวขึ้นกราบทูลสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช ๆ จึงตรัสปรึกษาสมิงพ่อเพ็ชร์แลเสนาบดีทั้งปวงว่า พม่าเสียสัตย์มากระทำก่อนดังนี้ จะก่อการสงครามต่อไปอีกแล้ว อนึ่งเมืองตะแคงซึ่งเรายกไปตีได้แต่ก่อนมอบให้นรามิละอยู่รักษานั้น นรามิละก็แข็งเมือง มิได้แต่งดอกไม้เงินทองมาส่งตามโบราณราชประเพณี ครั้นจะให้กองทัพไปตีเมืองดะแคงนั้น ฝ่ายเมืองทรางทวยอยู่ต้นทางก็ต้องตีด้วย แต่เกรงจะผิดคำซึ่งให้สัตยานุสัตย์ต่อกันนั้นเราจึงงดไว้ บัดนี้พม่าเสียสัตย์แล้ว เราจะให้เกณฑ์กองทัพไปตีเมืองตะแคง เสนาบดีทั้งปวงจะเห็นประการใด สมิงพ่อเพ็ชร์จึงทูลว่าซึ่งมังรายกะยอฉะวายกมาตีหัวเมืองปลายแดนนั้น จะทำตามลำพังผู้เดียวหรือพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องจะปลงพระทัยด้วยก็ยังมิแจ้ง แม้พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องมิทราบไม่ได้สั่งให้กระทำ เปนแต่พระราชบุตรบังอาจพระทัยมากระทำการโดยลำพังแล้ว ถ้ากองทัพเรายกขึ้นไปตอบแทนมิทัน ได้สอบสวนก็เห็นจะเสียทางพระราชไมตรี ขอให้ทรงพระดำริห์ดูจงควร อำมาตย์ทินมณีกรอดจึงทูลว่า ซึ่งสมิงพ่อเพ็ชร์ทูลนั้นก็ชอบอยู่ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องคงจะทราบ ถึงมังรายกะยอฉะวาทำการโดยลำพัง แล้วจะปิดความไว้ ก็อุปมาดังปิดแสงพระอาทิตย์แลควันเพลิงหามิดไม่ ไหนขุนนางทั้งปวงจะนิ่งได้ ย่อมกลัวความผิดมาถึงตัว คงจะลักลอบทูลให้ทราบ ถ้าพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้แจ้งแล้ว มิตรัสห้ามปรามราชบุตรหรือยุยงส่งท้ายให้ด้วย มังรายกะยอฉะวาก็จะกำเริบหนักขึ้น จะมายํ่ายีมอญอีกเปนมั่นคง อันทางพระราชไมตริก็ย่อมขาดอยู่แล้ว เพราะพม่าเสียสัตย์ก่อเหตุก่อน ซึ่งจะมาเกรงใจข้าศึกอยู่นั้นหาควรไม่ อุปมาดังทำใจดีต่อเสือแลอสรพิษ เสือแลอสรพิษหรือจะรู้จักคุณ คงจะขบตบฟัดเอาเปนเที่ยง ซึ่งพระองค์จะให้ยกไปตอบแทน ตัดกำลังศึกพม่าเสียแต่ยังอ่อนฉะนี้ก็ควรแล้ว

สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ทรงฟังก็เห็นชอบด้วย จึงตรัสว่าซึ่งสมิงพ่อเพ็ชร์ปรึกษานั้นก็ควรอยู่แต่ช้าไป อันอำมาตย์ทินมณีกรอดว่านี้เร็วดีนัก เราเห็นว่าธรรมดาบิดารักลูกตามใจไม่ว่ากล่าวแล้ว ลูกก็กำเริบลำพอง เที่ยวเบียดเบียฬคนทั้งปวงให้เดือดร้อนตามอำเภอใจ ซึ่งมังรายกะยอฉะวาราชบุตรพระเจ้ามณเฑียรทองนี้ ก็คือลูกของเราที่ไฝห้ฆ่าเสียมันไปเกิด ท่านทั้งสองลืมเสียแล้วหรือ มันผูกเวรพยาบาทใหญ่หลวงนัก เราคิดแล้วแต่เดิมว่าอ้ายลูกคนนี้มันจะทำให้ผู้ใหญ่ผิดกันก็ถูกเหมือนคิด ครั้งนี้ไมตรีมอญกับพม่าเปนอันขาดกันแล้ว เราจะยกขึ้นไปตีเมืองตะแคง ตัดกำลังศึกพม่าให้อ่อนเสียจงได้ สมิงพ่อเพ็ชร์แลเสนาบดีทั้งปวงก็เห็นด้วย สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชจึงให้เกณฑ์กองทัพแต่งให้พระยาเกียรพระราชบุตรเปนแม่ทัพหลวง อ่ามาตย์มะสมรทัพหนึ่ง สมิงพระรามทัพหนึ่ง สมิงนันทะสุริยทัพหนึ่ง สมิงสามปราบทัพหนึ่ง สมิงจ่อฆองทัพหนึ่ง หกทัพเปนคน แสนห้าหมื่น ช้างห้าพัน ม้าเจ็ดพัน สรรพด้วยเครื่องสาตราวุธทั้งปวงยกไปตีเมืองตะแคง มีพระราชกำหนดไปว่าเมืองทรางทวยซึ่งอยู่ต้นทางนั้น จะละไว้มิได้ให้ตีเสียด้วย ครั้นได้ฤกษ์ศุภนิมิตอันเปนมงคลแล้ว พระยาเกียรราชบุตรแลนายทัพนายกองทั้งปวงก็กราบถวายบังคมลายกไป ครั้นไปถึงเมืองทรางทวยแล้ว พระยาเกียรแม่ทัพหลวงก็ให้พลทหารเข้าตีหักเอาเมืองทรางทวย

ฝ่ายพม่าซึ่งอยู่ในเมืองออกรบพุ่งเปนสามารถ ต้านทานมิได้ก็แตกหนีขึ้นไปณเมืองอังวะ กองทัพมอญไล่ฆ่าฟันพม่าล้มตายเปนอันมาก ครั้นพระยาเกียรได้เมืองทรางทวยแล้ว ก็ตั้งให้สมิงจ่อฆองคุมทหารหมื่นหนึ่งอยู่รักษาเมือง แล้วก็ยกทัพหลวงขึ้นไปณเมืองตะแคง

ฝ่ายนรามิละเจ้าเมืองตะแคงรู้ว่า กองทัพมอญยกขึ้นมาดังนั้นก็แต่งช้างม้ารี้พลทแกล้วทหาร ยกมารับทัพพระยาเกียรกลางทาง ได้รบพุ่งกันเปนสามารถจนถึงตลุมบอน ฝ่ายทัพนรามิละต้านทานมิได้ก็แตกหนีกลับเข้าเมือง พระยาเกียรราชบุตรจึงให้ยกทัพตามไป ครั้นถึงก็ให้แยกกันออกล้อมเมืองไว้ ฝ่ายนรามิละเจ้าเมืองตะแคง ก็ให้ทหารรักษาหน้าที่เชิงเทินเปนสามารถ พระยาเกียรราชบุตรก็เสด็จทรงช้างพระที่นั่ง เข้าไปยืนจนคูเมือง แล้วขับพลทหารเร่งให้เข้าปีนกำแพงเมือง เอาบันไดหกขึ้นพาดระดมกันเข้าทั้งสี่ด้าน ได้รบพุ่งกันเปนสามารถ จนนรามิละต้องอาวุธตายในที่รบ แลทัพมอญก็หักเข้าเมืองได้ พระยาเกียรก็ยกทัพเข้าตั้งอยู่ในเมืองตะแคง แล้วให้กวาดเสบียงอาหารครอบครัวทั้งปวงซ่องสุมไว้

ฝ่ายพม่าเจ้าเมืองทรางทวย ซึ่งแตกหนีไปเมืองอังวะนั้น จึงแจ้งความแก่เสนาบดี ๆ ก็นำเรื่องราวขึ้นกราบทูลพระเจ้ามณเฑียรทอง ๆ ได้แจ้งว่าทัพมอญมาตีเมืองทรางทวยแตก แล้วยกไปตีเมืองตะแคงก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสปรึกษามุขมนตรีเสนาพฤฒามาตย์ราชปโรหิตทั้งปวงว่า บัดนี้มอญเสียสัตย์แล้ว ยกขึ้นมาตีหัวเมืองขอบขัณฑเสมาเรา ๆ คิดจะยกไปกระทำตอบแทนบ้าง เสนาบดีทั้งปวงจะเห็นประการใด เสนาบตีทั้งปวงมิทันจะกราบทูล

ฝ่ายมังรายกะยอฉะวาจึงทูลว่า มอญยกกองทัพล่วงขึ้นมาตีเมืองทรางทวย ซึ่งเปนเขตต์แดนกรุงรัตนบุระอังวะทั้งนี้องอาจหมิ่นนัก ดังหนึ่งพม่ามิใช่ชายหามีฝีมือไม่ ข้าพเจ้าจะขออาสายกลงไปจับมอญทั้งนี้ให้ได้ พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้ทรงฟังก็ตรัสว่า ราชบุตรเรายังอ่อนแก่ความนักไม่เคยทำศึก จะมาดูหมิ่นแก่การสงครามนั้นมิได้ อันนายทัพนายกองฝ่ายมอญนั้นมิใช่ชั่ว ครั้งเรายกลงไปตีเมืองพะสิมนั้น สมิงนครอินท์ยังลอบปลอมเข้ามาได้ถึงที่ข้างในนี้ หากบุญญาภิสมภารของเราได้อบรมมาแต่ก่อนเปนอันมาก จึงหาอันตรายมิได้ ซึ่งลูกเราว่าดังนี้ เสนาบดีทั้งปวงจะเห็นประการใด เสนาอำมาตย์นายทัพนายกองจึงทูลว่า พระราชโอรสของพระองค์นี้มีบุญญาภิสมภารเปนอันมาก เมื่อสมเด็จพระราชมารดาทรงพระครรภ์ก็ให้อยากเสวยดินในใจเมืองมอญ เมื่อยังพระเยาว์อยู่นั้น ถ้าทรงพระกรรแสงแล้ว พระนมพี่เลี้ยงจะปลอบด้วยประการใดๆ ก็มิได้หยุด ต่อว่าจะเอาเมืองหงษาวดีถวายจึงหยุด ข้าพเจ้าเห็นบุรพนิมิตดังนี้ เปนอันอัศจรรย์ใหญ่ หลวงนัก ควรที่จะทำสงครามด้วยมอญ เห็นจะได้ชัยชนะเปนมั่นคง

พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้ทรงฟังดังนั้น ก็ระลึกขึ้นมาถึงความหลังมีพระทัยยินดีนัก จึงสั่งเกณฑ์ทัพเปนคนห้าแสน ช้างเจ็ดพันม้าหมื่นหนึ่ง สรรพด้วยเครื่องสรรพาวุธทั้งปวงให้มังรายกะยอฉะวาเปนแม่ทัพหลวง ยกไปตีทัพมอญณเมืองตะแคงนั้น ครั้นได้ฤกษ์ศุภนิมิตอันเปนมงคลแล้ว มังรายกะยอฉะวาแลนายทัพนายกองทั้งปวงก็ถวายบังคมลาออกจากเมืองอังวะ ครั้นมาถึงทรางทวย ก็ให้พลทหารเข้าตีเอาเมืองซึ่งสมิงจ่อฆองรักษาอยู่นั้น สมิงจ่อฆองต่อสู้เปนสามารถจนตัวตายในที่รบ มังรายกะยอฉะวาก็หักเอาเมืองได้ จึงให้เจ้าเมืองทรางทวยเก่าเข้าอยู่รักษาเมือง แล้วยกทัพขึ้นไปตีเมืองตะแคง ครั่นไปถึงก็เห็นธงอย่างรามัญปักอยู่บนเชิงเทิน ก็รู้ว่าเมืองเสียแก่มอญแล้ว จึงให้ตั้งมั่นอยู่ ครั้นรุ่งขึ้นจึงให้พลทหารหักเอาเมือง

พระยาเกียรราชบุตร แลนายทัพนายกองฝ่ายมอญทั้งปวงก็ต่อสู้รบพุ่งต้านทานเปนสามารถ พม่าหักเอามิได้ก็ตั้งมั่นประชิดอยู่ พม่าได้รบพุ่งกับมอญเปนหลายครั้ง ยังหาแพัชนะกันไม่ ฝ่ายพระยาเกียรราชบุตรแลนายทัพนายกองทั้งปวง ซึ่งอยู่ในเมืองนั้น ก็ขัดสนเสบียงอาหารลง ครั้นจะล่าทัพถอยไป ก็เกรงพม่าจะติดตามก้าวสกัดรบพุ่งไปมิได้ ครั้นจะมีหนังสือบอกลงมาขอกองทัพก็ไม่ทันท่วงที พระยาเกียรราชบุตรจึงตรัสปรึกษานายทัพนายกองทั้งปวง ๆ คิดอ่านกันเรรวนอยู่ปรึกษายังมิตกลง

ขณะนั้นสมิงนันทะสุริยจึงทูลว่า บัดนี้ทัพพม่ามีกำลังนัก ฝ่ายเราก็ขัดเสบียงอาหารลง ครั้นจะรักษาเมืองไว้ก็มิได้ จำเปนจะทิ้งเมืองเสียล่าทัพไป แต่ศึกยังประชิดกันอยู่ ช้าพเจ้าจะคิดกลอุบายให้พม่าเลิกทัพกลับไปก่อน จึงค่อยล่าทัพถอยไปต่อภายหลังเห็นจะไปได้โดยง่าย

พระยาเกียรราชบุตรตรัสถามว่า ท่านจะคิดประการใดจึงจะให้กองทัพ พม่าถอยไปได้ สมิงนันทะสุริยก็ทูลความตามคิดทุกประการ พระยาเกียรราชบุตรได้ทรงฟังก็ดีพระทัย ตรัสว่าท่านเร่งทำตามความคิดเถิด สมิงนันทะสุริยก็ถวายบังคมลาออกมายังที่อยู่ จึงแต่งหนังสือเปนรับสั่งพระเจ้าราชาธิราช ให้มาถึงพระยาเกียรแลนายทัพนายกองทั้งปวงฉบับหนึ่ง ใจความว่า มังรายกะยอฉะวายกพลทหารมาตีเมืองตะแคงนั้น เรามีความยินดีนัก ให้พระราชโอรสรบต้านทานไว้จงได้ บัดนี้เราก็ได้แต่งให้อำมาตย์ทินมณีกรอดแลสมิงนครอินท์สองนายคุมพลห้าแสน ยกขึ้นไปกัาวสกัดต้นทางเมืองอังวะไว้แล้ว ฝ่ายกองทัพหลวงก็ยกมา แต่ ณ วันศุกร์เดือนสามขึ้นสามค่ำ เปนพลสิบแสน กำหนดสิบห้าวันจะให้ถึง ถ้านายทัพนายกองทั้งปวงเห็นกองทัพหลวงเข้าตีทัพพม่าแล้ว ก็ให้เร่งตีกระหนาบออกมา อันกองทัพพม่ายกมาเท่านี้ หรือจะรับทัพเราช้าอยู่ได้แต่ชั่วโมงหนึ่ง ถ้าแตกแล้วเราจะยกติดตามขึ้นไปเมืองอังวะให้จงได้ แล้วแต่งเปนหนังสือบิดามารดาบุตรภรรยาพี่น้องนายทัพนายกองทแกล้วทหารฝากมาเปนหลายฉบับ มีเนื้อความต่าง ๆ กัน ด้วยธุรกิจการบ้านเรือน

ครั้นแต่งหนังสือเสรืจแล้ว ก็ให้จัดเปนเสบียงหาบสิ่งของเอาหนังสือหลายฉบับนั้น ใส่รายกันไปในหาบบ้าง ใส่ในห่อผ้าแลกล่องกลักบ้าง ทำอย่างว่ามาแต่กรุงหงษาวดี ครั้นเวลาค่ำก็ให้มอญคนใช้หาบไป สั่งว่าให้เดินไปหาต้นทาง มาแต่เมืองหงษาวดีนั้น แล้วกลับย้อนเดินเข้ามาให้กองทัพพม่าเห็น ถ้าทหารพม่าไล่ให้ทิ้งหาบแลหนังสือนั้นเสีย วิ่งเข้ามาในเมืองจงได้

ฝ่ายมอญคนใช้ก็ไปกระทำตามสมิงนันทะสุริยสั่งนั้นทุกประการ ฝ่ายทหารพม่ากองตระเวน เห็นมอญเดินเข้ามาดังนั้น ก็คิดว่ามาแต่เมืองหงษาวดี ชวนกันไล่จะจับเอาตัว มอญก็ทิ้งหาบแลหนังสือลงเสีย ก็พากันวิ่งหนีเข้าในเมือง

ฝ่ายพม่าได้หาบแลหนังสือนั้น ก็เอาไปถวายมังรายกะยอฉะวา ๆ ได้ทราบความในหนังสือแล้วก็หวั่นพระทัย จึงให้หานายทัพนายกองทั้งปวง เข้ามาอ่านหนังสือฟังความ นายทัพนายกองพม่าทั้งปวงรู้ดังนั้น ก็สดุ้งสะเทือนกลัวว่ากองทัพพระเจ้าราชาธิราชจะยกมา ก็ระส่ำระสายลง ฝ่ายกองทัพมอญในเมืองตะแคงนั้น ก็ให้ตีฆ้องกลองโห่ร้องเต้นรำ แล้วร้องเยาะเย้ยหยาบช้าว่า อ้ายพม่ามึงระวังตัวจงดี อีกสองสามวันพอทัพหลวงมาถึงจะได้เห็นกัน กูจะฆ่าพวกมึงให้เหมือนฆ่าโคแลสุกร

ฝ่ายทหารพม่าได้ยินมอญว่าหยาบช้า ก็ไปทูลมังรายกะยอฉะวา ๆ ได้ฟังดังนั้น ก็เห็นสมกับหนังสือซึ่งได้ไว้ จึงให้ประชุมนายทัพนายกองทั้งปวงปรึกษาว่า ศึกมอญครั้งนี้คับขันอยู่ เราคิดคับแคบใจนัก ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด นายทัพนายกองทั้งปวง ปรึกษาแล้วกราบทูลว่า กองทัพเรายกมาครั้งนี้เข้าหักเอาเมืองตะแคงก็หลายครั้งแล้วก็มิได้ ทัพมอญเข้มแข็งนัก บัดนี้ทัพพระเจ้าราชาธิราชจะยกขึ้นมากระหนาบ กำลังเราน้อยเห็นจะรับมิได้ อนึ่งกองทัพอำมาตย์ทินมณีกรอดแลสมิงนครอินท์ยกไปก็สกัดอยู่ต้นทางแล้ว แม้นเสียทีกองทัพมอญก็จะตามตีกระทบกัน ที่ไหนจะรื้อตัวแก้ไขได้ ก็จะยับเยินไป ขอให้เลิกทัพกลับไปก่อน

มังรายกะยอฉะวาได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้เลิกทัพกลับไปจากเมืองตะแคง พระยาเกียรแม่ทัพหลวงแลนายทัพนายกองทั้งปวง เห็นพม่าเลิกทัพกลับไปเมืองอังวะแล้ว ก็ให้จัดเสบียงอาหารทรัพย์สิ่งของ แล้วกวาดเอาครอบครัวชาวเมืองตะแคงทั้งปวง ลงมาถวายสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช กราบทูลราชกิจทุกประการ พระเจ้าราชาธิราชได้ทรงทราบก็ดีพระทัย จึงพระราชทานบำเหน็จรางวัล แก่พระราชบุตรแลนายทัพนายกองทั้งปวง โดยถานานุศักดิ์เปนอันมาก

ฝ่ายมังรายกะยอฉะวากลับมาถึงกรุงอังวะแล้ว ก็กราบทูลพระราชบิดา ซึ่งตีได้เมืองทรางทวยคืน แลยกไปกระทำการณเมืองตะแคงทุกประการ แล้วถวายหนังสือซึ่งเก็บได้มานั้นด้วย พระเจ้ามณเฑียรทองได้แจ้งความในหนังสือนั้นแล้ว จึงตรัสแก่มังรายกะยอฉะวาว่า มอญนายทัพนายกองทแกล้วทหารพระเจ้าราชาธิราชประกอบด้วยสติปัญญาสามารถนัก หนังสือนี้เปนกลอุบายล่อลวง เจ้ายังเยาว์แก่ความรู้มิเท่ามอญจึงเลิกทัพกลับมา อันจะทำสงครามแก่มอญนั้น อย่าพึงประมาท แล้วพระราชทานรางวัลแก่พระราชโอรส แลนายทัพนายกองทั้งปวงเปนอันมาก

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง มังรายกะยอฉะวาแลมังสีสูราชบุตรทั้งสองขึ้นเฝ้าพระราชบิดา พร้อมด้วยมุขมนตรีทั้งปวง พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องทอดพระเนตรเห็นพระราชบุตรทั้งสอง จึงตรัสว่าราชสมบัติของเรานี้ ช้างดีม้าดี ทแกล้วทหารอันดี ควรแก่ลูกเรามังรายกะยอฉะวา แลหญิงบันเลงเครื่องดุริยางค์ดนตรีขับรำทั้งปวงนั้น ควรแก่ลูกเรามังสีสู ครั้นพระราชบิดาเสด็จขึ้นแล้ว มังรายกะยอฉะวาก็เสด็จไปตำหนัก

ฝ่ายมังสีสูทรงพระวิตกโทมนัส ด้วยคำพระราชบิดาจนน้ำพระเนตรตก มังมหาราชาเห็นดังนั้นก็รู้ว่าน้อยพระทัยในคำพระราชบิดา จึงกระซิบทูลว่า พระราชบิดาตรัสดังนี้ พระองค์อย่าทรงพระวิตกเสียพระทัยเลย สืบไปภายหน้าเปนประโยชน์แก่พระองค์อีก ด้วยพระเชษฐาของพระองค์นั้น น้ำพระทัยเปนเหล็กเพ็ชร์กล้าแขงนัก แล้วพระราชบิดาซํ้าชุบด้วยน้ำเกลืออีกเล่า เหล็กนั้นก็จะห้าวหนักหักไป ราชสมบัติจะได้แก่พระองค์เปนมั่นคง มังสีสูได้ฟังดังนั้นก็ได้สติ มีพระทัยยินดีในถ้อยคำมังมหาราชายิ่งนัก

ฝ่ายมังรายกะยอฉะวา ตั้งแต่ได้ฟังพระราชบิดาตรัสว่า มิรู้เท่ามอญดังนั้นก็น้อยพระทัยนัก อยู่มาวันหนึ่งจึงทูลลาพระราชบิดาว่า บัดนี้การสงครามพม่ากับมอญก็ได้รบพุ่งกันมาอยู่แล้ว จะไว้ใจมิได้เกลือกทัพมอญจะยกขึ้นมา กระทำแก่กรุงอังวะ แลหัวเมืองเขตต์แดนอีก ข้าพเจ้าจะขอถวายบังคมลาไปจัดหัวเมืองรายทางหน้าด่านให้มั่นคงไว้ก่อน ถ้าทัพมอญยกมาข้าพเจ้าจะขอไปรับไว้ให้หยุดแต่หัวเมืองมิให้ล่วงแดนเข้ามาได้ พระเจ้ามณเฑียรทองก็เห็นด้วย มังรายกะยอฉะวาจึงให้เกณฑ์ทัพม้าสองหมื่น สรรพไปด้วยเครื่องสาตราวุธทั้งปวงเสร็จแล้ว ครั้นได้ศุภฤกษ์ดีก็ถวายบังคมลาพระราชบิดายกกองทัพม้าลงมา ครั้นเข้าถึงเขตต์แดนกรุงหงษาวดี จึงกำชับทหารม้าทั้งปวงให้เปนหมวดกองกัน เข้าโจมตีหัวเมืองรายทางเข้ามา ไล่ฆ่าฟันผู้คนล้มตายเปนอันมากหาผู้ใดจะต้านทานมิได้ แยกย้ายกันตีจุดเผาบ้านน้อยใหญ่ รีบล่วงเข้ามาถึงกำแพงเมือง แล้วถอยกองทัพไปตั้งมั่นอยู่ณวัดประกองกลอย ทางไกลเมืองหงษาวดีประมาณร้อยห้าสิบเส้น แล้วก็ให้ทหารแยกกันออกเที่ยวตีจุดบ้านเผาบ้าน ซึ่งตั้งอยู่ริมเมืองนั้นเสียสิ้น

ขณะเมื่อมังรายกะยอฉะวายกทัพมาครั้งนั้น หัวเมืองรายทางทั้งปวงมิทันรู้ตัวก็แตกหนีไปสิ้น จะบอกหนังสือลงมาก็มิทัน ชาวเมืองหงษาวดีแลไปเห็นควันเปลวเพลิงตลบไป แลผู้คนก็ตกใจอื้ออึงเอิกเกริกอลหม่านไปทั้งเมือง เสนาบดีใช้คนไปสืบได้ความแล้ว ก็ขึ้นกราบทูลสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช ๆ แจ้งว่ามังรายกะยอฉะวายกทัพม้าลงมาดังนั้น จึงให้หาสมิงพ่อเพ็ชร์กแลเสนาบดีทั้งปวงมาปรึกษา

สมิงพ่อเพ็ชร์เสนาบดีทั้งปวงปรึกษาแล้วกราบทูลว่า มังรายกะยอฉะวายกมาครั้งนี้รวดเร็วนัก อันทัพม้านี้ว่องไว สามารถจะผจญด้วยเทพยดาก็ได้ เว้นไว้แต่ทัพช้าง ซึ่งจะผจญด้วยสงครามอสูรได้จึงจะรับหยุด สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ทรงฟังดังนั้นก็แสร้งตรัสสรรเสริญมังรายกะยอฉะวา หวังจะให้พระราชบุตรทั้งสองมีมานะองอาจในการสงคราม พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องมีพระราชบุตร มิเสียทีเกิดในตระกูลกษัตริย์ ประกอบด้วยสติปัญญาแกล้วกล้าสามารถนัก ต่างพระเนตรพระกรรณพระราชบิดาได้ เรานี้วาสนาอาภัพถึงมีบุตรประดุจหนึ่งหาไม่ ถ้ามังรายกะยอฉะวามาเปนบุตรเราก็จะเปนที่วางใจยิ่งนัก

ขณะนั้น พระยาเกียรแลพระยารามผู้เปนพระราชบุตร ได้ฟังสมเด็จพระราชบิดาตรัสดังนั้นก็ดำริห์ว่า ชรอยพระราชบิดาจะทรงเห็นว่า ตัวเรามิได้เอาใจปลงลงในราชการสงคราม เกียจคร้านย่อท้ออยู่ จึงตรัสสรรเสริญยกย่องมังรายกะยอฉะวาฉนี้ พระราชบุตรทั้งสองน้อยพระทัยนัก จึงกราบทูลพระราชบิดาว่า ศึกมังรายกะยอฉะวายกมาครั้งนี้ ข้าพเจ้าทั้งสองจะขออาสาออกไปทำการสนองพระเดชพระคุณจงได้

สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ทรงฟังพระราชบุตรทูลดังนั้นก็ดีพระทัย จึงให้พระยาเกียรราชบุตร ทรงช้างพลายสิงหนารายน์ คุมทหารช้างชนะงาพันหนึ่ง ผูกเครื่องทองกลางช้าง หมอควาญประดับด้วยเครื่องเหลือง พระยารามราชบุตรทรงช้างพลายธนูเพ็ชร์คุมทหารช้างชนะงาพันหนึ่ง ผูกเครื่องนาคกลางช้าง หมอควาญประดับด้วยเครื่องแดงเสื้อสีชมภู สมิงพระตะเบิดขี่ช้างพลายประกายมาศ คุมพลทหารช้างชนะงาพันหนึ่ง แลกลางช้างหมอควาญประดับล้วนเครื่องดำ สมิงนครอินท์ขี่ช้างพลายสุริยะ คุมทหารช้างชนะงาพันหนึ่ง กลางช้างหมอควาญประดับล้วนเครื่องเขียว สมิงอังวะมังศรีขี่ช้างพลายรักษ์น้อย คุมทหารช้างชนะงาพันหนึ่ง กลางช้างหมอควาญประดับล้วนเครื่องลายห้าทัพเปนช้างห้าพันประดับด้วยลูก ดิ่งทั้งหอกซัดทวนธงสีต่างๆ เปนหมวดหมู่กัน ตามสีคชาภรณ์ประดับช้างแลคน พร้อมด้วยเครื่องสรรพาวุธทั้งปวง ครั้นได้พิชัยฤกษ์อันเปนศุภมงคลแล้วพระราชบุตรทั้งสอง นายทัพทั้งสามก็ถวายบังคมลายกทัพช้างออกจากกรุงหงษาวดี ดูรุ่งเรืองงามด้วยนายทัพแลพลทหารอันประดับกายแต่งสีต่างๆ สลอนสล้างด้วยเครื่องสูงมยุรธงชายธงฉาน ธงมีพรรณนาๆน้อยใหญ่ ดารดาษไสวไปบนหลังคชาธาร งามพลคชสารอันเดินโดยขบวนพยุหยาตราเปนทิวแถว เสียงโกลาลั่นแล้วด้วยศัพท์ฆ้องกลองกรึกกร้องบรรลือสนั่น พระราชบุตรทั้งสองก็เร่งรีบพลขันธ์ดำเนินมา

ขณะนั้นพม่าม้าใช้กองคอยเหตุ เห็นทัพมอญยกออกมาก็รีบมาทูลแก่มังรายกะยอฉะวา ๆ แจ้งดังนั้นแล้ว ก็ยกทัพม้าออกรับ ฝ่ายพระยาเกียร พระยารามราชบุตร แลนายทัพนายกองทั้งปวงก็แยกทัพ ให้สมิงนครอินท์คุมทัพช้างพันหนึ่งเดินแซงไปชายทุ่งข้างซ้าย สมิงอังวะมังศรีคุมทหารช้างพันหนึ่งเดินแซงไปชายทุ่งข้างขวา แล้วจึงสั่งสมิงนครอินท์สมิงอังวะมังศรีว่า ถ้าเราให้รอทัพมังรายกะยอฉะวา ๆ ตีถลำล่วงทางลงแล้วจึงยกตีกระหนาบออกมา เราจะตีแดกขึ้นไปให้ทัพพม่าแตกจงได้ สมิงอังวะมังศรีแลสมิงนครอินท์ก็ยกกองทัพช้างเดินแซงไปชายทุ่งข้างซ้ายข้างขวา ตามพระราชบุตรสั่ง ครั้นมังรายกะยอฉะวายกมาพอแลเห็นกันถนัด พระยาเกียรราชบุตรก็ให้เอาช้างห้าร้อยยกเข้ายั่วทัพพม่า

ฝ่ายพม่าก็ขับม้าไล่ช้างมอญ ๆ ก็ทำเปนพ่ายถอย พม่าเห็นได้ทีก็ขับม้าไล่รุกลงมา สมิงนครอินท์ สมิงอังวะมังศรี เห็นทัพพม่าไล่ล่วงพ้นลงมาแล้ว  ก็ขับพลช้างออกตีกระหนาบกลางทัพพม่า พระยาเกียรพระยารามราชบุตร สมิงพระตะเบิดก็ขับช้างเข้ารับเผชิญหน้าได้รบพุ่งกันเปนสามารถ พลทั้งสองฝ่ายก็พุ่งสาตราวุธแทงฟันกันอลหม่าน กองทัพมอญก็ขับช้างเข้าลุยไล่ยํ่าเหยียบแทงม้าพม่า ม้ารับช้างมิหยุดพม่าเสียขบวน ทัพมอญได้ทีก็ขับช้างเข้าประดากันรุมรบ เสียงฝีเท้าพลช้างพลม้าแลเสียงสาตราอันพลทั้งสองฝ่ายแทงฟันกันนั้น ดังสนั่นอื้ออึงเอิกเกริก ดุจเสียงคลื่นแลลมพายุพัด ผงคลีฟุ้งเปนควันมืดกลุ้มไปในอากาศ พวกพลตายลงด้วยกันทั้งสองฝ่าย ม้าแลพลพม่าล้มตายเปนอันมาก พม่าเหลือกำลังต้านทานมิได้ก็แตก ทิ้งเข้าของเครื่องสาตราวุธเสียเปนอันมาก มังรายกะยอฉะวาก็พาทหารรีบหนีกลับไปเมืองอังวะ

ฝ่ายพระยาเกียรพระยาราม นายทัพนายกองทั้งปวงจะขับช้างตามม้านั้นมิทันก็กลับมา จึงให้เก็บเครื่องสาตราวุธได้เปนอันมากแล้วก็พากันมาเฝ้าสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช กราบทูลซึ่งได้รบทัพมังรายกะยอฉะวาสิ้นทุกประการ สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ทรงฟังก็ดีพระทัยนัก จึงพระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่พระราชบุตรทั้งสองแลนายทัพนายกองทั้งปวงเปนอันมาก

ฝ่ายมังรายกะยอฉะวาครั้นกลับไปถึงเมืองอังวะแล้ว ก็พานายทัพนายกองเฝ้าพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องกราบทูลว่า ข้าพเจ้าไปจัดแจงหัวเมืองปลายด่านครั้งนี้ ได้ทียกทัพม้าลงไปเผาเรือนบ้านเมืองรายทางเสียเปนอันมาก ตีลงไปถึงเชิงกำแพงเมืองหงษาวดี ฝ่ายมอญก็ยกทัพช้างมาเปนอันมาก ได้รบพุ่งต้านทานกันเปนสามารถ ข้าพเจ้าเห็นเหลือกำลังจึงล่าทัพถอยมา พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้ทรงฟังดังนั้นก็ตรัสว่า ราชบุตรเรายังมิรู้จักกำลังศึกมอญดูหมิ่นนัก นี่หากเปนทัพม้ามีกำลังรวดเร็วจึงหนีรอดมาได้ หาไม่ก็เสียทีแก่มอญ มังรายกะยอฉะวาได้ฟังพระราชบิดาตรัสดังนั้น มีพระทัยโทมนัสนัก คิดแต่จะทำสงครามหักรานมอญเสียให้ได้ อยู่มาวันหนึ่งจึงกราบทูลพระราชบิดาว่า จะขอกองทัพลงไปตีเมืองหงษาวดีอีก พระเจ้ามณเฑียรทองตรัสทัดทานเปนหลายครั้ง มังรายกะยอฉะวาก็มิฟัง ทูลเฝ้า อ้อนวอนพระราชบิดาว่า ถ้ามิโปรดให้ลงไปตีเมืองหงษาวดีอีกแล้ว จะถวายบังคมลาเชือดคอตายเสียให้พ้นความโทมนัส พระเจ้ามณเฑียรทองก็ทรงพระปราณี กลัวพระราชบุตรจะเชือดพระศอเสียจริง จึงตรัสว่าเมื่อลูกมิฟังบิดาก็จะยอมให้ไป แต่อย่าทำใจเร็วด่วนฆ่าตัวเสียมิชอบ ธรรมดาเปนลูกกษัตริย์แลทแกล้วทหาร ควรตายก็ย่อมตายจึงนับว่าชาย ซึ่งจะฆ่าตัวตายเพราะความแค้นเท่านี้มิควร ตรัสสอนพระราชบุตรแล้วจึงสั่งให้เกณฑ์ทัพหัวเมืองขึ้นทั้งปวงได้คนยี่สิบแสน ช้างสองหมื่น ม้าห้าหมื่น สรรพด้วยเครื่องสาตราวุธทั้งปวง ครั้นเกณฑ์ทัพพร้อมเสร็จแล้ว ถึงวันศุภฤกษ์มังรายกะยอฉะวาก็กราบถวายบังคมลาพระราชบิดายกทัพลงมาถึงเมืองปรวน จัดแจงเสบียงอาหารเมืองปรวนเสร็จแล้ว ก็ยกทัพบกทัพเรือมาทาง เมืองตะละชี ครั้นถึงเมืองตะละชีแล้ว ก็ยกรีบลงมาณเมืองตะเกิง ทัพเรือนั้นให้เอาเสบียงอาหารตามลงมาส่ง มังรายกะยอฉะวายกทัพมาถึงเมืองตะเกิงแล้ว สั่งให้นายทัพนายกองทั้งปวงยกเข้าหักเอาเมืองตะเกิง

ฝ่ายพระยาอินทโยธาซึ่งรักษาเมืองตะเกิงนั้น ก็ฃับพลทหารขึ้นประจำ หน้าที่เชิงเทิน ได้รบพุ่งกันเปนสามารถ พลพม่าตายอยู่กับคูเมืองเปนอันมาก พม่าเข้ารอมิได้ก็ถอยออกมา ฝ่ายมอญในเมืองเห็นดังนั้นก็ตีฆ้องกลองโห่ร้องเยาะเย้ยหยาบช้าต่างๆ มังรายกะยอฉะวาได้ยินก็ทรงพระโกรธเปนกำลัง สั่งให้ไล่ฟันทหารซึ่งถอยออกมานั้นให้กลับเข้ารบจงได้ จึงให้ประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า หน้าด้านผู้ใดถอยออกมา จะตัดศีร์ษะทั้งนายไพร่ลงถมคูเมืองเสียให้สิ้น ฝ่ายพลทหารทั้งปวงได้เห็นได้ยินดังนั้น ก็กลับรื้อกลับเข้าไป มังจะแคงนายทัพคนหนึ่ง ขึ้นช้างยืนรออยู่ริมคูเมือง มังรายกะยอฉะวาเห็นดังนั้นก็ทรงพระโกรธตรัสว่า อ้ายนายทัพผู้นี้กลัวตายมิใช่ชาติทหาร เลี้ยงไว้มิได้ จึงสั่งให้พี่เลี้ยงโจนลงจากช้างพระที่นั่งไปตัดศีร์ษะมังจะแคงเสีย พี่เลี้ยงก็กระโจนลงจากช้างปีนขึ้นท้ายช้างมังจะแคง ตัดศีร์ษะควานช้างและมังจะแคง โยนลงไปให้นายทัพนายกองทั้งปวงดู แลขับช้างไล่พลรุกข้ามคูเข้าไปจนถึงกำแพงเมือง พลทหารทั้งปวงก็ตรูกันเข้าหักเอาเมืองตะเกิงได้

ฝ่ายพระยาอินทโยธาซึ่งรักษาเมืองตะเกิงนั้น เห็นพม่าหักเข้าเมืองได้ก็ตกใจ จึงให้เปิดประตูเมืองข้างทิศตะวันตก พาทหารบ่าวไพร่ที่สนิทรีบหนีออกไปยังกรุงหงษาวดี มังรายกะยอฉะวาก็ยกเข้าตั้งอยู่ในเมืองตะเกิง แล้วแต่งให้พลทหารไปติดตามพระยาอินทโยธา ทหารไปตามจนสิ้นเขตต์เมืองไม่ทันแล้ว ก็กลับมาทูลแก่มังรายกะยอฉะวา ๆ ก็มิได้ตรัสประการใด

ฝ่ายพระยาอินทโยธา ครั้นมาถึงกรุงหงษาวดีก็เข้าเฝ้าพระเจ้าราชาธิราช กราบทูลกิจการซึ่งได้รบพุ่งกับทัพมังรายกะยอฉะวาจนเสียเมืองสิ้นทุกประการ สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชแจ้งแล้วก็ทรงพระโกรธแก่พระยาอินทโยธา จึงตรัสว่ามังรายกะยอฉะวายกมาเปนทัพกษัตริย์เหลือกำลังท่านจะต้านทานแตกหนีมานั้นเราหาเอาโทษไม่ แต่ท่านเปนผู้ใหญ่เสียแรงเรารักไว้ใจให้อยู่รักษาเมืองต่างหูต่างตา ให้ภรรยาข้าใช้เงินทองเปนอันมาก หวังจะให้มีน้ำใจช่วยป้องกันรักษาบ้านเมืองแต่พอเปนรั้วเมืองหลวง กลับเปนคนเกียจคร้านไม่ระวังข้าศึก นอนกอดเมียสาวเสียตามสบายใจ มิได้แต่งผู้คนออกไปสอดแนม สืบข่าวราชการปลายแดนให้รู้ก่อน นิ่งให้ทัพพม่าจู่มาจนถึงเมืองตะเกิง เข้าโจมตีเอาเมืองได้ แล้วแตกหนีมาหาเราทำให้เสียพระเกียรติยศ เหตุไฉนจึงมาแต่ตัว ไม่พาลูกเมียครอบครัวผูกบั้นเอวตามมาด้วยเล่า ป่านนี้พม่าไม่ฉุดลากไปแล้วหรือ ท่านเกียจคร้านในราชกิจดังนี้ ว่าผิดโทษถึงตายจึงสั่งให้เอาไปฆ่าเสีย สมิงพ่อเพ็ชร์กราบทูล ขอโทษ พระยาอินทโยธานิสัยชำนาญในทางสมณ หาถนัดในการสงครามไม่ ชำนาญแต่ทางธรรมสาตรโหราสาตร ซึ่งจะหลงภรรยาเกียจคร้านในกิจราชการดังปากคนเล่าลือนั้น ข้าพเจ้าเห็นหาเปนไม่ ขอพระราชทานให้ภาคโทษไว้ครั้งหนึ่งก่อน

สมเด็จพระเจ้าราชาธิราช ก็ทรงคิดถึงความหลังคลายพระโกรธลงจึง พระราชทานโทษให้ แล้วตรัสสั่งอำมาตย์ทินมณีกรอด อำมาตย์มะสมร ให้ไปเกณฑ์คนเมืองพะสิมหนึ่ง เมืองแตรหนึ่ง เมืองเกาะขเมิงหนึ่ง เมืองเซียหนึ่ง เมืองอักครูหนึ่ง เมืองลเมืองหนึ่ง เมืองเซาหนึ่ง เจ็ดเมืองฝ่ายใต้ ถ้าได้แล้วให้อำมาตย์ทินมณีกรอดเปนแม่ทัพ เร่งยกทัพเรือตีเกี่ยวขึ้นไปเมืองปรวนต้นทาง ซึ่งมังรายกะยอฉะวาไว้เสบียงอาหารนั้นให้ได้

ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชก็เสด็จยกกองทัพมา พอถึงแม่น้ำพวงนางไกลกันกับเมืองตะเกิงทางประมาณร้อยเส้น สั่งให้ตั้งค่ายยังมิทันแล้ว ฝ่ายม้าใช้กองคอยเหตุ ก็เข้ามาทูลแก่มังรายกะยอฉะวา ๆ ได้แจ้งว่า กองทัพพระเจ้าราชาธิราชยกมา ตั้งอยู่ณแม่น้ำพวงนาง ก็ให้เร่งรีบยกช้างม้ารี้พลออกจากเมืองตะเกิงมา ตีกองทัพพระเจ้าราชาธิราช

ฝ่ายกองทัพมอญซึ่งยกมาเปนทัพหน้า ก็แยกย้ายกันไปตัดไม้ทำค่ายยังมิทันมั่น พอกองทัพมังรายกะยอฉะวายกเข้าตี ทัพมอญต้านทานมิได้ ก็แตกร่นลงมาจนถึงหน้าช้างทัพพระเจ้าราชาธิราช ซึ่งให้ยืนช้างกันพลทำค่ายอยู่นั้น สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชทอดพระเนตรเห็นพลแตกมาก็ทรงพระโกรธ ตรัสว่าอ้ายพม่ามันจะไม่ให้เราหยุดพักหายเหนื่อยแล้ว จึงให้พลทัพหลวงตั้งมั่นไว้ สั่งให้สมิงนครอินท์คุมทหารดาบสองมือหมื่นหนึ่ง สมิงพระรามคุมทหารดาบสองมือหมื่นหนึ่ง ให้ออกทลวงฟันพม่า

ฝ่ายสมิงนครอินท์สมิงพระรามรับสั่งแล้ว ก็คุมทหารดาบสองมือ เข้าตลุมบอนฟันพม่า ๆ กับมอญรบกันเปนสามารถอลหม่าน พม่าต้านทานมิได้ ก็ถอยเข้าไปในเมืองตะเกิง มอญกับพม่าฆ่ากันตายครั้งนั้นจะนับมิได้ แต่พม่าตายมากกว่ามอญประมาณสิบเท่า แล้วสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชสั่งให้ขนศพพม่าซึ่งตายนั้น บรรทุกเกวียนไปทิ้งนํ้าเสีย ก็ให้ตั้งค่ายมั่นณแม่น้ำพวงนาง พม่าแลมอญก็แต่งทหารออกรบกันนอกค่ายทุกวันมิได้ขาด

ฝ่ายอำมาตย์ทินมณีกรอด อำมาตย์มะสมร ซึ่งไปเกณฑ์ทัพเจ็ดหัวเมืองนั้นได้คนสี่หมื่นแปดพัน สรรพด้วยเครื่องสาตราวุธทั้งปวงเสร็จแล้ว ก็ยกทัพเรือขึ้นไปตีเมืองปรวนได้ฟากหนึ่ง แล้วก็ให้ตั้งมั่นไว้ พม่าซึ่งอยู่รักษาเมืองปรวนนั้นจึงแต่งหนังสือบอกให้คนถือลงมาถวายมังรายกะยอฉะวา ๆ จึงให้รับหนังสือมาอ่าน ใจความว่าข้าพเจ้าผู้รักษาเมืองปรวน ขอแจ้งมายังพระราชบุตรได้ทราบ ด้วยอำมาตย์ทินมณีกรอด อำมาตย์มะสมร ยกทัพเรือขึ้นมาตีเอาเมืองปรวนฟากน้ำหนึ่งแล้ว บัดนี้ตั้งค่ายประชิดรบพุ่งกันอยู่ ซึ่งจะส่งเสบียงอาหารลงไปนั้นขัดสน

ครั้นมังรายกะยอฉะวาได้แจ้งในหนังสือแล้ว จึงให้นายทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษา นายทัพนายกองปรึกษาแล้วกราบทูลว่า อันการสงครามจะเอาแพ้แลชนะกันก็เพราะอาหาร บัดนี้ทัพมอญขึ้นไปตีตัดเสบียงอาหารเสียแล้ว เกรงทัพอำมาตย์ทินมณีกรอด อำมาตย์มะสมรจะมิหยุดแค่เมืองปรวน จะล่วงเลี้ยวลงมาตีเมืองตะละชีด้วย ถ้าเสียเมืองตะละชีแล้ว เห็นจะรื้อตัวยากจำจะถอยทัพขึ้นไปตีอำมาตย์ทินมณีกรอด อำมาตย์มะสมร สองทัพนี้เสียให้ได้ก่อน อย่าให้ทันเสียแก่ข้าศึกจึงจะชอบ มังรายกะยอฉะวาก็เห็นด้วย ครั้นเวลาค่ำจึงให้เลิกทัพขึ้นไปเมืองปรวน

ฝ่ายพระเจ้าราชาธิราชได้ทราบว่า มังรายกะยอฉะวาเลิกทัพไปเห็น สมคเนดังนั้นดีพระทัยนัก ครั้นจะให้ตามเกรงทัพพม่าจะหนีรุดรีบเร็วไป จะกระหนาบทัพอำมาตย์ทินมณีกรอดๆ มิทันรู้ตัวก็จะเสียท่วงทีไป จึงมิได้ให้ติดตาม แต่งแต่ทหารม้าใช้รีบขึ้นไปแจ้งแก่อำมาตย์ทินมณีกรอด ม้าใช้ขึ้นไปถึงจึงแจ้งความแก่อำมาตย์ทินมณีกรอด ๆ รู้ว่ามังรายกะยอฉะวายกขึ้นมาจะตีกระหนาบ จึงคิดเปนกลอุบายให้ผูกเปนรูปหุ่น ถือเครื่องสาตราวุธประจำอยู่ทุกหน้าที่ แล้วทำเกราะลมแขวนไว้เปนอันมาก ครั้นเวลาค่ำให้กองเพลิงรายนอกค่าย แล้วจับสุนักข์มาผูกประจำกองเพลิง ให้เรี่ยรายเข้าปลาอาหารไว้ ในค่ายนั้นให้กองเพลิงห่าง ๆ กัน แต่พอแลเห็นแสงเพลิง มิให้พม่าทั้งปวงสงสัย จึงถอยทัพล่วงรีบขึ้นไปเมืองพะสิม กองทัพพม่าอยู่ฟากข้างหนึ่ง ได้ยินเสียงเกราะเห็นรูปหุ่น แลสุนักข์คลับคล้ายอยู่หาทันรู้ว่าทัพมอญเลิกไปสิ้นไม่ ก็ตรวจตรากันรักษาค่ายเปนปกติอยู่

ฝ่ายมังรายกะยอฉะวายกมาจากเมืองตะเกิง ถึงเมืองตะละชีแล้วก็ยก ทัพเรือลงมาถึงทางร่วม ที่จะขึ้นไปเมืองปรวนนั้น พอเวลาประมาณสองยาม แลเห็นกองเพลิงแลรูปหุ่น ได้ยินเสียงเกราะก็สำคัญว่าทัพมอญยังตั้งอยู่ดีพระทัยนัก จึงสั่งนายทัพนายกองทั้งปวง ให้ประดาเรือทอดทุ่นรายปิดแม่น้ำไว้ แล้วสั่งกำชับว่า ถ้าทัพมอญหักล่วงลงมาได้ จะเอาโทษนายทัพนายกองถึงสิ้นชีวิต

นายทัพนายกองก็ทอดทุ่นประดาเรืออยู่เปนขนัด เตรียมตรวจตรากันเปนสามารถ มังรายกะยอฉะวาแต่งคนให้ไปบอกแก่นายทัพนายกองพม่า ซึ่งตั้งอยู่ณเมืองปรวนนั้นว่า กองทัพหลวงยกขึ้นมาตั้งปิดทางร่วมไว้แล้ว ให้นายทัพนายกองทั้งปวงตระเตรียมทแกล้วทหารไว้ให้พร้อม เวลาพรุ่งนี้จะยกเข้าระดมตีทีเดียว คนใช้ขึ้นไปถึงจึงแจ้งแก่นายทัพนายกองตามรับสั่งทุกประการ ครั้นออกมาจากค่ายแลไปฟากข้างค่ายมอญ ได้ยินแต่เสียงเกราะแลเสียงสุนักข์เห่าหอนอึงอยู่ แสงเพลิงที่กองก็น้อยลง คนใช้เหล่านั้นก็สงสัย จึงบอกแก่นายทัพนายกองทั้งปวง นายทัพนายกองเมืองปรวนนั้นก็ชวนกันไปดู ครั้นเห็นดังนั้นก็สงสัยนัก จึงให้ทหารข้ามไปสืบสอดแนม ทหารไปสอดแนมดูฟากข้างค่ายมอญ ฟังเงียบสงัดเสียงคนจึงเข้าไปใกล้ เห็นแต่กองเพลิงแลเสียงสุนักข์เห่าหอนอึงอยู่ รูปหุ่นแลเกราะลมนั้นก็สงบเสียงลง แล้วชวนกันเข้าไปในค่ายเห็นแต่กองเพลิง จึงรู้ว่ามอญทำอุบายล่อลวง เลิกกองทัพไปสิ้นแล้ว พวกทหารสอดแนมก็รีบกลับมาบอกแก่นายทัพนายกอง ๆ ได้แจ้งก็ตกใจพูดกันว่าพวกเรามิรู้เท่ามอญดังนี้เห็นจะเปนโทษ จึงบอกแก่คนใช้ ๆ ก็รีบกลับลงมาทูลมังรายกะยอฉะวา ๆ แจ้งว่ามอญเลิกทัพไปแล้ว ก็ทรงพระโกรธตรัสว่า เราหมายจะมาตีทัพมอญให้ยับเยิน บัดนี้นายทัพ นายกองประมาทไม่คอยระวัง ให้มอญหนีไปพ้นเงื้อมมือเราได้ จึงให้เอาโทษแก่นายทัพนายกองทั้งปวง ซึ่งตั้งอยู่ณเมืองปรวน ครั้นจะให้ยกติดตามก็เห็นมิทัน จึงเลิกทัพกลับไปยังกรุงอังวะ ครั้นถึงจึงนำกิจขึ้นกราบทูลสมเด็จพระราชบิดาทุกประการ

พระเจ้ามณเฑียรทองได้ทรงฟังดังนั้นจึงตรัสว่า ลูกเราองอาจแกล้วกล้าสามารถในการศึกก็จริง แต่เชิงอุบายถ่ายเทยังอ่อนนัก บัดนี้เสียความคิดแก่มอญ จึงต้องถอยทัพคืนมา แล้วพระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่พระราชบุตรแลนายทัพนายกองเปนอันมาก

ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าราชาธิราชทราบว่า กองทัพมังรายกะยอฉะวายกไปไม่ทันทัพอำมาตย์ทินมณีกรอด อำมาตย์มะสมรสองทัพนี้ยกไปเมืองพะสิมแล้ว มังรายกะยอฉะวาก็เลิกทัพกลับไปเมืองอังวะ จึงโปรดให้พระยาอินทโยธาอยู่รักษาเมืองตะเกิงดังเก่า แล้วพระองค์ก็ยกทัพกลับมายังกรุงหงษาวดี จึงให้พระยาเกียรราชบุตรไปอยู่เมืองมองมะละ ให้ราชามนูไปดูแลตกแต่งที่ทาง เฉลิมพระราชมณเฑียรแล้วให้อยู่ช่วยประคับประคองพระราชบุตรด้วย

ครั้นอยู่มาประมาณสามเดือน สมิงพ่อเพ็ชร์ก็ป่วยลง สมเด็จพระเจ้า ราชาธิราชทรงพระวิตกนัก จึงให้สัมพันธแพทย์ไปพยาบาลโรคๆ ก็มิคลายป่วยหนักลง ฝ่ายสมิงนครอินท์รู้ว่า สมิงพ่อเพ็ชร์ป่วยหนักก็ไปเยี่ยมเยือนมิได้ขาด อยู่มาวันหนึ่งจึงถามสมิงพ่อเพ็ชร์ว่า น้าท่านป่วยครั้งนี้เปนประการใด สมิงพ่อเพ็ชร์ได้ยินดังนั้น ลืมตาขึ้นดูเห็นสมิงนครอินท์ก็ดีใจ จึงว่าหลานเรามาก็ดีแล้ว น้าระลึกถึงอยู่ อันโรคเราครั้งนี้เห็นจะหนักอกหนักใจนัก เหลือกำลังที่จะทนได้ ไหนน้าจะมีชีวิตอยู่ทำราชการสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าอยู่หัวสืบไป น้าจะลาหลานเราครั้งนี้แล้ว แต่น้าวิตกถึงหลานเรา ซึ่งจะทำศึกสงครามในเบื้องหน้า ด้วยเจ้าผู้เดียวถ้าศึกพอกำลังก็จะเอาชัยชนะได้ ถ้าศึกเหลือกำลังก็เห็นจะเสียที เพราะหาผู้จะเปนคู่คิดอุดหนุนมิได้ ฝ่ายสมิงอังวะมังศรีเปนคนมีสติปัญญาฝีมืออยู่ พอจะได้เปนเพื่อนท่าน ก็เปนคนหลบหลีกไป ซึ่งจะทำสงครามไปภายหน้า หลานเราอุส่าห์ระมัดตัวจงดีเถิด เรานี้มิได้อยู่ช่วยประคับประคองท่านแล้ว สมิงนครอินท์ได้ฟังดังนั้น ก็ยกเอามือสมิงพ่อเพ็ชร์ขึ้นใส่ศีร์ษะแล้วร้องไห้รัก

ครั้นอยู่มาสองสามวัน สมิงพ่อเพ็ชร์ก็ถึงแก่ความตาย สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ทราบ ก็ทรงพระกรรแสงรํ่ารักสมิงพ่อเพ็ชร์เปนอันมาก จึงตรัสสั่งเสนาบดีทั้งปวง ให้แต่งการศพตามบรรดาศักดิ์เสร็จแล้ว ก็ชักศพสมิงพ่อเพ็ชร์ขึ้นสู่เมรุอันประดับประดาเปนอันงาม ถวายไทยทานแก่พระสงฆ์ราชาคณะถานานุกรมแลเปรียญอันดับเปนอันมาก พระเจ้าราชาธิราชก็เสด็จไปพระราชทานเพลิงศพเสร็จแล้ว จึงให้เก็บอัฐิใส่ผะอบทองประดับพลอย แล้วให้มีงานมหรศพเจ็ดวัน จึงเอาอัฐิไปบันจุไว้ในพระมุเตา

ฝ่ายมังรายกะยอฉะวา ตั้งแต่ถอยทัพมาจากเมืองปรวนก็คิดเแค้นอยู่ทุกวันทุกเวลาว่ารู้มิเท่ามอญ ครั้นรุ่งขึ้นปีใหม่ จึงขึ้นไปกราบทูลพระราชบิดาว่า ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะขอยกลงไปตีเมืองหงษาวดีให้ได้ พระเจ้ามณเฑียรทองก็เห็นด้วย จึงสั่งให้มังนันทมิตคุมพลสิบเก้าห้าเมือง เปนคนสิบแสน ช้างสองหมื่น ม้าห้าหมื่น สรรพด้วยเครื่องสาตราวุธทั้งปวงเปนทัพบก แล้วให้แต่งเรือฉลากบางหุ้มด้วยเหล็กพันหนึ่ง เรือลายคาหุ้มทองแดงสองพัน เรือลายเล่ไลยักสามพัน เปนพลสิบห้าแสนสรรพด้วยเครื่องสาตราวุธทั้งปวงพร้อม ให้มังรายกะยอฉะวายกทัพบกทัพเรือลงไป ตั้งอยู่ณเมืองตะละชี พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องก็ยกทัพหนุนลงมา ตั้งอยู่ณเมืองปรวนเปนคนสามหมื่นกันทัพมอญซึ่งจะตีเกี่ยวหลังขึ้นมานั้น

ฝ่ายมังรายกะยอฉะวา มาตั้งอยู่ณเมืองตะละชีรู้ว่า สมิงพ่อเพ็ชร์ตายแล้วก็ดีใจ จึงดำริห์ว่าพระเจ้าราชาธิราชมีเขี้ยวเพ็ชร์หักเสียข้างหนึ่งแล้ว ยังแต่สมิงนครอินท์เปนคนมีฝีมือ จะคิดกลอุบายตัดกำลังศึก เอาตัวสมิงนครอินท์มาเสียให้ได้ ถ้าพระเจ้าราชาธิราชเสด็จมาแล้ว จะเพทุบายชวนให้แต่งทหารออกรบกันตัวต่อตัว เรือต่อเรือ ช้างต่อช้าง ม้าต่อม้า ครั้งนี้เห็นทีจะให้สมิงนครอินท์ออกมารบ แม้นสมคเนดังนั้นจะจับเอาตัวให้จงได้ ทรงพระดำริห์แล้ว ก็ให้ยกกองทัพออกจากเมืองตะละชีไปตั้งมั่นอยู่ณปากน้ำอะลอยทั้งสองฟาก แล้วจึงให้ชำระในลำคลองแวะสองฟากนํ้า ซึ่งจะซุ่มเรือรบไว้ ใต้คลองแวะนั้นให้ลงขวากซ่อนใต้นํ้าไว้เฉพาะแต่ช่องเรือเดิน ถ้าผิดช่องเรือติดอยู่ไปมิได้ เตรียมการทั้งปวงเสร็จแล้ว จึงให้แต่งหนังสือโดยความที่ทรงพระดำริห์นั้นฉบับหนึ่ง ครั้นให้แต่งเสร็จแล้วก็คอย ท่ากองทัพพระเจ้าราชาธิราชอยู่

ฝ่ายพระยาอินทโยธา ซึ่งรักษาเมืองตะเกิงนั้น แต่งให้คนไปสืบข่าว ราชการแดนต่อแดน ได้แจ้งว่ามังรายกะยอฉะวายกมาแล้ว จึงแต่งหนังสือบอกให้คนถือลงมายังเสนาบดีณกรุงหงษาวดี คนใช้ก็รีบถือหนังสือลงมายังกรุงหงษาวดี จึงเอาหนังสือเข้าไปส่งให้แก่เสนาบดี ๆ ก็นำหนังสือบอกขึ้นกราบทูล

สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้แจ้งในหนังสือแล้ว ก็ให้อำมาตย์มะสมรไปเกณฑ์ทัพเรือ เมืองเมาะตะมะ แลหัวเมืองขึ้นสามสิบหัวเมืองฝ่ายใต้ แล้วให้อำมาตย์ทินมณีกรอดไปเกณฑ์ทัพเรือเมืองพะสิมหัวเมืองขึ้นสิบเจ็ดหัวเมือง ตรัสสั่งให้เกณฑ์ทัพบกหัวเมืองขึ้นฝ่ายเหนือทั้งปวงสามสิบหัวเมือง แล้วให้สมิงพระราม สมิงราชสงคราม สมิงพระตะเบิด เปนแม่กองทัพบก ช้างหมื่นหนึ่ง ม้าสองหมื่น พลแปดแสน สรรพด้วยเครื่องสาตราวุธทั้งปวง แล้วพระองค์ให้แต่งเรือฉลากบาง หุ้มด้วยเหล็กเจ็ดร้อยลำ เรือลายคาหุ้มทองแดงแปดร้อยลำ เรือลายเล่ไลยักพันหนึ่ง เปนเรือสองพันห้าร้อยลำ พลสิบแสนสรรพด้วยเครื่องสาตราวุธทั้งปวง ให้เจ้าสมิงนครอินท์ สมิงอังวะมังศรี สมิงสามปราบเปนทัพหน้า ครั้นได้พิชัยฤกษ์ดีแล้ว พระองค์ก็ยกทัพบกทัพเรือพร้อมกัน ล่องลงไปเมืองเสี่ยง เลี้ยวขึ้นมาทางเมืองตะเกิงไปเมืองตะละชี ถึงแม่นํ้าอะลอยพอทอดพระเนตรเห็นทัพมังรายกะยอฉะวา ซึ่งตั้งอยู่นั้นเปนอันมาก จึงให้หยุดทัพบกเรือตั้งค่ายมั่นลงไว้

ฝ่ายมังรายกะยอฉะวา ครั้นแจ้งว่าทัพพระเจ้าราชาธิราชยกมาถึงพร้อมกันแล้ว ก็มีความยินดีนัก จึงให้มังตุเรจองถือหนังสือซึ่งแต่งไว้นั้น กับเครื่องราชบรรณาการ น้ำดอกไม้เทศห้าเต้า เมี่ยงสิบกระหมวด นํ้ามันดินสิบกระออม นำไปถวายพระเจ้าราชาธิราช มังตุเรจองก็ถวายบังคมลา ถือหนังสือคุมเครื่องราชบรรณาการ มายังค่ายสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช จึงแจ้งแก่ทหารรักษาประตูค่าย ๆ ก็บอกส่งเข้าไปให้กราบทูล

สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ทราบแล้ว ก็โปรดให้รับเข้ามา มังตุเรจองก็เข้ามากราบถวายบังคม ถวายหนังสือแลเครื่องราชบรรณาการ สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชจึงตรัสให้อ่าน ในหนังสือนั้นใจความว่าข้าพเจ้ามังรายกะยอฉะวา ขอแจ้งความมาถึงสมเด็จพระเจ้าลุงเรา ด้วยข้าพเจ้ายกกองทัพมาครั้งนี้ ปรารถนาจะกระทำสงครามให้สนุกจงหนักหนา แต่พระเจ้าลุงพึ่งยกมาถึง ทแกล้วทหารยัง เหนื่อยเมื่อยล้านัก ครั้นจะด่วนทำการสงครามสัปยุทธรบพุ่งแก่กันนั้น ก็มิได้เห็นฝีมือทแกล้วทหารเข้มแข็งโดยสามารถ เชิญสมเด็จพระเจ้าลุงพักพลทหารทั้งปวงให้ค่อยหายเหนื่อยก่อน แต่ศึกจะเงียบว่างอยู่เปนหลายวัน ขอให้จัดหาทหารที่ดี ขี่ช้างต่อช้าง ขี่ม้าต่อม้า เรือลำต่อลำมาสู้กันให้เถลิงหน้าทัพไว้ จะได้ดูชมเล่นเปนขวัญตาพลาง กว่าศึกใหญ่จะได้รบกัน สมเด็จพระเจ้าลุงจะทรงเห็นประการใด จงตอบมาให้เราทราบ

สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้แจ้งในหนังสือแล้ว จึงให้แต่งหนังสือตอบ จัดสิ่งของตอบแทนโดยสมควร ส่งให้ผู้ถือหนังสือกลับไป มังตุเรจองก็ถวายบังคมลา นำหนังสือตอบแลเครื่องราชบรรณาการตอบแทน กลับไปถวายมังรายกะยอฉะวา ๆ จึงรับหนังสือมาทรงอ่าน ในหนังสือนั้นว่า ซึ่งหลานเราจะใคร่ชมข้าทหาร ให้เห็นฝีมืออันเข้มแข็งตัวต่อตัว   เรือลำต่อลำออกสัปยุทธกันให้เถลิงหน้าค่ายเปนขวัญตานั้น เรามีความยินดีนัก วันพรุ่งนี้จึงจะแต่งออกไป ให้หลานเราเร่งแต่งเรือแลทหารไว้รับเถิด

มังรายกะยอฉะวาได้แจ้งในหนังสือตอบแล้วก็ดีพระทัยนัก จึงดำริห์การซึ่งจะจับสมิงนครอินท์นั้นให้ได้ สั่งให้มังธนูเดชคุมเรือฉลากบางหกลำ บรรทุกทหารมีฝีมือ จอดซ่อนอยู่ในคลองแวะฝ่ายทิศตวันออก สรรพด้วยเครื่องสาตราวุธทั้งปวง แลมีขอเหล็กเกี่ยวเชือกพวนชักถึงตลิ่ง ปากคลองนั้นตัดกิ่งไม้สดสะบังไว้ อย่าให้เห็นว่าเปนคลอง แลทางบกนั้นก็ซุ่มทหารไว้เปนอันมาก สำหรับชักฉุดเชือกทั้งสองฟาก สั่งให้มังลักยาคุมเรือฉลากบางหกลำ ซ่อนอยู่ในคลองแวะฝ่ายตวันตก มีขอเหล็กเกี่ยวแลเชือกพวนชัก สรรพตัวยเครื่องสาตราวุธ แล้วสะปากคลองเสียเหมือนกัน ทำจงเรียบร้อยดี อย่าให้มอญสงสัยได้ เวลาพรุ่งนี้เราจะแต่งเรือฉลากบาง ให้มังกะยอทางออกรบด้วยสมิงนครอินท์ แล้วจะให้ทำเสียทีถอยขึ้นมา ถ้าเห็นมอญไล่ล่วงขึ้นมาแล้ว จึงยกทหารออกตีกระหนาบ เอาเรือฉลากบางเกยเข้าไปให้ถึงกัน แล้วเอาขอเหล็กรุมเกี่ยวช่วยกันลากทั้งบกทั้งเรือ เอาเรือฉลากบางสมิงนครอินท์มาจงได้ มังธนูเดชมังลักยาทั้งสองก็ไปกะเกณฑ์ทหาร ให้ทำการตามมังรายกะยอฉะวาสั่งนั้นทุกประการ

ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช ครั้นผู้ถือหนังสือกลับไปแล้ว จึงตรัสแก่เสนาบดีนายทัพนายกองทั้งปวงว่า เวลาเช้าพรุ่งนี้คิดจะแต่งทหารออกสู้รบกับพม่า เรือลำต่อลำ ผู้ใดจะรับอาสาสู้กับพม่าได้บ้าง เสนาบดีนายทัพนายกองทั้งปวงก็นิ่งอยู่ เจ้าสมิงนครอินท์ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงกราบทูลว่าพม่าดูหมิ่นเจรจาองอาจฉนี้ ดุจมอญมิใช่ชายหาฝีมือแลสติปัญญามิได้ สำคัญว่าเมืองมอญจะสิ้นคนดีแลกระมัง ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปฆ่าเสีย ให้พม่าขยาดฝีมือจงได้

สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชได้ทรงฟังก็เห็นด้วย มีพระทัยยินดีจึงตรัสว่า ผู้อื่นนั้นถึงมีฝีมือจะออกไป เราก็ยังมิใคร่สิ้นวิตก ถ้าสมิงนครอินท์จะอาสาออกไปแล้ว เราดีใจคลายความวิตกลง สมิงนครอินท์กรับสั่งแล้วก็ถวายบังคมลาออกมาที่อยู่ ก็สั่งให้ตกแต่งเรือฉลากบาง แลพลทหารเครื่องสาตราวุธทั้งปวงเสร็จแล้ว ครั้นเวลาเข้าสมิงนครอินท์กอาบนํ้าทาแป้งหอมนํ้ามันหอม แต่งตัวใส่เสื้อชมภูขลิบทองจีบเอว กำไลต้นแขนปลายแขน โพกผ้าชมภูขลิบทอง ใส่แหวนเพ็ชร์เก้ายอดทั้งสองก้อย แล้วเข้ามากราบถวายบังคมลา สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชก็ทรงอวยพระพรชัยให้แล้ว สมิงนครอินท์กจึงให้ลั่นฆ้องเป่าปี่ตีกลองโห่ร้องรำดาบสองมือ ออกเรือฉลากบางไป 

ฝ่ายทหารกองคอยเหตุ เห็นเรือสมิงนครอินท์ออกมาจากที่แล้ว ก็มาทูลมังรายกะยอฉะวา ๆ ก็เสด็จขึ้นหอรบในค่าย ครั้นทอดพระเนตรเห็นสมิงนครอินท์ออกเรือฉลากบางเป้าปตีกลองขึ้นมาดังนั้นก็ดีใจ จึงสั่งให้มังกะยอทางออกเรือฉลากบางเข้ารบเผชิญหน้า มังกะยอทางก็ให้เอาเรือฉลากบางเข้าเผชิญหน้ากัน แลทแกล้วทหารทั้งสองฝ่าย ก็เข้ารบพุ่งกันเป็นสามารถช้านาน แล้วทำเปนเสียทีให้ทหารทวนเรือฉลากบางถอยขึ้นไป เจ้าสมิงนครอินท์ให้ตีเรือฉลากบางตามติดขึ้นไป ครั้นพ้นช่องขวากถึงปากคลองแวะ มังกะยอทางก็ให้เอาขอเหล็กสับเกี่ยวเรือเจ้าสมิงนครอินท์เข้าไป สมิงนครอินท์เห็นดังนั้นก็คิดประหลาดใจ เกรงจะเสียที จึงโจนขึ้นเรือรบมังกะยอทาง ถือดาบสองมือไล่ฟันพม่าในลำเรือนั้นตายสิ้น

ฝ่ายมังธนูเดช มังลักยาก็เอาเรือฉลากบางซึ่งคอยอยู่สองฟากนั้น ออกรบกระหนาบรุมกัน เกยเรือฉลากบางสมิงนครอินท์เข้าแล้ว จึงเร่งให้ทหารเอาขอเหล็กสับเอาพวนชักเข้าริมฝั่ง ฝ่ายกองทัพบกก็ลงช่วยลากเรือฉลากบางเข้าไปจนถึงหน้าค่ายมังรายกะยอฉะวา พม่าเข้ากลุ้มรุมรบเจ้าสมิงนครอินท์ลำเดียว สมิงนครอินท์กับทหารฆ่าพม่าตายเปนอันมาก จนสิ้นทหารทั้งลำเรือ เหลือแต่เจ้าสมิงนครอินท์ผู้เดียว เปนคนมีวิทยาคมอยู่คงกระพัน ตัวต้องสาตราวุธเปนสามารถมิได้เข้า ก็โจนขึ้นบกไล่ฆ่าฟันพม่าล้มตายเปนอันมาก จนมือซ้ายขวาคลายดาบมิออก เสื้อแลผ้าชุ่มไปด้วยโลหิต ฝ่ายพม่าจะเข้าจับเจ้าสมิงนครอินท์มิได้ ก็เอาไม้ค้อนก้อนดินไล่ระดมกันขว้างทิ้งถูกเปนหลายที เจ้าสมิงนครอินท์ก็ล้มลง พม่าก็ตรูกันเข้าจับตัวได้ พาเข้าไปถวายมังรายกะยอฉะวา ๆ ก็ดีพระทัยนัก จึงแต่งคนให้ถือหนังสือขึ้นไปแจ้งแก่สมเด็จพระราชบิดา ณ เมืองปรวน แลขณะเมื่อเจ้าสมิงนครอินท์กับพม่ารบกันนั้น สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชจะแต่งกองทัพขึ้นไปช่วยก็มิทันท่วงที

ฝ่ายสมิงพระรามซึ่งมาทางทัพบกนั้น ครั้นรู้ว่าเจ้าสมิงนครอินท์เสียกับพม่าก็โกรธ จึงขึ้นช้างพลายประกายมาศรีบเข้าไปยืนหน้าค่ายพม่า แล้วร้องด่าว่าอ้ายพม่าโกหกหาจริงไม่ แม้นมึงดีให้ออกมาชนช้างกับกูตัวต่อตัวให้เห็นฝีมือกัน มังรายกะยอฉะวาได้ยินดังนั้น ก็ขับให้พม่าขึ้นช้างออกไปรุมชนจะจับตัวให้ได้ สมิงพระรามก็วางพลายประกายมาศเข้ากระโจมชน ช้างฝ่ายพม่าเสียทีเพลี่ยงพลํ้า สมิงพระรามก็จ้วงฟันด้วยของ้าว ถูกพม่านายทัพนายกองตายเปนหลายคน พม่าก็เอาช้างล้อมเช้าเปนหลายชั้น สมิงพระรามเห็นดังนั้น ก็ขับพลายประกายมาศเข้าไปชน ช้างพม่าก็ล้มตายเปนหลายตัว สมิงพระรามเห็นเหลือกำลัง จึงขับช้างแหวกออกมาแล้วร้องด่าว่า อ้ายพม่ามึงดีแต่พวกมากหามีความอายไม่ แล้วก็ขับช้างมาค่าย พม่าเห็นดังนั้นขยาดฝีมือสมิงพระรามอยู่ ก็มิอาจจะติดตามพากันกลับเข้าค่าย ครั้นรุ่งขึ้นวันหนึ่ง มังรายกะยอฉะวาเสด็จมาถึงที่รักษาสมิงนครอินท์ไว้นั้น สั่งให้เอาเครื่องที่เสวยมาให้สมิงนครอินท์กิน จึงตรัสปลอบว่าท่านอยู่ด้วยเราเถิดจะเลี้ยงท่านให้เหมือนพระเจ้าลุงเลี้ยง สมิงนครอินท์จึงทูลว่า ข้าพเจ้าเกิดมาเปนข้าทหารทำการสงครามมีแต่แพ้แลชนะ บัดนี้ข้าพเจ้าเสียทีด้วยข้าศึกหาสัตย์มิได้ ถ้าแลมีสัตย์มั่นคงอยู่ดังความสัญญาแล้ว ที่ไหนจะเปนดังนี้เล่า ข้าพเจ้าได้ความอัปยสเจ็บช้ำถึงเพียงนี้แล้ว ซึ่งจะรักษาชีวิตอยู่กินเข้าแดงเปนข้าสองเจ้า จะประโยชน์อันใดมี ขอแต่พระราชทานน้ำกินแล้วก็จะถวายบังคมลาตาย มังรายกะยอฉะวาจึงเอาน้ำในพระเต้า พระราชทานให้สมิงนครอินท์ ครั้นสมิงนครอินท์กินน้ำแล้ว มังรายกะยอฉะวาจึงหยิบเอาหมากในพานเครื่องเสวยยื่นให้ สมิงนครอินท์รับเอาหมากมากินแล้ว จึงกราบทูลว่าข้าพเจ้าได้กินหมากของพระราชบุตรพระเจ้ามณเฑียรทองคำหนึ่ง มีพระคุณแก่ข้าพเจ้าเปนอันมาก ตัวข้าพเจ้าก็จะตายแล้ว หาสิ่งใดจะทดแทนพระคุณมิได้ จะขอทูลความลับไว้แก่พระองค์สักสิ่งหนึ่ง มังรายกะยอฉะวาได้ฟังดังนั้นจึงตรัสว่า ท่านจะบอกความสับสิ่งใดให้เราก็จงบอกเถิด สมิงนครอินท์จึงทูลว่า ข้าพเจ้าแจะแจ้งความลับบัดนี้ ทแกล้วทหารตามเสด็จพระองค์มาก็มีมากอยู่เกรงจะรู้แพร่งพรายไป ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้ามาให้ใกล้ข้าพเจ้าจึงจะทูลถวายได้

มังรายกะยอฉะวาได้ทรงฟังดังนั้นก็สำคัญว่าจริง จึงเสด็จเข้าไปใกล้สมิงนครอินท์ ๆ จึงกราบทูลพระกรุณาว่า ซึ่งพระองค์จะทำสงครามด้วยสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช พระเจ้าอยู่หัวของข้าพเจ้าสืบไปภายหน้านั้น อย่าได้ทรงช้างให้ตรงหน้าช้างพระที่นั่งเลยเปนอันขาด อันทหารซึ่งมีฝีมืออย่างข้าพเจ้านี้มีเปนอันมาก มังรายกะยอฉะวาได้ฟังดังนั้นก็ทรงพระสรวลจึงตรัสว่า สมิงนครอินท์นี้เปนทหารมีฝีมือเข้มแข็ง เปรียบเหมือนอสรพิศม์ ตัวจะตายแล้วยังลอกคราบหลอกไว้ให้คนกลัวอีกเล่า มิเสียทีเกิดมาเปนชายชาตรี นํ้าใจองอาจกล้าหาญแลมีความซื่อสัตย์ด้วย ตรัสดังนั้นแล้วก็เสด็จกลับมาที่อยู่

ฝ่ายพม่าผู้ถือหนังสือไปถึงเมืองปรวนแล้ว ก็นำหนังสือเข้าไปถวายพระเจ้ามณเฑียรทอง ๆ แจ้งว่าสมิงนครอินท์เจ็บชํ้าลำบากอยู่ก็ทรงพระวิตกว่า ลูกเราทำแก่เจ้าสมิงนครอินท์ผู้มีคุณแก่เราดังนี้หาควรไม่ จึงให้มังสีสูพระราชบุตรอยู่รักษาเมืองปรวน แล้วพระองค์ก็เสด็จรีบลงมา ณทัพมังรายกะยอฉะวา เสด็จมายังมิทันถึง ฝ่ายเจ้าสมิงนครอินท์ต้องอาวุธบอบชํ้าลำบากทั้งไม่ได้กินอาหารด้วย ครั้นอยู่มาสามวันก็ถึงอนิจกรรม พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องเสด็จมาถึงค่าย มังรายกะยอฉะวาทราบ ก็ออกต้อนรับอัญเชิญสมเด็จพระราชบิดาให้เสด็จเข้าประทับ ณพลับพลาในค่าย นายทัพนายกองทั้งปวงก็เข้ามาเฝ้ากราบถวายบังคมพร้อมกัน พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องจึงตรัสถามว่า เจ้าสมิงนครอินท์อยู่ไหน มังรายกะยอฉะวาทูลว่า สมิงนครอินท์ถึงแก่กรรมเสียแล้ว พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้ทราบว่าเจ้าสมิงนครอินท์ถึงแก่ความตายแล้ว ก็ทรงพระอาลัยเสียดายนัก จึงตรัสแก่มังรายกะยอฉะวาว่า เจ้าสมิงนครอินท์มีความสัตย์เปนแท้ แล้วก็มีคุณแก่เราแลนายทัพนายกองทั้งปวงเปนอันมาก ครั้งหนึ่งมอญลวงไปกระทำสัตย์ หวังจะฆ่าพม่าเสียให้สิ้น เจ้าสมิงนครอินท์ก็บอกแก่มังมหาราชาโดยความสัตย์ พม่าจึงรอดกลับมาได้ไม่มีอันตราย แลเมื่อสมิงนครอินท์ลอบเข้ามาได้ถึงที่อยู่ข้างใน ชีวิตเราอยู่ในเงื้อมมือเขาแล้ว เขาก็ยังมิได้ทำอันตราย ซึ่งสมิงนครอินท์มาถึงแก่ความตายเสีย น่าอาลัยเสียดายนัก ลูกเราทำดังนี้มิชอบ ตรัสติโทษพระราชบุตรเปนอันมากแล้ว จึงเปลื้องเครื่องประดับซึ่งพระองค์ทรงนั้น ออกใส่ศพเจ้าสมิงนครอินท์ แล้วยกศพตั้งในโกษแต่งเครื่องประดับประดาเปนอันงาม ตรัสสั่งให้หามโกษลงใส่เรือขนาน แลจารึกอักษรใส่แผ่นทองลงไว้ด้วย เนื้อความว่าเจ้าสมิงนครอินท์มีความสัตย์เปนแท้ รู้จักคุณพระมหากษัตราธิราชเปนอันยิ่งหาผู้เสมอตัวยาก ซึ่งราชบุตรเราทำดังนี้เราหาเห็นชอบด้วยไม่ ครั้นเรารู้จึงรีบลงมาๆ ก็มิทัน พอสมิงนครอินท์ถึงแก่กรรม เสียแล้ว บัดนี้เราให้แต่งศพสมิงนครอินท์ประดับเครื่องกษัตริย์ใส่เรือขนานลอยไปให้ ขอสมเด็จพระเชษฐาธิราชเจ้าอย่าได้น้อยพระทัยเลย ครั้นจารึกอักษรเสร็จแล้วก็ให้ลอยเรือขนานลงมา

ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช เสด็จลงมาประทับ ณเรือขนานพระที่นั่ง พอทอดพระเนตรเห็นเรือขนานใส่ศพเจ้าสมิงนครอินท์ลอยลงมาดังนั้นก็ประหลาดพระทัย จึงตรัสสั่งนายทัพนายกองให้ออกไปรับเรือใส่ศพเจ้าสมิงนครอินท์ เข้ามาถึงหน้าเรือขนานพระที่นั่ง แล้วทอดพระเนตรเห็นอักษรซึ่งพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องให้มานั้น พอทรงทราบก็ตกพระทัย จึงให้เปิดโกษขึ้น ทอดพระเนตรเห็นศพเจ้าสมิงนครอินท์แล้วก็ทรงพระกรรแสงร่ำรัก พรรณาถึงความหลังมาเปนอันมาก แล้วจึงสั่งให้ทำเมรุประกอบไปด้วยเครื่องประดับทั้งปวงเปนอันงาม ยิ่งกว่าพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องแต่งมานั้นถึงสามเท่า แล้วพระองค์ก็เสด็จไปพระราชทานเพลิงเจ้าสมิงนครอินท์เสร็จแล้ว จึงเก็บอัฏฐิใส่ในผะอบทองประดับพลอย สั่งให้นำไปบันจุไว้ ณพระมุเตา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ